คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : ลางบอกเหตุ
Run in the dead
[Knight ACT]
ผมตื่นขึ้นมาในห้องเรียนแห่งหนึ่งแต่ว่าเพื่อให้สะดวกสบายเลยขนโต๊ะออกไปจนหมดในห้องเลยว่างไม่เหลืออะไรจะมีก็เพียงแค่กระดานและตู้เก็บของด้านหลังที่ถูกเชื่อมติดกับตัวห้องเท่านั้นส่วนตัวห้องก็มีของวางอยู้แต่ก็ไม่ได้มากมายคงจะพึ่งรื้อของออกไปผมที่พึ่งได้สติก็ลุกขึ้นมา ผมเดินไปเปิดประตูแต่ประตูกลับถูกล็อคเอาไว้ ผมกำลังจะขอให้คนมาช่วยแต่ยังไม่ทันจะออกเสียงเมย์ก็เดินเข้ามา
“ไงเมย์ว่าแต่เราอยู่ที่ใหนกันหรอ” ผมพูด
“. . .”
เมย์ยืนอยู่ด้านหน้าผมไม่ดพูดอะไรจากตรงนี่หรือไม่รู้เพราะอะไรผมเห็นหน้าเมย์ไม่ค่อยชัดทั้งที่เมย์ตัวสูงกว่า ผมพยายามมองเข้าไปในใบหน้าแต่ก็ไม่เห็นอะไรเลย
“เพราะแก”
“หือ. . .?เพราะอะไรนะ”
ผมที่ฟังเมย์ไม่ชัดเลยพยายามทวนคำพูด แต่ผมก็เริ่มมองหน้าเมย์ชัดแล้ว ใบหน้าเมย์นั้นบิดเบี้ยวอย่างเห็นได้ชัด ผมตกใจผงะหงายหลังลงไป
“เพราะแก !” เมย์คำรามออกมา
เสียงที่ออกมานั้นเต็มไปด้วยความเคียดแค้น จากนั้นรูปร่างของเมย์ก็เริ่มที่จะบิดเบี้ยวไป ตอนนี้กลายเป็นสัตว์ประหลาดขนาดสองเมตร เล็บยาวแหลมคม
“ถ้าไม่มีแก ถ้าแกไม่เข้ามาในชีวิตของพวกเรานิ้งคงๆ..”
เมย์เหมือนจะพูอะไรออกมาแต่กลับเงียบไปซะก่อน จากนั้นเมย์ก็กรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง เสียงกรีดร้องของเมย์นั้นแรงขนาดทำให้กระจกในห้องทั้งหมดแตกกระจาย ผมที่โดนเสียงกรีดร้องนั้นก็ลอยละลิ่วไปติดอยู่กับกำแพง แรงกระแทกนั้นทำผมแทบเสียสติจังหวะที่กระแทกนั้นรู้สึกเลยว่ารอบข่งมืดไป ผมสำลักเลือดที่พุ่งออกมา
“เมย์เป็นอะไรไป”
“….”
เสียงที่พูดไปคงไปไม่ถึงเมย์แล้ว เมย์พุ่งเข้ามาพื้นที่ยืนนั้นก็สั่นใหว ผมใช้กำลังที่มีพุ่งตัวหลบแต่ก็หลบไม่พ้นเล็บที่คมกริบเสียบเข้าเต็มขาซ้าย
“อ้าก! ขา. . .” ผมสบถ
แล้วเมย์ก็ดึงเล็บออก เลือดสีแดงสดพุ่งออกมาจากรูขนาดใหญ่ที่ขา ตอนนี้ผมคงคิดว่าคงไม่รอดแล้วแต่เหลือบไปเห็นมีดทำครัวผมเลยกลิ้งตัวไปหยิบมีดขึ้นมา
“ขอโทษนะเมย์ชั้นจะมาตายตรงนี้ไม่ได้หรอก”
จากนั้นผมก็พุ่งไปแต่ตอนนี้เมย์ก็ไม่ได้ขยับเขยื้อนไปใหน
“ไม่เป็นไรหรอกไนน์”
เมื่อผมได้ยินเสียงเมย์ผมก็เหลือบไปเห็นใบหน้าของสัตว์ประหลาดนั้นกำลังร้องอยู่ เมื่อผมเห็นอน่างนั้นผมก็ลดมีดลง
จะว่าไปเราก็ผิดเองซินะทั้งที่ถ้าไม่เข้าไปยุงพวกเธอก็อยู่กันได้
“ขอโทษนะเมย์”
เมื่อผมพูดจบผมก็ปักมีดไว้ตรงกำแพงข้างหัวเมย์แล้วผมก็ถูกเล็บแทงทะลุหน้าอก ตอนนี้คงจะจบแล้วสินะ
ผมสะดุ้งขึ้นมาบนเตียงและมองไปรอบข้างในห้องนี้ก็เป็นบ้านของเมย์และนิ้ง และก็มีเมย์มาฟุบอยู่ข้างๆเตียง ตอนนี้ก็มืดมากด้านนอกในตอนนี้ไม่มีแสงไปเลย พอสำรวจไปก็พบว่าเสื้อผ้าของผมถูเปลี่ยนไปเป็นชุดที่เตรียมมา
“เมื่อกี้ฝันไปสินะ”
ผมที่ทำความเข้าใจได้แล้วก็มองไปที่มือที่กำลังสั่นเทาของตน
‘นี่คงเป็นลางบอกเหตุสินะ’ ผมลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินออกจากห้องไปหยิบสัมภาระของตัวเองจากนั้นก็เดินออกไปด้านนอก
ก็พบนิ้งกำลังนั่งอยู่ด้านนอก
“นี่อยู่ด้านนอกมันอันตรายนะ” ผมทักนิ้งไป
“ไม่เป็นไรหรอกว่าแต่นายเหอะฟื้นแล้วหรอ” นิ้งพูด
“อ๋อว่าจะไปแล้วนะ...” ผมพูด
“เอ้าไม่รอไปด้วยกันละ..เราจะเริ่มออกเดินทางตอนรุ่งสางนะ” นิ้งพูด
“ไม่เป็นไรหรอกน่าอยู่สองคนน่าจะสบายกว่านะ” ผมพูด
ผมได้ยินเสียงคนวิ่งมาจากด้านหลัง ผมเลยหันไปดูนั่นก็คือเมย์นั่นเอง
“อย่าทำอย่างนั้สิไนน์จะปล่อยให้ผู้หญิงสองคนผจญโลกอย่างงั้นหรอ”
ผมอ้ำอึ้งพูดอะไรไม่ออกก็เป็นอย่างที่เมย์ว่าผมจะให้ผู้กญิงสองคนไปอยู่ในโลกแบบนี้ได้ยังไง แต่ถ้าอยู่ด้วยกันแล้วเป็นแบบฝันขึ้นมาจริงๆละ
“ชั้นไม่แคร์หรอกนะว่านายจะคิดอะไรหรือไปเจออะไรมานแต่อย่าพึ่งไปเลยไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นพวกเราจะเดินไปเคียงข้างกันนะชั้นให้สัญญา”
ผมแอบเขินนิดๆ คำพูดนี้ถ้าเป็นปกติคงจะเป็นคำพูดที่มีไว้บอกรักกันแต่ในตอนนี้มันกลับเป็นคำพูที่ดูมีค่ายิ่ง
“นั่นสินะ” ผมพูด
“ตกลงนายจะไปด้วยกันหรือเปล่าละ” เมย์พูด
“ไปด้วยอยู่แล้วเธอให้สัญญาแล้วนี่” ผมพูด
“งั้นไปนอนกันก่อนดีมั้ยพรุ่งนี้จะได้มีแรงเดินทาง” นิ้งพูด
จากนั้นพวกเราก็แยกย้ายกันไปนอน ตื่นมาตอนนั้นฟ้ายังไม่สาง ผมเดินลงมาช้างล่างก็พบหญิงสาวทั้งสองอยู่ข้างล่างอยู่แล้ว
“ตื่นสายนะเดี๋ยวก็ทิ้งเลยนี่” เมย์พูด
“ก็มันนอนเพลินไปนิด” ผมพูด
ผมพูดพร้อมกับหยิบสัมภาระขึ้นมา เมย์และนิ้งก็ทำหน้างงๆหน้ามันสื่อว่าไอ้นี่ทำอะไรของมันเนี่ย
“คือมีอะไรหรอ” ผมพูด
“ก็ไม่รอสนาชิกอีกคนนึงของเราหน่อยหรอ” นิ้งพูด
“ใช่ทำไมนายเป็นคนอย่างงี้นะ” เมย์พร้อมกับยิ้ม
“เอ๋! มีอีกคนด้วยหรอแล้วทำไมไม่บอกกันก่อนละ ละ. . .แล้วใครจะไปรู้ละว่าในกลุ่มเธอมีกันกี่คน” ผมพูดอย่างลนลาน
“คนที่ไม่ถามต่างหากละที่ผิดถ้าถามละก็พร้อมให้คำตอบอยู่แล้ว” เมย์พูด
ผมรู้สึกขี้เกียจที่จะพูดขึ้นมาเฉยๆเลยทำหน้าบูดใส่และนั่งลงกับพื้น
“แล้วอีกคนเป็นคนยังไงหรอแล้วทำไมถึงไม่อยู่ในกลุ่มละ” ผมพูด
“พอจะถามก็พูดเป็นต่อยหอยเลยนะช่างเถอะ อีกคนออกแนวเอ๋อๆหน่อยนะนะคงออกไปเดินเล่นเหมือนเดิมนั่นแหละ” นิ้งพูด
“อืม. . .จะว่าไปเค้ามาที่นี่จะสองวันแล้วนะยังไม่เห็นเลย” ผมพูด
“อ๋อถ้าเป็นคนนั้นนะจะหายไปทีก็หายไปเป็นสัปดาห์เลยนะ ครั้งแรกๆก็ตกใจเหมือนกันว่าจะเป็นอะไรรึเปล่าแต่พอบ่อยเข้าก็ชินแล้วละอีกอย่างคนคนนั้นนะไม่มีอะไรต้องห่วงหรอก” เมย์พูดอย่างภูมิใจ
‘ชั้นคิดว่าอันนั้นมันไมใช่ประเด็นนะ’ แต่ก็ไม่รู้จะพูดทำไมก็ได้แต่รอต่อไปจะว่าไปตอนนี้ก็น่าจะ 8 โมงแล้วสังเกตจากฟ้าที่เริ่มเป็นสีส้ม ‘ยังไม่มากันอีกแล้วจะให้รอไปถึงไหนเนี่ยจะว่าไปก็ไม่รู้ด้วยนี่จะมากี่โมงแล้วจะรอไปเพื่ออะไรนะ’ ก็ได้แต่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยในหัว ก็มันว่างมากแล่วตอนนี้ในถนนก็ไม่มีวี่แววของคนหรือตัวอะไรเลยด้วย เอ๋จะว่าไปตรงปลายถนนนั่นรถยนต์หรือเปล่านะ มองไม่ค่อยชัดเลย
“มาจนได้นะยัยนั่น” นิ้งพูด
จากรถที่อยู่ไกลออกไปตอนนี้ก็เริ่มมองเห็นได้ชัดเจน รถเก๋งไม่ทราบยี่ห้อสีควันบุหรี่ สภาพล่อแล่เข้ามาไหล้ขึ้นเรื่อย ดูจากสภาพแล้วไม่น่าจะขับได้เลยเพราะ กระโปงหน้าไม่รู้หายไปใหนไฟข้างแตก กันชนหลุด ไม่รู้ขับมาได้ยังไงและไม่รู้ว่าผ่านอะไรมาบ้าง ในที่สุดหลังจากลุ้นใจแทบขาดว่าจะมาถึงหรือหลุดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยก่อย ในที่สุดรถสภาพยับเยินก็ได้มาจอดอยู่หน้าพวกเราในตอนนี้ กระจกข้างติดฟิมล์ทึบแสงมองไม่เห็นจากด้านนอกจึงไม่รู้ว่าหน้าตาคนขับเป็นอย่างไร กระจกก็เลื่อนลงมาเผยให้เห็นคนในรถ คนแรกเป็นผู้หญิงรุ่นเดียวกันเพราะดูจากชุดที่ใส่คือ เสื้อลายลูกไม่สีแดงที่ไม่ได้เข้ากัเหตุการแต่อย่างใหด กับกางเกงยีนขายาว ส่วนอีกคนเป็นชายน่าจะรุ่นเดียวกัน ใส่เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีดำพร้อมกางเกงสีดำสนิท ทุกอย่างล้วนเป็นธรรมชาติที่แต่ที่ข้องใจคือทำไมทั้งสองต้องสวมหน้ากากไม่สีขาวทั้งคู้ด้วย
“อ้าวเจอผู้รอดชีวิตงั้นหรอ” สาวสวมหน้ากากพูด
“เธอก็เหมือนกันนั่นหละเอิญว่าแต่ใส่หน้ากากกันทำไม” เมย์ตอบ
สาวที่สวมหน้ากากคงจะเป็นคนในกลุ่มอีกคนที่พูดถึงแน่เลย
“อ๋อ...พอดีไปเจอคนนี้มาก็เลยพามาด้วยแต่ไม่รู้ทำไมตั้งแต่เจอกันจนตอนนี้ก็ยังไม่ยอมพูดเลยแม้แต่คำเดียว ส่วนหน้ากากนี้ชั้นก็เป็นคนเจอมันเนี่ยแหละแต่มีแค่สองอันนะก็เลยให้หมอนี่ใส่ไป ส่วนที่เค้าใส่ก็คิดว่ามันเท่ดี” เอิญตอบ
ให้คนอื่นใส่หน้ากากแล้วยังไม่บอกเหตุผล กับใส่เองเพราะเท่ดีโอย ช่างมันเหอะคิดไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา
“จะว่าไปนายชื่ออะไรละหาหนุ่มน้อย” เอิญถาม
“ชั้นชื่อไนน์แล้วก็อายุเท่าเมย์ด้วยนะ” ผมตอบ
“ไนน์หรอ...โทษทีนะที่เรียกหนุ่มน้อย” เอิญตอบ
“จะยืนคุยกันอีกนานมั้ยนี่จะเก้าโมงแล้วนะ” นิ้งพูดแทรกขึ้นมา
“ก็ขึ้นรถมาสิ” เอิญตอบ
จากนั้นพวกเราก็หยิบสัมภาระซึ่งแต่ละคนก็มีเพียงกระเป๋าและอาวุธเท่านั้น พวกเราขึ้นมานั่งบนรถก็พบว่าไอ้ที่ล่อแล่ไม่ได้เป็นแค่ภายนอกแต่ด้านในก็เละไม่แพ้กัน พอผมปิดประตูก็คงแรงไปหน่อยประตูที่ปิดเลยหลุดออกมาทำให้รถโยกไปมาแต่ไม่แรงมากล้อหลังก็หลุดออกมา เอิญคงจะตกใจมือเลยกระตุกเข้าหาตัวแต่พวงมาลัยก็หลุดตามออกมา ‘นี่รถหรือขยะเนี่ย’
“งั้นเดินกันเหอะถ้าจะพังขนาดนี้ เอิญคราวหลังก็เลือกคันที่มันดูดีกว่านี้หน่อยก็ได้นะ” เมย์พูด
“ก็ช่วยไม่ได้นี่แถวนั้นคันนี้ละที่สภาพดีที่สุดนะ” เอิญตอบ
‘ช่างมันเถอะ’ ก็อยากจะพูดไปนะแต่ก็เกรงใจ ขับมันมาถึงที่ก็เก่งแล้ว จากนั้นพวกเราก็เดินทางด้วยเท้าไปอย่างไร้จุดหมาย
จบตอน
ความคิดเห็น