กลบุษราคัม(มี E-Book)
เขมทัต เป็นผู้มีจิตสัมผัสเหนือธรรมชาติ เขาถูกเงาของอดีตพยายามดึงตัวกลับไปสู่ความตาย..และ..คุ้มขวัญ หญิงสาวธรรมดาที่ถูกดวงจิตของใครบางคนคอยติดตาม ต้นเหตุมาจากแหวนบุษราคัมวงนั้น! สุภาพบุรุษคนนั้นคือใคร?
ผู้เข้าชมรวม
8,936
ผู้เข้าชมเดือนนี้
19
ผู้เข้าชมรวม
ข้อมูลเบื้องต้น
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
บทนำ
…ณ พื้นที่ป่ารกร้างแห่งหนึ่งในเขตพื้นที่จังหวัดทางภาคตะวันออกที่อยู่ห่างไกลจากเขตที่พักอาศัยและได้ถูกปล่อยปละมานานกำลังมีการเข้าไปสำรวจโดยคนกลุ่มใหญ่
คนกลุ่มใหญ่นี้ต่างอยู่ในเครื่องแบบชุดเสื้อผ้าสีขาวมีโลโก้มูลนิธิร่วมกตัญญู กลุ่มเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานต่างๆและกลุ่มจิตอาสาจากหลายองค์กร
รอบนอกชายป่ามีรถกระบะ รถยนต์
และพาหนะต่างๆจอดเรียงรายอยู่ตรงถนนดินแดงชายป่าเพราะไม่สามารถขับฝ่าเข้ามาในพื้นที่ป่าใหญ่ที่มีต้นไม้และป่าหญ้าขึ้นรกเรื้อแห่งนี้ได้
กลุ่มผู้ชายกำลังช่วยกันแหวกพงถางหญ้าออกเพื่อเปิดทางให้เจ้าหน้าที่และจิตอาสาเข้ามาจนถึงจุดที่เป็นพื้นดินขนาดกว้างหลายสิบไร่อันไร้ต้นไม้ใหญ่ขึ้น
มีเพียงพื้นดินรกร้างที่มีเนินสูงต่ำเหมือนลูกคลื่นสลับไปมาจนทั่วบริเวณ
ป่าช้าบ้านดงไทร
เป็นพื้นที่สำหรับฝังศพคนตายมานานนับสิบๆปีหรือถ้าหากไล่เรียงสอบถามผู้เฒ่าผู้แก่ในพื้นที่ดูแล้ว
พวกเขาเหล่านั้นก็จะพูดเป็นเสียงคล้ายกันว่าป่าช้าแห่งนี้อยู่มาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายายของพวกเขาขึ้นไปอีกจนแทบนับไม่ไหวและอาจมีอายุยาวนานถึงร้อยปี
“บรรยากาศใช้ได้เลย ป่าช้าร้อยปี”
หัวหน้ามูลนิธิรักษ์ถิ่นเอ่ยขึ้น
เขาเป็นชายหนุ่มรูปร่างหน้าตาดีอย่างลูกเศรษฐี
หัสดิน เป็นชายหนุ่มไฟแรงหัวอนุรักษ์ผู้มีแนวคิดอยากทำงานช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ผู้คน
ด้วยความที่เป็นทายาทเศรษฐีทำให้เขาสามารถก่อตั้งมูลนิธิขึ้นมาได้โดยมีสปอนเซอร์หลักคือคุณพ่อที่เป็นนายกเทศมนตรีจังหวัดและผู้ใหญ่หลายท่านในพื้นที่คอยช่วยเหลือ
“โห คุณหมอ สยองล่ะสิไม่ว่า”
ปริวัฒน์ ผู้ช่วยร่างสูงโย่งเอ่ยขึ้น
เขาเป็นเพื่อนรุ่นพี่ในมหาวิทยาลัยเดียวกันที่มีความรักนับถือกันอย่างสนิทชิดเชื้อจนได้ชักชวนมาทำงานเพื่อสังคมด้วยกัน
ปริวัฒน์ชอบเรียกหัสดินว่าคุณหมออย่างติดปากเพื่อเป็นการให้เกียรติทั้งในฐานะหมอด้วยกันและหัวหน้ามูลนิธิ
หัสดินหันมายิ้มกว้างให้อย่างเป็นมิตรจนผู้ชายด้วยกันยังบอกว่ามีเสน่ห์ชวนมอง
“เอาน่าพี่ปัด
ปกติก็ทำงานกับศพอยู่แล้วจะไปกลัวอะไรกับกระดูกที่ไม่มีชีวิต”
หัสดินส่ายหน้าอย่างขำขัน
เขาทำงานเป็นหมอในโรงพยาบาลของจังหวัดและเปิดมูลนิธิเพื่อสังคมไปด้วย ความใจดีมีเมตตาและรูปลักษณ์ที่ชวนหลงทำให้สาวๆค่อนเมืองต่างให้ความสนใจเขาเป็นอย่างมาก
แต่คนที่อุทิศตนเพื่อสังคมกลับยังไม่ยอมเปิดใจรับใครง่ายๆ
ส่วนปริวัฒน์คือผู้ช่วยคู่ใจและยังเป็นหมอชันสูติศพในโรงพยาบาลเดียวกัน
“ก็จริงของคุณหมอนะ”
ปริวัฒน์หัวเราะน้อยๆก่อนจะมองไปรอบตัวเหมือนจะหาใครบางคน
“ผมจะไปดูทางนั้นก่อน
ฝากพี่ปัดดูทางด้านนี้นะครับ”
หัสดินบอกก่อนจะเดินก้าวฉับๆออกไปอย่างคล่องแคล่ว
“เออ แล้วไอ้ตัวยุ่งมันไปซนอยู่แถวไหนหว่า”
คนตัวสูงบ่นอุบ
ปริวัฒน์เดินดูการขุดหลุมศพของเจ้าหน้าที่และเหล่าจิตอาสา
ทุกคนต้องมีพลังใจอย่างสูงที่พาตัวเองมาอยู่ในป่าช้าบรรยากาศวังเวงเย็นจับใจแบบนี้ได้ หลุมศพที่ไม่ทราบชื่อและปีที่ถูกนำมาฝังถูกขุดขึ้นมาเรื่อยๆจนดูเหมือนว่าจะไม่มีที่สิ้นสุด
บนผ้าดิบสีขาวมีเศษกระดูกและเศษผ้าบางส่วนที่ยังย่อยสลายไม่หมดถูกนำขึ้นมากองรวมกันไว้และบางจุดที่มีการขุดนำกระดูกขึ้นมาจนหมดแล้วก็มีการนำมาเรียงต่อกันเป็นรูปร่างโครงมนุษย์ที่ครั้งหนึ่งเคยมีชีวิต
“มีใครเห็นไอ้ตัวซุ่มซ่ามบ้างไหม”
ปริวัฒน์ถามน้องๆชายหญิงที่ทำงานในมูลนิธิ
“เห็นเดินแจกน้ำอยู่ทางด้านโน้นนะคะ”
น้องผู้หญิงคนหนึ่งตอบกลับมาแล้วชี้ไปทางด้านหลังของเขา
“ขอบใจมาก”
เขาตอบแล้วเดินหาตัวซุ่มซ่ามของตนเองต่อ
แต่ในจังหวะที่เธอหมุนตัวเดินไปทางซ้ายมือโดยไม่ทันเห็นว่ามีหลุมกว้างหลุมหนึ่งถูกขุดไว้ที่ยังไม่ทันได้กลบคืนนั้น
“ว้าย!”
“อ้าว ซนจนได้เรื่อง
ฝังเสียเลยดีไหม ไอ้ตัวยุ่ง!”
ปริวัฒน์ยืนหัวเราะอยู่ตรงปากหลุมเมื่อเห็นสภาพน้องสาวที่หัวทิ่มลงไป
คนอื่นๆที่เดินมายืนดูก็กลั้นขำไม่ต่างกัน
“พี่ปัดใจร้าย”
คุ้มขวัญพยุงตัวเองขึ้นมาโดยมีมือแข็งแรงอีกมือคอยช่วย
ตอนนี้เธอทำหน้าหงิกงอและก็อายแบบสุดๆ
“คนตั้งใจมาช่วยงาน”
“เจ็บตรงไหนหรือเปล่าคิ้ม”
หัสดินถามคนที่หันมาไหว้ขอบคุณ
“ไม่ค่ะพี่หมอโอม แต่อายมากกว่า”
คุ้มขวัญยิ้มเขินๆ
“คิ้มไปดูเขาขุดหลุมด้านโน้นดีกว่า”
แล้วคนที่เกือบโดนฝังก็วิ่งตัวปลิวไปทางด้านอื่น
“ขอโทษนะคุณหมอ
น้องผมมันซนไปหน่อย”
ปริวัฒน์ส่ายหน้าระอากับความกระโดกกระเดกของน้องสาว
“พี่ปัดก็อย่าไปดุน้องมันมากเลย เขาตั้งใจขนาดนั้นปล่อยให้เขาทำไปเถอะ”
หัสดินบอกก่อนจะเดินไปดูงานทางด้านอื่นต่อ
ปริวัฒน์จึงกลับไปดูหลุมศพที่เพื่อนจิตอาสากำลังเริ่มจัดการขุดขึ้นมา
ใต้ต้นไทรใหญ่ร่มรื่นมีคนห้าหกคนนั่งรุมอยู่ตรงปากหลุมที่ถูกขุดออกมาเรียบร้อยแล้ว
บนผ้าขาวผืนใหญ่มีกองกระดูกมนุษย์วางอยู่และกำลังถูกจัดเรียงเพื่อถ่ายรูป
“หลุมนี้แปลกดี
เกือบดูไม่ออกว่าเป็นหลุมศพ”
คนในกลุ่มเอ่ยขึ้น
“อะไรเหรอคะพี่”
คุ้มขวัญเดินเข้าไปทักเจ้าหน้าที่มูลนิธิคนหนึ่ง
“อ้อ ก็หลุมนี้เหมือนคนฝังจะตั้งใจไม่ให้มีใครมาพบงั้นแหละ
เล่นฝังไว้ตั้งไกลและเอาก้อนหินหนักๆมากองทับไว้ ถ้าพี่ไม่เดินมาสะดุดเข้าคงไม่เอะใจ”
คนตอบพยักพเยิดไปยังหลุมศพ
“ดูสิ แถวนี้มันมีก้อนหินใหญ่แบบนี้ที่ไหนกัน
มีแต่ตรงนี้แหละที่แปลก”
คุ้มขวัญลองมองไปรอบๆแล้วก็พยักหน้าเห็นด้วย
บริเวณป่าช้านี้มีแต่ต้นหญ้าสูงและต้นไม้ใหญ่แต่ไม่ยักมีก้อนหินใหญ่เกะกะอยู่ในบริเวณนี้เลย
“ได้ค่ะ”
คุ้มขวัญนั่งลงสวมถุงมือและช่วยเพื่อนๆจิตอาสาสำรวจหลุมและเก็บเศษกระดูกชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่พอหาได้ขึ้นมา
ในระหว่างที่ใช้มือที่สวมถุงมือแล้วลองเขี่ยดูตรงดินที่ค่อนข้างเย็นและแข็งนั้นก็ไปสะกิดโดนอะไรสักอย่างจึงลองขุดขึ้นมาดู ก้อนดินในมือถูกแกะออกมาอย่างระวังจนเห็นเศษกระดูกขนาดเล็กเหมือนข้อนิ้วมือและของบางอย่างที่หล่นลงมาบนพื้นดิน
“อ้าว!”
เธออ้าปากค้างเมื่อไม่เห็นใครอยู่และเธอถูกทิ้งให้เฝ้าหลุมอยู่คนเดียวพร้อมกองกระดูกบนผ้าขาว
“ทำไมถึงทิ้งกันแบบนี้”
คุ้มขวัญเอาผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋ากางเกงออกมาห่อไว้ตั้งใจว่าจะเอาไปให้ปริวัฒน์หรือหัสดินเพื่อตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรต่อกับทรัพย์สินไร้เจ้าของชิ้นนี้
และในตอนนั้นเองที่พี่ชายลูกพี่ลูกน้องของเธอก็เดินจ้ำเข้ามาใกล้
“ไอ้คิ้ม จะค่ำแล้วรีบไปเก็บของเลยจะได้กลับบ้าน”
ปริวัฒน์ตะโกนเสียงดังจนคุ้มขวัญสะดุ้งโหยง
“ค่ะๆ”
เธอรับตะโกนกลับไป
ในตอนนั้นเองที่พวกเจ้าหน้าที่เดินกลับมา
“ช่วยกันเก็บของกลับไปเต็นท์ก่อน
ฟ้าครึ้มแล้วสงสัยจะมีฝน”
ทั้งหมดช่วยกันเก็บสิ่งข้าวของแล้วนำของไปไว้ที่เต็นท์ชั่วคราวก่อนเร่งรีบเตรียมตัวกลับเข้าเมืองไปยังที่พัก
คุ้มขวัญเองก็ต้องทำงานแข่งกับเวลาและสภาพดินฟ้าอากาศที่เริ่มครึ้มมาอย่างไม่มีเค้า
ลมยามเย็นเริ่มโหมแรงขึ้นจนเศษฝุ่นเศษหญ้าปลิวว่อนไปทั่วป่าช้า ทั้งเจ้าหน้าที่และจิตอาสาต่างรีบพากันออกไปจากป่าเพราะหากมีฝนตกหนักคงจะทำเอาพวกเขาลำบากและฉุกละหุกไม่น้อย
“ลืมของอะไรไหมคิ้ม”
ปริวัฒน์หันมาถามน้องสาวที่กระโดดขึ้นมาบนรถยนต์สี่ประตูของหัสดิน
“ไม่ลืมค่ะ”
คุ้มขวัญตอบเสียงใสโดยที่ไม่ทันฉุกนึกว่ายังมีของบางอย่างที่อยู่ในกระเป๋ากางเกง
เมื่อผู้คนและพาหนะต่างๆเริ่มเคลื่อนที่ห่างจากบริเวณป่าช้าบ้านดงไทรไปแล้ว
ความมืดก็เริ่มโรยตัวลงครอบครองพื้นที่ป่าช้าอย่างรวดเร็ว ลมแรงและเศษฝุ่นที่ปลิวคว้างค่อยๆเบาลงและนิ่งสงบเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
แสงสีขาววูบวาบจางค่อยๆผุดออกมาจากโคนต้นไทรใหญ่แล้วรวมตัวกันออกมาเป็นรูปร่างของมนุษย์ที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ชายร่างสูงใหญ่ท่วงท่าสง่างาม ผมสีดำมันถูกหวีแต่งทรงไว้อย่างดี ชายผู้นั้นอยู่ในชุดสูทสีขาวตัดเย็บสวยงามอย่างผู้ดีย้อนยุค มือข้างหนึ่งสวมแหวนทองคำหัวบุษราคัมกำลังยืนไขว้หลังไว้ด้วยท่วงท่าสง่าและน่าเกรงขาม นัยน์ตาคมนิ่งสะท้อนภาพของหญิงสาวคนหนึ่งเคลื่อนไหวอยู่ในนั้น รอยยิ้มอ่อนโยนเกิดขึ้นที่มุมปากหยักก่อนจะเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงอันหนักแน่น
“น้องหญิงหยาดฟ้า”
ผลงานอื่นๆ ของ มุกตามัน ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ มุกตามัน
ความคิดเห็น