ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ดวงใจแห่งแสงสว่าง

    ลำดับตอนที่ #5 : วางแผน

    • อัปเดตล่าสุด 24 ส.ค. 58


    บทที่ 5   วางแผน

    เปลวไฟสีแดงยังคงแผดเผาในกระถางกำยาน ควันไฟยังคงลอยอ้อยอิ่งไร้รูปทรง อากาศยามเช้าเย็นสดชื่น เสียงนกร้องเจื่อยแจ้วริมหน้าต่าง ภายในห้องสว่างไสว ชั้นหนังสือเรียงเต็มพื้นที่จากพื้นจรดเพดาน ข้างฝาห้องประดับภาพขุนเขาอันยิ่งใหญ่ตระหง่านน่าเกรงขาม ชายร่างกายบึกบึนไว้หนวดเครา ชุดขุนพลสีแดงที่สวมใส่ยิ่งทำให้น่าเกรงขามยิ่งนัก
    "ท่านขุนพล  มีความอันใดในจดหมายหรือขอรับ"   ซั่นกวนเฉินกุนซือคนสนิทข้างกายขุนพลซูยี่เอ่ยปากถามด้วยเห็นสีหน้านายเคร่งขรึมยิ่งนักตั้งแต่ได้รับสารจากราชครูตงซือเมย
    "ราชครูแจ้งข่าว  แคว้นโจวตะวันออกจะยกทัพมาก่อสงครามกับแคว้นเรา "  เสียงที่เอ่ยแม้ไม่ได้แสดงความกังวลแต่ผู้ที่ได้ยินต้องตกใจราวกับได้ฟังข่าวจากนรก
    "แล้วท่านขุนพล คิดประการใด เมื่อสงครามจะบังเกิด เราจะเป็นเพียงผู้ตั้งรับอย่างเช่นเคยหรือไม่"
    "ข้าไม่คิดเช่นนั้นท่านกุญซือ  ข้าแน่ใจว่าฝ่าบาท และท่านราชครูจะต้องมีแผนการอย่างแน่นอน ยามซือนี้ข้าและท่านราชครูจะเข้าเฝ้าฝ่าบาท"
    "แต่ข้าน้อยเกรงว่า  ฮ่องเต้โจอวี้คงมีแผนร้ายที่จะทำลายล้างผลาญแคว้นโจวตะวันตกแล้วอย่างแน่นอน  ข้าอดเป็นห่วงแทนประชาชนที่จะต้องรับผลอันเกิดจากภาวะสงครามที่จะเกิดขึ้นนี้ยิ่งนักท่านขุนพล"
    "ท่านกุนซือ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดเรามีหน้าที่ต่อชาติบ้านเมืองจะให้ทำเยี่ยงใด แม้นชีวิตนี้ข้าก็คงสละแล้วเพื่อความสงบสุขของแคว้นโจวตะวันตก สั่งการลงไป หลังข้ากลับจากเข้าเฝ้าฝ่าบาทแจ้งประชุมพล"
    "ขอรับท่านขุนพล"  ซั่นกวนเฉินกุนซือคำนับขุนพลซูยี่แล้วออกไปจัดการตามที่ได้รับบัญชา ภายในห้องยังคงเงียบเย็นเช่นเดิม ขุนพลแคว้นตะวันตกยังคงนั่งนิ่งไม่ไหวติง คิ้วขมวดผูกปมในความนึกคิด แผนการตั้งรับมือศึกสงครามร่างแล้วในความคิดอีกไม่นานดาบคู่ประจำตระกูลคงได้ดื่มเลือดศัตรู  เลือดจะนองแผ่นดินมากเท่าใดมิอาจมีผู้ใดรู้ได้ แม้นชีวิตของเขาเองจะสละเพื่อแผ่นดินแล้ว แต่ครอบครัวของเขา ลูกเมียของเขาเล่าจะรอดพ้นศึกสงครามที่จะถึงนี้ได้หรือไม่ ความกลัวเริ่มปรากฏในจิตใจขุนพลแห่งแคว้นโจวตะวันตก ด้วยมนุษย์นั้นเมื่อล่วงรู้ถึงภัยที่จะบังเกิดล่วงหน้าแล้วไซร้จะให้สงบใจมิให้อกสั่นขวัญแขวนอยู่ได้เยี่ยงไรกัน เขาคงทำได้เพียงแค่ปลุกปลอบจิตใจตนเองว่าคงต้องต่อสู้แค่ตายเท่านั้นกระมัง

    ยามซือ  ตำหนักเฮ่าจิง
    "ถวายบังคม ฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงอายุยืนหมื่น ๆ  ปี"
    "ลุกขึ้น ท่านราชครู  ท่านขุนพล  ข้าเรียกพวกท่านมาวันนี้คงรู้แล้วว่าเรื่องใด  ท่านขุนพล ท่านคิดอ่านเช่นไร"
    "เรียนฝ่าบาท กระหม่อมได้ปรึกษาหารือกับท่านราชครูแล้วมีแผนการที่จะดำเนินการเป็นฝ่ายรุกก่อนเพื่อมิให้ทางแคว้นโจวตะวันตกเสียเลือดเสียเนื้อไพร่พล พะยะค่ะ"
    "แผนการใด  ว่ามา"
    "เรียนฝ่าบาท กระหม่อมเห็นว่าควรให้สายลับไร้เงาที่แทรกซึมอยู่ทั่วแคว้นโจวตะวันออกจัดการลอบสังหารฮ่องเต้แคว้นโจวตะวันออกเสีย พะยะค่ะ "
    "ท่านราชครู ที่ท่านกล่าวมาช่างตรงกับใจข้านัก หากสายลับไร้เงาจัดการได้สำเร็จ เราอาจจะมิต้องเข้าสู่สงครามเลยก็ว่าได้ เช่นนั้น ข้าจะสั่งการไปยังสายลับไร้เงาให้จัดการเสีย แต่หากไม่สำเร็จคงต้องรบกวนท่านขุนพลกับท่านราชครูร่วมกันสู้ศึกครั้งนี้เสียแล้ว
    "กระหม่อมขอถวายชีวิตเพื่อบ้านเมือง พะยะคะ "   ทั่งขุนพลซูยี่ และราชครูตง กล่าวให้คำมั่นต่อหน้าพญามังกรอย่างมั่นคงดั่งขุนเขา
    " ดี  เราไม่ผิดหวังที่มีท่านทั้งสองอยู่ข้างกาย "  ฮ่องเต้โจวกวงตี้ยื่นมือไปตบไหล่ทั้งสองของขุนพล และราชครู คู่พระทัย ดุจให้คำมั่นสัญญาว่า ชีวิตนี้สละแล้วเพื่อแผ่นดิน
    ลับร่างขุนพลและราชครูคู่พระทัยแล้ว ฮ่องเต้โจวกวงตี้รับสั่งให้กงกงข้างกายเข้ามารับพระราชดำรัสอย่างใกล้ชิดเพื่อมิให้มีผู้ใดได้ยินเสียงแม้แต่น้อย
    "หม่ากงกง  แจ้งไปยามไฮ่ ให้ไร้เงาพบข้าที่ห้องทรงอักษร"
    "รับด้วยเกล้าพะยะค่ะ"
    ......................................................................
    หิมะยังคงปกคลุมพื้นดินขาวโพลน ต้นไม้ทั่วทั้งต้นมีสีขาวปกคลุมส่องประกายต้องแสงแดดระยิบระยับ อากาศที่เย็นเหยียบยังคงไม่จางหายไป ดวงหน้าเล็กๆ ขาวผ่อง ยื่นคางเกยกับกรอบหน้าต่าง ผมยาวสลวยมัดเป็นมวย
    ซาลาเปาสองก้อนผูกโบว์สีแดง  ลำตัวแม้นจะอยู่ในชุดกระโปรงสีเขียวประดับด้วยขนจิ้งจอกรอบคอเสื้อสีขาวนวล  ตัวกระโปรงยาวระพื้นยามนั่งอย่างเกียจคร้าน คราใดที่ลมหนาวพัดโบกเข้ามาริมหน้าต่างโบว์สีแดงจะปลิวไปมาลู่ลม 
    ส่งให้ดวงหน้าน้อยๆ นั่นงดงามยิ่งนัก
    "คุณหนู เจ้าคะ ลมเย็นเริ่มแรงแล้ว คุณหนูเข้ามานั่งในห้องเถิด บ่าวนำขนมใส้ถั่วที่คุณหนูชอบมาให้แล้วเจ้าค่ะ"  หลิ๋งเอ๋อร์ บ่าวรับใช้คุณหนูเล็กจวนแม่ทัพปราบมารกล่าวเตือนคุณหนูของนาง ตั้งแต่เกิดเรื่องคุณหนูตกลงไปในสระบัวหน้าจวนเมื่อปีที่แล้ว นางก็ได้รับการคาดโทษจากฮูหยินขุนพลปราบมารให้เฝ้าดูแลคุณหนูอย่างใกล้ชิดแม้นยุงก็มิให้บินผ่านไปได้ ด้วยได้ดูแลกันมาแต่เล็กแต่น้อย หลิ๋งเอ๋อร์บังเกิดความรักในตัวคุณหนูของนางอย่างท่วมท้นแม้ชีวิตนี้ก็สละให้คุณหนูหมิงซินได้
    "พี่หลิ๋งเอ๋อร์  ข้าอยากออกไปเล่นหิมะ"
    "คุณหนู เจ้าขา อากาศหนาวเย็นเพียงนี้ คุณหนูอย่าออกไปเลยเจ้าค่ะ"
    "พี่หลิ๋งเอ๋อร์ ให้ข้าออกไปนิดเดียวไม่ได้เหรอ  แค่หน้าเรือนแค่นี้ นะ  นะ พี่หลิ๋งเอ๋อร์"
    "คุณหนู เจ้าขา  บ่าวเกรงว่า หากฮูหยินทราบเรื่อง บ่าวจะถูกลงโทษนะเจ้าคะ  คุณหนูไม่สงสารบ่าวหรือเจ้าคะ"  แม้หมิ๋งซินจะดื้อรั้นเพียงใดแต่จิตใจนางช่างไร้เดียงสาอ่อนไหว สงสารแม้มดเดินหกล้ม ปลาสำลักน้ำ ผีเสื้อโบยบินไร้ทิศทาง นางมักจะสงสารและใคร่รู้จนต้องเอ่ยปากถามไถ่วิถีหนทางช่วยเหลือสรรพสัตว์เหล่านั้่นจากท่านขุนพลปราบมารอยู่เสมอ ความที่เป็นเด็กชั่งซักไซ้ใคร่รู้  ขี้สงสาร และอ่อนไหว ยิ่งทำให้คุณหนูของนางแทบจะมิต้องก้าวเดินลงบนดินเยี่ยงคนธรรมดาหากเป็นไปได้คุณชายฟงหมิ๋งพี่ชายของนางคงให้นางขี่เมฆแทนการเดินเสียกระมัง  การที่หลิ๋งเอ๋อร์กล่าวออกไปเช่นนั้น ช่วยยั้งให้คุณหนูของนางเกรงกลัวอยู่หลายส่วนด้วยกลัวว่า บ่าวประจำตัวที่เห็นมาแต่เล็กแต่น้อยจะถูกมารดาลงโทษให้นั่งคุกเข่าหน้าเรือนอดอาหารเย็นเป็นเวลาหนึ่งคืนเยี่ยงการเกิดเหตุการณ์นางตกสระบัวปีที่แล้ว แค่เพียงหลิ๋งเอ๋อร์นั่งคุกเข่าแค่ครึ่งคืนนางก็ร้องร้องให้ฟูมฟายสงสารหลิ๋งเอ๋อร์ขอให้ท่านแม่ยกโทษให้หลิ๋งเอ๋อร์โดยการบอกว่า
    จะคุกเข่าเป็นเพื่อหลิ๋งเอ๋อร์อยู่ตลอดคืน กระนั้นเมื่อมารดาอภัยโทษให้หลิ๋งเอ๋อร์แล้วปรากฏว่า หลิ๋งเอ๋อร์ป่วยไข้ไออยู่หลายวันทีเดียว
    "พี่หลิ๋งเอ๋อร์  ข้าขอออกไปเอามือแตะหิมะนิดหนึ่งนะ พี่หลิ๋งเอ๋อร์  ข้าสัญญาว่าจะไม่ให้เกินชั่วใบไม้ตกถึงพื้นข้าจะเข้ามาในห้องเลยนะพี่หลิ๋งเอ๋อร์"
    " คุณหนูเจ้าขา  บ่าวเกรงว่า..."  หลิ๋งเอ๋อร์ยังมิได้กล่าวจบความ คุณหนูของนางก็วิ่งออกไปหน้าเรือนเสียแล้ว
    " คุณหนูเจ้าขา  รอบ่าวด้วย"
    หมิ๋งซินวิ่งอย่างว่องไว หัวเราะคิกคักเสียงดังตามทางเดินหน้าเรือน บ่าวประจำตัววิ่งไล่กวดกันมาดังแมววิ่งกวดหนู วิ่งจากหน้าเรือนมุ่งสู่กองหิมะขาวโพลน มือเล็กๆ  ยื่นออกไปกรอบหิมะปั้นเป็นก้อนกลมๆ ขว้างใส่บ่าวที่ตามมาอย่างสนุกสนาน อากาศเย็นมิได้กร่ำกรายนางแม้นแต่น้อย ผิวหน้าที่ขาวดังหิมะ เมื่อได้วิ่งออกกำลังเช่นนั้นกลับเป็นสีชมพูระเรื่อขึ้น เม็ดเหงื่อตกซับอยู่ที่ข้างขมับ  ชุดกระโปรงเขียวยาวระหิมะ โดดเด่นให้สีสันน่ามองยิ่งนักเสียงน้อยๆ เจี้ยวแจ่วเรียกบ่าวให้เล่นหิมะกับนางดึงดูดใจผู้ผ่านมาพบเห็นจนต้องเดินเข้าไปหานางอย่างหลงลืมตน อีกไม่กี่ก้าวก็จะถึงตัวนาง พลันก้อนหิมะขนาดเท่ากำปั้นนางก็ลอยหวือมากระทบอกของผู้ที่ตั้งใจเดินเข้ามาหานาง  
    หิมะก้อนกลมๆมิได้ทำให้เขาผู้นั้นเจ็บปวดแต่อย่างใด  วงหน้ายังคงปรากฏรอยยิ้มอบอุ่นมอบให้แก่นาง
    "อุ้ย  ท่านพี่จิ่นติ้ง  ท่านมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน"  ปากน้อยๆ นางเอ่ยทักทายเขา แต่มือยังคงกำหิมะอยู่มิยอมปล่อย
    "คาราวะคุณชายจิ่นติ้ง"  หลิ๋งเอ๋อร์กล่าวคาราวะคุณชายสหายของนาย ไม่มีเสียงตอบเพียงแต่พยักหน้ารับคำคาราวะเท่านั้น
    "หมิงซิน  เจ้าไม่หนาวหรือ  หิมะตกเช่นนี้แล้วยังออกมาเล่นอีก"  ว่าพลางก็เอื้อมมือไปอุ้มนางขึ้นมาในอ้อมอกด้วยกลัวว่านางจะหนาวเสีย  ครั้นหมิงซินถูกยกขึ้นมาไว้ในอ้อมกอดของจิ่นติ้งผู้ที่นางรักใคร่เยี่ยงพี่ชายคนหนึ่งระยะเวลาหนึ่งปีช่วงอายุ 5 ขวบ ที่ผ่านมาจนในเวลานี้นางอายุ 6 ขวบเข้าไปแล้ว  จิ่นติ้ง ก็กลายมาเป็นพี่ชายอีกคนหนึ่งขอนางไปแล้ว เมื่อใดที่จิ่นติ้งว่างจากการฝึกทหารจะต้องมาที่จวนขุนพลปราบมารก่อนเป็นอันดับแรก เมื่อมาครั้งใดนางก็จะได้รับทั้งขนมและของเล่นมากมาย ยังไม่นับสัตว์เลี้ยงน่ารักที่พี่จิ่นติ้งคนนี้เอาใจใส่ต่อนางสรรหามาให้นางเป็นของขวัญจนท่านพี่ฟงหมิ๋งล้อเสมอว่า นางจะเป็นแม่สัตว์เลี้ยงน้อยๆ นี่เสียแล้ว
    "ท่านพี่จิ่งติ้ง  ท่านฝึกทหารเสร็จแล้วหรือเจ้าคะ ถึงได้มาหาข้าได้"
    "หมิงซิน ต่อไปเจ้าอย่าออกมาเล่นหิมะอีกนะ ป่วยไข้ไปจะแย่เอาได้"
    "พี่จิ่นติ้ง ข้าแค่ออกมานิดหนึ่งเอง ยังไม่ถึงก้านธูปเลย"
    "หมิงซิน ให้เจ้าเชื่อพี่เถิด  เจ้าก็รู้มิใช่หรือว่า ท่านพ่อ ท่านแม่ และฟงหมิ๋ง ห่วงเจ้าแค่ไหน"
    "แล้วพี่จิ่นติ้ง ล่ะไม่ห่วงข้ารึ"  ดวงหน้าเล็ก ๆ  พองแก้มป่อง ๆ  ปากน้อย ๆ ยื่นออกมาต่อว่าต่อขานเขา ช่างน่ารักน่าชังยิ่งนัก
    "เฮ้อ  น้องสาวข้าแม่นกน้อย เจ้ายังจะมางอนพี่อีก  วันนี้พี่มีหงษ์น้อยมาฝากเจ้านะ  เจ้าอยากดูหรือไม่"
    "ห๊า  ท่านว่าหงษ์น้อยรึ  ข้าอยากได้  พี่จิ่นติ้งให้ข้าเถอะนะ ข้าจะเชื่อฟังท่านทุกอย่าง"
    "ทุกอย่างจริงนะ หมิงซิน  งั้นพี่ขอรางวัลจากเจ้าได้ไหม"  
    "ย่อมได้"  เสียงน้อย ๆ รับคำยังไม่ทันได้ตั้งตัว ปากเล็ก ๆ  ก็ยื่นมาจุมพิศที่แก้มของจิ่นติ้ง ความที่รีบร้อนขอบคุณในตัวเพื่อนของพี่ชายทำให้น้ำลายเปรอะเลอะหน้าของชายหนุ่มแรกรุ่นอายุ 16 ปีสร้างความขบขันให้แก่หลิ๋งเอ๋อร์เป็นอย่างยิ่ง  จิ่นติ้งมิรู้จะตีหน้าเช่นใดได้แต่เอามืออีกข้างลูบน้ำลายที่เปรอะเลอะหน้าเขาออกแล้วหัวเราะเสียงดังตลอดทางที่เดินขึ้นมายังเรือน 
    เมื่อถึงหน้าเรือน บ่าวรับใช้ชายคนหนึ่งถือกรงนกมีผ้าคลุมปิดคอยอยู่ก่อนแล้ว เมื่อจิ่นติ้งถึงหน้าเรือนก็พยักหน้าให้บ่าวนำกรงนกตามเขาเข้าไปยังเรือนพักของหมิงซิน แล้วสั่งให้บ่าวชายวางกรงนกไว้ที่โต๊ะกลางห้อง  ส่วนตัวเขาเองเมื่อเข้าไปในห้องแล้วก็วางหมิงซินลงให้นางนั่งเก้าอี้หน้าโต๊ะข้าง ๆเขา
    "คุณหนูเจ้าคะ บ่าวจะไปนำชากับขนมมารับรองคุณชายนะเจ้าคะ"
    "ไปเถอะพี่หลิ๋งเอ๋อร์"
    "อ๋อ  หลิ๋งเอ๋อร์ เจ้าไปแจ้งคุณชายฟงหมิ๋งว่าข้ามาด้วยนะ"
    "รับทราบเจ้าค่ะ คุณชาย"  หลิ๋งเอ๋อร์เปิดประตูออกไปจากเรือนก้าวไปยังเรือนด้านข้างที่พักของคุณชายฟงหมิงแจ้งข่าวให้คุณชายของนางทราบว่า คุณชายจิ่นติ้งเพื่อนของนายรออยู่ที่เรือนคุณหนูหมิงซินแล้ว
    "เปิดผ้าปิดกรงเถิดพี่จิ่นติ้ง  ข้าอยากเห็นเจ้าหงษ์น้อย"
    "หมิงซินเจ้าช่างใจร้อนนัก" 
    "ข้าอยากเห็นหงษ์น้อย  ท่านพี่จิ่นติ้งไปได้มันมาจากไหนกัน"
    "พี่เก็บมันมาจากฝากภูเขาริมน้ำโน้น พ่อแม่มันน่าจะอพยบหนีหนาว แต่เจ้าตัวนี้คงยังบินมิได้ ข้าเลยนึกถึงเจ้า คิดว่าจะนำมาฝากให้เจ้าเลี้ยงมันให้ดี"
    "พี่จิ่นติ้ง วางใจ ข้าจะดูแลมันให้ดี กินข้าก็จะกินพร้อมมัน  นอนข้าก็จะนอนพร้อมมัน ท่านพี่มิต้องห่วง ข้าสัญญา ว่าจะไม่ให้มันไปไหน"  ปากน้อยๆ ช่างเจรจาถ้อยคำ จิ่นติ้งอดเอ็นดูมิได้จึงได้ยื่นมือไปบีบปลายจมูกเล็กๆ นั้นอย่างรักใคร่เอ็นดู
    " เลี้ยงสัตว์ ต้องเอาใจใส่ดูแล  มันจะได้ไม่เหงา  เจ้าเข้าใจหรือไม่หมิงซิน "
    "ข้าเข้าใจแล้วพี่จิ่นติ้ง  ว่าแต่ข้าเอามันมาอุ้มได้หรือไม่"   จิ่นติ้งยังไม่ได้เอ่ยอนุญาติ มือป้อมๆก็เปิดกรงเข้าไปอุ้มเอาลูกหงษ์ออกมาแนบอกเสียแล้ว  จิ่นติ้งได้แต่มองแล้วกรอกตาขึ้นไปอย่างอับจนหนทางหากจะเอ่ยปากห้ามก็กลัวว่าหมิงซินจะทำลูกหงษ์หล่นมือ ครั้นจะไม่ตามใจเจ้าตัวน้อย หน้ากลมๆคล้ายซาลาเปาก็จะพองเป็นแม่อึ่งอ่างพ่นน้ำลายใส่เขาเสียกระมัง จึงได้แต่เงียบรอดูทั้งยังนึกขันแม่ของหงษ์น้อยที่เอาปากยื่น
    ไปจุมพิศปากลูกหงษ์ตัวนี้  เฮ้อเขาอยากรู้เสียจริงยามหมิงซินจุมพิศที่แก้มเขานั้นนางเห็นเขาเป็นดั่งลูกสัตว์ที่เขาสรรหามาให้นางเลี้ยงนี่หรือไม่ หากเป็นเช่นนั้น อนิจาเขาคงเป็นได้แต่ลูกหมีตัวดำ ๆ วิ่งป่วนเปี้ยนรอบตัวนางกระมัง ฮ่า  ฮ่า ฮ่า
    "มีเรื่องรื่นเริงอันใด จิ่นติ้ง  เจ้าจึงได้หัวเราะเสียงดัง"  ฟงหมิ๋งก้าวเดินเข้ามาในห้องดวงตาจับจ้องที่น้องน้อยของเขาพลันมาเห็นอากัปกิริยาจุมพิศลูกหงษ์เข้าก็อดยิ้มมิได้
    "ฟงหมิ๋ง ท่านมาแล้วรึ  ไม่มีเรื่องใดหรอก ข้านำลูกหงษ์มาให้หมิงซิน"
    "เจ้าก็ตามใจหมิงซินยิ่งนัก  นางนั้นขี้สงสารลูกสัตว์ แต่บ้านข้าก็มิใช่โรงเลี้ยงสัตว์นะ จิ่นติ้ง เจ้าดูซิ ท่านพ่อจำต้องสร้างเรือนไว้ให้พวกสัตว์พวกนี้อยู่แล้ว ไม่งั้นเจ้าตัวน้อยก็จะร้องโวยวายบีบน้ำตา น้ำลายฟูมฟายว่าสงสารมันอย่างนั้นอย่างนี้ กลัวมันโดนสัตว์อื่นมาจับไปอย่างนั้น อย่างนี้  เป็นเพราะเจ้าทีเดียว"  ฟงหมิ๋งทั้งตำหนิและหัวเราะขบขันน้องน้อยของเขาด้วยความเอ็นดู
    "พี่ฟงหมิ๋ง  ดูซิเจ้าคะ ข้าได้ลูกหงษ์ น่ารักเหลือเกิน"  ปากน้อยๆ เจรจาอวดอ้าง ลอยหน้าลอยตายกลูกหงษ์ขึ้นมาอ้าง ฟงหมิ๋งเอื้อมมือจะเข้าไปอุ้มลูกหงษ์ แม่ของหงษ์น้อยก็หดมือที่กำลังอวดอ้างลูกหงษ์อยู่นั้นก็พลันหดกลับเอามันไปแนบอกเช่นจงอางหวงไข่เสีย พี่ชายจำต้องยื่นมือออกไปเก้อด้วยตอนนี้หงษ์น้อยตัวนี้คงเปรียบเป็นหงษ์ทองคำสำหรับหมิงซินไปเสียแล้ว
    "ฮ่า  ฮ่า  ฮ่า  หมิงซิน  เจ้ากลัวพี่จะจับมันไปรึ ถึงไม่ยอมให้พี่อุ้มมันเลย"
    "พี่ฟงหมิ๋ง ข้ากลัวมันตกใจ  พี่อย่าอุ้มมันเลยนะเจ้าคะ"
    "ฮ่า ฮ่า ฮ่า  ฟงหมิ๋ง  ข้าว่าเจ้าหมดโอกาสอุ้มเจ้าหงษ์น้อยตัวนี้เสียแล้ว เพราะแม่นกหงษ์ช่างหวงแหนมันยิ่งนัก"  จิ่นติ้งเอ่ยกับสหายของเขาแต่ดวงตายังคงจับจ้องมองน้องเล็กของเพื่อนไม่วางตา
    "เอ่อ  จิ่นติ้ง  เจ้ามาวันนี้มาเยี่ยมหมิงซินอย่างเดียวหรือไม่"
    "วันนี้ข้าพึ่งเลิกฝึกทหารเลยแวะมาเยี่ยมท่านกับหมิงซินด้วย  อีกอย่างข้ามีข่าวมากล่าวแก่ท่านด้วยฟงหมิ๋ง"  เสียงที่เอ่ยออกมาเคร่งขรึมยิ่งนัก
    "ข่าวอันใด"   ฟงหมิ๋งสังเกตน้ำเสียงบอกเล่าของเพื่อนแล้วอดคิดมิได้ว่าเรื่องอันใดหน๋อ
    "ข่าวมีผู้เร้นลอบเข้ามาในแคว้นโจวตะวันออกอย่างเร้นลับหลายฝ่าย"
    "ผู้เร้นลอบเข้ามาในแคว้นรึ  มันมาจุดประสงค์อันใด"
    "ข้าก็มิรู้แน่ชัดเพียงท่านพ่อเล่าแค่นี้"
    "อืม ช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมาตั้งแต่ฮ่องเต้ทรงดำริจะทำสงครามกับแคว้นโจวตะวันตก ราชสำนักก็เกิดการระส่ำระสายขึ้น ท่านพ่อของข้าเองก็เคร่งเครียดอย่างมาก ไพร่พลทหารก็ฝึกหนักเอาการแม้ข้ากับท่านจะอยู่กันคนละกอง แต่ข้าคิดว่าเจ้าก็คงจะฝึกหนักเช่นกันมิใช่รึ"
    "ไม่ต่างกัน"
    "ถ้าเช่นนั้นแล้วคนที่เร้นลอบเข้ามาในแคว้นโจวตะวันออก เจ้าคิดว่ามันเป็นฝ่ายใดกัน"
    "ข้าไม่กล้าแน่ใจว่ามันเป็นฝ่ายใด  แต่ข้าคิดว่ามันมีเป้าหมายให้ราชสำนักระส่ำระสายแลกองทัพเสียรูปกระบวน"
    "งั้นข้าจะปรึกษาท่านพ่อ"
    "คงดีไม่น้อยหากไม่มีศึกสงคราม"
    "จิ่นติ้งเจ้าก็เข้าใจมิใช่หรือ  เราชาวแคว้นโจวตะวันออกไม่ต้องการศึกสงคราม มีเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่ต้องการอำนาจของทั้งสองแคว้น"
    "คุณชาย  คุณหนู เจ้าคะ นายท่านให้ไปพบเจ้าค่ะ "   บ่าวชายแจ้งให้เจ้านายทั้งสามทราบว่าแม่ทัพปราบมารต้องการพบนายทั้งสามที่เรือนขุนพลปราบมาร
    "ได้ข้าจะไปเดียวนี้แล้ว เจ้าไปเรียนท่านพ่อเถิด"
    "ขอรับคุณชายฟงหมิง"  เมื่อรับคำสั่งเสร็จบ่าวชายก็เดินหายไปอย่างรวดเร็วสมกับเป็นบ่าวจวนขุนพลปราบมารที่น่าเกรงขามยิ่งนัก
    "ไปกันเถอะหมิงซิน  จิ่นติ้ง  ท่านพ่อกลับมาแล้ว"   ฟงหมิงกล่าวจบก็เอื้อมมือหมายจะอุ้มเจ้าตัวน้อย แต่นางกลับเบี่ยงกายหนีเสียไม่ให้พี่ชายอุ้มนางได้
    "พี่ฟงหมิง ข้าจะเอาหงษ์น้อยไปด้วยได้หรือไม่"
    "หมิงซิน  หงษ์น้อยจะต้องไปอยู่ที่เรือนเลี้ยงสัตว์นะ ให้หลิ๋งเอ๋อร์ถือกรงมันไปเสีย แล้วพี่จะอุ้มเจ้าไปหาท่านพ่อ เจ้าไม่นึกถึงท่านพ่อหรือ ท่านไปประจำกองทัพ
    หลายวันพึ่งกลับจวนวันนี้ เจ้าไม่นึกถึงท่านหรือ"  ปากเจรจานุ่มนวลหวังให้เจ้าน้องน้อยโอนเอียงตามคำของเขา แต่เจ้าน้องน้อยก็ช่างดื้อเสียยิ่งนัก 
    "ข้าจะเดินไปเอง ข้าโตแล้ว"   ว่าแล้วก็กระโดดลงจากเก้าอี้ ขาป้อมๆสั้นๆ ก็ก้าวนำหน้าพี่ชายทั้งสองหวังให้ตัวเองถึงเรือนขุนพลปราบมารก่อนใครๆ เพื่อพิสูจน์
    ให้เป็นไปตามคำของเจ้าตัวน้อยว่า นางโตแล้วนะ  ทั้งจิ่นติ้ง  ฟงหมิ๋ง  หลิ๋งเอ๋อร์  คงทำอะไรไม่ได้แล้วได้แต่เดินตามเจ้าตัวน้อยไปติดๆ  ครั้นจะเดินแซงหน้าก็คงได้เรื่องราวไม่หยุดหย่อนว่า  กลั่นแกล้งนาง   ฟงหมิ๋งได้แต่นิ่งคิดในใจ เฮ้อฟงหมิ๋งเอ๋ยเจ้าช่างมีน้องสาวที่น่ารักน่าหยิกยิ่งนัก ฮ่า  ฮ่า  ฮ่า

    พิมพ์เนื้อหาตรงนี้
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×