ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ดวงใจแห่งแสงสว่าง

    ลำดับตอนที่ #4 : สายลับต่างแคว้น

    • อัปเดตล่าสุด 24 ก.ค. 58


                        บทที่ 4  สายลับต่างแคว้น

    หลังจากเดินตามคุณชายฟงหมิงได้ไม่นานก็ถึงเรือนพักของบุตรชายคนเดียวของท่านขุนพลปราบมาร ประตูทางเข้าทำจากไม้แกะสลัก

    ลวดลายมังกรทั้งสองด้าน ริมหน้าเรือนมีกระถางบัววางอยู่ตรงระเบียบทางเดินเว้นระยะ เมื่อเข้าไปถึงห้องชั้นในเรือนพักจากเรือนที่สร้างจากไม้ไม่มีสิ่งใดตกแต่ง บานหน้าต่างล้วนแล้วแต่ทำด้วยไม้แกะสลักลายมังกรทั้งสี่บาน โต๊ะเตี้ย ๆ  วางอยู่กลางห้อง พื้นปูพรมอย่างดีให้สัมผัสยามเยียบย่างนุ่มละมุน  กาน้ำชาวางอยู่ด้านข้างบนตั่งไม้อีกตัว ฉากกันห้องรูปนกกระเรียนโผบินสยายปีกตั้งอยู่เป็นฉากหลัง เยื้องออกไปเป็นช่องทางเดินสู่ห้องนอนของผู้เป็นเจ้าของเรือน แม้นเรือนนี้จะเป็นถึงเรือนของบุตรชายขุนพลปราบมาร แต่การตกแต่งมิได้หรูหราอย่างเชื้อพระวงศ์แต่อย่างใดซ้ำยังติดที่จะเรียบง่ายไปตามนิสัยของผู้เป็นเจ้าของเรือนด้วยซ้ำไป

    "จิ่นติ้ง  เจ้านั่งรอก่อน  ข้าจะให้สาวใช้นำเสื้อผ้ามาให้เจ้าเปลี่ยน"  คุณชายฟงหมิงเอ่ยให้เขานั่งรอสักครู่ หลังจากนั้นก็ก้าวเดินออกไปข้างหน้าเรือนที่มีสาวใช้ยืนรอรับใช้อยู่  จิ่นติ้งได้ยินเสียงคุณชายฟงหมิงสั่งสาวใช้ให้ไปนำเสื้อผ้ามาให้เขาเปลี่ยนเบา ๆ เขานั่งลงด้วยจิตใจเลื่อนลอยในห้วงคำนึงขณะนี้มีแต่ความห่วงใยในตัวน้องสาวคนเล็กของสหายเท่านั้น หากมิผิดประเพณีหญิงชายไม่ควรอยู่ด้วยกันในที่รโหฐาน เขาคงจะขอรั้งอยู่ดูอาการเจ้าตุ๊กตาตัวน้อยนางนั้นให้ความกังวลในหัวใจของเขาลดน้อยลงเสีย ด้วยเขาบุตรขุนพลปราบพยักค์เป็นบุตรชายคนเดียวในจวนของขุนพลปราบพยัคย์ซ้ำแรกเกิดมารดาก็เสียชีวิตตั้งแต่ยังแบเบาะล้วนมิได้มีโอกาสมีน้องสาวหรือน้องชายร่วมสายโลหิต ทั้งบิดาของเขาก็ครองตัวเป็นโสดนับตั้งแต่มารดาได้เสียชีวิตลงจากการคลอดบุตร แรกเมื่อเขาได้เห็นหน้าตาของน้องสาวคนเล็กของสหายมันทำให้เขานึกอิจฉาสหายผู้นี้เยี่ยงนักที่มีโอกาสมีน้องสาวตัวน้อยอายุเพียง 5 ขวบที่งดงามบอบบางน่าทะนุถนอมเสียนี่กระไร ชั่วเวลาในห้วงคำนึงไม่ถึงหนึ่งก้านธูป คุณชายฟงหมิงก็ก้าวเข้ามาในห้องพร้อมกับเสื้อผ้าในมือ

    "จิ่นติ้ง  เจ้าไปเปลี่ยนเสีย มิเช่นนั้นเจ้าอาจจะเจ็บไข้ได้" ว่าพลางยื่นเสื้อผ้าให้เขา 

    "ขอบคุณคุณชายฟงหมิง"  จิ่นติ้งกล่าวขอบคุณแล้วถือวิสาสะเดินเข้าไปหลังฉากกั้นเพื่อผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ยังเปียกออกไป เมื่อผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเขาก็มานั่งร่วมกันกับคุณชายฟงหมิงที่โต๊ะกลางห้อง  คุณชายฟงหมิงรินน้ำชาอย่างดีใส่แก้วยื่นให้เขา  เขารับมันมาแล้วดื่มลงไปรวดเดียว รสชาติของน้ำชายังซ่านอยู่บนลิ้น กลิ่นหอมที่ผสมอยู่ในน้ำชาแผ่วเบาที่ปลายจมูก นั่งอยู่ไม่นาน คุณชายฟงหมิงก็เอ่ยวาจากับเขา 

    "จิ่นติ้ง เจ้าจะเข้ารับราชการทหารเมื่อใดหรือ  เจ้าจะเข้ากองทัพพร้อมข้าหรือไม่"

    "คุณชายฟงหมิง ท่านกับข้าล้วนแล้วแต่เป็นบุตรในขุนพลทั้งสองแห่งแคว้นโจวตะวันออก ท่านกับข้าหาหลีกเลี่ยงการเข้าเป็นทหารรับใช้ชาติ

    มิได้ไม่  ข้าคิดว่าเมื่อเหมันต์ฤดูมาถึง ท่านพ่อก็คงจะส่งข้าเข้าไปอยู่ในกองทัพคงได้ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ท่านพ่อเพื่อแคว้นโจวตะวันออกของเรา"   เมื่อจิ่นติ้งกล่าวจบคุณชายฟงหมิงนิ่งมองหน้าเขาอยู่อย่างนั้นมิได้กล่าวว่าอย่างไร จะมีก็เพียงแต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยเข้าใจหนทางที่ทั้งสองจะต้องดำเนินไปในฐานะบุตรชายขุนพลแห่งแคว้นโจวตะวันออก

    " จิ่นติ้งเจ้าก็รู้ฮ่องเต้พระองค์นี้ฝักใฝ่สงครามเหลือเกิน ตัวข้าและเจ้าอายุก็เพียงแค่สิบห้าเท่านั้น แต่เราต้องเข้าไปร่วมรบกับบรรดาทหารทุกคนใน

    สนามรบเชียวหรือ  ข้ารู้สึกอยากหยุดสงครามเยี่ยงนัก"  คุณชายฟงหมิงถอนหายใจอย่างหนักหน่วงคิ้วขมวดกังวลจนปรากฏสีหน้าที่หม่นหมอง  จิ่นติ้งไม่กล่าววาจาใดๆ อีก ด้วยนึกรู้ในใจแล้วว่าสหายของเขาผู้นี้ถึงจะเป็นบุตรชายคนโตแห่งขุนพลปราบมาร แต่อุปนิสัยส่วนตัวนั้นหาได้มีความมักใหญ่ใฝ่สูงไม่ ติดที่จะเรียบง่ายเสียด้วยซ้ำ แต่ยิ่งคิดยิ่งแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว เพราะนี่คือชะตาบุตรแห่งขุนพลแคว้นโจว

    "คุณชายฟงหมิง ข้าเห็นทีจะต้องขอตัวกลับเสียทีแล้ว  เรื่องน้องสาวคนเล็กของท่านโปรดส่งข่าวให้ข้ารู้ความเป็นไปของนางด้วย " จิ่นติ้งกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูราบเรียบยิ่งนัก แต่ในทางกลับกันบนใบหน้าเกิดความรู้สึกเห่อร้อนขึ้นจนมิอาจระงับ  

    "จิ่นติ้ง  เจ้ามิต้องเป็นห่วงน้องเล็ก หมอมาดูอาการแล้ว หากนางฟื้นขึ้นข้าจะส่งข่าวให้เจ้าทราบทันที"

    "งั้นข้าขอลา"  ฟงหมิงลุกขึ้นแล้วก้าวเดินมาส่งข้าที่หน้าเรือน ในใจของเขาคงครุ่นคิดว่า เหตุใดข้าถึงได้แสดงความห่วงใยออกนอกหน้าเช่นนี้เป็นแน่แท้

    "คุณชายฟงหมิง ข้าอยากจะร่วมเป็นพี่ชายของน้องเล็กของท่านได้หรือไม่"  ข้าเอ่ยออกไปตามที่ใจปราถนาด้วยต้องการเจ้าตุ๊กตาตัวน้อยนั้นให้เรียกขานยามพบกันว่า พี่ชาย สักคำ

    "จิ่นติ้ง  นี่เจ้าอย่าบอกข้านะ ว่าเจ้าเอ็นดูน้องเล็กของข้าเยี่ยงนัก"

    "ใช่แล้วคุณชายฟงหมิง ข้าเอ็นดูน้องเล็กของท่านยิ่ง ข้านึกอยากมีน้องสาวเยี่ยงท่านมานานแล้ว ครั้งนี้ข้าขอท่านเป็นพี่ชายร่วมกันกับท่านได้หรือไม่"

    "ทำไมจะไม่ได้ล่ะ จิ่นติ้ง น้องเล็กท่าจะดีใจเสียอีกที่มีพี่ชายเพิ่มขึ้นให้นางได้ร่วมเล่นสนุกอีกคนหนึ่ง แต่เจ้าก็อย่าตามใจน้องเล็กของข้าเสียนักล่ะ นางนั้นแสนจะซุกซนตามประสาเด็ก ยิ่งท่านพ่อท่านแม่ยิ่งตามใจนางเสียเหลือเกิน  ทุกวันนี้นางแทบจะมิใช่มนุษย์เดินดินแล้ว หากแต่นางเป็นเทพธิดาประจำตระกูลลู่แห่งจวนขุนพลปราบมารเสียนี่"  ฟงหมิงกล่าววาจาซ้ำยังหัวเราะขบขันกับความซุกซนของน้องสาวคนเล็กของเขาอย่างพึงพอใจยิ่งนัก

    "อืม งั้นข้าจะมาเยี่ยมน้องเล็กใหม่"  จิ่นติ้งกล่าวลาคุณชายฟงหมิงแล้วก็เดินออกมายังหน้าประตูจวนขุนพลปราบมาร บ่าวรับใช้นำม้าประจำตัวข้ามาให้ขี่มันกลับสู่จวนขุนพลปราบพยัคฆ์เมื่อเขาเข้าถึงเรือนพักในจวน ท่านขุนพลปราบพยัคฆ์ยังมิได้เข้านอน จิ่นติ้งเดินเข้าไปด้านในของห้องโถง  ท่านขุนพลยืนหันหลังอย่างเงียบงัน  เมื่อได้สดับสำเนียงฝีเท้าบุตรชายย่างเข้ามาในห้องโถง ขุนพลปราบพยัคฆ์จึงหันหน้ามาแย้มยิ้มให้แก่บุตร แต่สีหน้ายังคงครุ่นคิดจ้องมองหน้าของจิ่นติ้งแล้วเอ่ยปากกับบุตรอย่างเบายิ่ง  

    "จิ่นติ้งเจ้ามาแล้วหรือ"    จิ่นติ้งเมื่อมองเห็นใบหน้าบิดาซึ่งยึดตำแหน่งขุนพลปราบพยัคฆ์ครุ่นคิดจึงขมวดคิ้วอย่างสงสัยใคร่รู้เหตุใดบิดาของเขาจึงได้มีสีหน้าเยี่ยงนั้น

    "ท่านพ่อ  สีหน้าท่าน"  เสียงที่จิ่นติ้งถามออกไปแม้นมิได้ดังแต่ผู้เป็นบิดากลับได้ยินอย่างชัดเจน  ขุนพลปราบพยัคฆ์ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง แล้วกล่าวกับบุตรอย่างแผ่วเบาด้วยมิต้องการให้บ่าวในเรือนได้ยิน

    "จิ่นติ้งพ่อมิได้เป็นอะไร พ่อแค่หดหู่ใจ"

    "ท่านพ่อ ท่านหดหู่ใจด้วยเรื่องอันใด  พอจะบอกลูกได้หรือไม่"

    "จิ่นติ้ง  เจ้าอย่าได้สนใจในเรื่องนี้เลย เรื่องนี้มิใช่พ่อคาดการณ์ไว้ไม่ได้  เจ้าเองก็คาดการณ์ไว้ได้เช่นกัน"  จิ่นติ้งนิ่งครุ่นคิดในสิ่งที่บิดากล่าว สีหน้าหม่นหมองยิ่งขึ้น

    "ท่านพ่อ สงครามจะเริ่มเสียแล้วหรือขอรับ "

    "ใช่แล้วจิ่นติ้ง  วันนี้พ่อกับขุนพลปราบมารถูกเรียกให้เข้าเฝ้าองค์ฮ่องเต้เป็นการส่วนพระองค์ องค์ฮ่องเต้มีดำริที่จะเปิดศึกกับแคว้นโจวตะวันออกในฤดูใบไม้ผลิหน้านี้"   เสียงที่เอ่ยบอกกล่าวแก่บุตรนั้นเบายิ่งกว่าเสียงสายลมพัดผ่านยามฝนตกต้องใบไม้ปลิดปลิวสร้างความสลดหดหู่ใจให้เกิดขึ้นทั้งบิดาและบุตรเยี่ยงนัก

    "รวดเร็วขนาดนั้นเลยหรือท่านพ่อ  แล้วท่านขุนพลปราบมารคิดอ่านเช่นไร"  จิ่นติ้งเกิดความวิตกกังวลขึ้นในหัวใจหากแม้สงครามเกิดขึ้นระหว่างแคว้นผู้ได้รับผลกระทบอย่างใหญ่หลวงเห็นทีจะเป็นประชาชนทั้งสองแคว้นนั่นเอง

    "ท่านพ่อเหตุใดองค์ฮ่องเต้จะต้องก่อสงครามกับแคว้นโจวตะวันตกอยู่ร่ำไป ทั้งทั้งที่องค์ฮ่องเต้แคว้นโจวตะวันตกมิได้เข้ารุกร้ำแผ่นดินโจวตะวันออกแม้เพียงหยิบมือ"  

    " จิ่นติ้ง เจ้าก็รู้มิใช่หรือ  ว่าองค์ฮ่องเต้ของเรานั้นต้องการจะครอบครองแคว้นโจวตะวันตกเพื่อรวบรวมให้เป็นผืนแผ่นดินเดียวกัน แม้นทางด้านโจวตะวันตก

    มิได้รุกรานเรา หากแต่ข้ออ้างของคนโลภก็มีเหตุให้ก่อสงครามอยู่ร่ำไป  ชั่วชีวิตพ่อออกรบในสงครามเพื่อรุกรานดินแดนอื่นตามความประสงค์ขององค์ฮ่องเต้นี้มาหลายครั้ง   เฝ้ามองดูผู้คนถูกฆ่าตายล้างครอบครัวอย่างทารุณราวผักปลา  หากไม่ทำก็ไม่ได้ ในสนามรบเราไม่ฆ่าเขาเราก็กลายเป็นเหยื่อให้เขาฆ่าสิ้นชีวิตเยี่ยงนั้น"   ขุนพลปราบพยัคย์ถอนหายใจอย่างหนักน่วงคล้ายดังจะระบายความอัดอั้นตันใจที่บังเกิดขึ้นในใจของเขา  จิ้นติ้งคาดเดาน้ำเสียงของบิดาที่ราบเรียบหากแต่ใจของบิดาของเขาคงจะเบื่อหน่ายสงครามที่เกิดขึ้นเต็มทีแล้ว

    "ท่านพ่อ  โปรดอย่างคิดมากให้เสียสุขภาพไป  ทุกอย่างลูกคิดว่าโชคชะตาคงไม่ดลบันดาลให้เราถูกฆ่าในสนามรบเป็นแน่แท้"  เสียงที่ปลอบประโลมของบุตรอันเป็นที่รักฟังแล้วช่วยให้คลายความกังวลได้เพียงนิด ท่านขุนพลปราบพยัคย์จึงส่งยิ้มให้แก่บุตรชายคนเดียวของเขาทั้งยังพยักหน้าแล้วกล่าวให้บุตรชายออกไปพักผ่อนเสีย ด้วยวันพรุ่งเขาจะต้องไปฝึกวรยุทธและกลศึกอีกมาก

    แคว้นโจวตะวันตก  ตำหนักเฮ่าจิ้ง ยามโฉ่ว  

    "เรียนฮ่องเต้  สายลับของเรารายงานว่า ฮ่องเต้โจวอวี้ ได้เรียกให้ขุนพลทั้งสองเข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์ พ่ะยะค่ะ "  ชายในชุดดำรัดรูปครอบผมด้วยผ้าสีดำล้วน คุกเข่าก้มศรีษะเอ่ยรายงานข่าวที่พวกเขาได้รับต่อหน้าองค์ฮ่องเต้โจวกวงตี้  หน้าโต๊ะในห้องทรงพระอักษร  หม่ากงกงยืนขนาบอยู่ด้านล่างเยื้องกับองค์รักษ์ซ้ายขวา

    "เจ้าแน่ใจหรือว่า  ฮ่องเต้โจวอวี้ได้เรียกขุนพลทั้งสองไปพบส่วนพระองค์  แล้วเรื่องใดที่องค์ฮ่องเต้โจวอวี้วางแผนไว้ล่ะ"  ฮ่องเต้โจวกวงตี้ ตรัสถามสายลับของพระองค์ด้วยน้ำเสียงราบเรียบหากแต่พลางจับจ้องสายลับมิให้คลาดสายพระเนตร

    "สายรายงานว่า ทรงประชุมจะก่อสงครามกับแคว้นโจวตะวันออกในฤดูใบไม้ผลิที่จะถึงนี้ พ่ะยะค่ะ"  สิ้นเสียงสายลับรายงาน  ฮ่องเต้โจวกวงตี้พลันตบพระหัตถ์ยังโต๊ะทรงพระอักษรเสียงดังสนั่นหวั่นไหว

    "บังอาจนัก  เจ้าโจวอวี้ ผู้นี้ช่างเหี้ยมโหดนิสัยชั่วช้าชอบลิ้มลองรสสงครามเสียนี่กระไร"  เสียงที่ฮ่องเต้โจวกวงตี้เอ่ยลอดพระทนต์แม้นมิได้ดังแต่สร้างความหวั่นเกรงให้แก่ข้าราชบริพานที่ร่ายรอบทั้งสิ้น  ทุกผู้ล้วนแต่ก้มหน้ามิอาจมองพระพักต์ที่ถมึงทึงโกรธจนพระพักต์แดงสลับเขียว   หม่ากงกงเหลือบมองชายชุดดำที่ยังคงนั่งคุกเข่าก้มหน้ามิแสดงอาการตกใจแต่อย่างใด พลางขบคิดในใจ "ช่างกล้าแข็งนักสายลับผู้นี้ "  

    " เจ้าไปได้  คืบหน้าสิ่งใดรีบรายงาน"  สิ้นเสียงฮ่องเต้โจวกวงตี้ตรัส  ชายชุดดำตรัสเพียงสั้น " พ่ะยะค่ะ" แล้วถวายความเคารพจากไปอย่างไร้ซึ่งเงาและเสียง

    "หม่ากงกง เจ้าไปเรียกท่านราชครูมาพบข้าเดี๋ยวนี้"

    "รับด้วยเกล้าพะยะค่ะ" หม่ากงกงคุกเข่าถวายความเคารพ และเร่งรุดออกไปจุดหมายปลายทางคือจวนราชครู 

    สิ้นเสียงประตูห้องทรงพระอักษรปิดลงความเงียบกระจายตัวจนเหยียบเย็น ข้าราชบริพานที่เฝ้าอยู่ข้างกายฮ่องเต้ล้วนแต่ลืมที่จะหายใจ ด้วยเพียงคิดว่า หากหายใจเสียงดังขึ้นจะทำให้พญามังกรรู้สึกตัวพาให้หวั่นไหวยิ่งนัก    ฮ่องเต้โจวกวงตี้เฝ้าครุ่นคิดถึงข่าวร้ายที่ได้สดับจากสายลับที่พระองค์ส่งไปแฝงตัวในแคว้นโจวตะวันออก สายลับถือว่าเป็นความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับแว่นแคว้น หากไม่มีสายลับไร้เงาออกสืบเสาะหาข่าวในแคว้นศัตรูฮ่องเต้โจวกวงตี้ก็จะมิอาจได้รับข่าวลับที่มีความเป็นจริงเพื่อในการหาข่าวของสายลับของราชวงศ์โจวตะวันตกเป็นที่ไว้วางใจจึงต้องมีการคัดเลือกตัวผู้ที่จะเข้ารับการฝึกปรือยอดฝีมือเอาไว้เป็นสายลับไร้เงาปิดบังซ่อนเร้นหน้าตาไม่บ่งบอกถึงความเป็นชายหรือหญิง  ส่วนมากผู้ที่จะเข้ารับการฝึกปรือเป็นสายลับในแคว้นโจวตะวันตกมักจะเป็นผู้ที่มีสายเลือดเกี่ยวข้องกับบุคคลสำคัญที่ฮ่องเต้โจวกวงตี้ให้ความไว้วางใจเป็นที่สุดด้วยหากสายลับไร้เงาที่ส่งไปหาข่าวแคว้นอื่นแปรพักต์ไปขายข่าวให้แก่ฮ่องเต้แคว้นอื่นแล้วยิ่งจะเป็นดาบสองคมลอบทำร้ายแคว้นโจวตะวันตกให้สูญสิ้นแม้นแผ่นดินแทน สายลับไร้เงาที่ส่งไปอยู่ในแคว้นต่างๆ นี้  หากมิใช่ผู้ที่ได้รับความไว้วางใจจากองค์อ่องเต้โจวกวงตี้แล้ว จะไม่มีสายลับไร้เงาคนใดได้รับอภิสิทธิ์ให้เข้ารายงานข่าวต่อหน้าพระพักตร์เป็นอันขาด ในบรรดาสายลับไร้เงาของแคว้นโจวตะวันตกมีเพียงหนึ่งสายลับเท่านั้นที่ฮ่องเต้โจวกวงตี้ให้ความไว้วางใจให้เข้าเฝ้ารายงานข่าวต่อหน้าพระพักตร์  ข่าวที่ได้รับจากสายลับไร้เงาผู้นี้มีความเป็นจริงดั่งพระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก และตกทางทิศตะวันตกอย่างมิได้ผิดแผกแม้เต่น้อย ความผิดพลาดไม่เกิดให้เห็นชั่วระยะเวลาที่สายลับไร้เงาผู้นี้ถูกฝึกปรือขึ้น

    "ท่านราชครูขอเข้าเฝ้า พ่ะยะค่ะ"  ทหารเฝ้าหน้าห้องทรงพระอักษรขานรายงานผู้ขอเข้าเฝ้าต่อฮ่องเต้  หม่ากงกงเดินออกไปเปิดประตูอย่างรู้งานการรับใช้

      "เชิญท่านราชครูเข้าเฝ้าได้ ขอรับ"   ราชครูผู้เป็นพระอาจารย์ในองค์รัชทายาทก้าวเดินเข้าไปคุกเข่าถวายความเคารพฮ่องเต้ที่ยังคงประทับอยู่หน้าโต๊ะทรงพระอักษร

      "เรียนฮ่องเต้ ทรงมีราชกิจเรียกตัวกระหม่อมเข้าเฝ้า ในยามนี้มีเรื่องใดเร่งด่วนเกิดขึ้น พ่ะยะค่ะ "  

    "ท่านราชครูเราได้รับรายงานจากสายลับไร้เงาว่าฮ่องเต้โฉดโจวอวี้จะยกกองทัพมาตีแคว้นโจวตะวันในต้นฤดูใบไม้ผลิที่จะมาถึงนี้  ท่านมีความคิดเห็นเป็นเช่นไร"   ฮ่องเต้โจวกวงตี้ยังคงนั่งตัวตรงไม่เคลื่อนไหว พระพักตร์ยังคงนิ่งขึงเช่นเดิม

    "เรียนฮ่องเต้ เช่นนั้นแล้ว เราจะต้องเตรียมการรับศึกที่จะเกิดขึ้นนี้  พ่ะยะค่ะ "

    "เตรียมรับศึกหรือ  เฮ้อ ท่านราชครูตัวเรานี้ไม่อยากที่จะสู้สงครามครั้งนี้เลย หากมีสงครามเกิดขึ้นที่ใดผู้ได้รับความเสียหายก็เกิดแก่ประชาชนชาว

    โจวตะวันตกทั้งสิ้น  ฮ่องเต้โฉดชั่วนั้นก็เหี้ยมนักกลศึกพิษล้างบุพผาที่ใช้เมื่อห้าปีที่แล้วไม่สำเร็จนี่จะก่อสงครามขึ้นอีกรอบแล้วเชียวหรือ"  หากผู้ที่ไม่เคยคุ้นเคยกับฮ่องเต้โจวตะวันตกแล้ว  ไซร้จะจับน้ำเสียงของพระองค์ได้ว่าแม้นราบเรียบหากแต่แฝงไว้ได้ด้วยความโกรธแค้นอย่างยิ่งยวด

    "กระหม่อมเห็นว่าทรงต้องหารือกับท่านขุนพลซูหยี่ พะยะคะ"

    " ท่านราชครูท่านมีแผนในใจหรือไม่"

    "เรียนฮ่องเต้ กระหม่อมพอจะคิดหาวิธีรบที่ทำให้แคว้นโจวตะวันตกได้เปรียบโดยมิเสียเลือดเนื้อเหล่าทหารจำนวนมาก พ่ะยะค่ะ"  ฮ่องเต้โจวกวงตี้เพ่งมองหน้าราชครูอย่างนิ่งงัน จึงรับสั่งออกไปอย่างแผ่วเบายิ่ง

    "พรุ่งนี้ยามซื่อ ท่านและขุนพลซูหยี่มาพบเราอีกครั้ง"  ตรัสเสร็จก็ทรงลุกขึ้นดำเนินออกจากห้องทรงพระอักษรมุ่งหน้าสู่ห้องบรรทมโดยมิได้กล่าวอันใดอีก หม่ากงกงและองค์รักษ์ซ้ายขวาเร่งรุดตามติดฮ่องเต้โจวกวงตี้ด้วยเกรงจะมิทันย่างพระบาทจะมีเหตุร้ายเกิดขึ้นต่อองค์ฮ่องเต้ของแผ่นดินโจวตะวันตกเสีย

    "น้องรับพระบัญชา พะยะค่ะ"  ราชครูถวายความเคารพก้มหน้านิ่ง มองเห็นปลายพระบาทก้าวผ่านเขาไป พระภูษาพลิ้วไสวตามแรงย่างพระบาท เมื่อลับตาแล้ว ราชครูลุกขึ้นเดินแยกทิศทางจากฮ่องเต้โจวกวงตี้เร่งรีบฝีเท้าเข้าสู่จวนมหาอุปราช 

    จวนราชครู

    "เหล่ยยี่   เจ้านำสารนี้ไปยังจวนขุนพลซูหยี่ อย่าให้มีผู้ใดรู้ได้ "  ราชครูตงซือเมยส่งม้วนกระดาษอันเล็กยื่นให้  ทหารคนสนิท

    "ขอรับนายท่าน"  ทหารคนสนิทซึ่งรับใช้ในจวนราชครูมาตั้งแต่เด็กๆ จากที่เป็นบ่าวรับใช้ถูกนำมาฝึกปรือให้เป็นทหารรับใช้ในจวนราชครูจนมีฝีมือเยี่ยมได้รับความไว้วางใจจากราชครูให้รับใช้ข้างกาย เร่งรุดไปตามคำสั่งของราชครูตงซือเมย  แม้นทหารคนสนิทจะลับหายไปแล้ว แต่ราชครูตงซือเมยยังคงยืนนิ่งไม่ไหวติง ดั่งต้นไม้ใหญ่ไม่ต้องลมเพียงน้อย สีหน้าครุ่นคิดเครียดขึงมือลูบคางใช้ความคิดดวงตาเรียวรีหรี่ลง ไม่เอ่ยปากแม้นเพียงครึ่งคำ นกยามเช้าร่ำร้องส่งเสียงแข่งกันเร่งออกหากิน ลมพัดพลิ้วใบไม้  แสงยามอรุณรุ่งสาดส่งงามระยิบต้องกลีบบัวในอ่างหน้าห้องโถง ความงามแห่งอรุณรุ่งจะงดงามเพียงใด ราชครูหาได้สนใจใยดีไม่ชั่วเวลาผ่านไปเพียงก้านธูปเสียงถอนหายใจดังออกมาหนึ่งครั้ง พลันราชครูตงซือเมยก็สะบัดชายแขนเสื้อย่างเท้าเข้าสู่ห้องพักอย่างรวดเร็วทิ้งไว้แต่ความเงียบงันไม่มีแม้เสียงลมพัดใบไม้ปลิว

              ..............................................................................

    ต้องขอแก้ไขนิดหนึ่งนะคะ จาก มหาอุปราช เป็น ราชครู  เนื่องจากเห็นว่า ตำแหน่ง ราชครูน่าจะเหมาะสมที่จะเป็นพระอาจารย์ของรัชทายาทนะค่ะ ต้องขออภัยด้วยนะคะ ....ขอบคุณค่ะ





    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×