ค่าเริ่มต้น
- เลื่อนอัตโนมัติ
- ฟอนต์ THSarabunNew
- ฟอนต์ Sarabun
- ฟอนต์ Mali
- ฟอนต์ Trirong
- ฟอนต์ Maitree
- ฟอนต์ Taviraj
- ฟอนต์ Kodchasan
- ฟอนต์ ChakraPetch
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : โฉมงามแห่งแคว้นอริศัตรู
บทที่ 3 โฉมงามแห่งแคว้นอริศัตรู
แคว้นโจวตะวันออก ปกครองโดยฮ่องเต้โจวอวี้ ฮ่องเต้โจวอวี้เป็นฮ่องเต้ผู้มีจิตใจฝักใฝ่สงครามต้องการรวบรวมแคว้นโจวตะวันตกมาเป็นแคว้นเมืองขึ้นแห่งตน มิได้คำนึงถึงความผิดชอบชั่วดีในการต่อสู้มุ่งหวังเพียงการเอาชนะศัตรูเท่านั้นเป็นพอ กลศึกใด ๆ ที่ร้ายแรงเฉียบขาดถูกนำมาใช้อย่างคล่องแคล่ว แม้นจะคร่าชีวิตประชาชนในแคว้นโจวตะวันตกก็ตาม ครั้งหนึ่ง ฮ่องเต้โจวอวี้ได้สั่งให้ทหารแห่งตนวางยาพิษในแม่น้ำสายหลักในแคว้นโจวตะวันตกทำให้ประชาชนที่ใช้น้ำในแคว้นโจวตะวันตกต้องเสียชีวิตล้มตายรวมผักปลา ทำไปเพียงเพื่อสร้างความระส่ำระสายให้เกิดขึ้นในแคว้นโจวตะวันตกก่อนที่จะเฝ้าโจมตีทางทหารอย่างโหดร้าย และทารุณ แต่กระนั้นก็ยังมิสามารถจะเอาชนะฮ่องเต้โจวกวงตี้ได้ แคว้นโจวตะวันตกมีขุนพลมากฝีมืออยู่สองขุนพล คือ ขุนพลปราบมาร และขุนพลปราบพยักค์ ทั้งสองขุนพลรับใช้ฮ่องเต้โจวอวี้ตั้งแต่รุ่นแรกแห่งต้นตระกูลจนถึงรุ่นของขุนพลในปัจจุบัน ตำแหน่งขุนพลจะสืบทอดให้แก่ทายาทชายอันดับหนึ่งส่งต่อมาจากรุ่นสู่รุ่น ขุนพลปราบมารนามลู่
เอวียนอี้ ได้รับสืบทอดตำแหน่งขุนพลจากบิดา ลักษณะรูปลักษณ์ภายนอกองอาจสมชายชาติทหาร มีอายุ 50 ปี ร่างกายสูงใหญ่ล่ำสัน ดวงตายาวเรียวเล็ก ผิวขาว ผมยาวถูกเกล้าประดับที่ครอบผมอันบ่งบอกสถานะตำแหน่งขุนพล มีศักดินาที่ดินหมื่นไร่ และม้าศึกจำนวน 500 ตัวในความครอบครอง มีไพร่พลในกองกำลัง 40,000 นาย ล้วนแต่องค์อาจสมชายชาติทหาร มีบุตชายไว้สืบทอดตำแหน่งขุนพล อายุ 10 ขวบ และยังหวังที่จะได้บุตรสาวไว้เป็นยอดดวงใจอีกสักคน ส่วนด้านขุนพลปราบพยักค์นาม อู่หรงชิว ได้รับสืบทอดตำแหน่งขุนพลต่อจากบิดาเช่นเดียวกันกับขุนพลปราบมาร มีสายเลือดอันใกล้กับราชวงค์โจวตะวันออก สืบสายเลือดทางฝั่งมารดาซึ่งเป็นน้องของสนมอันดับสามของฮ่องเต้โจวอวี้ รูปลักษณะภายนอกเรียบง่ายและอ่อนน้อมถ่อมตน มีอายุได้ 55 ปี รูปร่างผอมเพรียว ดวงตากลมโต ผิวพรรณบ่งบอกชาติตระกูล มีศักดินาที่ดินหมื่นไร่ และม้าศึกจำนวน500 ตัวในความครอบครอง มีไพร่พลในกองกำลัง 40,000 นาย หากยามใดเว้นเรื่องการศึกสงครามแล้ว ขุนพลปราบพยักค์มักจะดำเนินชีวิตเรียบง่ายออกตกปลาริมทะเลสาปกับบุตรชายในวัย 10 ขวบปี มีความสุขตามประสาบิดาและบุตรไร้ซึ่งมารดา ด้วยมารดาผู้ให้กำเนิดบุตรชายได้เสียชีวิตลงทันที่ที่คลอดบุตรชายให้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งขุนพลและตระกูลอู่ นับตั้งแต่นั้นมาอู่หรงชิวจึงต้องเลี้ยงดูบุตรชายเพียงลำพัง โดยมิขาดตกบกพร่องในหน้าที่ของบิดาอันพึงดูแลบุตรในครอบครอง ทั้งได้คัดสรรอาจารย์ทั้งบู้ และบุ๋นที่เป็นเลิศในแผ่นดินโจวตะวันออกมาเป็นอาจารย์สอนให้แก่บุตรชาย หวังให้บุตรชายสืบทอดตำแหน่งขุนพลปราบพยักค์แทนตนเมื่อยามแก่เฒ่า ตนมิได้หวังยศฐาบรรดาศักดิ์เกินตัว หวังเพียงความสุขสงบในยามแก่เฒ่าแค่เท่านั้นเอง
อู่หรงชิว เป็นผู้ที่มีนิสัยรักสงบ อ่อนโยน และเรียบง่าย จึงมิได้ชอบใจนักเมื่อยามแคว้นโจวตะวันออกวางกลศึกเพื่อก่อสงครามกับแคว้นโจวตะวันตก แต่ด้วยความจงรักภักดีต่อแผ่นดินจึงจำต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุดเพื่อตอบแทนแผ่นดินเกิดและเล่าบรรพชน
จวนแม่ทัพปราบมาร แม้ชื่อจวนจะสร้างความน่าหวาดหวั่นให้แก่ผู้ได้ยินยิ่งนัก แต่ความเป็นจริงจวนแห่งนี้ช่างสวยงามแตกต่างจากชื่ออย่างสิ้นเชิงหลังกำแพงล้อมรอบจวน ประกอบด้วยหมู่เรือนที่แบ่งแยกความจำเป็นในการใช้ออกเป็นสี่หลัง ทั้งสี่หลังล้วนแล้วตกแต่งไว้อย่างสวยงามสมฐานะจวนท่านแม่ทัพ บรรยากาศรอบจวนปลูกไม้ใหญ่ไว้ให้ร่มเงา สระน้ำใสสีเขียวขจีปลูกบัวหลากสีสรรงดงามยิ่งอยู่หน้าเรือนหลังใหญ่อันเป็นที่พักพิงของท่านแม่ทัพปราบมาร ลู่เอวียนอี้ และฮูหยินหยางซิ่ว ในค่ำคืนในยามฤดูใบไม้ผลิเช่นนี้ ยามเมื่อเพ่งมองไปบนท้องฟ้าที่มืดมิดกลับมีแสงระยิบระยับของดวงดาวส่องประกายงดงามอย่างยิ่งยวด แม้ท้องฟ้าแลบรรยากาศรอบข้างท่านแม่ทัพปราบมารจะงดงามเพียงใดก็มิอาจบรรเทาความร้อนรนที่ปรากฏในแววตาแห่งจอมขุนพลไม่
"ท่านพ่อ เมื่อไหร่ท่านแม่จะคลอดน้องเสียที" ลู่ฟงหมิง บุตรชายคนแรกที่มีวัยเพียง 10 ขวบ เอ่ยปากถามท่านแม่ทัพปราบมารอันเป็นบิดาด้วยแววตาวิตกกังวลเช่นกัน
"คงอีกไม่นานหรอก ฟงหมิง แม่ของเจ้าจะคลอดน้องชาย ฤา น้องสาวให้แก่เจ้าแล้วลูกพ่อ "
"ท่านพ่อ ลูกอยากได้น้องสาวที่น่ารักและงดงามเยี่ยงท่านแม่ ท่านพ่อว่าลูกจะสมปราถนาหรือไม่"
"ฟงหมิง เจ้าใจเย็นรอดูเสียเถิด คงอีกไม่นาน" น้ำเสียงที่เอ่ยปลอบโยนบุตรชายของลู่เอวียนอี้สร้างความมั่นใจให้แก่เด็กชายเป็นอย่างดี แต่ในใจของเขากลับมิได้มั่นใจในการคลอดครั้งนี้ ด้วยฮูหยินยังมิสมควรถึงกาลคลอด หากเกิดอุบัติเหตุไม่คาดคิดเกิดขึ้นในจวนขึ้นทำให้ฮูหยินของเขาหกล้มบาดเจ็บจนต้องคลอดบุตรก่อนกำหนดในช่วงครรภ์อายุแปดเดือนมิเต็มเก้าเดือนเยี่ยงครรภ์ปกติธรรมดา แม้อายุครรภ์จะจวนใกล้คลอดแล้วแต่ระยะเวลายังเหลืออยู่อีกหนึ่งเดือนข้างหน้ากลับมาคลอดเสียก่อน ความวิตกกังวลความวุ่นวายของหมอ แลคนรับใช้ที่ช่วยกันอย่างวุ่นวายในการคลอดบุตรของเขานั้นสร้างความหนักใจให้เขามากยิ่งนัก
ลู่เอวียนอี้ เดินกลับไปกลับมาตามทางเดินหน้าห้องคลอดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ด้านนอกยังคงเงียบกริบ ด้านในห้องคลอดเสียงที่เปร่งออกมาอย่างเจ็บปวดนั้นช่างทรมานจิตใจของเขาเสียเหลือเกิน เขาได้แต่เฝ้าอธิฐานต่อเทพผู้ปกปักษ์แห่งแคว้นโจวตะวันออกให้ช่วยดลบันดาลให้ฮูหยินของเขาคลอดบุตรเสียที
"อุแว้ อุแว้ อุแว้ " เสียงเด็กแรกเกิดที่ขับขานดังขึ้นปานเสียงแห่งสรวงสวรรค์สำหรับลู่เอวียนอี้ และลู่ฟงหมิง ทั้งสองเร่งรุดก้าวเข้าไปในห้องคลอดโผไปยังเตียงที่ฮูหยินของเขานอนอยู่ มิสนใจคำห้ามปรามของเหล่าหมอตำแยแม้แต่น้อย
"ท่านพี่ เราได้บุตรสาว นางงามราวเทพธิดา ผิวของนางขาวใสราวหิมะแรกเริ่มฤดูเหมันต์ ท่านพี่ดูซิเจ้าคะ " ฮูหยินหยางซิ่วบอกกล่าวแก่สามี
ด้วยความปราบปลื้มในการให้กำเนิดบุตรสาวครั้งนี้ หมอตำแยนำห่อผ้าที่มีเทพธิดาตัวน้อยนอนนิ่งอยู่ในนั้นยื่นส่งให้ท่านแม่ทัพปราบมารได้ยลโฉมธิดาน้อย ลู่เอวียนอี้เพ่งมองธิดาตัวน้อยในอ้อมแขนแล้วรำพึงในใจ "ช่างงดงามอะไรเช่นนี้ลูกพ่อ"
"ท่านพ่อให้ข้าดูน้องสาวได้หรือไม่ " ลู่ฟงหมิงร่ำร้องอยากเห็นน้องสาวของเขา ทั้งยังชะโงกหน้าไปใกล้ห่อผ้าในอ้อมแขนของบิดา เมื่อเห็นน้องสาวแรกเกิด ความรักที่เกิดขึ้นในจิตใจของ ลู่ฟงหมิง ก็ร่ำร้องว่า เขาจะดูแลปกป้องน้องสาวคนงามราวเทพธิดาคนนี้มิให้มีสิ่งใดมากร่ำกรายได้
"ฟงหมิง เจ้าจะให้น้องชื่อว่าอย่างไร " ฮูหยินหยางซิ่ว ถามไถ่ลูกชายถึงชื่อที่ผู้เป็นพี่ชายต้องการตั้งไว้ให้น้องสาวตั้งแต่ยังอยู่ในครรภ์
"ท่านแม่ ลูกตั้งใจไว้ว่า หากน้องเป็นชาย ลูกจะให้ชื่อว่า ตวนหมิง แต่บัดนี้น้องได้คลอดออกมาเป็นหญิงซ้ำนางยังงดงามราวเทพธิดา เช่นนั้น
ลูกจะให้นางชื่อ "หมิงซิน" ดีหรือไม่ "
"อืม พ่อว่า "หมิงซิน" เป็นชื่อที่เหมาะเข้ากันกับนางมาก ฮูหยินท่านเห็นสมควรหรือไม่ "
"ในเมื่อฟงหมิง ได้ตั้งชื่อให้น้องสาวเขาสมกับนางเช่นนี้ น้องก็มิอาจไม่เห็นด้วยได้หรอกท่านพี่ ชื่อนี้ ช่างสมกับนางเหลือเกิน " ฮูหยินหยางซิ่วเอ่ยปากพร้อมทั้งเอื้อมมือไปรับห่อผ้าบุตรสาวมากอดประโหลมไว้แนบอก บรรยากาศในห้องคลอดแสนจะอบอุ่นเปี่ยมไปด้วยความรักความห่วงหาอาทรซึ่งกันและกันของครอบครัวแม่ทัพปราบมาร
ฤดูใบไม้ผลิร่วงผันผ่านย่างปีที่ห้า เวลาล่วงเลยไปไวอย่างสายธารน้ำไม่หวลกลับ ธิดาน้อยเริ่มเติบใหญ่จากทารกแรกเกิดจนย่างอายุครบ 5 ขวบ นางเป็นที่รักของบิดา มารดา และพี่ชาย ทั้งผู้ใดได้พบเห็นหน้านางจะต้องหลงรักนางในทันที ดวงหน้าเรียวยาว จมูกโด่งเล็กเชิดรับกับคิ้วโก่งราวคันสร ปากเล็กรูปกระจับ ผิวขาวราวหิมะแรกเริ่มฤดูเหมันต์ ผมยาวของนางมัดประดับดอกไม้หยกเขียวยิ่งขับเน้นใบหน้านางให้โดดเด่นงดงามยิ่งขึ้้น แม้นยามเอื้อนเอ่ยนั้น เสียงของนางราวสกุนาร่ำร้องเพลงยามฤดูใบไม้ผลิ ยังไม่นับความเฉลียวฉลาดทันคนที่พึงมีในตัวนางพร้อมสรรพ นางช่างเกิดมาพร้อมสมญานาม งามราวนางฟ้าประดุจเทพธิดาเหินหาว ดั่งหงษ์สยายปีกบินสู่ท้องนภา ทุกค่ำเช้าจะได้ยินเสียงเจี่ยวแจ้วของนางทำให้บรรยากาศในจวนท่านแม่ทัพปราบมารต่างไปจากชื่อราวขาวกับดำ
"ท่านแม่ ลูกไม่อยากเรียนพิณแล้ว ลูกเหนื่อย ลูกอยากไปเดินชมสวนกับ หลิ๋งเอ๋อร์ ขอท่านแม่โปรดอนุญาตลูกด้วยเถิด " ถ้อยคำออดอ้อนและการยื่นหน้าเรียวเล็กริมฝีปากช่างเจรจา สองมือกอดรัดในตัวมารดาเอาไว้ ยิ่งเปี่ยมไปด้วยความน่ารักอย่างยิ่ง คงมิมีมารดาคนใดที่จะขัดใจนางได้
" หมิงซิน เจ้าเอาแต่เล่นสนุกไปวันวัน ไฉนเจ้ามิเร่งรีบเรียนพิณเข้า อีกไม่นานแล้วที่เจ้าต้องไปแสดงต่อหน้าพระพักต์องค์ฮ่องเต้ในวัน คล้ายประสูติกาล เจ้าลืมแล้วรึ "
"โถ่ ท่านแม่ก็ลูกเหนื่อย วันนี้ลูกฝึกดีดพิณตั้งแต่เช้าแล้ว จนเดียวนี้ล่วงเข้ายามเซินแล้วนะท่านแม่ ท่านแม่จ๋ามิเห็นใจลูกเสียเลย "
"หมิงซิน หน๋อหมิงซิน เจ้านี่ช่างเจรจาพาแม่ลดเลี้ยวเสียจริง วันนี้แม่จะเห็นแก่ความขยันของเจ้า แม่จะให้ หลิ๋งเออร์สาวใช้ประจำตัวของเจ้า พาเจ้าไปชมสวน แต่เมื่อล่วงเข้ายามอิ่ว เจ้าต้องมาอาบน้ำชำระร่างกายรอท่านพ่อกับท่านพี่ของเจ้าบนโต๊ะอาหารนะลูก"
"ลูกสัญญาค่ะ ท่านแม่ " ยังมิได้กล่าววาจาจนจบความร่างเล็กก็ดึงมือสาวใช้ประจำตัวลอยละลิ่วออกไปยังสวนในจวนแห่งนี้เสียแล้ว
"คุณหนูเจ้าขา รอบ่าวด้วย คุณหนูเจ้าขา ระวังนะเจ้าคะ คุณหนูเจ้าขา อย่าไปใกล้ริมสระนะเจ้าคะ คุณหนูเจ้าขาแมลงตัวนั้นมีพิษนะเจ้าคะ"
ฮูหยิ๋นหยางซิวได้แต่ส่ายหน้าอย่างระอาใจ ด้วยธิดาตัวน้อยช่างซุกซนเหลือเกิน
"ฮูหยินเจ้าคะ บ่าวว่าเราไปจัดเตรียมผ้าผ่อนที่คุณหนูจะต้องสวมยามเข้าไปในวังหลวงเพื่อแสดงพิณเถอะเจ้าคะ " แม่บ้านประจำจวนท่านแม่
ทัพปราบมารเอ่ยเตือนฮูหยิน หยางซิ่ว ถึงการเลือกเสื้อผ้าสวมใส่ของคุณหนูคนงาม
"จริงสินะ พี่ยั่วหลาง ข้าก็ลืมไปเสียสนิทอีกไม่ถึงเจ็ดวันก็จะถึงวันคล้ายวันประสูติกาลองค์ฮ่องเต้แล้ว ข้ายังมิได้จัดเตรียมเสื้อผ้าเลย"
"ฮูหยินอย่าได้หนักใจเลยเจ้าค่ะ บ่าวได้จัดเตรียมไว้แล้ว เพียงแต่รอให้ฮูหยินไปเลือกเสื้อผ้าที่เหมาะสมให้แก่คุณหนูแค่นั้นก็เพียงพอแล้ว
เจ้าคะ"
"พี่ยั่วหลาง ตั้งแต่ท่านมาเป็นแม่บ้านในจวนขุนพลปราบมารนี้ กี่ปีแล้ว"
" เรียนท่านฮูหยิน ปีนี้ย่างเข้าปีที่ 13 แล้วเจ้าคะ ข้าอุทิศแรงใจแรงกายเฝ้ารับใช้ฮูหยินมิให้ขาดตกบกพร่องเสมอมาเจ้าคะ"
"ข้ารู้พี่ยั่วหลาง ตั้งแต่ท่านป้าเสียชีวิตไป ท่านก็เข้ามาเป็นแม่บ้านใหญ่ในจวนแห่งนี้ ข้าก็รักและเคารพท่านเยี่ยงพี่สาวข้าคนหนึ่ง แม้นข้ากับท่านจะมิใช่พี่น้องคลานตามกันมา แต่ท่านกับข้าก็มีเชื้อสายเดียวกันมิใช่รึ ท่านเป็นลูกสาวท่านป้าที่ข้านับถือ ไฉนเลยข้าจะละเลยต่อท่านได้เยี่ยงไร "
"ฮูหยินท่านหมายความว่าอย่างไร" ยั่วหลาง แม่บ้านใหญ่ประจำจวนท่านแม่ทัพปราบมารแสดงสีหน้างงงันไม่เข้าใจในคำกล่าวของฮูหยินแม้แต่น้อย สายตาของนางยังจับจ้องหน้าฮูหยินหยางซิ่วไม่วางตา
"พี่ยั่วหลาง ท่านอย่าได้เข้าใจผิด ข้าเพียงแต่มีเรื่องจะปรึกษาท่านเท่านั้นเอง"
"เรื่องใดกัน ท่านฮูหยิน นี่ข้างงไปหมดแล้ว"
"พี่ยั่วหลาง ท่านจำคหบดีตระกูลฟางผู้นั้นได้หรือไม่ ผู้ที่เคยเข้ามาแสดงความเคารพต่อท่านแม่ทัพยามมาส่งของให้แก่กองทัพได้หรือไม่"
"ฮูหยิน ข้าจำได้แล้ว ว่าแต่มีเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ"
"พี่ยั่วหลาง คหบดีตระกูลฟางท่านนั้น เขาได้เอ่ยปากแก่ข้าว่าจะขอให้ท่านแต่งให้เขา ท่านมีความคิดเห็นเช่นไร" สิ้นเสียงเอ่ยของฮูหยินหยางซิ่วยั่วหลางแม่บ้านใหญ่ประจำจวนขุนพลปราบมารก็มีสีหน้ากึ่งขัดเขินกึ่งเหนียมอายให้เห็นเป็นที่น่าเอ็นดูยิ่งนัก ครั้นจะเอ่ยวาจาตกลงออกไปก็หาใช่ที่ด้วยในวัยของแม่บ้านใหญ่ประจำจวนขุนพลปราบมารนี้ก็มิใช่น้อย ย่างสี่สิบในฤดูฝนที่จะถึงนี้ ซ้ำยังไม่นึกว่าจะมีผู้ใดต้องการให้ตนแต่งให้แก่เขาเพื่้อไปเป็นฮูหยินของเขาด้วยไวย่างสี่สิบนี้
"พี่ยั่วหลาง ท่านคิดเห็นเป็นเช่นไร ท่านพึงใจคหบดีตระกูลฟาง ผู้นั้นหรือไม่ ท่านอย่าได้อ่ำอึ้ง โปรดจงแจ้งให้ข้าทราบด้วยเถิด"
"เรียน ฮูหยิน ด้วยความสัจจริง ข้าเคยพบหน้าพูดคุยกับท่านคหบดีท่านนั้นเพียงสามครั้งยามเขานำสินค้ามาส่งที่จวนนั้น ข้าไม่แน่ใจว่าเขาต้องการ
ให้ข้าแต่งให้เขาจริงหรือไม่"
"พี่ยั่วหลาง แล้วท่านนึกรักเขาหรือไม่"
" ฮูหยินเจ้าคะ อันนี้ข้าตอบยาก อันรูปกายและกิริยาท่าทางประกอบกับวาจาของคหบดีผู้นั้นล้วนแล้วแต่เป็นที่พึงใจแก่ข้ายิ่ง แต่ข้า"
"พี่ยั่วหลาง ความรักมันไม่ต้องการเวลาหรอกนะพี่ อย่างข้ากับท่านแม่ทัพนี่ไง พบหน้าไม่กี่ครั้ง เขาก็ยังรักข้าตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาพบหน้าข้าเสียด้วยซ้ำ นับประสาอะไรพี่ยั่วหลาง ท่านก็งามสมวัยของท่าน เช่นนั้นแล้ว คหบดีตระกูลฟางผู้นั้นจะมินึกรักท่านจนต้องเอ่ยปากขอร้องกับข้าให้ข้าพูดกับพี่ให้พี่แต่งให้เขาเสียล่ะ" เมื่อฮูหยินกล่าววาจาจบก็เพ่งมองใบหน้าของยั่วหลางผู้ซึ่งมีสีหน้าเถือกแดงตั้งแต่ริมใบหูจนถึงสองแก้มของนาง เป็นที่ขบขันในใจของนางยิ่งนัก
" งั้นข้าคงมอบให้ฮูหยินตอบแทนข้าแล้ว "
"พี่ยั่วหลาง งั้นข้าจะส่งข่าวให้แก่เขาทราบว่า ท่านยินดีแต่งให้เขา วันนี้เสียดีไหม"
"ฮูหยิน เจ้าคะ ข้าว่า........"
"พี่ยั่วหลาง เอาตามนี้เถอะท่านอย่าได้อ้ำอึ่งเลย กระแสน้ำไหลมิย้อนกลับ ปลามิว่ายทวนน้ำนะพี่นะ" ทันที่ที่ฮูหยินกล่าวจบนางก็ลุกขึ้นก้าวเดินออกไปยังห้องซึ่งมีข้าวของเครื่องใช้เสื้อผ้าทั่งอิสตรี และบุรุษที่คหบดีใหญ่ตระกูลฟางนำมาส่งตามคำสั่งของแม่บ้านใหญ่จวนปราบขุนพล
ริมสระบัวในจวนขุนพลปราบมาร ดอกบัวเบ่งบานหลากสีสรร ขาว เหลือง ชมพู ล้วนแล้วแต่น่ามองอย่างยิ่ง กลางสะพานไม้ทอดยาวกลางสระบัวร่างแน่งน้อยยืนโปรยอาหารให้ปลาจิ้นหลี่อวี่สีเงิน สีทอง แข่งกันว่ายเข้าฮุบอาหารที่มือน้อย ๆ ขาวผ่อง ที่หว่านออกไปถึงจะมีกำลังเพียงน้อยนิดแต่ก็พยายามหว่านอาหารให้ปลาถึงริมสระน้ำ ดวงหน้าน้อยๆ ชะโงกออกไปดูปลาฮุบเหยื่อ ปากก็ส่งเสียงแจ้วแจ้วชี้ชวนสาวใช้ประจำตัวให้ดูปลาฮุบเหยื่อ
"คุณหนู เจ้าคะ ระวังตกนะเจ้าคะ "
"ไม่ตกหรอกพี่ หลิ๋งเอ๋อร์ "
"ไม่ได้นะเจ้าค่ะ คุณหนู ชะโงกตัวเช่นนั้น ไม่ได้นะเจ้าค่ะ" ยังมิสิ้นคำพูดของหลิ๋งเอ๋อร์ ร่างเล็กๆ ที่ชะโงกอยู่ราวสะพานไม้กลางสระน้ำก็พลันตกลงไป เสียงน้ำแตกกระจาย พร้อมกับเสียงร้องบ่าวคนรับใช้ขอความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน
"ช่วยด้วย คุณหนูตกลงไปในสระบัว ช่วยด้วย ช่วยด้วย ช่วยด้วย " ท่ามกลางห้วงเหตุการณ์ที่มิอาจหายใจได้นั้น ก็มีเงาวูบลอยข้ามจากริมสระด้านหน้าจวนขุนพลปราบมาร หลิ๋งเอ๋อร์เห็นเพียงแต่ชายผ้าสีขาวปลิวลู่ตามแรงลม ปากที่อ้าตระโกนร้อง พลันยิ่งอ้าค้างยิ่งขึ้น ด้วยกลางสระน้ำนั้นมีร่างหนึ่งกำลังโอบอุ้มคุณหนูของนางให้ขึ้นจากน้ำลึกในสระบัว การเหินลอยตัวด้วยวิชาตัวเบาไร้เทียมทาน มิทันหุบปาก หลิ๋งเอ๋อร์ก็เห็นคุณหนูของนางถูกพาตัวมานอนทอดร่างอยู่กลางสะพานไม้เสียแล้ว หูของนางย้ำว่าได้ยินเสียงร้องโหวกเหวกของคุณชายฟงหมิงเรียกสาวใช้นางอื่นให้นำผ้าห่มผืนใหญ่มา แต่คงไม่ทันแล้วเมื่อบุรุษผู้สวมชุดขาวทั้งตัวถอดเสื้อคลุมตัวยาวใหญ่ของเขาห่มให้คุณหนูของนางเสียแล้ว ทั้งยังยื่นสองมือมาอุ้มคุณหนูของนางขึ้นไว้แนบอกพาเดินไปตามสะพานไม้กลางสะบัวสู่เรือนหยวนยางที่พำนับฮูหยินและท่านขุนพล
" หลิ๋งเอ๋อร์ เจ้ามัวแต่เหม่ออยู่นั้น ตามไปซิ ไปดูแลหมิงซินน้องข้า " น้ำเสียงร้อนรนของคุณชายฟงหมิงปลุกให้สาวใช้ประจำตัวธิดาท่านขุนพลปราบมารให้รู้สึกตัว รีบสาวเท้าตามร่างบุรุษชุดขาว และคุณชายฟงหมิงเข้าไปยังเรือนที่พัก
"หมิงซิน เป็นอย่างไรบ้าง ฟงหมิง น้องอาการดีขึ้นหรือไม่ " ฮูหยินหยางซิ่วสอบถามอาการธิดารักด้วยหัวใจร้าวรานด้วยกลัวว่าธิดารักของนางจะได้รับบาดเจ็บถึงแก่ชีวิต นางนั่งริมเตียงเฝ้ามองดูธิดาตัวน้อยหลับอยู่บนเตียง เฝ้าเพ่งพินิจยังใบหน้าเล็ก ๆ ของนาง ผิวที่เคยผุดผ่องราวหิมะมาบัดนี้ขาวซีดไร้ซึ่งเลือดหล่อเลี้ยงเนื้อตัวเย็นด้วยจมน้ำในสระบัว แม้จะนำขึ้นมาได้ทันท่วงทีโดยบุรุษชุดขาว แต่หัวใจแม่ก็อดห่วงมิได้
" ฟงหมิง ท่านหมอมาหรือยัง "
"เรียนท่านแม่ ข้าให้บ่าวไปรับท่านหมอแล้วขอรับ"
"โถ หมิงซินของแม่ เจ้าช่างซนจนได้เรื่องเสียนี่กระไร หากแม้เจ้าไม่หายข้าจะทำเช่นไร"
"ท่านแม่อย่าวิตกกังวลไป ประเดี๋ยวท่านหมอก็คงจะมาแล้ว"
ที่หน้าประตูห้องนอนของคุณหนู บ่าวรับใช้ส่งเสียงบอกคนในห้องให้ทราบว่า ท่านหมอที่ไปเชิญมา มาแล้ว บุตรชายท่านขุนพลปราบมารเอ่ยอนุญาตให้หมอเข้ามาได้ในทันที หมอที่สะพายล่วมยาเดินเข้ามาให้ห้องนอนของธิดาท่านขุนพล เพื่อทำการรักษาตรวจชีพจรที่ข้อมือ จากนั้นใช้มือที่ขาวสะอาดเปิดเปลือกตานางที่ยังหลับอยู่
" เรียนท่านฮูหยิน คุณหนูไม่เป็นอะไรมาก เพียงแค่ตกใจจนสลบไปเท่านั้นเอง ทั้งคุณหนูยังได้รับการรักษาเบื้องต้นอย่างดีช่วยให้คุณหนูฟื้นขึ้นมาหลังจากตกน้ำไปชั่วขณะหนึ่งแล้ว ข้าคิดว่าอีกไม่เกินชั่วยาม คุณหนูก็จะตื่นจากการหลับ ขอรับ" หมอบอกอาการของหมิงซินให้ผู้อยู่ในห้องนอนของนางทราบทั้งยังปรายตามองรอบห้องว่ามีผู้ใดอยู่บ้าง
" ท่านหมอ หากท่านกล่าวเช่นนั้น ข้าก็เบาใจ "
" ท่านฮูหยิน ข้าจะจัดยาไว้ให้คุณหนูสักหม้อหนึ่งนะขอรับ เมื่อคุณหนูฟื้นให้คุณหนูดื่มยานี้จนหมด อาการไอเย็นของน้ำในปอดจึงจะหายไป " สิ้นคำกล่าวท่านหมอก็ลุกขึ้นยื่นใบสั่งยาให้แก่คุณชายฟงหมิงเพื่อไปซื้อยาที่ร้านขายยามาต้มให้ธิดาท่านขุนพลปราบมาร
" เด็ก ๆ เจ้าออกไปส่งท่านหมอที่หน้าจวน "
"ขอรับ คุณชาย"
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างชุลมุนย้ำถึงความเป็นความตายของเด็กน้อยคนหนึ่งมิทำให้ผู้คนในห้องนอนของนางได้สังเกตว่า ไม่ได้มีแต่คนในครอบครัวของนางเองที่ยืนเฝ้าดูอาการของนางเท่านั้น เมื่อกวาดสายตาดูรอบห้องจะพบกับร่างบุรุษผู้มีเรือนร่างสูงแข็งแกร่งราว 17 เซียะ วงหน้าขาวผ่อง จมูกสันโด่งตั้งตรงจรดหว่างคิ้ว คิ้วหนาเชิดขึ้นอย่างคิ้วของราชสีห์ ริมฝีปากบางไร้แม้คำพูด ใบหน้ามีริ้วรอยหวงใยปรากฏ จิ่นติ้ง เฝ้ามองดูเด็กน้อยหน้าตาน่ารัก ผิวขาวราวหิมะหลับตานิ่งม่านขนตายาวงอนเป็นแพดังปีกผีเสื้อ รับกับ ไรคิ้วบางเบาดุจใบหลิ๋ว จมูกเล็กๆ เชิดหยิ่งดังพญาหงษ์ ปากรูปกระจับเล็กเรียวปราศจากสีเลือด มองดูแล้วช่าวน่าสงสารยิ่งนัก จนเขาเผลอที่จะจดจ้องนางอยู่อย่างนั้นมิเบื่อหน่าย
"ท่านแม่ นี่ จิ่นติ้ง เพื่อร่วมสำนักของลูก ลูกมัวแต่ตกใจเรื่องน้องเล็ก เลยยังมิได้แนะนำให้ท่านแม่ทราบ" คุณชายฟงหมิงได้เอ่ยวาจาให้มารดารับทราบว่าบุรุษผู้ที่ช่วยน้องสาวของเขานั้นชื่อเรียงเสียงไร
"แม่มัวแต่ห่วงน้องจนลืมมารยาท ต้องขออภัยคุณชายท่านนี้ด้วย "
"มิเป็นไรท่านฮูหยิน"
"ท่านแม่ จิ่นติ้ง เป็นบุตรของท่านขุนพลปราบพยักค์ ได้ร่วมเรียนวิชาบู๋และบุ่น สำนักเดียวกันกับลูก วันนี้ลูกตั้งใจจะพาเขามาเคารพท่านพ่อ ก็มาเกิดเรื่องน้องเล็กตกน้ำเสียได้ แต่ยังดีที่ จิ่นติ้ง วิชาตัวเบาร้ายกาจเข้าไปช่วยน้องเล็กขึ้นมาได้ ทั้งยังรักษาอาการจมน้ำของน้องเล็กได้ทัน มิเช่นนั้นลูกไม่อยากจะคิดเลยหากน้องเล็กเป็นอะไรไป"
"ฟงหมิง เจ้าอย่าได้ตำหนิตนเองเลย น้องสาวของเจ้า ก็เท่ากับเป็นน้องสาวของข้า ข้ารึจะปล่อยให้นางเป็นอะไรไป"
"จิ่นติ้ง ข้าขอบใจเจ้ามาก บุญคุณครั้งนี้ข้าขอคาราวะเพื่อเป็นการขอบคุณ ท่านรับไว้เสีย " คุณชายฟงหมิงลุกขึ้นแสดงการคาราวะด้วยการกุมมือทั้งสองข้าวยกขึ้นให้แก่เขาผู้ช่วยชีวิตน้องเล็กอันเป็นดวงใจของครอบครัวของเขาไว้ได้
"ฟงหมิง เจ้าอย่าได้เกรงใจ " จิ่นติ้งกล่าวตอบเพื่อนร่วมสำนักของเขา
"เอาล่ะ เมื่อไม่มีอะไรน่ากังวลแล้ว แม่ว่า ลูกควรจะพาคุณชายจิ่นติ้งไปเปลี่ยนเสื้อผ้าของลูกจะดีไหม เพราะเสื้อผ้าคุณชายเปียกหมดแล้วต่อไปแม่เกรงว่าคุณชายผู้มีพระคุณต่อเราจะเจ็บป่วยไข้แข่งกับน้องเล็กของเจ้าเสียนะฟงหมิง"
"ขอรับท่านแม่" คุณชายฟงหมิงรับคำมารดาแล้วหันมาพยักหน้าให้สหายร่วมสำนักเดินตามเขาออกจากห้องน้องเล็กเพื่อไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เปียกชื้นนี้ออกเสียยังมิทันเดินถึงห้องพักคุณชายฟงหมิง จิ่นติ้งก็กล่าวถามกับฟงหมิงถึงตุ๊กตาตัวน้อยที่เขาพึ่งจะช่วยชีวิตนางไว้เมื่อครู่นี้
"ฟงหมิง นางเป็นน้องสาวร่วมสายโลหิต หรือไม่"
" ใช่แล้วนางเป็นน้องสาวร่วมสายโลหิต ของข้า เจ้ามีอะไรหรือ จิ่นติ้ง"
"หามิได้ ข้าแค่ต้องการรู้เท่านั้นเอง" น้ำเสียงปฏิเสธแต่ห้ามมิให้เกิดอาการเห่อร้อนทั่วทั้งใบหน้ามิได้ นี่เขาเป็นอะไรไปหน๋อจึงได้สนใจใคร่รู้เรื่องของเจ้าตุ๊กตาตัวน้อยนั่นเสียจริง
" น้องสาวข้า ชื่อว่า หมิงซิน ไว้นางฟื้นขึ้นแล้วข้าจะพาเจ้าไปพบนาง ดีหรือไม่ " คุณชายฟงหมิงยังคงก้าวต่อไปตามทางระเบียบทางเดินหน้าห้องโดยมิได้หันมามองหน้าสหายแม้แต่น้อย
" อืม " แม้นเอ่ยวาจาออกไปแล้วแต่อาการเห่อร้อนทั่วทั้งใบหน้าก็ยังมิได้หายไป จนเจ้าตัวต้องเพ่งมองไปที่หลังของคุณชายฟงหมิงและเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นเพื่อเดินให้ทันสหายร่วมสำนัก
----------------------------------------------------------------------------------------
ต้องขออภัยท่านผุู้อ่านทั้งหลายด้วยนะคะ เนื่้อเรื่องนิยายนี้เป็นเรื่องสมมุติขึ้นมิได้นำเรื่องจริงมาแต่งเสริมเพิ่มเติมแต่อย่างใด หากมีข้อผิดพลาดประการใดก็ขออภัยมานะคะ สำหรับคำผิดคิดว่าน่าจะมี หากท่านผู้อ่านท่านใดอ่านแล้วตรวจพบก็ขอขอบคุณที่ท่านจะแนะนำผู้เขียนให้แก้ไขให้ถูกต้องต่อไปนะคะ ขอบคุณค่ะ
ซุ่นเฟิง
ความคิดเห็น