ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ดวงใจแห่งแสงสว่าง

    ลำดับตอนที่ #2 : คุณสมบัติรัชทายาท

    • อัปเดตล่าสุด 24 ก.ค. 58


            ตำหนักเฮ่าจิง เป็นตำหนักที่ประทับว่าราชการขององค์ฮ่องเต้โจวกวงตี้ ตำหนักนี้แวดล้อมไปด้วยต้นสนสองข้างทางริมทางเดินก่อนจะถึงหน้าพระตำหนัก ตัวพระตำหนักถูกก่อสร้างด้วยหินอ่อนสีขาวล้วน ยามต้องแสงอาทิตย์ตัวพระตำหนักเฮ่าจิงเกิดประกายแสงสะท้อนวูบวาบดังตำหนักบนสรวงสวรรค์ ภายในตำหนักประดับตกแต่งด้วยพรมทอปูลาดตั้งแต่ทางเดินจนถึงหน้าบัลลังค์ใหญ่บัลลังค์ที่ประทับฮ่องแต้ถูกสร้างด้วยหยกสามสีประดับด้วยหินอ่อนสร้างลวดลายพญามังกรลอยตัวขดรอบเหนือราชบัลลังค์เกรดของพญามังกรประดับตกแต่งด้วยหยกแดงทั้งตัว ตั้งแต่คอจรดหาง ส่องประกายกระทบแสงลาดลงมาจากเบื้องบนทางช่องหลังคาตำหนักประหนึ่งพญามังกรแห่งสรวงสวรรค์ส่งผลให้ผู้เป็นโอรสสวรรค์น่าเกรงขามยิ่งนัก

    "ท่านราชครู  รัชทายาทร่ำเรียนเป็นอย่างไรบ้าง "  เสียงที่ทรงอำนาจของฮ่องเต้เอ่ยถามการร่ำเรียนของรัชทายาทกับราชครูผู้ถูกแต่งตั้งให้เป็นพระอาจารย์ขององค์รัชทายาท หานเจี้ย 

    "เรียน องค์ฮ่องเต้  องค์รัชทายาท ทรงเฉลียวฉลาดหลักแหลมยิ่งนัก  ขณะนี้ได้ทรงร่ำเรียนจนจบตำราทั้ง 5 แล้ว พะยะคะ"   "อันตำราเล่มแรก  "ฉือจิง"  ตำราสอนประวัติศาสตร์วรรณคดีจีน  ตำราเล่มที่ 2  "ซูจิง" เป็นตำราจีนโบราณที่สอนเกี่ยวกับประวัติศาสตร์โบราณ    ตำราเล่มที่ 3  "ชุนซิว"  เป็นตำราที่บันทึกเอาเหตุการณ์เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ต่างๆไว้ในนั้น ตำราเล่มที่ 4  "อี้จิง"  ตำราทำนายพยากรณ์   ตำราเล่มสุดท้าย "ลิชิ" ตำราพิธีการ  ทั้งห้าเล่ม องค์รัชทายาทสามารถนำมาใช้ได้อย่างแนบเนียนและชำนาญยิ่ง พะยะคะ "  ราชครูผู้เคยเป็นศิษย์ปราชญ์แห่งแผ่นดิน "ขงจื้อ"  กล่าวรายงานต่อหน้าองค์ฮ่องเต้แล้วก็ก้มหน้านิ่งมิแสดงวาจาใด ๆ อีก มือประสานที่ด้านหน้ายืนสงบนิ่งเช่นเดิม

    "ประเสริฐยิ่ง  ท่านราชครู  แล้วทางด้านวรยุทธล่ะ ท่านสอนถึงขั้นใดแล้ว "  ฮ่องเต้โจวกวงตี้เพ่งสายตาคาดหวังในคำตอบของราชครู

    "เรียน องค์ฮ่องเต้  ทางด้านวรยุทธ องค์รัชทายาทล้วนแล้วแต่ชำนาญการต่อสู้ยิ่งนัก " 

             "ดี  ดี   เช่นนั้นเราก็เบาใจได้ ทั่วแคว้นโจวนี้หามีผู้ใดจะทัดเทียมองค์รัชทายาทแล้ว "  เสียงหัวเราะปลาบปลื้มขององค์ฮ่องเต้ก้องกังวาลทั่วทั้งท้องพระโรงสะท้อนถึงพระราชอำนาจอันยิ่งใหญ่ที่ฮ่องเต้มีต่อแคว้นโจวตะวันตกยิ่งนัก 

                      " เช่นนั้นท่านราชครู กลับไปพักเถิด"  

                       "ขอบพระทัยฝ่าบาท "  ราชครูแสดงความเคารพอย่างสูงต่อองค์ฮ่องเต้โจวกวงตี้เสร็จก็เดินจากไปประหนึ่งเทพเซียนผู้ล่องลอยออกไปจากท้องพระโรง  ฉับพลันฮ่องเต้โจวกวงตี้ก็ตรัสเรียก กงกงคนสนิทให้เข้ามารับพระราชดำรัสจากพระองค์  

                      " หม่ากงกง  อยู่หรือไม่ "

                      "พะยะคะ  ฝ่าบาท "   หม่ากงกง ผู้เป็นกงกงรับใช้ข้างกายองค์ฮ่องเต้ตั้งแต่ครั้งที่พระองค์ยังดำรงตำแหน่งรัชทายาทจนถึงขึ้นครองบัลลังค์มาเป็นระยะเวลาจนสิบปีหม่ากงกงถือได้ว่าเป็นพระญาติแห่งองค์ฮ่องเต้ด้วยเกิดกับน้องสาวสายแม่ของฮ่องเต้โจว นับลำดับญาติอาจมิได้ใกล้ชิดทางสายโลหิตแต่ถูกนำตัวมาชุบเลี้ยงข้างกายฮ่องเต้เมื่อครั้งทรงพระเยาว์ถูกเพาะบ่มให้เป็นเพื่อนเป็นองค์รักษ์ประจำกายองค์ฮ่องเต้โจวกวงตี้ตลอดเวลา จะห่างเพียงอยู่หน้าห้องบรรทมยามเสด็จสู่ตำหนักฮองเฮา และเหล่าสนม เท่านั้น

    " หม่ากงกง  องค์รัชทายาท ประทับอยู่ที่ใด "

            "   องค์รัชทายาท ประทับอยู่ตำหนักเกาจิ้น พะยะคะ "  ตำหนักเกาจิ้น เป็นตำหนักที่ประทับแห่งองค์รัชทายาท เป็นตำหนักที่มีความใหญ่โตและสวยงามอย่างยิ่งถึงจะไม่อาจเทียบได้กับตำหนักเฮ่าจิงขององค์ฮ่องเต้  และตำหนักหลิงกวางที่ประทับองค์ฮองเฮา 

    "เราจะไปดูการร่ำเรียนวิชา ขององค์รัชทายาท  เจ้าก็ตามเรามาเสีย "

             " พะยะคะ"  สิ้นเสียงตรัสขบวนเสด็จก็เคลื่อนไปตามทางเดินเรียบปูด้วยหยกขาวล้วน สองข้างทางเดินปลูกประดับด้วยต้นหลิวลู่ลมส่งเสียงบรรเลงราวกับเสียงพิณอันไพเราะ  อากาศยามฤดูใบไม้ผลิเบ่งบานผ่านมาได้สิบรอบแล้วนับตั้งแต่องค์รัชทายาทประสูติกาลจนชันษาครบ 10  ชันษา ทุกอย่างล้วนเบ่งบานงดงามรวดเร็วดั่งใบไม้หล่นลงสู่พื้นดิน

    ตำหนักเกาจิ้น  ตำหนักที่ประทับแห่งองค์รัชทายาท ก่อสร้างด้วยหินอ่อนประดับหยกเขียวทั้งหลัง  ด้านหน้าตำหนักขุดสร้างสระน้ำขนาดใหญ่ปลูกบัวเลี้ยงปลาจิ้นหลี่อวี๋หลากหลายสายพันธ์และสีสรร เชื่อมต่อทางเดินด้วยสะพานไม้ก่อนถึงหน้าตำหนัก   น้ำในสระใสสะอาดจนมองเห็นฝูงปลาจิ้นหลี่อวี๋ว่ายเกาะกลุ่มกันเป็นฝูงท่ามกลางกอบัวที่ออก ดอกสีม่วง  สีขาว  สีแดงอมชมพู  สีเหลือง  บานแข่งกับแสงอาทิตย์ยามเช้า   เมื่อมองไปยังด้านหลังของตำหนักเกาจิ้น จะปรากฏแนวทิวเขาที่ปกคลุมไปด้วยพฤษาล้อมรอบภูเขา  ยามเมื่อถึงฤดูร้อนตำหนักอื่นๆ จะร้อนอบอ้าวไม่เว้นกระทั่งตำหนักเฮาจิ้ง และตำหนักหลิงกวาง  หากตำหนักเกาจิ้นแห่งนี้กลับมิได้ร้อนอบอ้าวเพียงใดเนื่องจากด้านหน้าตำหนักมีสระบัวขนาดใหญ่ที่มีสายกระแสธารน้ำไหลผ่านไปยังลำธารด้านหลังภูเขาที่อยู่หลังตำหนัก   ผืนป่าหลังตำหนักเกาจิ้นถือเป็นสมรภูมิฝึกซ้อมวิทยายุทธ   ค่ายกลการรบทุกชนิด  หากผู้ไม่พึงประสงค์จะเข้าไปยังผืนป่านั้น ก็จะต้องผ่านด่านเจ็ดค่ายกลเสียก่อนถึงจะเข้าไปยังลานฝึกวรยุทธแห่งองค์รัชทายาทได้   เมื่อองค์ฮ่องเต้มีประสงค์ที่จะพบองค์รัชทายาทก็กระทำได้เพียงรอคอยที่ตำหนักเกาจิ้น  และให้องค์รักษ์นำความไปแจ้งแก่องค์รัชทายาทให้ออกมาเข้าเฝ้าองค์ฮ่องเต้ยังตำหนักเกาจิ้นเท่านั้น   การรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดโดยคำสั่งขององค์ฮ่องเต้โจวกวงตี้เอง ด้วยแคว้นโจวนี้ มิได้รวมการปกครองเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน  หากแต่มีแคว้นโจวถึงสองแคว้น ได้แก่ แคว้นโจวตะวันตก และแคว้นโจตะวันออก  ฮ่องเต้โจวกวงตี้ เสวยราชสมบัติ ณ แคว้นโจวตะวันตก   ส่วนแคว้นโจวตะวันออก  ฮ้องแต้ โจวอวี้  เป็นผู้เสวยราชสมบัติ    โจวอวี้ฮ่องเต้เป็นบุรุษผู้มีร่างกายกำยำล่ำสัน ผิวกายแดงค่อนข้างดำ  ดวงตาเล็กเรียวคิ้วหนาเป็นปื้นใหญ่คับวงพักตร์  อุปนิสัยฝักใฝ่สงครามและมุ่งหมายที่จะยึดแคว้นโจวตะวันตกให้เป็นแคว้นเมืองขึ้นให้จนได้  หลายครั้งที่มีนักฆ่าลอบเข้ามาปลงพระชนม์องค์ฮ่องเต้โจวกวงตี้  และองค์รัชทายาท หานเจี้ย   แม้นมิได้พลาดพลั้งให้แก่ศัตรูแต่ก็เกือบจบชีวิตไปหลายหน  ในที่สุดฮ่องเต้โจวกวงตี้จึงมีบัญชาให้ราชองค์รักษ์เฝ้าอารักขาองค์ฮ่องเต้ องค์ฮองเฮา   และองค์รัชทายาทอย่างเต็มกำลังไม่ให้มีช่องทางให้ศัตรูเข้าทำร้ายครอบครัวของพระองค์ได้ และยังทรงวางสายลับเข้าแทรกแซงในแคว้นโจวตะวันออกเพื่อเฝ้าดูความเคลื่อนไหวทุกย่างก้าว แล้วรายงานตรงต่อพระองค์โดยตรงเพื่อป้องกันการรุกรานอย่างฉับพลันของฮ่องเต้โจวอวี้  ซึ่งการนี้พระองค์ย้ำเตือนตนเสมอว่า "ความประมาทเป็นภัยถึงชีวิต" 

    ยามซื่อ เวลาผ่านไปหนึ่งเค่อ  ฮ่องเต้โจวกวงตี้  เสด็จเข้าประทับยังตำหนักเกาจิ้น สายพระเนตรเฝ้ามองร่างแข็งแกร่งอันมีความสูงราวสิบเจ็ดเซี้ยะ วงพักต์เรียบเฉยเย็นชา ดวงตาเรียวรีรับกับสันจมูกโดงตรงจรดหว่างคิ้ว   ริมฝีปากบางเม้มเกือบเป็นเส้นตรงบางเฉียบ แสดงถึงความเด็ดขาดอยู่ในที  ทางด้านร่างกายนั้นแม้นยังมิเติบโตดังเช่นชายหนุ่มเต็มตัว แต่ด้วยความสูงราวสิบเจ็ดเซี้ยะ  ทั้งกายสวมชุดดำแผ่รังสีความย่ำเกรง  และสง่าผ่าเผยออกมาพร้อมกัน  ยามก้าวย่างเงียบกริบราวพยัคฆ์จ้องตระครุบเหยื่อ บรรยากาศรอบตัวหมุนวนด้วยไอแห่งความเยียบเย็นคลอบคลุมบริเวณตำหนักเกาจิ้นดังอยู่ในยามฤดูเหมันต์   ข้าราชบริวาร  องค์รักษ์รักษาพระองค์  นางกำนันตามเสด็จขบวนองค์ฮ่องเต้โจวกวงตี้   ทั้งขบวนแม้แต่หม่ากงกงเองยังต้องกลั้นหายใจยามองค์รัชทายาทเสด็จเข้าเฝ้าองค์ฮ่องเต้ ด้วยครั้นจะหายใจแรงก็เกรงพยักค์จะตระครุบเหยื่อเสีย

    "คำนับเสด็จพ่อ  องค์รักษ์แจ้งให้ลูกเข้าเฝ้าเสด็จพ่อด้วยเรื่องใด พะยะค่ะ "  ดวงตาเรียวรีจ้องสบพระเนตรองค์ฮ่องเต้โจวกวงตี้ฉายแววเคารพย่ำเกรงและรักใคร่อย่างยิ่ง 

                        "  ไม่มีอะไร เพียงแต่พ่อได้คุยกับท่านราชครูพระอาจารย์ของเจ้าแล้ว ก็อยากมาเยี่ยมเจ้าเท่านั้น "   

    " เสด็จพ่อมิต้องกังวล  ลูกได้ร่ำเรียนวิชาจากท่านอาจารย์ครบกระบวนความจบตามตำรามหาปราชน์ขงจื้อหมดสิ้นแล้ว  ทั้งการฝึกวรยุทธ  การวางค่ายกลพิชัยสงคราม ลูกก็เชี่ยวชาญยิ่งนัก  เสด็จพ่อโปรดวางพระทัย พะยะค่ะ  "

                         "  ลูกพ่อ  เจ้าอย่าได้ประมาททรนงตนว่าร่ำเรียนครบกระบวนความต่าง ๆ  แล้ว  เห็นหรือไม่  เมื่อครั้งเจ้าอายุได้ 7 ขวบ เราเกือบพ่ายแพ้ต่อกลพิษของฮ่องเต้โจวอวี้ ผู้ครอบแคว้นโจวตะวันออกเสียมิใยหากพ่ายแพ้ต่อกลพิษครั้งนั้น ข้า และ เจ้าคงหาชีวิตนี้ไม่แล้ว  " 

    "จงจำไว้ลูกพ่อ  ความประมาทจะเป็นภัยแก่เจ้าได้  "   เสียงอันหนักแน่นพร่ำสอนแก่บุตรผู้เป็นที่รักมิให้กระทำการประมาทแก่ศัตรู ทั้งยังกำชับถึงอดีตที่เกือบพ่ายแพ้สูญสิ้นชีวิตไปในเหตุการณ์ที่ถูกลอบปลงพระชนม์ด้วยยาพิษแห่งแคว้นโจวตะวันออก 

    "ลูกจะจดจำไว้  พะยะค่ะ  เสด็จพ่อ  "   องค์รัชทายาททรงปฏิญาณแล้วซึ่งชีวิตว่า  พระองค์จะไม่ประมาทจนก่อให้เกิดภัยแก่ชีวิตของพระองค์เอง

    "เจ้าสดับไว้  พ่อก็ยินดียิ่ง   เห็นทีพ่อคงต้องไปพักผ่อนแล้ว  เจ้าตามสบายเถิด "  สิ้นเสียงฮ่องเต้โจวกวงตี้ก็สาวพระบาทตามแนวทางเดินข้ามสะพานไม้ ข้ามสระบัวไปยังทิศทางตำหนักที่ประทับ

    "น้อมส่งเสด็จพ่อ  พะยะค่ะ "









    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×