คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : คุณสมบัติรัชทายาท
ตำหนักเฮ่าจิง เป็นตำหนักที่ประทับว่าราชการขององค์ฮ่องเต้โจวกวงตี้ ตำหนักนี้แวดล้อมไปด้วยต้นสนสองข้างทางริมทางเดินก่อนจะถึงหน้าพระตำหนัก ตัวพระตำหนักถูกก่อสร้างด้วยหินอ่อนสีขาวล้วน ยามต้องแสงอาทิตย์ตัวพระตำหนักเฮ่าจิงเกิดประกายแสงสะท้อนวูบวาบดังตำหนักบนสรวงสวรรค์ ภายในตำหนักประดับตกแต่งด้วยพรมทอปูลาดตั้งแต่ทางเดินจนถึงหน้าบัลลังค์ใหญ่บัลลังค์ที่ประทับฮ่องแต้ถูกสร้างด้วยหยกสามสีประดับด้วยหินอ่อนสร้างลวดลายพญามังกรลอยตัวขดรอบเหนือราชบัลลังค์เกรดของพญามังกรประดับตกแต่งด้วยหยกแดงทั้งตัว ตั้งแต่คอจรดหาง ส่องประกายกระทบแสงลาดลงมาจากเบื้องบนทางช่องหลังคาตำหนักประหนึ่งพญามังกรแห่งสรวงสวรรค์ส่งผลให้ผู้เป็นโอรสสวรรค์น่าเกรงขามยิ่งนัก
"ท่านราชครู รัชทายาทร่ำเรียนเป็นอย่างไรบ้าง " เสียงที่ทรงอำนาจของฮ่องเต้เอ่ยถามการร่ำเรียนของรัชทายาทกับราชครูผู้ถูกแต่งตั้งให้เป็นพระอาจารย์ขององค์รัชทายาท หานเจี้ย
"เรียน องค์ฮ่องเต้ องค์รัชทายาท ทรงเฉลียวฉลาดหลักแหลมยิ่งนัก ขณะนี้ได้ทรงร่ำเรียนจนจบตำราทั้ง 5 แล้ว พะยะคะ" "อันตำราเล่มแรก "ฉือจิง" ตำราสอนประวัติศาสตร์วรรณคดีจีน ตำราเล่มที่ 2 "ซูจิง" เป็นตำราจีนโบราณที่สอนเกี่ยวกับประวัติศาสตร์โบราณ ตำราเล่มที่ 3 "ชุนซิว" เป็นตำราที่บันทึกเอาเหตุการณ์เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ต่างๆไว้ในนั้น ตำราเล่มที่ 4 "อี้จิง" ตำราทำนายพยากรณ์ ตำราเล่มสุดท้าย "ลิชิ" ตำราพิธีการ ทั้งห้าเล่ม องค์รัชทายาทสามารถนำมาใช้ได้อย่างแนบเนียนและชำนาญยิ่ง พะยะคะ " ราชครูผู้เคยเป็นศิษย์ปราชญ์แห่งแผ่นดิน "ขงจื้อ" กล่าวรายงานต่อหน้าองค์ฮ่องเต้แล้วก็ก้มหน้านิ่งมิแสดงวาจาใด ๆ อีก มือประสานที่ด้านหน้ายืนสงบนิ่งเช่นเดิม
"ประเสริฐยิ่ง ท่านราชครู แล้วทางด้านวรยุทธล่ะ ท่านสอนถึงขั้นใดแล้ว " ฮ่องเต้โจวกวงตี้เพ่งสายตาคาดหวังในคำตอบของราชครู
"เรียน องค์ฮ่องเต้ ทางด้านวรยุทธ องค์รัชทายาทล้วนแล้วแต่ชำนาญการต่อสู้ยิ่งนัก "
"ดี ดี เช่นนั้นเราก็เบาใจได้ ทั่วแคว้นโจวนี้หามีผู้ใดจะทัดเทียมองค์รัชทายาทแล้ว " เสียงหัวเราะปลาบปลื้มขององค์ฮ่องเต้ก้องกังวาลทั่วทั้งท้องพระโรงสะท้อนถึงพระราชอำนาจอันยิ่งใหญ่ที่ฮ่องเต้มีต่อแคว้นโจวตะวันตกยิ่งนัก
" เช่นนั้นท่านราชครู กลับไปพักเถิด"
"ขอบพระทัยฝ่าบาท " ราชครูแสดงความเคารพอย่างสูงต่อองค์ฮ่องเต้โจวกวงตี้เสร็จก็เดินจากไปประหนึ่งเทพเซียนผู้ล่องลอยออกไปจากท้องพระโรง ฉับพลันฮ่องเต้โจวกวงตี้ก็ตรัสเรียก กงกงคนสนิทให้เข้ามารับพระราชดำรัสจากพระองค์
" หม่ากงกง อยู่หรือไม่ "
"พะยะคะ ฝ่าบาท " หม่ากงกง ผู้เป็นกงกงรับใช้ข้างกายองค์ฮ่องเต้ตั้งแต่ครั้งที่พระองค์ยังดำรงตำแหน่งรัชทายาทจนถึงขึ้นครองบัลลังค์มาเป็นระยะเวลาจนสิบปีหม่ากงกงถือได้ว่าเป็นพระญาติแห่งองค์ฮ่องเต้ด้วยเกิดกับน้องสาวสายแม่ของฮ่องเต้โจว นับลำดับญาติอาจมิได้ใกล้ชิดทางสายโลหิตแต่ถูกนำตัวมาชุบเลี้ยงข้างกายฮ่องเต้เมื่อครั้งทรงพระเยาว์ถูกเพาะบ่มให้เป็นเพื่อนเป็นองค์รักษ์ประจำกายองค์ฮ่องเต้โจวกวงตี้ตลอดเวลา จะห่างเพียงอยู่หน้าห้องบรรทมยามเสด็จสู่ตำหนักฮองเฮา และเหล่าสนม เท่านั้น
" หม่ากงกง องค์รัชทายาท ประทับอยู่ที่ใด "
" องค์รัชทายาท ประทับอยู่ตำหนักเกาจิ้น พะยะคะ " ตำหนักเกาจิ้น เป็นตำหนักที่ประทับแห่งองค์รัชทายาท เป็นตำหนักที่มีความใหญ่โตและสวยงามอย่างยิ่งถึงจะไม่อาจเทียบได้กับตำหนักเฮ่าจิงขององค์ฮ่องเต้ และตำหนักหลิงกวางที่ประทับองค์ฮองเฮา
"เราจะไปดูการร่ำเรียนวิชา ขององค์รัชทายาท เจ้าก็ตามเรามาเสีย "
" พะยะคะ" สิ้นเสียงตรัสขบวนเสด็จก็เคลื่อนไปตามทางเดินเรียบปูด้วยหยกขาวล้วน สองข้างทางเดินปลูกประดับด้วยต้นหลิวลู่ลมส่งเสียงบรรเลงราวกับเสียงพิณอันไพเราะ อากาศยามฤดูใบไม้ผลิเบ่งบานผ่านมาได้สิบรอบแล้วนับตั้งแต่องค์รัชทายาทประสูติกาลจนชันษาครบ 10 ชันษา ทุกอย่างล้วนเบ่งบานงดงามรวดเร็วดั่งใบไม้หล่นลงสู่พื้นดิน
ตำหนักเกาจิ้น ตำหนักที่ประทับแห่งองค์รัชทายาท ก่อสร้างด้วยหินอ่อนประดับหยกเขียวทั้งหลัง ด้านหน้าตำหนักขุดสร้างสระน้ำขนาดใหญ่ปลูกบัวเลี้ยงปลาจิ้นหลี่อวี๋หลากหลายสายพันธ์และสีสรร เชื่อมต่อทางเดินด้วยสะพานไม้ก่อนถึงหน้าตำหนัก น้ำในสระใสสะอาดจนมองเห็นฝูงปลาจิ้นหลี่อวี๋ว่ายเกาะกลุ่มกันเป็นฝูงท่ามกลางกอบัวที่ออก ดอกสีม่วง สีขาว สีแดงอมชมพู สีเหลือง บานแข่งกับแสงอาทิตย์ยามเช้า เมื่อมองไปยังด้านหลังของตำหนักเกาจิ้น จะปรากฏแนวทิวเขาที่ปกคลุมไปด้วยพฤษาล้อมรอบภูเขา ยามเมื่อถึงฤดูร้อนตำหนักอื่นๆ จะร้อนอบอ้าวไม่เว้นกระทั่งตำหนักเฮาจิ้ง และตำหนักหลิงกวาง หากตำหนักเกาจิ้นแห่งนี้กลับมิได้ร้อนอบอ้าวเพียงใดเนื่องจากด้านหน้าตำหนักมีสระบัวขนาดใหญ่ที่มีสายกระแสธารน้ำไหลผ่านไปยังลำธารด้านหลังภูเขาที่อยู่หลังตำหนัก ผืนป่าหลังตำหนักเกาจิ้นถือเป็นสมรภูมิฝึกซ้อมวิทยายุทธ ค่ายกลการรบทุกชนิด หากผู้ไม่พึงประสงค์จะเข้าไปยังผืนป่านั้น ก็จะต้องผ่านด่านเจ็ดค่ายกลเสียก่อนถึงจะเข้าไปยังลานฝึกวรยุทธแห่งองค์รัชทายาทได้ เมื่อองค์ฮ่องเต้มีประสงค์ที่จะพบองค์รัชทายาทก็กระทำได้เพียงรอคอยที่ตำหนักเกาจิ้น และให้องค์รักษ์นำความไปแจ้งแก่องค์รัชทายาทให้ออกมาเข้าเฝ้าองค์ฮ่องเต้ยังตำหนักเกาจิ้นเท่านั้น การรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดโดยคำสั่งขององค์ฮ่องเต้โจวกวงตี้เอง ด้วยแคว้นโจวนี้ มิได้รวมการปกครองเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน หากแต่มีแคว้นโจวถึงสองแคว้น ได้แก่ แคว้นโจวตะวันตก และแคว้นโจตะวันออก ฮ่องเต้โจวกวงตี้ เสวยราชสมบัติ ณ แคว้นโจวตะวันตก ส่วนแคว้นโจวตะวันออก ฮ้องแต้ โจวอวี้ เป็นผู้เสวยราชสมบัติ โจวอวี้ฮ่องเต้เป็นบุรุษผู้มีร่างกายกำยำล่ำสัน ผิวกายแดงค่อนข้างดำ ดวงตาเล็กเรียวคิ้วหนาเป็นปื้นใหญ่คับวงพักตร์ อุปนิสัยฝักใฝ่สงครามและมุ่งหมายที่จะยึดแคว้นโจวตะวันตกให้เป็นแคว้นเมืองขึ้นให้จนได้ หลายครั้งที่มีนักฆ่าลอบเข้ามาปลงพระชนม์องค์ฮ่องเต้โจวกวงตี้ และองค์รัชทายาท หานเจี้ย แม้นมิได้พลาดพลั้งให้แก่ศัตรูแต่ก็เกือบจบชีวิตไปหลายหน ในที่สุดฮ่องเต้โจวกวงตี้จึงมีบัญชาให้ราชองค์รักษ์เฝ้าอารักขาองค์ฮ่องเต้ องค์ฮองเฮา และองค์รัชทายาทอย่างเต็มกำลังไม่ให้มีช่องทางให้ศัตรูเข้าทำร้ายครอบครัวของพระองค์ได้ และยังทรงวางสายลับเข้าแทรกแซงในแคว้นโจวตะวันออกเพื่อเฝ้าดูความเคลื่อนไหวทุกย่างก้าว แล้วรายงานตรงต่อพระองค์โดยตรงเพื่อป้องกันการรุกรานอย่างฉับพลันของฮ่องเต้โจวอวี้ ซึ่งการนี้พระองค์ย้ำเตือนตนเสมอว่า "ความประมาทเป็นภัยถึงชีวิต"
ยามซื่อ เวลาผ่านไปหนึ่งเค่อ ฮ่องเต้โจวกวงตี้ เสด็จเข้าประทับยังตำหนักเกาจิ้น สายพระเนตรเฝ้ามองร่างแข็งแกร่งอันมีความสูงราวสิบเจ็ดเซี้ยะ วงพักต์เรียบเฉยเย็นชา ดวงตาเรียวรีรับกับสันจมูกโดงตรงจรดหว่างคิ้ว ริมฝีปากบางเม้มเกือบเป็นเส้นตรงบางเฉียบ แสดงถึงความเด็ดขาดอยู่ในที ทางด้านร่างกายนั้นแม้นยังมิเติบโตดังเช่นชายหนุ่มเต็มตัว แต่ด้วยความสูงราวสิบเจ็ดเซี้ยะ ทั้งกายสวมชุดดำแผ่รังสีความย่ำเกรง และสง่าผ่าเผยออกมาพร้อมกัน ยามก้าวย่างเงียบกริบราวพยัคฆ์จ้องตระครุบเหยื่อ บรรยากาศรอบตัวหมุนวนด้วยไอแห่งความเยียบเย็นคลอบคลุมบริเวณตำหนักเกาจิ้นดังอยู่ในยามฤดูเหมันต์ ข้าราชบริวาร องค์รักษ์รักษาพระองค์ นางกำนันตามเสด็จขบวนองค์ฮ่องเต้โจวกวงตี้ ทั้งขบวนแม้แต่หม่ากงกงเองยังต้องกลั้นหายใจยามองค์รัชทายาทเสด็จเข้าเฝ้าองค์ฮ่องเต้ ด้วยครั้นจะหายใจแรงก็เกรงพยักค์จะตระครุบเหยื่อเสีย
"คำนับเสด็จพ่อ องค์รักษ์แจ้งให้ลูกเข้าเฝ้าเสด็จพ่อด้วยเรื่องใด พะยะค่ะ " ดวงตาเรียวรีจ้องสบพระเนตรองค์ฮ่องเต้โจวกวงตี้ฉายแววเคารพย่ำเกรงและรักใคร่อย่างยิ่ง
" ไม่มีอะไร เพียงแต่พ่อได้คุยกับท่านราชครูพระอาจารย์ของเจ้าแล้ว ก็อยากมาเยี่ยมเจ้าเท่านั้น "
" เสด็จพ่อมิต้องกังวล ลูกได้ร่ำเรียนวิชาจากท่านอาจารย์ครบกระบวนความจบตามตำรามหาปราชน์ขงจื้อหมดสิ้นแล้ว ทั้งการฝึกวรยุทธ การวางค่ายกลพิชัยสงคราม ลูกก็เชี่ยวชาญยิ่งนัก เสด็จพ่อโปรดวางพระทัย พะยะค่ะ "
" ลูกพ่อ เจ้าอย่าได้ประมาททรนงตนว่าร่ำเรียนครบกระบวนความต่าง ๆ แล้ว เห็นหรือไม่ เมื่อครั้งเจ้าอายุได้ 7 ขวบ เราเกือบพ่ายแพ้ต่อกลพิษของฮ่องเต้โจวอวี้ ผู้ครอบแคว้นโจวตะวันออกเสียมิใยหากพ่ายแพ้ต่อกลพิษครั้งนั้น ข้า และ เจ้าคงหาชีวิตนี้ไม่แล้ว "
"จงจำไว้ลูกพ่อ ความประมาทจะเป็นภัยแก่เจ้าได้ " เสียงอันหนักแน่นพร่ำสอนแก่บุตรผู้เป็นที่รักมิให้กระทำการประมาทแก่ศัตรู ทั้งยังกำชับถึงอดีตที่เกือบพ่ายแพ้สูญสิ้นชีวิตไปในเหตุการณ์ที่ถูกลอบปลงพระชนม์ด้วยยาพิษแห่งแคว้นโจวตะวันออก
"ลูกจะจดจำไว้ พะยะค่ะ เสด็จพ่อ " องค์รัชทายาททรงปฏิญาณแล้วซึ่งชีวิตว่า พระองค์จะไม่ประมาทจนก่อให้เกิดภัยแก่ชีวิตของพระองค์เอง
"เจ้าสดับไว้ พ่อก็ยินดียิ่ง เห็นทีพ่อคงต้องไปพักผ่อนแล้ว เจ้าตามสบายเถิด " สิ้นเสียงฮ่องเต้โจวกวงตี้ก็สาวพระบาทตามแนวทางเดินข้ามสะพานไม้ ข้ามสระบัวไปยังทิศทางตำหนักที่ประทับ
"น้อมส่งเสด็จพ่อ พะยะค่ะ "
ความคิดเห็น