ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ห้องเก็บของNin_norN

    ลำดับตอนที่ #16 : ใบสมัครมินโฮ

    • อัปเดตล่าสุด 29 ส.ค. 52


    ใบสมัครมินโฮ
    ใช้สี
    แดง ตอบนะคะ 

    ถามผู้สมัคร


    ชื่ออะไรคะ? :: หนอน
    อายุล่ะ ::
    ความลับ (แก่แล้ว)

    นามแฝงอ่ะ:: Nin_norN

     

    คำถามตัวละคร

     

    ชื่อจริง-นามสกุล (ขอเป็นไทยนะคะ):: มล.สุดที่รัก เศวตราพิมุก

    ชื่อเล่น::ลูกรัก

    วันเกิด :: 14 ก.พ.

    นิสัย (4บรรทัดขึ้น):: เป็นคนมองโลกในแง่ดี อดทนใจเย็นไม่มีใครเกิน หัวอ่อน เชื่อคนง่าย ทำให้พ่อแม่และคนรอบข้างเป็นห่วงอย่างมาก ไม่ค่อยปล่อยให้รู้จักมักจี่กับใครง่ายๆ เรียบร้อยราวกับผ้าพับไว้ ถึงจะเป็นลูกสาวคนเดียว แต่คุณพ่อและคุณแม่ก็ไม่เคยตามใจเธอจนเป็นคนเอาแต่ใจเหมือนลูกคนมีอันจะกินทั่วไป แต่ถึงภายนอกลูกรักจะดูเงียบๆ ติ๋มๆ แต่เธอก็มีอีกหนึ่งนิสัยที่น่าสนใจ คือความร่าเริงสดใสแบบซื่อที่น้อยคนจะได้เห็นนัก เพราะทั้งคนในครอบครัวของเธหวงนักหนา เธอมักจะส่งยิ้มหวานเรียบๆตามมารยาท แทนจะส่งยิ้มสดใสจนทำให้ใครใจละลายตามแบบที่ยิ้มในคนสนิท ทำให้เธอปฏิเสธคนมาจีบได้อย่างเงียบๆ กับการวางตัวอย่างดี แต่อีกอย่างที่ดูจะขัดกับนิสัยเธอก็คือ ความรักศักดิ์ศรีที่มีมาตั้งแต่บรรพบุรุษ หากสิ่งใดที่เธอทำแล้วเสียเกียรติหล่ะก็ เธอไม่มีวันยอมทำเด็ดขาด แม้จะต้องแลกด้วยชีวิตก็ตาม ถึงเธอจะดูยอมคนไปเรื่อย ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะยอมเสียหมด บทเธอจะแข็งขืนขึ้นมา ก็เลยเอาคนรอบข้างตกใจเลยทีเดียว เรียกได้ว่า อย่าคิดเป็นศัตรูกับหญิงไทยคนนี้เลยดีกว่า เพราะเธอก็มีวิธีการต่อสู้ที่เงียบสงบจนหนาวสะท้านไปทั้งใจได้เช่นกัน

    3 คำที่บอกถึงความเป็นคุณ :: อดทน หัวอ่อน หยิ่งในศักดิ์ศรี

    ประวัติครอบครัว:: คุณพ่อเป็นเอกคัครราชทูตของไทยที่ประจำการที่กรุงลอนดอนประเทศอังกฤษ ส่วนคุณแม่ก็เป็นลูกสาวตระกูลดังในสมัยอดีตแถมยังมีเชื้อเจ้าปนอยู่ในสายเลือดอีกต่างหาก ทำให้เธอทั้งฐานะดี มีชาติตระกูล อดีตเธอมักต้องติดตามคุณพ่อและคุณแม่ที่ต้องย้ายไปทำงานอย่างไม่มีหลักแหล่งแน่นอน เธอจึงอาศัยอยู่กับคุณปู่ คุณย่า และคุณยายในบ้านหลังใหญ่ของตระกูลคุณพ่อ แต่คุณยายจะมีเรือนไทยแยกออกมาบ้านหลังใหญ่เพื่อเป็นพื้นที่ส่วนตัว ซึ่งเธอก็ชอบไปนั่งเลยที่นั่นบ่อยๆเพราะบรรยากาศเรือนไทยมันสวยน่าพิศมัยจริงๆ

    ประวัติความรัก:: ถึงจะมีคนกล้ามาจีบ แต่ก็ไม่เคยมีใครทำให้ใจเธอหวั่นไหวได้แต่น้อย ทำให้เธอยังคงครองความโสดมาได้จนถึงทุกวันนี้

    ชอบ:: ตามฉบับกุลสตรีไทยเรื่องงานบ้านงานเรือนไม่ขาดตกบกพร่อง ส่วนเรื่องทำครัวเธอก็ไม่แพ้ใคร เธอมักจะให้คุณยายสอนอาหารไทยแบบโบราณอยู่บ่อยครั้ง และให้คุณย่าสอนทำอาหารต่างชาติ และไม่ใช่แค่เรื่องทำเท่านั้นที่เธอชอบ เรื่องกินเธอเองก็ไม่น้อยหน้าใครเหมือนกัน

    ไม่ชอบ:: คนที่ดูถูกคนอื่น

    เกลียด:: เธอไม่เคยถูกสอนให้เกลียด เพราะคำว่าเกลียดถือเป็นคำที่รุนแรงเป็นอย่างมาก ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีข้อดีที่ควรได้รับการให้อภัย แม้แต่แมลงสาบ ถึงมันจะสกปรกไม่น่ารัก แต่มันก็ช่วยสร้างสมดุลให้โลก เมื่อถามว่าเธอเกลียดอะไร เธอนึกไม่ออกทีเดียว (แต่ตั้งแต่เจอหน้านายพอร์ซ คำว่าเกลียด เริ่มจะเข้ามาอยู่ในพจนานุกรมของเธอแล้วหล่ะ)

    ความสามารถพิเศษ เธอสามารถเล่นเครื่องดนตรีสากลได้ทุกประเภท แต่ที่เธอชื่นชอบเป็นพิเศษก็คงจะเป็นเปียโนที่สามารถถ่ายทอดโน้ตดนตรีได้ทุกอารมณ์ตามต้องการ

     อิมเมจ(4+) ::



    35370678518822ac7.jpg 






    ชื่ออิมเมจ :: ยุนอา SNSD

    รูปคู่ของคุณ :: 







    คำถามชิงบท

    1.
    คุณเต็มใจแต่งงานรึป่าวคะ :: ไม่เต็มใจอยู่แล้ว ใครมันจะบ้าเต็มใจแต่งงานกับคนที่ไม่รักเล่า

     

    2.คุณเป็นคนชอบฟังเพลง แล้ววันหนึ่ง คุณเดินเล่นอยู่ในห้าง หูก็ฟังเพลงไปด้วยระหว่างนั้น คุณเดินชนกับใครคนหนึ่ง แล้วเพลงนั้นคือเพลงอะไรคะ (ขอชื่อเพลง คนร้องและเนื้อเพลงด้วยค่ะ ถ้าเป็นเพลงเกาหลีขอคำแปลด้วย) ::

    Prisoner of Love

    Utada Hikaru 

     

    Heiki na kao de uso wo tsuite

    Waratte iyake ga sashite

    Raku bakari shiyou to shiteita

     

    Naimononedari buruusu

    Minna yasuragi wo motometeiru

    Michitariteru no ni ubaiau

    Ai no kage wo otteiru

     

    Taikutsu na mainichi ga kyuu ni kagayakidashita

    Anata ga arawareta ano hi kara

    Kodoku demo tsurakute mo heiki da to omoeta

    I’m just a prisoner of love

    Just a prisoner of love

     

    Yameru toki mo sukoyaka naru toki mo

    Arashi no hi mo hare no hi mo tomoni ayumou

     

    I’m gonna tell you the truth

    Hitoshirezu tsurai michi wo erabu

    Watashi wo ouen shite kureru

    Anata dake wo tomo to yobu

     

    Tsuyogari ya yokubari ga muimi ninarimashita

    Anata ni ai sareta ano hi kara

    Jiyuu demo yoyuu demo hitori ja munashii wa

    I’m just a prisoner of love

    Just a prisoner of love

     

    Oh mou sukoshi da yo

    Don’t you give up

    Oh misute nai zettaini

     

    Zankoku na genjitsu ga futari wo hikisakeba

    Yori issou tsuyoku hikare au

    Ikurademo ikurademo ganbareru ki ga shita

    I’m just a prisoner of love

    Just a prisoner of love

     

    Arifureta nichijou ga kyuu ni kagayaki dashita

    Kokoro wo ubawareta ano hi kara

    Kodoku demo tsuraku demo heiki da to omoeta

    I’m just a prisoner of love

    Just a prisoner of love

     

    Stay with me, stay with me

    My baby, say you love me

    Stay with me, stay with me

    Hitori ni sasenai

     

    -------------------------------------------------

     

    Translation

     

    เธอเอ่ยคำลวงได้โดยสีหน้าไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อย

    หัวเราะจนกระทั่งเหนื่อยล้า

    แค่สนุกก็พอเธอบอกอย่างนั้น

     

    ต้องโศกเศร้าด้วยความปรารถนาที่ไม่มีทางเป็นจริง

    ทุกคนต่างก็มองหาความเงียบสงบ

    เธอกลับพอใจกับการดิ้นรน

    เฝ้าเอาแต่ไล่ตามเงาของความรัก

     

    ตั้งแต่วันที่เธอปรากฏกายขึ้น

    วันอันหม่นมัวของฉันก็เริ่มสว่างไสว

    มาตอนนี้ ฉันถึงได้คิดว่า ความเหงา ความเจ็บปวด ก็ไม่เลวนักหรอก

    I’m just a prisoner of love

    Just a prisoner of love

     

    ทั้งยามที่ต้องปวดร้าวและยามที่มีความสุข

    วันที่ต้องพายุหรือวันที่ฟ้าใส มาก้าวเดินไปด้วยกันเถอะ

     

    I’m gonna tell you the truth

    ฉันได้เลือกหนทางอันเจ็บปวดที่ไม่สามารถคาดเดาได้ไป

    เธอ ผู้เป็นกำลังใจให้ฉัน

    เป็นเพียงหนึ่งเดียวที่ฉันเรียกว่าเพื่อนได้

     

    การเสแสร้งว่าแข็งแกร่งและความโลภกลายเป็นเพียงเรื่องไร้ความหมาย

    ฉันตกหลุมรักเธอตั้งแต่วันนั้น

    แม้จะได้รับอิสระ หรือมีเวลาส่วนตัว แต่ในความโดดเดี่ยวนั้นไร้ซึ่งชีวิต

    I’m just a prisoner of love

    Just a prisoner of love

     

    อีกเพียงนิด

    Don’t you give up

    อย่าทอดทิ้งฉันไป

     

    Just a prisoner of love

    หากความเป็นจริงอันโหดร้ายพยายามแยกเราออกจากกัน

    เราก็จะอยู่ใกล้กันและกันให้มากยิ่งขึ้น

    ไม่ว่าอย่างไร ไม่ว่าอย่างไร ฉันก็รู้สึกได้ว่าเราจะยังยืนอยู่ได้อย่างมั่นคง

    I’m just a prisoner of love

    Just a prisoner of love

     

    ทุกวันที่ซ้ำซากจำเจเริ่มส่องประกายขึ้นอย่างรวดเร็ว

    วันนั้นเธอได้ขโมยหัวใจของฉันไป

    ความเหงาและความปวดร้าว ฉันคิดว่าฉันทนได้

    I'm just a prisoner of love

    Just a prisoner of love

     

    Stay with me, stay with me

    My baby, say you love me

    Stay with me, stay with me

    อย่าทิ้งฉันให้ต้องโดดเดี่ยวอีกเลย


    3.วันหนึ่งคุณไปดูตัวตามที่คุณพ่อคุณแม่บอก คุณเจอกับเขาครั้งแรกคุณกับเขาก็ร้องเสียงหลงทันที แล้วคุณจะพูดยังไงต่อล่ะ (ขอตั้งแต่ตอนที่เดินเข้าไปในสถานที่นัด จนถึงตอนที่เขาบอกว่าจะแต่งรึไม่แต่งเอาตามที่บอกในคาแร็คเตอร์เลยนะคะ บทพูดนะคะ)

              ถึงฉันจะไม่ใช่คนหัวอ่อน หรือพวกหัวโบราณที่จะต้องยอมโอนอ่อนตามพอแม่ในเรื่องคลุมถุงชน แต่ฉันก็ไม่ใช่คนดื้อด้านจนไม่มีเหตุผลจนเกินไป เมื่อพ่อแม่ขอร้องให้มาดูตัว

                ฉันก็ไม่ได้คิดจะสนับสนุนวิธีการแบบนี้เท่าไหร่หรอกนะ แต่เพื่อให้บัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่น ก็ต้องจำยอมมาก่อนหล่ะ ไม่แน่ว่าผู้ชายคนนี้อาจจะเป็นพรหมลิขิตของฉันก็ได้

                “ลูกรัก รีบๆเดินเข้ามาซิจ้ะ ฝ่ายพี่พอร์ซรอนานแล้วนะ” คุณแม่กวักมือเรียกฉันที่กำลังเหม่อให้เดินเข้าไป

                “ขอโทษนค่ะ ที่ให้รอ” ฉันรีบขอโทษตามมารยา

    “คุณ!!! / เธอ!!!” ทันทีที่เงยหน้า ฉันกับผู้ชายข้างหน้าก็ร้องเสียงหลงพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย

    จะไม่ให้ฉันร้องได้ไหงเล่า ก็ผู้ชายคนนี้เป็นผู้ชายคนเดียวกับที่ฉันเจอเมื่อหลายวันก่อน

    ไอ่เรื่องที่เดินชนกันน่ะไม่ได้ทำให้มีความพิเศษอะไรหรอก แต่ที่สำคัญก็คือ เค้าดันเป็นผู้ชายคนแรกในชีวิตที่ทำให้ฉันใจเต้นแรงได้ภายในเสี้ยววิน่ะซิ แล้วนี่ฉันจะได้แต่งงานกับผู้ชายคนนี้เหรอ...-///-

    “อ้าว รู้จักกันแล้วเหรอเนี่ย” ผู้ใหญ่ทางฝ่ายชายเอ่ยขึ้น

    “เปล่าค่ะ / ครับ” ทั้งฉันและเค้าพูดพร้อมกับอีกครั้ง แต่คนละประโยค

    “สรุปว่าไงกันแน่เนี่ยสองคน” คุณแม่ยิ้มมองขำๆ

    “แต่ไม่ว่าจะรู้จักกันหรือไม่ ยังไงทั้งสองคนก็ต้องรู้จักกันวันนี้อยู่ดี” คุณพ่อว่า

    “ผมว่า เราปล่อยให้เด็กทำความคุ้นเคยกันดีกว่านะครับ พวกแกจะได้ตัดสินใจว่าจะตกลงเรื่องแต่งงานยังไง” ญาติฝ่ายชายเสนอ

    “ก็ดีครับ งั้นก็คุยกันดีๆหล่ะ ตาพอร์สก็อย่าแกล้งน้องนะลูก” คุณพ่อยิ้มให้พวกเราสองคน แล้วโอบคุณแม่เดินออกไป

    เมื่อผู้ใหญ่ออกไปจากห้องหมด ความเงียบก็เข้าปกคลุมภายในห้องอีกครั้ง แถมยังลากเอาความอึดอัดแถมมาอีกด้วย และดูท่าทีแล้ว ผู้ชายข้างหน้าไม่เห็นก็มีทีท่าอะไรเลย

    “เอ่อ...ดิฉัน มล.สุดที่รัก เศวตราพิมุก ชื่อเล่น ลูกรัก ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ” ฉันเป็นฝ่ายทนความเงียบไม่ไหว จึงเริ่มด้วยการแนะนำตัวก่อน

    “พอร์ส” คนตรงหน้าแนะนำตัวสั้นๆ

    กอดอกมองฉันเหมือนพิจารณา เล่นเอาหัวใจฉันที่ตอนแรกมันเต้นแรงอยู่แล้ว ยิ่งเต้นผิดจังหวะเข้าไปใหญ่ แบบนี้เค้าจะรู้มั้ยเนี่ย ว่าฉันแอบชอบเค้าน่ะ

    “จริงๆเธอก็หน้าตาดี ไม่น่าจะหาสามียากเลยนะ” พอร์สเอ่ยขึ้นเรียบๆ ทำเอาฉันต้องเงยหน้าขึ้นมามองด้วยความงง

    “ไม่ต้องมาทำหน้าแบ๊วเลย ก็เล่นถ่อมาให้ฉันดูตัวแบบนี้ อยากมีสามีจนตัวสั่นไม่ใช่รึไง อ๋อ หรือจะระบุให้แคบลง คงอยากได้ฉันจนตัวสั่นหล่ะซิ เป็นถึงลูกจงลูกเจ้า แต่เลือดผู้ดีไม่ได้ช่วยให้นิสัยแรดร่านแบบผู้หญิงทั่วไปลดลงเลย” นายพอร์สขยายความต่อ จนฉันเข้าใจในความหมายแจ่มแจ้ง

    ตั้งแต่ไอ่วันที่เดินชนกัน นายนี่ก็ไม่ยอมขอโทษ ฉันก็ยอมให้อภัยเพราะดันหลงผิดคิดว่านายเป็นพรหมลิขิตของฉัน แต่มาวันนี้ปากเสียขนาดนี้ ก็จบกันไปเลยดีกว่าไอ่ขี้เก๊ก

    “ถ้าคุณคิดแบบนี้ ฉันว่าเราคงไม่ต้องทำความรู้จักอะไรกันอีกแล้วหล่ะค่ะ ฉันว่าเราคงมีตัวเลือกเกี่ยวกับคำตอบในการดูตัวครั้งนี้แล้ว” ฉันลุกขึ้นเตรียมออกไปจากห้อง

    “อะไรกัน นี่เธอจะรีบไปตอบตกลงเลยหรอ ยังผ่านไปไม่ถึงสิบนาทีเลยนะ ใจง่ายจริงๆ”

    เพี๊ยะ

    ไม่ทันที่จะรู้ตัว ฝ่ามือฉันก็เหวี่ยงไปกระทบหน้าอีกฝ่ายอย่างแรง จนขึ้นเป็นรอยนิ้วสีแดงจางๆบนแก้มอีกฝ่าย

    “นี่เธอกล้าตบฉันหรอ” พอร์สกัดฟันข่มอารมณ์โกรธที่พวยพุ่ง

    “กล้าหรือไม่ฉันไม่รู้ แต่หน้าคุณก็มีของที่ระลึกจากการดูตัวแล้วนิ” ฉันตอบอย่างกวนๆ ทั้งๆที่ในใจเริ่มกลัวกับท่าทีของเค้าไปเสียแล้ว

    “อยากตายใช่มั้ย” พอร์สพุ่งเข้ามาจับตัวฉันอย่างเร็ว ตะคอกใส่หน้าฉันด้วยน้ำเสียงดุดัน

    “ก็คุณมาดูถูกฉันก่อนทำไมเล่า” ฉันพยายามฝืนสบสายตาอีกฝ่ายอย่างท้าทายตามนิสัยที่ไม่ยอมให้ใครมาหยามเกียรติได้

    “ทำไม พูดแทงใจดำรึไงห๊ะ” พอร์สบีบแก้มฉันอย่างแรง

    “พอได้แล้ว ในเมื่อคุณไม่ชอบใจฉัน ก็ปฏิเสธการแต่งงานไปซิ ฉันเองก็จะไปปฏิเสธเหมือนกัน” ฉันรีบสะบัดตัวออก เมื่อเค้าเผลอ

    “คิดจะตบหน้าฉันแล้วชิ่งรึไง” พอร์สยังคว้าแขนฉันอย่างเอาเรื่อง

    “งั้นนายจะทำไง ตบฉันคืนรึไง ก็เอาซิ ถ้ามันจะทำให้เลิกแล้วต่อกันก็เอาเลย ฉันไม่ได้พิสวาสอยากอยู่กับคุณนักหรอกนะ” ฉันยื่นหน้าท้าทาย

    เสียแรงที่ดันคิดว่าซาตานเป็นเทพบุตรจริงๆเลยฉัน

    “คิดว่าประชดแบบนี้แล้วฉันไม่กล้าตบเธอรึไง” พอร์สบีบแขนฉันแรงขึ้นจนรู้สึกเจ็บ

    “ผู้ชายอย่างคุณ ฉันไม่แปลกใจหรอกว่าจะกล้าตบฉันน่ะ เร็วๆเข้า จะรีบทำอะไรก็ทำ ฉันจะได้รีบไป” ฉันพูดอย่างรำคาญ

    “ได้ ในเมื่อเธออยากลองดีก็เอา” พอร์สกระตุกยิ้มร้าย ทำเอาฉันตอบรีบหลับตารับชะตากรรม

    จากแรงที่หมอนั่นบีบแขนฉันจะหัก ก็พอรู้แล้วว่าหมอนี่แรงเยอะขนาดไหน นี่ถ้าฉันโดนตบ หน้าฉันจะเบี้ยวถาวรมั้ยเนี่ย

    แต่แล้วแทนที่จะเป็นฝ่ามือหยาบกร้าน สิ่งที่ฉันเจอกลับเป็นริมฝีปากเรียวนุ่มบดขยี้เข้ามีปากฉันอย่างแรงจนฉันตกใจ

    แม้ว่าจะพยายามผลักทุบตีให้ร่างหนาข้างหน้าออกไป แต่ก็ดูเหมือนอีกฝ่ายกลับไม่สะทกสะท้าน แถมยังพยายามแทรกเรียวลิ้นชื้นเข้ามาในโพรงปากของฉันอีก

    “กรี๊ด!!! อกอีแป้นจะแตก” คุณแม่ที่เปิดประตูเข้ามาร้องอย่างตกใจ แต่เหมือนนายนั่นจะไม่รู้สึกรู้สายังคงเดินหน้าจูบฉันตอนไป ราวกับจากสูบชีวิตฉันไปให้ได้

    “อืม..อือ...” แรงประท้วงฉันเริ่มแผ่วลง เพราะนอกจากชีวิตนี้จะไม่เคยจูบกับใครแล้ว นายนี่ฉันจูบนายจนฉันหายใจติดขัด

    “ปากหวานดีนะเธอ” นายพอร์สยอมถอนริมฝีปากออก เมื่อเห็นว่าฉันเริ่มจะหายใจไม่ออก

    “พอร์ส เธอทำแบบนี้ลุงไม่ชอบใจเลยนะ” คุณพ่อพูดเสียงเข้ม

    “ขอโทษทีครับคุณลุง น้องลูกรักน่ารักไปหน่อยจนผมอดใจไม่อยู่ ผมยินดีรับผิดชอบโดยการแต่งงานกับน้องครับ” นายพอร์สพูดด้วยสีหน้ารู้สึกผิดซะเต็มประดา

    ห๊า!!! รับผิดชอบแต่งงาน

    อ๊าย...ไอ่บ้านไหนบอกว่าฉันแรดไง จะมาแต่งกับฉันทำไม

    “ไม่นะค่ะ ลูกรักไม่....” ก่อนที่จะปฏิเสธได้ นายพอร์สก็รีบใช้มือปิดปากฉันอย่างรวดเร็ว

    “สงสัยน้องคงจะเขินน่ะครับ แต่เราตกลงจะแต่งงานกันเรียบร้อยแล้วหล่ะครับ คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ” นายพอร์สกอดฉันแน่น เมื่อฉันเริ่มดิ้นแรงขึ้นเรื่อยๆ

    “อ่า...ก็คงต้องเป็นอย่างนั้นแหละจ้ะ พอร์สเล่นมาจูบเปิดซิงลูกสาวป้า เอ้ย แม่ไปแล้วนิ” คุณแม่พูดอย่างเป็นกันเอง

    “สรุปว่าครอบครัวเราสองคนเป็นอันเห็นด้วยทั้งสองฝ่ายนะครับ แล้วทางผมจะไปดูฤกษ์แต่งมาเอง” ญาติฝ่ายชายกล่าว

    “งั้นเราไปตกลงเรื่องการจัดงานกับสถานที่กันดีกว่านะค่ะ ปล่อยให้เด็กๆทำความคุ้นเคยกันต่อดีกว่า อ๋อ แม่ฝากพอร์สไปส่งน้องด้วยนะจ้ะ”

    “ได้ครับ”

    “นายจะบ้าเหรอ พูดแบบนั้นได้ไง รังเกียจฉันไม่ใช่รึไง” ฉันรีบโวยวายทันที เมื่อถูกปล่อยเป็นอิสระ

    “ก็ใช่ แต่ในเมื่อเธอยิ่งไม่อยากอยู่กับฉันมากเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งอยากอยู่กับเธอมากเท่านั้น” นายพอร์สเดินเข้ามาประชิดตัวฉัน

    “ถอยไปห่างๆเลย บอกว่าฉันแรดร่านไม่ใช่รึไง ไปปฏิเสธการแต่งงานเดี๋ยวนี้นะ” ฉันดันนายพอร์สออก

    “ไม่ เธออยากได้อะไรฉันจะไม่ทำ อ๋อ ถ้าเธอไปปฏิเสธเองก็ลองคิดดูแล้วกันนะ ว่าพ่อแม่ที่เป็นผู้ดีเก่าต้องมาเห็นลูกสาวจูบกับผู้ชายที่ไม่ได้แต่งงานด้วยเนี่ย ท่านจะรู้สึกยังไง อยากจะให้อับอายไปทั้งต้นตระกูลก็เอา”

    “นายขู่ฉันเหรอ”

    “ฉันไม่ได้ขู่ แต่ว่าเธอก็ถ่ายรูปขึ้นเหมือนกันนะ” นายพอร์สหยิบโทรศัพท์มือถือจ่อตรงที่หน้าฉัน บนหน้าจอเป็นหน้าฉันกำลังจูบกับผู้ชายคนหนึ่งอยู่

    “ถ้าเธอไม่อยากให้ฉันเอารูปนี้ไปเผยแพร่ ก็แต่งงานกับฉันซะ อ๋อแล้วที่ให้แต่งน่ะ ไม่ได้พิสวาสหรอกนะ แต่ฉันแค่อยากได้ทาสมาใช้งานเล่นก็เท่านั้น ฮ่าๆๆ” พอร์สเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋า แล้วเดินออกไปจากห้อง

    สรุปแล้ว...ฉันต้องแต่งใช่มั้ยเนี่ย???

     

    4.หลังจากที่คุณแต่งงานกับเขา เขาก็อารมณ์เสียใส่คุณบ่อยๆ ไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม เหมือนกับว่าคุณเป็นที่ระบายของเขา วันหนึ่ง... เขามีเรื่องกับพรรคอื่น เขาโมโห และเสียอารมณ์ เขาลับมาหาคุณ ระบายอารมณ์ แต่คราวนี้ถ้าจะหนัก เขาจูบคุณ คุณตกใจเลยพลั้งมือตบหน้าเขา เขาโกรธ แล้วก็จับคุณ... ปล้ำ(- -) คุณโมโหเขา คุณทั้งตวาด ทั้งตบ ทั้งตี ทั้งกระชาก ทั้งด่า และสารพัด และคุณก็ต้องตกใจสุดขีด เมื่อเขาเปลี่ยนโหมดตัวเอง ขอโทษคุณ แล้วเขาก็ล้มลงไป เขาไข้ขึ้น คุณตกใจอย่างมาก แล้วคุณจะทำยังไงต่อล่ะ...? (บทพูด ตั้งแต่เขากลับมาหาคุณ)   ::

              ปัง!!!

                เสียงปิดประตูดังขนาดนี้ไม่บอกก็รู้ว่าใครกลับมาบ้านแล้ว

                อีกไม่นานคงไม่แคล้วตะโกนโหวกเหวกโวยวายหาเรื่องเรียกฉันไปด่าหรอก

                “ยัยลูกรัด เธออยู่ไหน” นั้นไง ไม่ทันขาดคำ

                ฉันเดินเข้ามาอย่างเซ็งๆ เพราะถ้าไม่ยอมมานั่งฟังตานั่นตะคอกหล่ะก็ โดนหมอนั่นเจอตัวเมื่อไหร่ ได้มีเรื่องกันยาวกว่าเก่าแน่

    อะไรที่ทนได้ ก็ทนๆไปหน่อยแล้วกัน

                “เป็นเมียน่ะ ผัวเดินกลับมาก็ช่วยยิ้มรับหน่อยได้มั้ย” ทันทีที่เห็นหน้าก็สาดคำหยามคายใส่หน้าทันที

                “แล้วปกติสามีที่ไหน กลับมาบ้านแล้วตวาดใส่ภรรยาบ้างหล่ะค่ะ” ฉันยิ้มบางๆประชดกลับ

                “อ๋อ เดี๋ยวนี้กล้าต่อปากต่อคำเหรอห๊า” พอร์ซจ้องฉันจนตาแทบจะถลนออกมา

                “ช่างเถอะ นายอยากจะพูดอะไรก็พูดไป ฉันก็มาฟังแล้วนิ” ฉันกอดอกนั่งโซฟาไขว่ห้างมองหมอนั่น

                “เธอคิดจะกลัวประสาทฉันใช่มั้ย” พอร์ซกระชากฉันให้ลุกขึ้นยืน

                “ใครจะไปกล้าทำคุณชายพอร์ซแห่งพรรคมังกรไฟได้หล่ะค่ะ เก่งแต่กับผู้หญิง” ประโยคท้ายประชดเบาๆอย่างอดไม่ได้

                “เมื่อกี้เธอว่าอะไรนะ” มือสองข้างที่จับอยู่ที่ต้นแขนบีบแรงขึ้น จนรู้สึกปวดแปลบเลยทีเดียว

                “ก็ได้ยินว่าอะไรเล่า ถ้านายรู้จักระงับอารมณ์บ้าง ไม่ใช่เอะอะก็โวยวายใช้กำลัง ปัญหาที่เกิดขึ้นมันก็แก้ไปได้ง่ายเองแหละ แต่เพราะนายมัวแต่ใข่อารมณ์น่ะซิ ถึงได้สู้พรรคนั้นเค้าไม่ได้น่ะ” ฉันว่าอย่างเหลือทน

    หมอนี่ดีแต่โทษคนอื่น ไม่มองตัวเองเลยว่าปัญหาที่เกิดน่ะมันเพราะใคร

    “เธอกล้าว่าฉันหรอ”

    “พอร์ซ ฉันแค่อยากเตือนสตินาย ใจเย็นลงบ้าง แล้วนายจะรู้ว่าปัญหามัน...อุ๊บ” ไม่ทันทีฉันจะพูดจบ ริมฝีปากหน้าก็โน้มลงบดคลึงบนริมฝีปากของฉันทันที ลิ้นร้อนแทรกตัวเข้าไปในโพรงปากนุ่มก่อนจะตวัดไปทั่วจนเกี่ยวรัดกับลิ้นเล็ก

    จูบเร่าร้อนที่ไม่มีได้สัมผัส ทำเอาสมองเบลอไปหมด แต่เมื่อมือหนาเลื่อนลงไปลูบไล้ไปใต้ชุดกระโปรงลูบต้นขาอ่อนอย่างถือวิสาสะ ทำให้สติถูกดึงกลับมา

    ฉันพยายามดิ้นรนทั้งจิก ทั้งตีลงไปหลังหนา แต่ก็ดูจะไม่สะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย

    “หยุดเดี๋ยวนี้นะ ฉันบอกให้หยุด” เมื่อปากเป็นอิสระ ฉันรีบตวาดให้หมอนั่นหยุดการกระทำบ้าๆ

    แต่ยิ่งว่าเหมือนยิ่งยุ เมื่อฝ่ามือร้อนอีกข้างเคล้นคลึงหน้าอก ริมฝีปากหนาดูดเม้มเนินเนื้อแถวต้นคอจนเกิดรอยแดง

    ฉันจะทำยังไงดี ถึงนายนี่จะได้ชื่อว่าสามี ได้ฉันไม่ได้หรอกนะ ถ้าความบริสุทธิ์ที่รักษาไว้ จะถูกพรากไปด้วยการกระทำที่ป่านเถื่อนแบบนี้

                “พอร์ส ถ้านายยังไม่หยุด ฉันจะเกลียดนายไปทั้งชีวิตเลย” ฉันเสียงดัง หวังจะให้คำพูดสะกิดเข้าไปในหัวหนาๆของเค้าบ้าง

                ดูเหมือนจะได้ผล การกระทำป่าเถื่อนนั้นก็หยุดลงอย่างรวดเร็ว จนฉันไม่รู้จะควรจะสู้ต่อ วิ่งหนี หรืออยู่เฉยๆแบบนี้ดี

    มือหนาทั้งสองข้างจากที่เคยตรึงมือฉันแน่น เปลี่ยนมาเป็นสวมกอดหลวมๆเหมือนอยากจะบอกผ่านความรู้สึกผิด

    “ขอโทษ....” คำพูดสั้นๆของมาจากปากอีกฝ่ายอย่างไม่คาดคิด ทำให้ฉันต้องเงยหน้ามองเค้า แต่ไม่ทันจะได้สบตาคม ร่างทั้งร่างของเค้าก็ทรุดลงทับร่างฉันอย่างหมดแรง

    “นายจะทำอะไรน่ะ” ฉันพยายามดันร่างเค้าออกไป แต่ฉันกลับต้องตกใจ เมื่อผิวหนังเค้ามีไอร้อนออกมาราวกับจะรุดเป็นไฟ

    “ไม่สบายเหรอเนี่ย” ฉันใช้หลังมือแตะหน้าผากด้วยความเป็นห่วง

    เป็นห่วง? นี่ฉันเป็นห่วงผู้ชายใจร้ายแบบนี้น่ะเหรอ

    ทั้งๆที่ก่อนหน้าที่ไม่ถึงชั่วโมง นายนั่นทั้งปากร้าย ขี้โมโห แถมยัง....เกือบจะทำลายฉันไปทั้งชีวิต ทำไมฉันถึงได้มีความคิดบ้าๆเป็นห่วงผู้ชายเลวๆแบบนี้นะ

    ช่างเถอะ คนกำลังจะตายตรงหน้า คนดีๆปกติเค้าก็ต้องเป็นห่วงอยู่แล้วสิ

    ฉันปัดความคิดสับสนในใจออกไป ก่อนจะให้มาสนใจคนข้างหน้าที่นอนไม่ได้สติ

    “ตัวนายก็หนักขนาดนี้ ฉันจะลากไปที่เตียงได้ไงเนี่ย”

    ในที่สุดฉันก็ตัดสินใจ เอาผ้ากับหมอนมาปูให้คุณชายพอร์ส ก่อนจะยกน้ำกับผ้ามาเช็ดตัว

    จริงๆแล้วนายก็หน้าตาใช้ได้นะเนี่ย เสียไอ่ตรงที่ปากหมา ขี้โมโห ไม่รู้จักเกรงใจคนอื่น ขี้โวยวาย แต่พอมานอนสงบปากสงบคำแบบนี้ค่อยใช้ได้หน่อย

    “อืม...หนาว หนาวจังเลย” คนป่วยเพ้อออกมา นอนขดกอดตัวเองแน่นด้วยความหนาว ทั้งๆที่ฉันก็ห่มผ้าให้ผืนหนึ่งแล้ว

    ชิส์...เพ้อเหมือนเด็กๆไปได้ฉันส่ายหน้ายิ้มน้อยๆ ลุกขึ้นไปหยิบแต่ห่มให้คนป่วยขี้อ้อนอีกผืน

    “ว้าย!!!” ฉันร้องเสียงหลง เมื่อคนป่วยที่น่าจะนอนไม่ได้สติกลับคว้ามือฉันไว้ แล้วดึงลงไปล้มทับตัวเอง

    “ลูกรัก ฉันขอโทษ เธออย่าเกลียดฉันเลยนะ” ฉันขมวดคิ้ว มองคนที่ละเมออีกรอบ ว่าตกลงหมอนี่สลบจริง หรือแกล้งกันแน่

    แต่ลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอกับอาการหนาวสั่นแบบควบคุมตัวเองไม่ได้แบบนี้ คงจะคิดเป็นอื่นไม่ได้แน่ๆ

    “คิดว่าขอโทษแล้วจะหายรึไง ตาทึ่ม” ฉันเอานิ้วจิ้มหน้าผากสั่งสอนไปที คิดว่าป่วยแล้วทำเป็นละเมอฉันจะใจอ่อนรึไง

    “นายพอร์ส ถ้านายไม่ปล่อยฉัน ฉันจะเอาพาห่มให้นายได้มั้ย” ฉันบ่นเบาๆ เมื่อคนไข้กอดฉันแน่นไม่ยอมปล่อยซะที

    “อย่าไปเลยนะลูกรัก อย่าทิ้งฉันไว้คนเดียว” คนป่วยยังคงเพ้อไม่หยุด แถมยังกอดฉันแน่นกว่าเก่าจนเนื้อแทบจะแทรกหายเข้าไปในร่างกายอีกฝ่ายได้อยู่แล้ว

    “แล้วฉันจะไปไหนได้เล่า เล่นกอดซะแน่นขนาดนี้” ฉันค้อนให้กับคนไม่ได้สติ

    ดูท่าคงต้องปล่อยเลยตามเลยหล่ะมั้ง ก็เล่นกอดไว้ไม่ปล่อยแบบนี้ ส่วนไอ่เรื่องอาการหนาวสั่นก็เริ่มหายไปแล้ว ดูท่าคำโบราณที่ว่า หนาวเนื้อห่มเนื้อ จะหายหนาวคงได้ผลหล่ะมั้ง

    ฉันยิ้มน้อยๆมองคนป่วย ก่อนจะค่อยๆเผลอหลับไปด้วยความเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน

     

    5.ตอนจบของคุณล่ะ?? (บทพูดค่ะ)

                อรุณสวัสดิ์เจ้าหญิง วันนี้กระผมเตรียมชุดไว้ให้ท่านในห้องน้ำแล้ว กรุณาอาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อย อาหารมื้อพิเศษกำลังรอคุณอยู่

                                                                            จาก....เจ้าชายตาโต

                “อะไรของเค้านะ” ฉันมองโน้ตที่ติดอยู่ที่หัวเตียงอย่างงงๆ

                เมื่อเดินเข้าไปในห้องน้ำ ชุดเดรสสีขาว เนื้อผ้าบางเบา ถูกแขวนอยู่ยนที่แขวน ด้วยสีของสุดอาจจะดูราบเรียบ แต่จากดีไซน์และเหลื่อมที่ใส่ตกแต่ง ถ้าจะบอกว่าชุดนี้เป็นชุดแต่งงานขนาดย่อม ก็คงไม่มีใครสงสัยแน่ๆ

                ตานั่นคิดจะทำอะไรกันแน่ ตั้งแต่วันนั้นเค้าก็เริ่มเปลี่ยนไป จากที่วันๆดีแต่อารมณ์เสีย วีนใส่คนนู่นทีคนนี่ที กลายเป็นผู้ชายที่แสนจะเอาใจเก่ง แม้เค้าจะไม่พูดออกมาเป็นคำพูดเท่าไหร่ แต่การกระทำเหล่านั้นก็ทำให้ฉันอดรู้สึกดีไม่ได้

                ฉันใช้เวลาอยู่นานกว่าจะแต่งหน้าทำผมเสร็จ ก็หมอนั่นเล่นเตรียมชุดซะสวย จะให้ฉันปล่อยตัวเป็นยัยเพิ้งได้ไงเหล่า

                “สวัสดีค่ะคุณหนู วันนี้คุณหนูของนมสวยเหมือนกับเทพธิดาอย่างที่คุณพอร์ซเธอบอกจริง” แม่นมประจำตัวฉันที่น่าจะอยู่บ้านพ่อแม่ยืนส่งยิ้มให้ที่ใต้บันได

                “นมปีป นมมาได้ไงค่ะ” ฉันรีบเดินลงมาหาด้วยความดีใจ

                “คุณพอร์ซเธอไปรับนมมาให้ช่วยสอนทำข้าวต้มปลาของโปรดคุณหนูไงหล่ะค่ะ เนี่ยคุณพอร์ซเธอทำเองล้วนๆเลยนะค่ะ นมไม่ได้แตะอะไรเลย” นมปีปโอบฉันเดินเข้ามาที่โต๊ะกินข้าว มีกลิ่นหอมของข้าวต้มสูตรชาววังลอยเตะจมูกเข้ามา

                หมอนั่นเนี่ยนะทำเอง แล้วนี่หายไปไหนหล่ะเนี่ย

                “แล้วเค้าไปไหนเหรอค่ะ”

                “ไว้คุณหนูทานให้เสร็จก่อนแล้วจะทราบเองหล่ะค่ะ เดี๋ยวนมไปเอาน้ำส้มที่คุณพอร์ซคั้นไว้ให้ มาให้ก่อนนะค่ะ” นมปีปยิ้มบางๆ แล้วเดินเข้าครัวไป

                ข้าวต้ม? น้ำส้ม? นี่มันใช่การกระทำของตาพอร์ซขี้เก๊กนั่นจริงๆรึเปล่านะ คิดจะทำอะไรของเค้ากันแน่

                อร่อยจัง ทันทีที่ตั้งข้าวต้มเข้าปาก รสชาติสูตรเฉพาะแบบที่โปรดปราน ทำเอาอดปลิ้มกับคนทำไม่ได้ น้ำส้มก็หวานอร่อยแสดงถึงความตั้งใจของคนทำได้ดีจริงๆ

                “แหม...อร่อยซินะค่ะ ทานซะสองชามเลย” นมปีปยิ้มล้อ

                “โธ่ ก็สูตรของนมจะไม่อร่อยได้ไงหล่ะค่ะ” ฉันกอดอ้อน

                “แต่นมว่ามันเป็นเพราะคุณพอร์ซมากกว่า คุณหนูถึงได้ยิ้มแก้มปริทานข้าวต้มแบบนั้นน่ะ อ๊ะ นี่ค่ะ จดหมายจากคุณพอร์ซ”

                ฉันรับซองจดหมายสีชมพูมา ก่อนจะรีบเปิดอ่านด้วยความสงสัย

    อาหารคงจะอร่อยถูกใจนะครับเจ้าหญิง เอาไว้วันหลังกระผมจะทำให้ทานใหม่นะครับ แต่ตอนนี้ขอเชิญเจ้าหญิงขึ้นราชรถที่เตรียมไว้ก่อนดีกว่านะครับ

                                                                            จาก....เจ้าชายตาโต

                เมื่ออ่านข้อความจบนมปีปก็เดินนำไปยังหน้าบ้าน ซึ่งรถลีมูซีนสีขาวกำลังจอดรออยู่

                หลังจากล่ำลากับนมปีปเสร็จ ฉันก็ก้าวขึ้นรถโดยไม่ได้คำตอบจากคนขับรถหรือนมปีปเลยว่า ฉันกำลังจะถูกพาไปที่ไหน

                ใช้เวลาไม่นานนัก รถยนต์สีขาวคันโก้ก็จอดตรงหน้าโบสถ์เก่าแห่งหนึ่ง แต่ความสวยงามของตัวโบสถ์ไม่ได้เก่าตามเวลาเลย ศิลปะแห่งยุคเรเนสซองค์ยังตรงเด่นสง่าบนสถาปัตยกรรมแห่งนี้ คงจะมีเพียงสวนสวยรอบนอกที่ตกแต่งแบบร่วมสมัย แต่ก็ไม่ได้ดูขัดกันเลยแม้แต่น้อย

                “เชิญคุณหนูด้านในเลยครับ” คนขับรถเปิดประตูให้ฉันลง พร้อมกับผายมือไปยังทางเข้าโบสถ์ที่ตบแต่งด้วยช่อกุหลาบขาวข้างทาง

                ฉันค่อยๆเดินไปด้วยความสงสัย ถึงแม้ตอนนี้บรรยากาศรอบข้างก็เชิญชวนให้ชื่นชมความงามแค่ไหนก็ตาม แต่ก็ยังไม่ได้เจอเจ้าตัวให้หายสงสัยเลยว่า ทำทั้งหมดเพื่ออะไร

                “มาแล้วหรอครับเจ้าหญิง นึกว่าจะเบี้ยวนัดซะแล้ว” พอร์ซในชุดทักซิโด้สีขาวหันหน้ามา

                “นายคิดจะทำอะไรกันแน่” ฉันสาวเท้าเดินไปหาอีกฝ่ายที่อยู่หน้ารูปปั้นพระเยซูด้านหน้าห้อง

                “แล้วคิดว่าอะไรหล่ะครับ คุ้นๆมั้ยว่าเหมือนความฝันใคร” พอร์ซเดินมาจับมือฉัน

                ความฝัน? ใช่แล้วนี่มันเป็นภาพงานแต่งงานอย่างที่ฉันเคยฝันไว้นี่หน่า เพราะตอนเด็กเคยไปร่วมงานแต่งของเพื่อนทูตของคุณพ่อ ทำให้เห็นภาพความประทับใจในพิธีกรรมการแต่งงานแบบนี้

    โบสถ์สวยที่ทางเข้าจัดช่อดอกกุหลาบไว้ตรงทางเดิน ด้านในประดับประดาด้วยลูกโป่งสีใสที่มีลูกโป่งหลากสีภายใน ดอกไม้นานาชนิดที่จัดเรียงอย่างสวยงามหลากหลายพันธุ์ราวกับอยู่ในสวนดอกไม้

    ฉันก็แค่เคยเล่าผ่านๆให้หมอนี่ฟังไม่ใช่หรอ ทำไมถึงยังจดจำได้ทุกรายละเอียดนะ

    “เธอเคยฝันว่าอยากแต่งงานแบบนี้ แต่คนไทยแท้อย่างเรา ตอนแต่งงานกันก็เลยต้องจัดแบบไทย แต่วันนี้เรามาจัดแบบฝรั่งกันนะ”

    ฉันมองหน้าเค้าอย่างไม่อยากเชื่อสายตา ว่าผู้ชายตรงหน้าที่วันๆที่แต่พาลใส่คนอื่น จะสนใจในเรื่องเล็กๆน้อยๆแบบนี้

    “ฉันเคยได้ยินว่าการแต่งงานคือสิ่งที่ผู้หญิงทุกคนใฝ่ฝันให้ออกมาดีที่สุด และฉันขอโทษที่ทำให้การแต่งงานของเธอมีแต่เรื่องแย่ๆ

    แต่เพราะเวลาผ่านไป การที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับเธอ ทำให้ฉันได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ และทำให้ฉันได้เรียนรู้ว่าเธอสำคัญกับฉันแค่ไหน และเธอ...ก็ทำให้ฉันรู้จักคำว่ารัก” พอร์ซยิ้มบางๆ ก่อนจะจูงมือฉันไปยังเปียโนสีขาวที่ตั้งอยู่ด้านข้าง

    มือหนาค่อยๆบรรจงขยับไปตามคีย์เพลง เสียงเพลงที่คุ้นหู เพลงที่ไพเราะอย่างจับใจจนทำให้ฉันต้องเผลอเหม่อ และเดินชนกับคนตรงหน้าที่กำลังเล่นเพลงเดียวกันอยู่นี้

    ‘Prisoner of love’ กำลังถูกถ่ายทอดในแบบของพอร์ซ ผู้ชายที่ภายนอกแข็งแกร่งและก้าวร้าว แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าภายในเค้าต้องการใครซักคนมาอยู่ข้างเพียงใด

    ชื่อเพลงหมายถึงนักโทษแห่งความรัก ก็คงหมายถึงตัวเค้าตอนนี้ที่ถูกความรักที่มีให้หญิงสาวข้างกายจองจำตัวเองไว้ และปรารถนายอมทำทุกวิธีทางเพื่อรั้งร่างบางเอาไว้

    ใจ...ย่อมใช้แลกใจได้เป็นอย่างดี และเค้าหวังว่าเพลงที่จะแทรกซึมผ่านหัวใจอีกฝ่าย ให้รับรู้ว่าเค้าถูกพันธนาการด้วยใจแห่งรักหญิงสาวไปซะแล้ว

    บทเพลงเดิมเมื่อตอนแรกพบกัน ทำเอาฉันอดคิดถึงวันแรกที่เจอกันไม่ได้ เพียงชั่วเวลาสั้นๆ กลับรู้สึกเหมือนคนข้างหน้าเป็นคนที่รอคอยมานาน แต่พอมาอยู่ด้วยกัน ชีวิตกลับไม่หวานชื่นอย่างที่คิด แต่ก็ไม่อาจแยกจากอีกฝ่ายได้

    ถึงจะปากร้าย อารมณ์เสียง่ายชอบพลาด แต่เพราะนิสัยตรงๆ คิดซื่อแบบเด็กๆ ขี้อ้อนเล็กบางครั้งก็ทำให้อดใจอ่อนไม่ได้ทุกที ทั้งๆที่ไม่จำเป็นต้องทน แต่เธอก็ทนอยู่กับผู้ชายคนนี้เรื่อยหมาย คงจะเป็นเหมือนบทเพลงนี้หล่ะมั้ง ในเมื่อตกลงหลุมบ่วงแห่งความรักแล้ว ก็ยากจะทอดถอนยอมถูกจองจำเป็นเชลยรักของเค้าอยู่แบบนี้

    “ตอนแรกฉันคิดว่าเพลงนี้มันไร้สาระ กะอีแค่ความรักจะไปสร้างความทรมานทุกข์ใจได้เท่าไหร่กันเชียว แต่พอได้รักเธอ ฉันจึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมใครต่อใครถึงอยากถูกจองจำด้วยความรัก ถึงบางครั้งจะเจ็บปวด แต่ก็ยินดีที่ได้อยู่เคียงข้าง ฉันไม่รู้ว่าตอนนี้เธอจะมองฉันแบบไหน ไม่ชอบ เหม็นขี้หน้า หรือเกลียด แต่ฉันอยากจะให้รู้ ว่าฉันรักเธอ” ทันทีที่เพลงจบลง พอร์ซหันมาพูดกับฉันพร้อมกับกุมมือของฉันเอาไว้

    “แต่งงานครั้งแรกมันอาจจะเป็นเรื่องที่ฝืนใจเธอจนกลายเป็นความทรงจำที่ไม่ดี แต่ครั้งนี้ เธอยินดีจะแต่งงานกับฉันด้วยความเต็มใจมั้ย แต่งงานฉันนะ ลูกรัก” พอร์ซคุกเข่าลงตรงหน้า พร้อมกับแหวนเพชรเม็ดงามที่ล้วงออกมาจากกระเป๋ากางเกง

    น้ำตาแห่งความปลื้มปิติเริ่มเอ่อล้น แต่ฉันก็พยายามฝืนเอาไว้ไม่ให้ทำลายบรรยากาศ

    จริงๆแล้วแค่เค้ายอมรับฟังคำพูดฉันบาง ไม่อารมณ์เสียให้บ่อย ดูแลฉันบางครั้ง แค่นี้ฉันก็รู้สึกเพียงพอแล้ว แต่สิ่งที่เค้าทำในวันนี้มันอยู่เหนือความคาดหมายของฉันจริงๆ

    “ไม่ได้หรอก” ทันทีที่ฉันให้คำตอบ พอร์ซถึงทำหน้าเสีย ใบหน้าแสดงออกถึงความเสียใจได้อย่างชัดเจน

    “ถ้าฉันรับแหวนวงนี้ แล้วแหวนที่ใส่อยู่หล่ะ จะเอาไปไว้ไหน” ฉันอมยิ้มกับการได้แกล้งเค้าสำเร็จ

    “นี่หมายความว่า...” พอร์ซเริ่มยิ้มอีกครั้ง เมื่อได้ยินประโยคถัดมา

    “เราแต่งงานกันอยู่แล้ว จะขอตอนนี้หรือไม่ ฉันจะเป็นภรรยานายแล้วนิ”

    “มันก็ใช่ แต่ฉันอยากให้เธอตอบรับด้วยความเต็มใจ และบอกรักฉันอย่างเต็มปากมากกว่า และแหวนวงนี้ฉันเป็นคนออกแบบเองด้วย ฉันอยากให้เธอรับไว้”

    “ฉันทนอยู่กับนายขนาดนี้ยังไม่ถือว่าให้คำตอบรึไง ถ้านายอยากจะให้ฉันรับไว้ ก็ใส่ให้ซิ”ฉันยื่นมือไปให้

    “อื้ม” พอร์ซพยักหน้ารับ รีบคว้ามือฉันไปถอดแหวนวงเดิมไปใส่นิ้วนางข้างขวา ก่อนจะแทนที่ด้วยวงใหม่ที่มีดีไซน์เก๋แทน

    “ต่อหน้าพระเจ้าแห่งศาสนาคริสต์ นายพอร์ส นายจะรับหญิงสาวข้างกายนี้เป็นภรรยา จะรักและดูแลทะนุถนอมอย่างดีจนกว่าชีวิตจะหาไม่หรือไม่” พอร์สตีหน้าขรึม ทำตัวเป็นบาทหลวงใหญ่

    “รับครับ” ถามเองตอบเอง

    “ลูกรัก เธอจะรับผู้ชายหล่อๆ น่ารักคนนี้เป็นสามี จะรักและดูแลทะนุถนอมอย่างดีจนกว่าชีวิตจะหาไม่หรือไม่”

    “รับค่ะ” ฉันตอบเขินๆ กับคำพูดของเค้า

    “ตอนนี้ถือว่าทั้งคู่เป็นสามีภรรยาที่ถูกต้องทั้งทางแบบไทยแบบเทศเรียบร้อยแล้ว ต่อไปถึงพิธีจูบเพื่อแสดงความรักอันยิ่งใหญ่” ว่าแล้วใบหน้าหล่อก็รีบก้มลงมาทันที

    “ตาบ้า ไม่ต้องสมจริงขนาดนี้ก็ได้” ฉันรีบดันหน้าเค้าออกห่าง

    “งั้นเธอก็บอกรักเพียงความมั่นใจหน่อยซิ ฉันรักเธอนะ ลูกรัก” พอร์ซรวบมือฉันไว้ ใบหน้าของเราห่างกันแค่คืบจนรู้สึกได้ถึงไออุ่นของลมหายใจ

    “ฉันก็รักนาย พอร์ซ” ฉันยิ้มหวานกลับไป

    พอร์ซยิ้มกลับมาอย่างอบอุ่น มือหนาลูบใบหน้าฉันอย่างแผ่วเบาก่อนจะโน้มลงมอบจุมพิตแสนหวานให้

    “ไหนว่าบอกรักแล้วจะไม่จูบไง” ฉันตีๆแขนพอร์ซเบาๆ

    “ฉันไปพูดตอนไหน ไม่ได้รับปากอะไรซะหน่อย” พอร์ซยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์

    “ฉวยโอกาส” ฉันสะบัดหน้าค้อนไปอีกทาง

    “ก็ฉวยโอกาสกับเธอคนเดียวเท่านั้นแหละหน่า” พอร์ซเชยหน้าฉันให้หันกลับมา

    “สุขสันต์วันเกิดนะ ลูกรัก” พอร์ซจูบหน้าผากอย่างอ่อนโยน

    วันเกิด....จริงด้วยซิวันนี้วันเกิดเรานี่หน่า ลืมไปซะสนิทเลย

    “สุขสันต์วันวาเลนไทน์” ปากหนาเลื่อนมาจุมพิตบนจมูกโด่ง

    “สุขสันต์วันแต่งงาน” คราวนี้เรื่อยมาจุมพิตเบาๆที่ริมฝีปาก

    “ถ้าจะให้สุขสันต์วันฮันนีมูน คงต้องไปต่อที่ห้องนอนนะ” พอร์ซกระซิบข้างหู ก่อนจะพ่นลมอุ่นๆ ทำเอาขนลุกซู่ทีเดียว

    “ฮันนีมูน? เราไม่เคยไปกันซะหน่อย”

    “ใช่ไม่เคย แต่เรากำลังจะไปกันอยู่นี่ไง” ว่าแล้วนายพอร์ซก็อุ้มฉันขึ้น

    “เดี๋ยว ฉันยังไม่ได้เตรียมอะไรเลยนะ”

    “ฉันเตรียมมาหมดแล้ว”

    “ฉันยังไม่ได้ล่ำลาเพื่อน คุณพ่อคุณแม่คุณปู่คุณย่าคุณตาคุณยายเลยนะ” ฉันพยายามหาข้ออ้าง

    ก็แต่งกันมาตั้งนานไม่เคยมีอะไร แต่หมอนั่นเลยบอกรัก แถมจะไปฮันนีมูน หน้าที่พูดงี้ก็หื่นเหลือเกิน ถ้าฉันยอมไปด้วย รับรองเสียสาวก็วันนี้แหละ

    “ฉันบอกพวกท่านหมดแล้ว และพวกท่านก็ฝากมาบอกว่ารีบๆปั๊มหลานให้ท่านอุ้มไวๆนะ อย่าปฏิเสธดีกว่านะ หรือว่าเธอไม่รักฉัน” พอร์ซตีหน้าเศร้า

    “ถ้าฉันไม่รักจะอยู่นี่รึไงตาบ้า จะไปไหนก็ไปเลยไป” ฉันค้อนด้วยความเขิน

    พอร์ซหัวเราะกับท่าทางของฉัน ก่อนจะอุ้นขึ้นรถมุ่งหน้าสู่ทริปฮันนีมูนสุดหวาน

    ความรัก...มีทั้งยามที่ต้องปวดร้าวและยามที่มีความสุข แต่ไม่ว่าวันนั้นจะเป็นวันที่มีพายุหรือวันที่ท้องฟ้าสดใส เพียงแค่เรามีกันและกันก้าวเดินไป ขอเพียงเท่านั้นเราทั้งสองคนก็ยอมเป็นนักโทษแห่งความรักของกันและกัน

    ถึงจะเจ็บปวด แต่ก็ไม่อาจหนีไปไหนได้ด้วยใจที่ถูกจองจำด้วยรักของเรา แต่หากเราเข้าใจกันแบบนี้แล้ว ไม่ว่าวันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันก็พร้อมที่จะเลือกเดินไปบนเส้นทางสายนี้ บนเส้นทางที่มีเค้า


    เต็มที่เลยนะเนี่ย พิจารณนาด้วยนะ 

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×