ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ห้องเก็บการบ้าน RukKhuN & LoVeU

    ลำดับตอนที่ #1 : รร.เปซาโคโล่ >>> ภารกิจที่ 1 ตามหาแหวนมังกร ผ.อ.

    • อัปเดตล่าสุด 12 มี.ค. 52


    ��������� เช้าที่ฟ้าสดใส ผม นาย ลักษณ์คุณฮัมเบิล ดิโอ ฌองเลก้า หรือรักคุณของทุกคน กำลังนั่งอ่านหนังสือสงบๆอยู่ใต้ต้นไม้หน้าร.ร.ด้วยความเบิกบานใจในบรรยากาศสายลมแสงแดดของร.ร.

    ��������� “รักคุณณณ” เลิฟยู แฝดคนน้องตะโกนเรียกมาแต่ไกล ตามนิสัยขี้โวยวายของเจ้าตัว

    ��������� “อะไรยัยเลิฟ”ผมเงยหน้าจากหนังสือมองแฝดที่วิ่งกระหืดหระหอบมา

    ��������� “มีภารกิจแรกให้ทำแล้วหล่ะ ไปกันเร็ว” เลิฟยูกระตุกแขนผมให้ลุกขึ้น

    ��������� “อ่ะ อ่า แล้วมันคืออะไรเหล่า” ผมลุกขึ้นตามความเคยชินกับความเผด็จการของแฝดตัวเอง ที่ต้องได้ดั่งใจทุกอย่าง (เฉพาะผมอ่ะครับ)

    ��������� “ผ.อ.คนสวยทำแหวนประจำตระกูลหายไปน่ะ”

    ��������� “แล้วมันรูปร่างยังไง หายแถวไหนหล่ะ” ผมถามระหว่างเดินตามแฝดไป

    ��������� “เง้อ...ไม่รู้อ่ะ” เลิฟยูหยุดเท้าแล้วส่งยิ้มแห้งๆให้

    ��������� “ยัยบ๊องเอ้ย แบบนี้จะหาเจอมั้ย งั้นก็ไปดูที่ห้องภารกิจก่อนแล้วกัน” ผมเดินโอบไหล่แฝดตัวเองไปยังห้องภารกิจ

    ����������������������������� ณ ห้องภารกิจ

    ��������� “คำใบ้ภารกิจ!::อยู่ใต้ต้นไม้ แหวนลายมังกร กิ่งทองใบหยก น้ำใสไหลเวียนกระทบกิ่งดังคลื่นๆ

    ��������� คำสั่ง::นักเรียนทุกคนต้องออกเดินทางตามหาแหวนมังกรประจำตระกูลผอ.กัน
    ให้นร.อธิบายมาว่า เจอที่ไหน เป็นอย่างำร มุอุปสรรคมากน้อยแค่ไหน
    และมีเราสถานที่ให้เลือก3สถานที่แล้วแต่ใครจะเลือกและบอกวิธีการเดินทางไปมาด้วย)

    1.เมืองโครงกระดูก (สำหรับผู้ชำนาญเรื่องวิญญาณ)
    2.ป่าอเมซอน (สำหรับผู้ชอบความท้าทาย)
    3.หุบเขาอนาคอนด้า (สำหรับผู้ที่มีความกล้าหาญ)
    เขียนบรรยายมาไม่ต่ำกว่า5บรรทัด ใส่พริกใส่ขิงใส่อถรรรสของเนื้อความได้เต็มที่
    ��������� ข้อห้าม!::วิธีการเดินทางห้ามใช้เรือ เครื่องบิน เฮลิคอปเตอร์ รถยนต์ ไม้กวาดบิน นอกนั้นใช้ได้”

    ��������� “ว่าไงครับ อยากไปทางไหน” ผมถามระหว่างเรากำลังยืนอ่านภารกิจกันที่หน้าบอร์ด

    ��������� “นี่มันงานรักคุณนะ ตัวเองต้องเลือกดิ”

    ��������� “ถ้ารักเลือก แล้วไม่ถูกใจเลิฟยู เลิฟยูจะยอมเหรอครับ”

    ��������� “ฮ่าๆๆ ก็ไม่ยอมน่ะซิ รู้ใจจังนะ” เลิฟยูจุ๊บปากผมด้วยความดีใจ

    ��������� “งั้นเราไปหุบเขาอนาคอนด้ากันเลย” เลิฟยูประกาศก้อง ก่อนจะมุ่งหน้าสู่หุบเขาอนาคอนด้า

    ��������� “แล้วจะไปยังไงครับคนสวย” ผมถามขึ้น เมื่อทั้งสองมาหยุดที่หน้าทางเขาหุบเขาอนาคอนด้าที่ขึ้นชื่อเรื่องความน่าสะพรึงกลัว

    ��������� “หายตัวไปดิม่ะ เอาแบบโผล่ไปเจอแหวนเลย”

    ��������� “ทำอย่างนั้นไม่ได้หรอกเลิฟ เรายังไม่เคยเห็นแหวนของผ.อ.เลยนี่หน่า จะโผล่ไปที่ไหนเล่า”

    ��������� “อืมๆ ก็จริง...งั้นเดินไปโต้งๆเนี่ยแหละ”

    ��������� “เง้อ รักว่าเราแปลงร่างเป็นมังกรบินไปง่ายกว่ามั้ย”

    ��������� “ใช่มันง่ายแต่ถ้าทำงั้นก็ไม่หนุกดิ อนาคอนด้าบ้านไหนเค้าบินได้บ้างห๊ะ อยู่บนฟ้าก็ไม่ได้เลยอะไรเลย ฉะนั้น เดินเดินเรา ฮัมเบิลของเรากำลังเรืองรอง” แล้วเลิฟยูก็กึ่งลากกึ่งจูงผมเดินด้วยเท้ากันจนได้

    ��������� พวกเราเดินผ่านเข้าไปยังทางเดินแคบๆของหุบเขา ต้นไม้ใหญ่แทบไม่มีให้เห็น มีเพียงก้อนหิน ดินทราย อาจจะมีหญ้ากลุ่มเล็กๆหน่อย แต่โดยรวมแล้วก็ดูไม่น่าอภิรมย์เลย แถมดวงอาทิตย์ยังแผดแสงแรงกล้าให้กับพื้นที่โดยรอบแถวนั้น

    ��������� “รักคุณ เลิฟยูเหนื่อยแล้ว” เลิฟยูนั่งแหมะลงกลับพื้นอย่างหมดแรง

    ��������� “ซะงั้นอ่ะ” ผมยื่นขวดน้ำที่พกมาด้วยให้น้องสาวสุดที่รัก

    ��������� “ขอบใจจ้ะ” เลิฟยูยิ้มหวานให้ ก่อนจะรับน้ำไปดื่มอย่างกระหาย

    ��������� “แต่เดินมาตั้งนานแล้วไม่เห็นมีต้นไม้ซักต้น น้ำสงน้ำใสอะไรก็ไม่มี เรามาผิดป่ะเนี่ย” เลิฟยูบ่นตามประสา

    ��������� “ก็ใครเลือกหล่ะครับ” ผมโยกหัวแฝดเบาๆ “ถ้าเลิฟเหนือ ขี่คอรักไปก็ได้ รักยังไม่เหนื่อยเท่าไหร่” ผมยิ้มบางๆให้กับแฝด

    ��������� “คิกคิก พูดเองนะ งั้นเลิฟไม่เกรงใจด้วย” แล้วเจ้าตัวก็กระโดดขึ้นหลังผมอย่างไม่รีรอ

    ��������� เวลาล่วงเลยผ่านไปเกือบสองชั่วโมง ผมก็ยังไม่พบสิ่งมีชีวิตใดๆ นอกจากก้อนกรวดความร้อนโดยรอบ และความเงียบ

    ��������� เงียบจนได้ยินกระทั้งเสียงฝีเท้าของตัวเอง และลมหายใจสม่ำเสมอของยัยแฝดที่บ่งบอกว่าไปเข้าเฝ้าพระอินทร์เรียบร้อยแล้ว

    ��������� นี่มันอะไรเนี่ยผมพูดกับตัวเองเบาๆในใจ เมื่อพบว่าทางข้างหน้าเริ่มปกคลุมไปด้วยหมอกควันจนแทบมองไม่เห็นอะไรข้างในเลย

    ��������� “เลิฟ เลิฟ เลิฟยูตื่นเหอะ” ผมเขย่าตัวแฝดที่หลับสบายบนหลังผมเบาๆ

    ��������� “อื้ม...อะไรอ่ะรักคุณ หาวว” เลิฟยูงัวเงียตื่นขึ้นมาอย่างช้าๆ

    ��������� “คือว่าทางข้างหน้าน่ะ” ผมบุ้ยใบ้ให้เลิฟยูมองไปยังกลุ่มหมอกข้างหน้าที่ปกคลุมทางจนมองไม่เห็นอะไร

    ��������� “แง...น่ากลัวจังอ่ะ” ถึงปากจะพูดอย่างนั้น แต่แววตาที่สื่ออะมามันคนละเรื่องเลยนะยัยเลิฟ

    ��������� “แต่เพื่อผ.อ.คนสวยเราก็ต้องทำ ไปกันเล้ย” เลิฟยูกระโดดลงจากหลังผม แล้ววิ่งนำออกไป

    ��������� “ยัยบ๊อง วิ่งดุ่มๆเข้าไป เกิดเจออันตรายจะทำไง” ผมวิ่งตามแล้วคว้าข้อมือยัยเลิฟไว้ได้ทัน ก่อนจะเข้าไปในกลุ่มหมอกนั่น

    ��������� “ก็ไมทำไง รอให้รักคุณช่วยไง” เลิฟยูยิ้มหวานอย่างเอาใจ ก่อนจะควงแขนผมแล้วก้าวเข้าไปด้วยกัน

    ��������� มือข้างนี้โอบเลิฟยูไว้อย่างหลวมๆ อีกข้างกระชับดาบอย่างระมัดระวัง เพราะทุกอย่างก้าวที่เข้าไปใน ไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าจะเจออะไร สายตาเฉียบคมประดุจเหยี่ยวก็ไม่อาจใช้หมอกหนาเช่นนี้ได้

    ��������� “รักคุณ เลิฟยูได้กลิ่นน้ำ แล้วก็คาวเลือด” เลิฟยูกระซิบอย่างแผ่วเบา

    ��������� “อื้ม รักเองก็ได้ยินเสียงเหมือนสัตว์เลื้อยคลานขนาดใหญ่อยุ่ข้างหน้า เราคงจะได้เจอสิ่งที่ทำให้ชื่อว่าหุบเขาอนาคอนด้าแล้วหล่ะ” ผมกระชับกอดแฝดให้แน่นขึ้น แล้วเอาดาบคู่กายออกจากฝัก เช่นเดียวกับเลิฟยูที่คว้าดาบของตนเองขึ้นมาเช่นกัน

    ��������� “กรี๊ดดด” เลิฟยูแผดเสียงขึ้นมาอย่างสุดเสียง

    ��������� “เป็นอะไรเลิฟ” ผมรีบคว้าเลิฟมากอดไว้ สายตาสอดส่ายหาอันตราย

    ��������� “เลิฟเหยียบอะไรอะไรก็ไม่รู้อ่ะแข็งๆ” เลิฟยูซุกตัวในอ้อมกอดผมมากขึ้น

    ��������� ผมเหลือบมองด้านล่างบริเวณที่เลิฟยูเคยเหยียบ ก็พบสิ่งที่ทำให้น่าตกใจ นั่นก็คือซากโครงกะโหลกหัวมนุษย์ ขยับมองไปอีกนิด ก็เห็นโครงกระดูกมนุษย์อีกเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีโครงกระดูกของสิ่งมีชีวตอีก ไม่บอกก็รู้ว่าทางข้างหน้าอันตรายแค่ไหน

    ��������� “อย่างนี้จะไหวเหรอเรา” ผมมองแฝดในอ้อมกอด

    ��������� “ชิส์ ไม่ไหวก็ต้องไหว เค้าไม่กลัวหรอก” เลิฟยูสะบัดตัวออกจากอ้อมแขน แล้วเดินนำผมไป โดยที่ไม่ลืมจับมือผมให้เดินตามไปด้วยกัน

    ��������� เราสองคนเดินตรงไปเรื่อยๆ หวังว่าจะเจอถ้าออกซักที แต่ยิ่งเดินก็เหมือนยิ่งพบกับความว่างเปล่า มิหนำซ้ำเรายังเดินวนอยู่ที่เดิมซ้ำๆซากๆ ทั้งที่ไม่ได้เลี้ยวไปไหนเลย ซึ่งสิ่งที่ทำให้เราผิดสังเกตก็คือหัวกระโหลกที่เลิฟยูไปเหยียบนั้นมันคือรอยรองเท้าเลิฟยูอยู่ เราสองคนก็เห็นมันเกือบสิบรอบแล้ว

    ��������� “รักคุณ เลิฟยูว่าหมอกนี่มันต้องมีอะไรแปลกๆแน่” เลิฟยูเอ่ยขึ้น เมื่อเรามาหยุดที่หัวกะโหลกอันเดิมรอบที่ 11

    ��������� “รักก็ว่างั้น และรักว่ากองกะโหลกพวกนี้ไม่ได้ตายเพราะต่อสู้หรอก แต่เป็นเพราะออกจากที่นี่ไม่ได้แน่ๆ” ผมวิเคราะห์เหตุการณ์จากสถานที่โดยรอบที่ไม่มีคราบเลือดแม้แต่น้อย

    ��������� “เอาไงดีอ่ะ” เลิฟยูมองหน้าผมอย่างหาคำตอบ

    ��������� “คงต้องส่งกระแสจิตไปถามผ.อ.มั้งครับ ว่าจะผ่านไปได้ยังไง” ผมตอบน้องสาว ก่อนจะหลับตาทำสมาธิไปหาผ.อ.คนสวย

    ��������� ผ.อ.ครับ ผ.อ.” ผมเรียกผ.อ.เบาๆ

    ��������� “ผะ ผีหลอก” ผ.อ.สะดุ้งโหยง เมื่อจู่ๆก็มีเสียงเรียกดังขึ้นในห้องทำงาน ทั้งที่ไม่มีใครอยู่

    ��������� ผมรักคุณครับ ไม่ใช่ผี

    ��������� “ระ รักคุณแน่เหรอ” ผ.อ.ยังมีท่าทีกล้าๆกลัว

    ��������� “ครับ ตอนนี้ผมอยู่ระหว่างทำภารกิจหาแหวนให้ผ.อ.อยู่น่ะครับ”

    ��������� “อ๋อ” ผ.อ.พยักหน้า เริ่มเข้าใจสถานการณ์มากขึ้น

    ��������� “พอดีผมกับเลิฟยูมาที่หุบเขาอนาคอนด้าแล้วเจอกลุ่มหมอกหนาทึบน่ะครับ เดินเท่าไหร่ก็วนอยู่ที่เดิม เลยลองใช้กระแสจิตมาของคำแนะนำจากผ.อ.น่ะครับ”

    ��������� “อ่า...หมอกนั่นน่ะเหรอ” ผ.อ.หยุดคิดนิดนึง ก่อนจะตอบต่อมาว่า “มันเรียกว่า หมอกแห่งความตาย ผู้ที่จะผ่านหมอกนี้ไปได้ มีเพียงผู้ที่มีความบริสุทธิ์ และเปิดเผยให้เหล่าเทพอารักษ์ได้เห็น จึงจะช่วยเปิดทางให้หมอกนั้นจางลงได้”

    ��������� “บริสุทธิ์? เปิดเผย?” ผมทวนคำเบาๆเพื่อทบทวนความคิด

    ��������� “เลือกหาที่ต้องใช้ความกล้าสมเป็นลักษณ์คุณจริงนะ” ผ.อ.กล่าวชม

    ��������� “อ่าครับ งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ ขอบคุณสำหรับคำตอบ”

    ��������� “สู้ๆนะ ผ.อ.เชื่อว่าเธอจะผ่านไปได้” ผ.อ.ยิ้มอย่างอ่อนหวานเป็นกำลังใจให้ ก่อนที่ผมจะดึงจิตกลับมายังที่เดิม

    ��������� “ว่าไงรักคุณ” เลิฟยูเขย่าแขนผมเบาๆ เมื่อส่งกระแสจิตเสร็จ

    ��������� “ผ.อ.บอกว่า หมอกนี้จะจางลงได้ ถ้าเราแสดงความบริสุทธิ์ให้เทพที่ดูแลได้เห็นน่ะ”

    ��������� “ความบริสุทธิ์? เหมือนพรหมจรรย์อ่ะเปล่า” เลิฟยูทำหน้าทะเล้น คลายบรรยากาศที่ตรึงเครียดออกไป

    ��������� “บ๊องและ” ผมเขกหัวยัยเลิฟเบาๆ อย่างหมั่นไส้

    ��������� “เจ็บนะ” เลิฟยูคลำหัวปรอยๆ “แล้วอะไรที่จะเป็นสิ่งแทนความบริสุทธิ์ของพวกเราได้หล่ะ”

    ��������� “อืม...สิ่งที่บริสุทธืที่สุดคือความจริงใจของคนเรา แล้วเราจะแสดงให้ดูได้ยังไงหล่ะ” ผมเสนอความเห็น

    ��������� “แหวกอก ควักหัวใจออกมาเลยมั้ย” เลิฟยูยังทำทะเล้นต่อ

    ��������� “เพ้อ ลองตั้งจิตอธิษฐาน บอกเจ้าที่แล้วกัน ว่าเราแค่มาหาของให้ผ.อ. ไม่ได้ต้องการทำบุกรุกหรือทำอันตรายใดๆทั้งสิ้น”

    ��������� “ครับผม” เลิฟยูตะเบะท่าให้ ก่อนจะกุมมือผมไว้ แล้วหลับตาทำสมาธิด้วยกัน

    ��������� ตอนนี้ทั้งผมและแฝดใช้เพียงสัมผัสทางใจเท่านั้นในการก้าวเดิน แต่ย่างก้าวล้วนหนักแน่นและมั่นคงเพื่อระมัดระวังตัวจากอันตรายที่มองไม่เห็น จากเดิมที่เดินแล้วเหยีบโครงกระดูกมากมาย แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนมีปุยนุ่นอยู่ใต้ฝ่าเท้า

    ��������� ซ่า ซ่า (เสียงน้ำกระทบฝั่ง)

    ��������� เดินมาได้ไม่ได้นาน ผมได้ยินเสียงของสายน้ำดังใกล้ขึ้นเรื่อยๆ แถมยังมีละอองน้ำผ่านหน้าอย่างบางเบา ทำเอาผมอดที่จะลืมตาขึ้นมามองภาพเบื้องหน้าไม่ได้

    ��������� ตอนนี้หมอกหนาทึบที่เคยมี กลับจางลงไป ภาพเบื้องหน้าทำเอาผมเกือบแทบลืมหายใจ บริเวณที่ผมเหยียบย่ำอยู่เป็นก้อนหินที่อยู่รายล้อมธารน้ำใส ที่ไหลเวียนอยู่รอบเกาะกลางน้ำ ที่มีต้นไม้ใหญ่เดิมโตอยู่กลางเกาะเด่นเป็นสง่า รายล้อมด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ แถมต้นไม้เหล่านั้นยังมีผลเป็นเพชนนิลจินดา ส่องแสงระยิบระยับเป็นจำนวนมาก น้ำตกขนาดใหญ่เบื้องหลังเกาะ ทำให้เกิดฟองน้ำกระเซ็นเป็นละอองสวย ราวกับอยู่ดินแดนในความฝัน แต่สิ่งที่ผิดกันไปก็คือ อนาคอนด้ายังเป็นร้อยๆตัว หรืออาจจะมากกว่านั้น ที่นอนเรียงรายล้อมเกาะนั้นไว้ในแม่น้ำ

    ��������� “ว้าว...สวยจัง” เลิฟยูยิ้มกว่างราวกับได้ของเล่นที่ถูกใจ

    ��������� “ครับสวย แต่รอบๆน่ะ อันตรายนะเลิฟ”

    ��������� “ชิส์ ไม่เห็นจะกลัวเลย” เลิฟยูย่นจมูกใส่ผม

    ��������� “ครับ รู้ว่าไม่กลัว แต่เราก็ไม่ควรทำอันตรายมัน อนาคอนด้าน่ะ ถ้าไม่หิว มันก็จะไม่ล่า และไม่สนใจสิ่งมีชีวิตอื่นด้วย”

    ��������� “โอเคงั้นไปกันเลย เลิฟว่าต้นไม้ใหญ่ๆนั่นชัวร์” เลิฟยูเลือกที่จะใช้วิชาตัวเบากระโดดข้ามแม่น้ำไป

    ��������� แต่ทว่าเพียงแค่ลอยขึ้นบทฟ้า งูยักษ์นับสิบกลับชูคอขึ้น กระโจนใส่เลิฟยูทันที จนต้องถอยหลังกลับเข้าฝั่ง

    ��������� “ไม่เป็นไรนะ” ผมคว้าตัวเลิฟยูกระโดดหลบไปอยู่หลังโขดหินใหญ่อย่างรวดเร็ว

    ��������� “ไหนตัวเองว่าไม่สนใจสิ่งมีชีวิตอื่นไง เค้าเกือบตายแล้วนะ” เลิฟยูต่อว่าเบาๆ

    ��������� “ก็นะ มีจำนวนมากขนาดนี้ แถมตั้งแต่เดินมายังไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่น คงจะหิวกันมากหล่ะมั้ง” ผมเหลือบตามองไปยังด้านหลัง

    ��������� อนาคอนด้าที่นอนเลื้อยอย่างสงบ กลับคลานขึ้นจากน้ำสอดส่ายสายตาหาสิ่งมีชีวิตอื่น ซึ่งก็ไม่น่าพ้นผมกับน้อง

    ��������� “อืม...ตัวใหญ่ขนาดนี้แถมเยอะแยะอีกต่างหาก สู้ด้วยกำลังหมดแรงตายพอดี สงสัยต้องชั้นเวทย์ขั้นสูงแล้วมั้ง” เลิฟยูพึมพำเบาๆ

    ��������� “ไม่ได้นะเลิฟ เราตั้งใจกันมาแล้ว ว่ามาแค่เอาแหวนของผ.อ. ไม่ได้ต้องการมาทำร้ายใคร และรักก็เชื่อว่าเรามีความสามารถมากพอที่จะเอาของ โดยไม่ต้องทำร้ายใครได้”

    ��������� “นี่พูดจริงพูดเล่นเนี่ย” เลิฟยูจ้องหน้าผมงงๆ

    ��������� “พูดจริงครับ เดี๋ยวรักจะล่อพวกงูไว้เอง เลิฟก็ล่องหนโดดไปหาแหวนผ.อ.ที่ต้นไม้ใหญ่นั่นแล้วกัน”

    ��������� “โอเค ตกลงตามนี้ ไงตัวเองก็ดูแลตัวเองดีๆนะ” เลิฟยูจุ๊บปากผมเบาๆ ก่อนจะหายตัวไป

    ��������� ผมรีบออกจากที่ซ่อนตัว กระโดดขึ้นบนโขดหิน เรียกสายตางูยักษ์นับร้อยได้เป็นอย่างดี แล้วเจ้าสัตว์เลื้อนคลายเหล่านั้น ก็ไม่รอให้เหยื่ออันโอชะอย่างผมได้ยืนเท่ห์นาน ต่างเลื้อยพุ่งตรงเข้ามา แต่ผมก็อาศัยความไวที่ฝึกฝนมาตั้งแต่เด็ก หลบหลีกอย่างรวดเร็ว ทำให้งูยักษ์หลายตัวต่างชนกันเอง บ้างพันกันก็มี

    ��������� “รักคุณณณณ เค้าเจอแหวนแล้วนะ” เลิฟยูชูแหวนทองลายมังกรสีสวยขึ้น พลางส่งยิ้มให้ผมอย่างดีใจ

    ��������� “ยัยเลิฟ!!!” ผมไม่ทันที่จะยิ้มกลับ อนาคอนด้ายักษ์ขนาดนั่นกำลังพุ่งตรงมาจากด้านหลังใส่ยัยเลิฟ

    ��������� เลิฟยูหันไปตามเสียงผม แต่ด้วยความประมาทเลยทำให้ไม่อาจชักดาบหรือนึกเวทย์ ผมรีบพุ่งตัวไปประชิดตัวยัยเลิฟด้วยเวทย์ต้องห้ามที่เมื่อใช้แล้วจำทำให้พลังร่างกายลดลงครึ่งนึง ทันทีที่ผมไปถึง ผมก็ได้เผชิญหน้ากับงูยักษ์ในระยะประชิด

    ��������� ผมผลักเลิฟยูให้หลบไปอยู่หลังใต้ต้นไม้ใหญ่ ก่อนจะกระโดดขึ้นบนฟ้า แล้วใช้สันดาบกระแทกเข้าไปที่จุดรวมปมประสาทที่จะทำให้สลบในทันที

    ��������� “ไม่เป็นไรนะ” ผมรีบไปหาเลิฟยูที่หลังต้นไม้

    ��������� “อื้มๆ แล้วนี่ตัวเองฆ่างูไปแล้วเหรอ”

    ��������� “เปล่าหรอกแค่ทำให้สลบน่ะ แต่ตอนขาออกไป เราคงต้องลุยกันไปแล้ว เพราะพลังเวทย์เราสองคนตอนนี้ แทบไม่เหลือแล้ว”

    ��������� “อ่า...กองทัพงูขนาดนั้นจะรอดมั้ยเนี่ย” เลิฟยูเหลือบมองด้านหน้าที่ตอนนี้เหล่างูยักษ์กำลังทยอยมาทางนี้เรื่อยๆ

    ��������� “ต้องรอดซิเลิฟ ยังไงรักก็ไม่ยอมให้เลิฟเป็นไรหรอก” ผมส่งยิ้มเรียกความมั่นใจให้แฝด

    ��������� “อื้ม” เลิฟยูส่งยิ้มหวานกลับ ก่อนจะกระชับดาบแน่น แล้วกระโจนออกไป

    ��������� แต่แล้วเมื่อเราออกมา สิ่งที่ได้พบกลับต้องตกตะลึงกว่าตอนแรก เพราะจากเดิมที่มีแต่งูยักษ์เลื้อยไปมาอย่างน่าสยดสยอง กลับกลายเป็นเหล่านางฟ้า และนางเงือกวิ่งเล่นกันในน้ำแทน ทำเอาทั้งผมและเลิฟยูชะงักตรึงอยู่กลับที่

    ��������� “สวัสดีผู้มีจิตใจบริสุทธิ์ทั้งสอง ข้ารีเบกก้า เทพธิดาประจำหุบเขาแห่งนี้” รีเบกก้า เทพธิดาที่มีแสงเปล่งประกายมากที่สุดแนะนำตนเอง

    ��������� “อ่ะ อ่าครับ ผมลักษณ์คุณ ส่วนนั่นแฝดผม สุดที่รักครับ” ผมและน้องก้มแสดงความเคารพแก่รีเบกก้า

    ��������� “พวกท่านคงตกใจที่เห็นเรา น้อยคนนักที่จะผ่านเข้ามาถึงในนี้ได้ และท่านทั้งสองนอกจากจะไม่สนใจในทรัพย์สมบัติใดๆแล้ว ยังรักษาคำสัตย์ที่จะทำอันตรายแก่สิ่งใดๆทั้งปวง” รีเบกก้ายิ้มกว้างให้พวกเราทั้งสองคน

    ��������� “ฉะนั้นเพื่อตอบแทนในความดีของพวกท่าน เราจะมอบหีบสมบัติล้ำค่าให้แก่ทั้งสองคน” แล้วหีบสมบัติแก้วใสเผยให้เห็นเพชรพลอยภายใน

    ��������� “ไม่เป็นไรดีกว่าครับ พวกเราแค่มาทำภารกิจเท่านั้น ไม่ได้หวังอะไร”

    ��������� “หรือว่าน้อยไป ข้าหามาให้ได้อีกนะ” รีเบกก้า ทำท่าจะเสกออกมาอีกรอบ

    ��������� “ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะ แต่ความสุขของเราไม่เกี่ยวกับเงินทอง แค่ทำในสิ่งที่เรารักและคนอื่นมีความสุข นั่นแหละความสุขของเรา” เลิฟยูยิ้มกว้างให้ ก่อนจะวิ่งกระโดดลงน้ำ ไปเล่นกับบรรดานางเงือกทั้งหลายอย่างสนุกสนาน

    ��������� “ครับ แค่เราผ่านเข้ามาที่นี่ และทำภารกิจสำเร็จ แค่นี้พวกเราก็พอใจแล้วครับ” ผมมองตามแฝดอย่างขำๆ

    ��������� “พวกท่านนี่แปลกคนจังนะ แต่เอาเถอะ จิตใจอันแสนบริสุทธิ์นี้คงจะช่วยให้โลกน่าอยู่ขึ้นได้อีกเยอะ เอาเป็นว่าข้าตอบแทนท่านด้วยการพาไปส่งที่โรงเรียนแล้วกันนะ”

    ��������� “ขอบคุณมากนะครับ แต่คงต้องให้แฝดผมเล่นให้จุใจซะก่อนมั้งครับ”

    ��������� “ยินดีจ้ะ จะไปเมื่อไหร่ก็บอกนะจ้ะ” แล้วรีเบกก้าก็เดินไปยังริมน้ำ แล้วเสกไวโอลินมาเล่นเพลงแสนไพเราะให้พวกเราได้ฟัง

    ��������� บทเพลงแสนหวานถูกขับกล่อม ท่ามกลางบรรยากาศแสนงดงาม แฝดผมและเหล่านางเงือกเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน ทำเอสผมอดยิ้มน้อยๆกับความสดใสและความสุขที่ได้รับในวันนี้ไม่ได้

    ��������� “กลับกันดีกว่านะครับ” ผมตะโกนบอกเลิฟยู เมื่อท้องฟ้าเริ่มใกล้เปลี่ยนสี

    ��������� “ยังไม่อยากกลับเลยอ่า เลิฟยังอยากเล่นกับทุกคนนี่หน่า”

    ��������� “ไม่ได้หรอกเลิฟ มันจะมืดแล้ว” ผมใช้เวทย์ที่เหลือเสกให้ยัยเลิฟลอยขึ้นจากน้ำ และให้ชุดแห้งดังเดิม

    ��������� “ชิส์ก้ได้ แต่รักคุณแปลงร่างเป็นมังกรให้เลิฟขี่นะ”

    ��������� “ไม่ต้องหรอก ข้าเปิดประตูมิติให้พวกเจ้ากลับไปเลยง่ายกว่า” รีเบกก้าแย้งขึ้นมา

    ��������� “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เลิฟอยากตากลมเย็นๆ” เลิฟยูยิ้มให้รีเบกก้าและเหล่านางเงือก

    ��������� “เป็นมังกรดิ” เลิฟยูหันมาสั่งผม

    ��������� “อ้าว(ทำหน้างงๆ) ก็ได้ครับ” ผมยิ้มบางๆให้เหล่านางฟ้าและนางเงือก ก่อนจะแปลงร่างกายเป็นมังกรสีฟ้าขนาดใหญ่ที่แสนจะสง่างาม

    ��������� “เอาไว้ว่างๆเลิฟจะมาเยี่ยมใหม่นะค่ะ เลิฟยูนะ” เลิฟยูกระโดดขึ้นขี่หลัง แล้วโบกมือให้กับนางฟ้าทั้งหลายอย่างสดใส

    ��������� “รักคุณครับ” ผมบอกลาอย่างเป็นเอกลักษณ์ ก่อนจะขยับปีกบินขึ้นเหนือท้องฟ้า กลับมายังโรงเรียนเปซาโคโล่ ก่อนจะพลบค่ำพอดี

    ��������� ภารกิจในครั้งนี้ ก็สำเร็จลุล่วงไปได้ดี ผมและแฝดสามารถนำแหวนกลับมาส่งคืนผ.อ.ได้อย่างปลอดภัย พร้อมกับมิตรภาพดีๆ ที่เกิดขึ้นในหุบเขาอนาคอนด้า

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×