นิยาม-นิยาย...ตามอารมณ์
นิยาม คืออะไร ใครเล่าจะกำกับความหมายของมันได้ สิ่งมีชีวิต ความรู้สึก สิ่งของ แม้กระทั้งธาตุ อากาศยังมีนิยามของตนเอง สิ่งใดบ้างหนอ...ที่คนเรามองข้ามนิยามดีๆ และร้ายๆของมันไป...
ผู้เข้าชมรวม
585
ผู้เข้าชมเดือนนี้
0
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
บทนำ
นิยาม คืออะไร ใครเล่าจะกำกับความหมายของมันได้ แม้ในเมื่ออารมณ์ยังผันผวน แปลเปลี่ยนไปตามกาลฤดู ทั้งเค้า-ทั้งเราก็มิอาจมีนิยามเหมือนกันได้ จึงเป็นที่มาของ “นิยามตามอารณ์”
สิ่งมีชีวิต ความรู้สึก สิ่งของ แม้กระทั้งธาตุ อากาศยังมีนิยามของตนเอง สิ่งเหล่านี้มองเพียงผิวเผินล้วนมีคุณค่า ประโยชน์และโทษเท่าที่เราจับต้องได้ แต่ผู้คนกับมองข้ามความหมายลึกๆ ของมัน
ความหมายที่เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับสิ่งต่างๆ แล้วเห็นคุณค่าขึ้น หรือแม้แต่โทษที่น่ากลัวอย่าชัดเจน ความหมายเหล่านี้จึงกลายมาเป็นนิยาม แต่จะออกมาในแนวไหน รูปแบบใดคงต้องพึ่งกับ...อารมณ์
อารมณ์เป็นตัวกำหนดอะไรในหลายๆ ด้าน อามรณ์ดี แจ่มใส เบิกบานมองสายฝนที่โหมกระหน่ำ บ้าคลั่งด้วยเสียงฟ้าร้องคำรามเป็นสิ่งที่น่าพิมลพิสมัย ขนาดกระทั่งอยากออกไปวิ่งโลดแล่น เริ่งระบำถ้ำกลางสายฝน...
แต่เมื่อใดที่อารมณ์เรานั้นเศร้าหมอง มองสิ่งใดก็มีแต่เสียงร่ำไห้ เมื่อนั้นเราจะเห็นสายฝนเป็นสิ่งที่เลวร้าย ที่นำพาความโศกเศร้ามาเยือน อยากปลดปล่อยความรู้สึกหนักหน่วงที่ทำให้ขอบตาร้อนผาว กลั่นทอความรู้สึกนั้นออกมาเป็นสายน้ำ หลั่งไหลไปกับสายฝน...
“สิ่งใดบ้างหนอ...ที่คนเรามองข้ามนิยามดีๆ และร้ายๆของมันไป...”
นิยามตามอารมณ์
ตอน ความหมายของเกลียวเชือก
ฉันเชื่อว่า...เกลียวเชือกก็เปรียบเสมือนมิตรภาพในกลุ่มเพื่อน ยามใดที่เส้นเชือก เส้นเล็กเส้นน้อยรวมตัวเป็นเกลียวเดียวกัน นั่นก็หมายความว่า สามัคคี แต่ในยามที่ปลายของเกลียวเชือกบานออก นั่นคงหมายความว่า รอยแยกระหว่างมิตรภาพ
ถ้ามองในแง่ดีเราจะเห็นว่าใครบ้างที่มีความคิดคล้ายเรา ( นั่นไม่ได้หมายความว่า ให้พวกเราแบ่งพัก แบ่งพวก ) แต่หมายความว่า...อย่างน้อยเราก็รู้ว่าเค้าคิดอย่างไร เราคิดอย่างไรในเวลาเกิดเรื่อง ใครบ้างที่มีความคิดเหมือนกับเรา และใครบ้างที่มีความคิดไปคนละทางกับเรา
แล้วถ้าเกิดวันหนึ่งวันใด ปลายเชือกที่แตกแยกออกมามีเพียงเส้นเดียวละ นั่นจะหมายความว่า ปลายเชือกเส้นนั้นจะเข้าไปรวมเป็นเกลียวกับปลายเชือกเส้นอื่นไม่ได้จริงหรือ หรือว่าปลายเชือกเส้นนั้นเลือกที่จะอยู่ลำพัง แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่มีใครหรือสิ่งใดสามารถอยู่เพียงลำพังได้
ก็คงเหมือนกับ แขนซ้ายกับแขนขวา ช้อนกับซ้อม ดินสอกับยางลบ และอะไรๆ อีกมากมาย ทุกอย่างล้วนถูกสร้างมาให้คู่กัน ให้สมดุลกัน อย่างเช่น หยิน-หยาง น้ำ-ไฟ ราตรีกับรุ่งอรุ่ณ ถ้าขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไป เปลวไฟที่รุกราน เผ่าผลาญสิ่งอันเป็นที่อยู่อาศัย ธรรมชาติอันเป็นสิ่งสวยงามก็คงจะมอดดับไปหากปราสจากน้ำ ซึ่งเป็นสิ่งที่หยุดยั้งเปลวไฟอันหน้าเกรงขามในยามที่มันบ้าคลั่ง แต่ถ้าน้ำมากเกินไปอาจให้โทษได้อีกเช่นกัน ฉะนั้นทุกอย่างต้องพึ่งพากันและกัน และอาศัยกฎเกฎฑ์ความสมดุลของธรรมชาติ
แล้วอะไรกันเล่าคือสาเหตุ...ที่ทำให้ปลายเชือกเส้นนั้นเลือกที่จะอยู่เพียงลำพัง...
ณ โรงเรียนแห่งหนึ่ง มีเด็กสาวสามคนที่รักใคร่กันเป็นเพื่อนสนิทกันมาเกือบสองปี แม้จะแค่เกือบสองปีแต่พวกเธอก็ฝ่าฝันอุปสรรคต่างๆ นานามาด้วยกันจนถึงตอนนี้
ปอ เด็กสาวผู้เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มอันสดใส แม้ในยามมีเรื่องทุกข์ร้อนพัดผ่านเข้ามา...
วันนั้นเป็นวันที่ฉันจำได้ว่ามีความสุขแค่ไหนในยามร่วมเล่นสนุก หยอกล้อโต้เถียงกับเหล่าเพื่อนฝูง จนกระทั่ง.....
“ปออย่างมาทำให้เราโมโหนะ”หลังจากคำๆ นั้นหลุดออกมาจากอารมณ์โกรธเคืองของขิง
“ขอโทษ” แม้จะบอกคำนั้นออกไปแล้ว แต่เธอก็ยังมีสีหน้าไม่พึงพอใจ บางทีแม้หน้าของฉันเธออาจไม่หันมามองแล้วก็ได้...
“ปอขอโทษ...” ฉันได้แต่รำพึงรำพันคำๆ นั้นให้ตนเองฟังอยู่หลายหน
“ตอนนั้นปอไม่ได้ตั้งใจ เพียงแต่...เล่นด้วยเท่านั้น แต่ไม่นึกว่าขิงจะโกรธได้ถึง เพียงนี้” และแล้วความคิดที่ว่าเราคงเดินกับเค้าด้วยนั้นไม่ได้ก็เกิดขึ้น...
หลังจากคาบชั่งโมงยามวิชานั้นผ้านพ้นไป เค้ากับเพื่อนสาวอีกคนก็เดินตีจากฉันไป และฉันก็เกิดความคิด...ความคิดที่ว่าคงเดินร่วมเส้นทางเดียวกับเธอนั้นเป็นไปไม่ได้ จึงทำให้ฉันปิดฉากมิตราภาพอันอบอุ่นด้วยการเดินเคียงคู่กับเงา...ของตัวเอง
ในวันที่สองหลังจากเกิดเรื่องครั้งนั้น เพื่อนฉันคนหนึ่งกล่าวให้ฉันหาเพื่อนร่วมทางคนใหม่ นั่นเป็นคำแนะนำที่ทำให้ฉันก็ต้องมานั่งรินน้ำตาของตัวเองอีกครั้ง...อีกครั้ง ทั้งๆ ที่เคยสัญญากับตัวเอง และห้ามปรามตัวเองไม่ให้น้ำตาต้องไหลเอ่อล้นออกมาเพื่อเธออีก ทำไมฉันต้องแคร์เธอขนาดนี้ แคร์จนต้องเสียน้ำตาให้เธอไม่รู้จักจบสิ้น...
ขนาดบางครั้งฉันเองยังต้องอ้อนวอนภวานาให้ฉันไม่แคร์เธอมากมาย ขอให้ทุกอย่างย้อนกลับไปวันที่เราเจอกัน วันที่เราสัญญาว่า
“เราสามคนจะไปไหนมาไหนด้วยกัน จะทุกข์ จะสุข จะเศร้า และหัวเราะด้วยกัน จะเป็นเพื่อนกันตลอดไป....” ขอภวานาให้วันนั้นไม่เกิดขึ้น....
แต่เมื่อนึกถึงวันวานยังหวานฉ่ำเฉกเช่นน้ำผึ้งเดือนห้า อบอวลไปเสียงหัวเราะอันสดใส รอยยิ้มแรกบานเหมือนดอกไม้รับแสงแห่งรุ่งอรุณ... ภาพอดีตคืนวานทำให้ฉัน...ยากนักที่จะขอพรให้ลืม ลืมทุกสิ่งทุกอย่าง... แล้วกลายเป็นคนแปลกหน้าซึ่งกันและกัน...
การอยู่เพียงลำพังนั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่แย่เสมอไป อาจทำให้ปลายเชือกเส้นนั้นค้นพบบางสิ่งบางอย่าง บางสิ่งบางอย่างที่มักจะแวะมาเยี่ยมเราเมื่อเวลาที่โดดเดี่ยว
นั่นคือ ความเงียบ หลายคนบอกว่าความเงียบมันดีไฉน ก็ในเมื่อตัวเรานั้นมิใช่คนสันโดษ ไม่นิยมชื่นชอบความสงบ ตัวเรานั้นรักเสียงหัวเราะ มุกตลกขบขัน เฮฮ่า เรื่องสนุกน่าตื่นเต้น
สิ่งใดก็ได้ที่ไม่ใช่ความเงียบ...
สิ่งใดก็ได้ที่ไม่ใช่ความว่างเปล่า...
สิ่งใดก็ได้ที่ไม่ใช่ความโดดเดี่ยว...
ความเงียบนั้นอาจทำให้ผู้คนที่ไม่นิยมความเงียบคิดฟุ้งซ่าน คิด...คิด...คิด...คิดจนเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ คิดจนกระทั่งเบื่อหน่ายชีวิต แต่ถ้าเราควบคุมความคิดของตัวเราได้นั้น ย่อมแสดงว่า เรามีชัยเหนือมารความคิดที่ไม่ดีทั้งหลาย
ทว่าจนแล้วจนเล่าผู้ที่พ่ายแพ้แก่มารร้ายจนล้ม เจ็บทั้งกายเจ็บทั้งใจแต่ยังสามารถลุกขึ้นยืนได้ เพราะคนผู้นั้นยังมีแรงความหวัง ความปราถนาที่จะลุก สิ่งเหล่านี้เป็นดังไม้เท้าที่มาช่วยค้ำจุนให้เราได้ต่อสู้ แต่สำหรับผู้ที่หมดเรี่ยวแรง กำลังวังชา ไร้ซึ่งความหวัง ความปรารถนาจึงยินยอมสังเวยชีวิตให้แก่มารร้าย...
คิดว่าไม่มีทางออก สำหรับชีวิตคนตกงาน ไร้ซึ่งเรี่ยวแรง...
คิดว่าเราจะทำเช่นไรดีถ้าผลการเรียนเรายังตกต่ำ ขาดซึ่งแรงผลัดดันในการพยายาม...
คิดว่าเราจะเพียรหาเงินทองมาจากที่ไหน มาจ่ายค่าเล่าเรียนของบุตร ค่ากินอยู่ ค่าการดำรงชีวิตของตนตนเองและครอบครัว...
คิดว่าทำไมตัวเรานั้นไม่มีดีสักอย่าง...
แต่กลับไม่ใยดีที่จะสรรหาหนทางในการแก้ปัญหา กำจัดความคิดฟุ้งซ่านเหล่านั้น
ความคิดทั้งหลายเมื่อมีจุดกำเนิด ย่อมมีทางซึ่งเป็นจุดจบของมัน เพียงแต่เราจะบรรจบทางเหล่านั้นให้งดงาม สวยหรูเพียงใด หรือต้องจบด้วยความเศร้า....
จุดจบที่ไม่ต้องสังเวยชีวิตผู้ใด...
จุดจบที่เริ่มจากการพัฒนาตนเอง...
จุดจบที่ไม่ต้องแลกมากับทรัพย์สิผู้ใด ที่มิใช่ของตน...
จุดจบที่ไม่ทำให้ใคร หรือคนที่เรารักต้องโศกเศร้าเสียใจ หลั่งน้ำตาแทบเป็นสายเลือด...
ไม่ว่าทางจบของเหล่าความคิดที่ไม่ดีทั้งหลายจะจบลงเฉกเช่นใด แต่ขอภาวนาอย่าให้จุดจบต้องแลกมากับน้ำตาผู้ใด แล้วทิ้งเพียงภาพอดีตร้ายๆ ให้ผู้คนได้จดจำ...แม้จุดจบอาจไม่สวยงาม สะดวกสบายราบเรียบเหมือนถนนราดยาง ที่ให้รถรางได้วิ่งเล่นตามแต่อารมณ์ปรารถนา
มล เด็กสาวคนที่สามของกลุ่ม เปรียบเธอเป็นเช่นใยไหม คอยสานรอยแยกระหว่างมิตรภาพ
วันนี้ท้องฟ้าสดใส และเป็นห้วงเวลาอันโศกเศร้าที่ปอและขิงยังคงไม่พูดจา หยอกล้ออย่างเช่นคืนวาน ช่างเป็นวันที่แอบแฝงไปด้วยความหมองเศร้า
ปอยังคงแจกจ่ายรอยยิ้มร่าเริงกับเหล่ามิตรสหาย และเธอเองก็ไม่ดิดที่จะเดินร่วมกับกลุ่มใด ยังคงเดินเคียงข้างกับเงาของตัวเองเลื่อยมา เพราะใจเธอยังคงผูกพันกับขิงและมล
“ปอไปทานข้าวกลางวันด้วยกันนะ” นั้นเป็นคำชวนของมล หากในวันก่อนไม่เกิดเหตุการณ์นั้นละก็ ฉันคงจะตอบตลกลงไปแล้วละมล
“ไม่ไปดีกว่ามล” ตอนนั้นที่ฉันเลือกตอบปฏิเสธเพราะถ้าฉันไม่ไปทานด้วยน่าจะดีกว่า...ดีกว่าไปนั่งร่วมทานให้เกิดความอึดอัด แต่ผลของคำตอบกลับตรงกันข้าม...ขิงเริ่มคิดมาก
ขิง เด็กสาวผู้ที่มีนิสัยตรงไปตรงมา โดยเฉพาะคติของเธอ “งอนเป็น โมโหจริง เรื่องง้อไม่ต้องพูดถึง ไม่เคยเกิดขึ้นกับชีวิตฉันแน่น”
“มล ปอเค้างอนเราขนาด...ไม่มาทานข้าวกับพวกเราเลยทำไงดี” ขิงกล่าวปรึกษากับมล ด้วยท่าทางสีหน้าเคร่งเคียด
“ขิงอย่างคิดมากเลยนะ เดี๋ยวปอเค้าก็กลับมาคุยด้วยเหมือนกับทุกทีที่ผ่านมา”นั้นคือคำตอบของมล อย่างไรมลก็รู้ดีว่าขิงไม่มีทางจะยอมพูดกับคนที่ทำให้เธอโกรธ และงอนในเวลาต่อมา
ขัน เด็กสาวผู้เปี่ยมไปด้วยน้ำใจ เอ่อล้นด้วยยารักษาใจเพื่อน กับกาวถ้อยคำประสานรอยแยกระหว่างเพื่อน เธอคนนี้มิได้อยู่กลุ่มเดียวกับเด็กสาวสามคนนั้นแต่ยินดีที่จะช่วยเหลือ
“ขัน เรายอมรับนะว่าเราพูดแรงกับปอเกินไป แต่ปอก็ไม่น่าเล่นจนทำให้เราโมโห ปอน่าจะรู้ว่าเราไม่ชอบ”ขิงเรื่องราวสิ่งที่ทำให้เธอเป็นทุกข์ และตอนนี้ความหวังสุดท้ายก็อยู่ที่ขัน
“จะไปคุยกับปอให้แล้วกัน ขิงก็อย่างคิดมาก”ขันกล่าวตอบกลับมาทำให้ขิงรู้สึกดีขึ้น
ขันเดินเข้ามาหาปอแล้วเริ่มต้นตั้งคำถาม
“ปอมีเรื่องอะไรกับขิง เป็นไรไมไม่พูดกับขิงละ”แหม...ถามไม่อ้อมค้อมเลยนะขัน ปอคิด แล้วเอ่ยเรื่องราวครั้งนั้น
“ก็นิดหน่อย แต่ไม่ใช่เราไม่พูดนะ เราพูดแล้วแต่เค้าต่างหากไม่พูดกับเรา เมื่อวานก็รองโทร.ไป เค้าพูดเสียงแข็งใส่เรา ขิงคงจะโกรธไม่หาย”พอปอเล่าเรื่องนี้ออกไปแล้วใจหนึ่งก็รู้สึกดี ส่วนอีกใจหนึ่งซิ...กำลังห้ามทัพน้ำตาไม่ให้ไหล
“ขิงเค้าก็นึกว่าปองอนเค้าที่พูดจาแรงไป”นั่นทำให้ปอนึกถึงการเล่นหยอกล้อครั้งสุดท้าย การสะกิจศรีษะขิงไม่ใช่สิ่งดี
“ต้อนนั้นเราจำไม่ได้ว่าขิงไม่ชอบให้ใครมาเล่นศรีษะ”การแคร์ใครสักคน และเล่นกับเค้าจนลืมว่าเค้าชอบ หรือไม่ ปอที่หลังต้องคิดหน้าคิดหลังนะ ปอพูดกับตัวเองในใจ
“กลับไปดีกันเถอะนะ”ขันกล่าวคำแนะนำสุดท้าย ใช่กลับไปดีกันนะปอ แต่จะง่ายอย่างนั้นหรอ จะราบรื่นปานนั้นเชียว ยังไงปอก็ยังกังวนอยู่ดีล่ะขัน
เกลียวเชือกแม้จะบานออกไปคนละทิศ แต่เมื่อเราตกแต่ง ปรับมันให้เข้าที่มันก็สามารถรวมมาเป็นเกลียวเดียวกันได้
แม้คุณจะไปคนละทางกับเพื่อน ขัดแย้ง รักสันโดษหรืออยู่เพียงลำพังเพียงใด ชีวิตของคนเรายังต้องพึ่งพาเพื่อนอยู่เสมอ และการอยู่ร่วมกันก่อให้เกิดมิตรภาพ ตราบเท่าที่เรามีลมหายใจ ( แม้คุณเองเจากโลกใบนี้ไปแล้วก็ยังจะสร้างสัมพันธ์มิตรภาพอยู่เสมอ...กับเหล่าภูตผี วิญญามิตรสหายใหม่ )
เพื่อนที่ทำให้เรามีเสียงหัวเราะก้องกังวาน
เพื่อนที่ทำให้เราหายเศร้า ทุกข์ใจ
เพื่อนที่ทำให้เรามีความทรงจำที่งดงามน่าจดจำ และเลวร้ายจนยากลบเลื่อน...
เพื่อนที่ทำให้เรามีน้ำตาเพราะความปิติ หรือเสียใจ...
หลังเลิกเรียนเรียนวันนั้นฉันรวบรวมความกล้าเดินตรงดิ่งไปหาขิงกับปอที่หน้าอาคานทรงไทย บรรยากาศตอนนั้นแม้จะอบอุ่นด้วยแสงแดดร่ำลาของดวงอาทิตย์ แต่มือไม้กลับเย็นชาราวกุมก้อนน้ำแข้ง ขาที่ก้าวออกไปแต่และย่างดูราวไม่แข็งแรงเหมือนเด็กพึ่งหัดเดิน ลมหายใจเริ่มถี่ขึ้นเมื่อเดินเข้าไปไกล้
“ขิง...ขอโทษ”ขิงหันมามองไม่ได้แสดงสีหน้าเย็นชาอย่างครั้งก่อน จะยิ้มก็ไม่เชิง เค้ายังคงเงียบ
“ขิงยังงอนอยู่หรอ”ความมั่นใจเริ่มจางหาย
“เปล่า...งอน...”เพียงแค่คำนั้นก็ทำให้คนคิดมากอย่างฉันก็ยังไม่มั่นใจในคำพูด
“แหม...คิดมากไปแล้วนะสองคน กลับมาเป็นอย่างเดิมสักที”มลหลังจากอึดอัดในความเงียบมานานเริ่มกล่าวคำต้อนรับปออย่างชื่นใจ
หลังจากวันนั้นในวันรุ่งขึ้นพวกเค้าทั้งสามก็กลับมาคุยอย่างเดิม พูดคุย หยอกล้อเล่นกันอย่างสนุกสนาน และระวังคำพูด การกระทำกันมากขึ้น
เกลียวเชือกเมื่อหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียวนั่นย่อยเกิดความแข็งแก่รงกว่าเชือกเส้นเดียวเสมอ การกระทำและวาจานั้นก็เช่นกันคล้ายกับ
“ถ้าเชือกมันดึงเกินไปครวค่อยๆ ผ่อนเชือก....และถ้าหย่อนเกินไปก็ควรที่จะช่วยกันดึงกลับมา”
นั่นคงเป็นความหมายที่ดีในการเป็นเพื่อนกัน.....
ผลงานอื่นๆ ของ Ms.Cloudy ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Ms.Cloudy
ความคิดเห็น