ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    LIFE Way

    ลำดับตอนที่ #3 : Episode 2 - The Destiny

    • อัปเดตล่าสุด 28 ต.ค. 48


            เสียงฝีเท้าที่ดังติดต่อกันไม่หยุดแสดงถึงความรีบร้อนของใครบางคนตรงทางเดินปรากฎร่างของหญิงสาววัย 22 ปี ที่กำลังรีบวิ่งไปยังที่หมายซึ่งดูจากเครื่องแต่งกายของเธอแล้วน่าจะเป็นผู้ใช้เวทย์มนตร์ หญิงสาวเลี้ยวตรงหัวมุมถนนแล้วรีบเดินไปยังบ้านหลังเล็กๆ หลังหนึ่งที่ทำด้วยไม้ทั้งหลัง ประตูได้เปิดรับผู้มาเยือนเองโดยที่หญิงสาวยังไม่ทันที่จะผลักประตูออกไป หญิงสาวรีบเดินเข้าไปในบ้านที่ว่า พร้อมกับเดินไปยังประตูบานใหญ่บานหนึ่งที่มีตัวอักษรยึกยืออยู่บนประตู  หญิงสาวร่ายเวทย์สองสามคำเร็วมากจนฟังไม่ทันแล้วประตูก็เรืองแสงสีเขียวออกมาก่อนที่จะเปิดออกทันที

              ร่างของชายแก่นั่งขัดสมาธิ อยู่กลางห้องหญิงสาวไม่รอช้ารีบเดินไปยังชายแก่แล้วเริ่มพูดขึ้น แต่ชายแก่พูดชิงขึ้นมาก่อน

           \"ข้ารู้แล้วๆ แอชมาเรีย มีใครไปปลดผนึกเทพแล้วสินะ \" ชายแก่พูด พร้อมเงยหน้าขึ้นมามองหญิงสาว ใบหน้าของเขาไม่ยักแก่อย่างที่คิด ใบหน้าของเขายังอ่อนวัยแต่ก็มีริ้วรอยบนใบหน้าเป็นของธรรมดา

            \"ใช่ค่ะ แต่ดันไปปลดผิดวิธีแลยเอาการ์เดี้ยน ออกมาเพ่นพ่านเต็มไปหมด\" หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงที่อารมณ์ไม่ดีเท่าไหร่นัก ก่อนที่ชายแก่จะลุกขึ้นยืน แล้วเริ่มเอ่ยต่อ

            \"การ์เดี้ยน...ตัวไหนล่ะ เดี๋ยวนี้มันก็มีหลายพวกนะ \"ชายแก่ยังทำเสียงฟังดูสบายๆ ต่อไปขณะที่หญิงสาวเริ่มร้อนรนขึ้นทุกที

            \"การ์เดี้ยน การ์กอยล์ ค่ะ\"ชายแก่เบิกตากว้าง แล้วเริ่มยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นหัวเราะ

            \"การ์กอยล์เลยเรอะ หึ...สงสัยงานจะต้องเหนื่อยกันหน่อยแฮะ\" หญิงสาวใช้เวทย์เรียกชุดคลุมออกมาจากอากาศ แล้วยื่นให้ชายแก่ที่เดินหนี

             \"อะไรกันคะ ท่าน ท่านจะไม่ไปเหรอคะ\" ชายแก่หันหน้ามามองหญิงสาวแล้วหาววอดทีนึงก่อนจะเดินต่อไป

             \"ไม่หรอกข้าไม่จำเป็นต้องไป...ข้าส่งคนไปแล้ว\" หญิงสาวทำหน้ามุ่ยก่อนจะเอ่ยขึ้น \"ท่านคะ การ์กอยล์  มันเป็นการ์เดี้ยน

    ที่แข็งแกร่งมากนะคะ อีกอย่างมันก็อยู่กันเป็นฝูงหลายร้อยตัวด้วย ถ้าท่านไม่ไปแล้วยังจะมีใครไปอีกล่ะคะ\" ชายแก่ที่ฟังหญิงสาวสาธยายอยู่นาน ก็จุดปล้องยาสูบเสร็จพอดี ก่อนที่จะนั่งลงที่เก้าอี้โยก แล้วเอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่แสดงถึงความมั่นใจ

             \"แอชมาเรีย ข้า ลอร์ด ชาร์ลิอ้อน ผู้ปกครองอาณาจักรเวทย์มนตร์ทั้งหมด ข้าขอเอาหัวเป็นประกันได้เลยว่า ครั้งนี้เมืองเราจะปลอดภัย\" ชายแก่ยังทำเสียงสบายใจและสูบยาต่อไป ขณะที่หญิงสาวถอนหายใจกับท่าทีขี้เล่นของชายแก่ และไม่อยากจะคิดว่า ถ้ามีใครมาเห็นท่านเป็นอย่างนี้แล้ว จะรับไหวมั๊ย ก็ดันทำตัวเหมือนไม่ใช่ผู้ใช้เวทย์มนตร์ ทั้งๆ ที่เป็นคนที่ใช้เวทย์มนตร์เก่งที่สุดในโลกนี่นา



    ......................................................



                     \"แอนนาเรียกกำลังเสริมด่วน!!!\" ประกายตาสีฟ้าที่จดจ่ออยู่กับหน้าจอแสดงผลสามมิติที่ทำให้เห็นภาพด้านนอกตัวยานทั้งหมดเป็นสามมิติ เขากำลังบังคับหุ่นยนต์ให้หลบการโจมตีของการ์กอยล์ ซึ่งมันมีมากมายมหาศาล

                     \"จะให้เรียกยังไงล่ะ ขนาดเวลาพูดกันยังไม่มีเลย แล้วจะให้ระวังซ้าย!!!\" เด็กหนุ่มหักหลบเล็บอันคมกริบของการ์กอยล์ไปได้อย่างเฉียดฉิวก่อนที่การ์กอยล์ตัวนั้นจะพุ่งกลับมาอีกครั้ง แต่ไม่ถึงยานของทั้งคู่เพราะโดนแอนนาสอยไปเสียแล้ว

                    \"ให้ตายเถอะ ทารอส ฉันไม่อยากเล่นรถไฟเหาะตอนนี้นะ แล้วฉันก็บอกไปแล้วด้วยว่าฉันถนัดซ้าย พยายามให้ศัตรูมันมารวมกันที่ด้านซ้ายหน่อยไม่ได้เหรอไง\" เด็กสาวพูดพลางสอยการ์กอยล์ให้ร่วงมาอีกตัวด้วยข้างขวา

                    \"อ้าวก็เห็นถนัดดีนี่นา แล้วจะบ่นทำไมล่ะเนี่ย\"

                    \"มันฟลุ๊คย่ะ แล้วก็ โอ้ย\" เด็กสาวยังพูดไม่ทันจบเด็กหนุ่มก็หักหลบการ์กอยล์ไปได้อีกตัว

                    \"แอนนา โอนข้อมูลการยิงด้านขวามาให้ฉัน แล้วใช้มือที่ว่างอยู่ติดต่อฐานซะ\" ทารอสพูดอย่างรวดเร็ว ซึ่งเด็กสาวก็ตอบสนองได้รวดเร็วเช่นกันแต่ก็ยังอดที่จะพูดไม่ได้                      

                    \"นายจะบังคับหุ่นยังไงล่ะ\"

                    \"เออน่าเร็วเข้าเถอะ\" เสียงที่ฟังดูเหมือนอารมณ์เสียปนรำคาญทำให้หญิงสาวเร่งมือเร็วขึ้น สักพักคันบังคับควมคุมการยิง ก็เลื่อนลงมาจากที่ของแอนนามาอยู่ตรงด้านหน้าของทารอสซึ่งเด็กหนุ่มก็ตอบสนองได้รวดเร็วมากโดยการจับคันบังคับนั่นทันทีที่มาถึง

                    \"เร็วเข้าแอนนา\" เด็กหนุ่มตะโกนเร่งเด็กสาวที่รีบร้อนกดปุ่มติดต่อสื่อสาร ขณะที่เขาต้องรับมือกับการ์กอยล์ที่อยู่ด้านนอก \"เปิดระบบออโต้\" เด็กหนุ่มสั่งกลไกของปืนด้วยเสียง ซึ่งปืนก็ตอบสนองโดยการเปลี่ยนปากกระบอกปืนใหม่ในทันที

                    \"เอ่ออาจารย์คะ เกิดเหตุร้ายแรงขึ้นค่ะ รีบส่งกำลังเสริมมาด่วนเลยค่ะ แล้วก็ อ๋าย!!! ส่งยานบรรทุกมาด้วยนะคะ แค่นี้ล่ะค่ะ\" เด็กสาวยกเลิกการติดต่อทันทีที่พูดจบเพราะตอนนี้ทารอสรับหน้าที่เป็นทั้งพลขับและพลปืนไปในตัว ซึ่งเขาก็ทำได้อย่างไม่น่าเชื่อโดยการหลบเล็บแหลมๆ ของการ์กอยล์ด้วยมือซ้ายและทำลายมันด้วยมือขวา

                    \"แอนนาฉันจะโอนข้อมูลกลับไปให้นะ\" เด็กหนุ่มพูดพลางบังคับยานให้พ้นจากการ์กอยล์ 2 ตัวที่พุ่งมาพร้อมกัน แล้วถ่ายโอนข้อมูลกลับไปให้หญิงสาวที่กำลังเมามันส์ในการสอยการ์กอยล์จากทางด้านซ้าย

          ทันใดนั้นทุกอย่างก็หยุดลง เมื่อการ์กอยล์หยุดอยู่กับที่เหมือนกับมีอะไรสักอย่าง ทำให้มันหยุดเคลื่อนไหวพร้อมกัน ทารอสทำหน้าเคร่งเครียด ซึ่งแอนนาก็ทำแบบเดียวกันก่อนจะเห็นประกายไฟแวบๆ บนพื้นข้างล่าง

                    \"นั่นอะไรน่ะทารอส\" เด็กหนุ่มหรี่ตาลง ก่อนที่จะเบิกตากว้างกว่าทุกครั้งแล้วก็ยิ้มขึ้น

                    \"แอนนาเราจะเล่นรถไฟเหาะกันล่ะนะ\" เด็กหนุ่มกดสัญญาณเสียงว่าให้หุ่นทุกตัวตามหลังมา แล้วก็กดปุ่มเปิดวาล์วท่อเชื้อเพลิงให้ใหญ่ขึ้น ก่อนจะพุ่งขึ้นไปบนฟ้าอย่างรวดเร็ว            

                    \"อ้าทารอส นายยังไม่ได้ตอบฉันเลยนะว่านั่นคืออะไร\" เด็กสาวพูดจบพร้อมกับที่เด็กหนุ่มบังคับยานที่พุ่งขึ้นฟ้าไป เมื่อสักครู่ก็บังคับให้ดิ่งลงพื้นอย่างน่ากลัว

                    \"นั่นคือเวทย์มนตร์\" เด็กหนุ่มยกหัวของยานให้เชิดขึ้นขนานกับพื้นดินก่อนที่จะเกิดเหตุขึ้น

              ตูม !!!! เสียงที่ดังสนั่นหวั่นไหวบวกกับเปลวเพลิงที่พุ่งออกมาจากพื้นดินทำให้ข้อสงสัยในตัวของเด็กสาวหมดไป ทารอสหลบเสาไฟใหญ่ยักษ์นั่นได้อย่างเฉียดฉิว  แต่เรื่องโชคร้ายก็ยังไม่จบเมื่อเสาไฟอีกหลายๆ ต้นพวยพุ่งขึ้นมาจากพื้นดิน

              ทารอสนำยานหลบเสาไฟที่กำลังเริ่มหมุนเป็นพายุไฟไปซะแล้ว ทารอสนำกลุ่มนักเรียนที่ตามหลังมาอยู่หลบเสาไฟที่อยู่ด้านหน้าอย่างหวุดหวิดส่วนแอนนาต้องคอยรับมือกับการ์กอยล์ที่หนีตายมาจากด้านล่าง พวกมันหนีตายกันอย่างชุลมุน แต่น่าแปลกใจที่ว่ามันไม่สามารถออกไปไกลจากหุ่นยนต์ที่ทารอสเจอในตอนแรกได้เลย

             เวลาผ่านไปสักพัก เสาไฟพวกนั้นก็หายลงไปเหลือแต่เศษขี้เถ้าของการ์กอยล์กองอยู่บนพื้นดิน ต้นไม้ในแถบนั้นหายไปเป็นแถบๆ เหลือเพียงร่างๆ หนึ่งที่ยังยืนตระหง่านอยู่บนซากศพของการ์กอยล์   มนุษย์กลุ่มที่ 2

             หุ่นยนต์ที่ตั้งสติได้ ก็รีบเข้าไปล้อมจับร่างๆ นั้น ซึ่งถ้าดูจากด้านนอกแล้ว อาจจะดูแปลกไปเสียหน่อย เพราะขนาดที่ต่างกันมากจนน่าตกใจ

               \"โปรดอย่าขยับจนกว่าเราจะสั่งอย่าพยายามขัดขืนเพราะมันจะไม่เป็นผลดีแน่นอน\"เสียงที่ดังกึกก้อง ดังมาจากทางหุ่นยนต์ ซึ่งดูท่าจะไม่มีผลกับร่างๆ นั้นเท่าไหร่นัก เพราะเพียงแค่เขาสะบัดมือ ลูกไฟดวงโตก็พุ่งเข้ามาหายานของทารอส ซึ่งกำลังอยู่ในอาการตกใจและแอนนาที่เพิ่งจะหายตื่นเต้นไปเมื่อกี้ จึงทำให้ไม่มีอะไรมาหยุดลูกไฟยักษ์นั่นได้อีกแล้ว

                   ตูม!!!!! เสียงดังสนั่นหวั่นไหว แสดงถึงแรงกระแทกที่มีมากมายมหาศาล แต่มันไม่ได้ชนเข้ากับยานของทารอส หุ่นรบที่เข้ามารับแทนนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นหุ่นรบที่ทารอสเจอเมื่อตอนแรก มันสามารถขยับเองได้ และมันก็มารับลูกไฟแทนหุ่นของทารอส

                  ร่างที่ถูกล้อมอยู่ถึงกับหยุดนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนที่จะเปิดผ้าคลุมหน้าออก เผยให้เห็นร่างของหญิงสาววัยประมาณ 16 ที่หน้าตาอาจจะสวยกว่าแอนนาด้วยซ้ำยืนอยู่ ร่างนั้นยิ้มน้อยพลางก็คิดในใจ

                  พบกันครั้งแรกก็ไม่น่าพิศมัยเลยนะ  \"ลูซิเฟอร์\"

                                            ความคิดของเธอหยุดลงพร้อมกับเสียงหุ่นรบที่ดังใกล้มาเรื่อยๆ



    ......................................................                  

                    

                     \"รายงานมาสิ  มิสซิสแอนนา ว่าพวกเธอจะเรียกกำลังเสริมทำไมในเมื่อการ์กอยล์เหล่านั้น กลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว\" เสียงของอาจารย์ฝ่ายปกครองที่เดินไปเดินมาในห้อง เซ้าซี้ความจริงจากแอนนาและทารอส ทั้งๆ ที่พวกเขาก็พูดความจริงทั้งหมดแล้ว แต่อาจารย์ท่านนี้ยังไม่ยอมรับเพราะเรื่องที่พวกเขาพูดมามันไม่ค่อยน่าเชื่อเท่าไหร่นัก

             สายตาที่มองผ่านเลนส์สีใสออกมา แสดงถึงความสงสัยอย่างถึงที่สุด ซึ่งก็ดูเข้ากับใบหน้าที่เจ้าเล่ห์และผมสีดำที่เรียบแปร้    

                     \"เอ่อ...\"  แอนนาหันมามองทารอสซึ่งพยักหน้าตอบ   \"คือว่าพวกเราได้พบกับการ์กอยล์จริงๆ นะคะ\"  เสียงของเด็กสาวหายไปในลำคอเมื่ออาจารย์ฝ่ายปกครอง พูดแทรกขึ้นอย่างไร้มารยาท

                     \"เรื่องนั้นเราคาดว่าเรารู้แล้วนะมิสซิสแอนนา แล้วอีกอย่างสิ่งที่เราต้องการน่ะคือเหตุการณ์ที่ต่อจากนั้นนะมิสซิสแอนนา ฉันคงไม่มีเวลาทั้งวันมาฟังเธอสาธยายไร้สาระ\" เสียงของอาจารย์ฝ่ายปกครอง แสดงถึงความพอใจมากที่สั่งสอนเด็ก

                     \"ถ้าไม่มีเวลานักล่ะก็ น่าจะให้พูดให้มันจบๆ ไปไม่ใช่มาบ่นอยู่อย่างนี้\"

                     \"ผมเล่าเองครับ\"  เด็กหนุ่มที่เริ่มทนไม่ไหวกับท่าทีของอาจารย์ฝ่ายปกครอง ยกมือขึ้นเหนือหัวซึ่งอาจารย์ฝ่ายปกครองหันมามองหน้าทารอสสักพักจึงพูดขึ้น

                      \"ว่ามา มิสเตอร์ทารอส\" เด็กหนุ่มกระแอมเล็กน้อยก่อนที่จะเริ่มพูดขึ้น

                      \"พอเราพบการ์กอยล์แล้ว เราก็ได้ต่อสู้กับพวกมัน\"

                      \"โปรดใช้คำที่สุภาพกว่านี้ด้วยมิสเตอร์ทารอส\" อาจารย์ฝ่ายปกครองพูดแทรกขึ้นอีกครั้ง  ซึ่งเด็กหนุ่มทำท่าไม่สนใจ แม้อยากเข้าไปซัดกับอาจารย์ให้รู้แล้วรู้รอด

                      \"สักพักการ์กอยล์ก็หยุดการเคลื่อนไหวลง\" อาจารย์ฝ่ายปกครองที่เดินไปเดินมาหยุดอยู่กับที่พร้อมกับหันมาถามทารอส

                      \"มิสเตอร์ทารอสเมื่อสักครู่เธอได้พูดว่า...หยุดการเคลื่อน กะ การเคลื่อนไหวรึ\" เสียงของอาจารย์ทำให้เด็กหนุ่มกำหมัดแน่น

                      \"ใช่ครับ\"

                      \"ครูว่า การ์กอยล์นั้น เป็นการ์เดี้ยนที่ดุร้ายมาก มันจะไม่หยุดการโจมตี ถ้า...\"

                      \"แต่นั่นคือสิ่งที่ผมเห็น และถ้าอาจารย์ต้องการจะให้เวลาในการพูดลดลงล่ะก็ควรจะให้ผมพูดต่อได้แล้ว\"  เด็กหนุ่มจ้องตาของอาจารย์ฝ่ายปกครองอย่างไม่ลดละ จนกระทั่งอาจารย์หันหน้ากลับไปแล้วเริ่มเดินไปเดินมาต่อ

                      \"ฉันรู้ว่าตัวเองว่ากำลังทำอะไรอยู่ มิสเตอร์ทารอส...ว่าต่อไป\"

                  เด็กหนุ่มก็สาธยายต่อไปจนจบเหตุการณ์ทั้งหมดซึ่งอาจารย์ฝ่ายปกครองที่ทำตัวดีน่ารักขึ้นเยอะ หลังจากที่โดนทารอสต่อว่าไป เดินไปนั่งยังเก้าอี้ตรงข้ามกับแอนนาและทารอส

                      \"แล้วพวกเธอก็พบกับมนุษย์กลุ่มที่ 2 และนำยานที่พวกเธอพบกลับมายังฐาน\" ทั้งสองพยักหน้าอย่างรวดเร็วก่อนที่อาจารย์ฝ่ายปกคครองจะลุกขึ้นแล้วเดินไปยังประตู    

                      \"เอาล่ะคงจะจบการตรวจสอบแค่นี้แล้วกัน แต่ฉันว่า เรื่องของเรายังไม่จบ ไม่จบใช่ไหม มิสเตอร์ทารอส\" คำถามของอาจารย์ฝ่ายปกครองไม่ได้รอคำตอบ เพราะพอเขาพูดจบก็ได้ยินเสียงประตูที่ปิดลงแทบจะในทันที

                     เด็กหนุ่มหันมามองหน้าของหญิงสาวซึ่งถอนใจออกมาเฮือกใหญ่ แล้วเริ่มพูดขึ้น

                      \"เอ่อ...แอนนา\"  เด็กสาวเงยหน้าขึ้นมามองก่อนที่เด็กหนุ่มจะถามขึ้น

                      \"เขาเป็นโรคจิตชนิดนึงรึเปล่า\"  เด็กสาวเบิกตากว้างก่อนที่จะยิ้มน้อยๆ

                      \"ก็ไม่เชิง เขาชอบตอนที่ได้จับผิดเด็กน่ะ\" เด็กหนุ่มทำหน้าเข้าใจ ก่อนที่จะลุกขึ้นแล้วเปิดประตูออกไปข้างนอกซึ่งพอเปิดประตูออกไป ก็พบเพื่อนๆในห้องที่รอคอยพวกเขาอยู่...หรือใครกันแน่

                      \"เป็นไงบ้างแอนนา โดนซักหนักป่ะ\" เด็กหนุ่มผมสีแดงบาดตาเป็นคนพูดขึ้นซึ่งแอนนายิ้มน้อยๆ ก่อนที่จะเอ่ยตอบกลับไป

                      \"ก็ไม่เท่าไหร่หรอก...ที่จริงต้องขอบคุณทารอสนะ เขาจัดการอาจารย์ฝ่ายปกครองซะอยู่หมัดเลยล่ะ\" นักเรียนที่เหลือหันมามองทารอส ซึ่งยิ้มแหยๆ ตอบ

                      \"งั้น...ก็ฉลองกันดีกว่า\" เด็กหนุ่มคนเก่าเอ่ยขึ้นแต่ถูกขัดจังหวะโดยเด็กหนุ่มผมสีชาที่ทารอสคุ้นๆ หน้าก่อนที่จะถูกเฉลยด้วยเสียงของเขา

                      \"เนื่องในโอกาสอะไรปีเตอร์...คราวที่แล้วเพิ่งฉลองเนื่องในโอกาสที่นายได้น็อตมาซ่อมหุ่นยนต์ใหม่ไปไม่ใช่เหรอ\" เสียงและวิธีพูดทำให้ทารอสนึกขึ้นได้ ก็เด็กหนุ่มเจ้าของผมสีชาที่ติดต่อมาตอนที่พวกเขาเริ่มปฏิบัติการนั่นไง

                      \"โธ่เวลล์..ก็เนื่องในโอกาส...ที่แอนนาไม่ต้องโดนลงโทษไงและก็เนื่องในโอกาสที่เราได้เพื่อนใหม่ด้วย เพราะฉะนั้นทีนี้ต้องจัดให้มันยิ่งใหญ่หน่อยนะ ถึงยังไงๆ ตึกเราก็ไม่ค่อยมีคนอยู่แล้วนี่\" เสียงของปีเตอร์แสดงถึงความสุขแต่ก็หยุดลงเมื่อเสียงของทารอสพูดขึ้น

                      \"เอ่อ...เราขอไปงานช้าหน่อยได้ป่ะ\" เสียงของเด็กหนุ่มทำให้หน้าของปีเตอร์ซีดลงทันที

                      \"ฉันรับรองว่าจะรีบกลับน่ะ\" ปีเตอร์ทำหน้าครุ่นคิดก่อนที่จะยิ้มกว้าง                                        

                      \"เอาเถอะๆ ยังไงๆ ก็รีบกลับมาแล้วกัน ตัวการจัดงานไม่อยู่แล้วจะไปสนุกได้ยังไง\" ปีเตอร์หันมาหาแอนนา ซึ่งไม่จำเป็นต้องถามเพราะรู้กันอยู่แล้ว

                        \"ก็ได้ๆ ปีเตอร์ฉันไปเตรียมงานกับนายก็ได้\"

               ปีเตอร์ยิ้มกว้างขึ้นไปอีกทำให้หน้าของเขาดูตลกขึ้นมาทันควัน ก่อนจะตะโกนส่งสัญญาณให้กับนักเรียนในห้อง

                        \"เอาล่ะพวกเราไปเตรียมงานกันเลย...เออ ทารอสเราไปรอที่หอพักนะ\" เด็กหนุ่มพยักหน้ารับ ซึ่งเขาก็หันไปสบตากับแอนนา ที่ส่งยิ้มน่ารักมาให้ก่อนจะเดินไป

               และบัดนี้เขาได้อยู่คนเดียวแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือร้ายกันแน่ ที่เพื่อนเขาไม่ถามถึงที่ๆ เขาจะไปเลย แต่ก็ดีเหมือนกันเพราะถ้าพวกเขารู้ล่ะก็คงไม่ให้เขาไปแน่นอนหรือไม่ก็ต้องถามถึงเหตุผลที่อยากไป เพราะที่นั่นมันไม่น่าอภิรมณ์เท่าไหร่นักหรอก ใน \"คุก\" น่ะ

             เด็กหนุ่มเดินออกมาจากตึกหนึ่ง แล้วขึ้นรถไฟเวทย์ที่ใช้ธาตุที่ค้นพบขึ้นใหม่มาใช้ให้เป็นประโยชน์ รถไฟวิ่งด้วยความเร็ว...คือไม่ได้วัดอ่ะนะ แต่ให้เข้าใจว่า มันเร็วขนาดที่พาเด็กหนุ่มออกมาจากเขตโรงเรียนออสทิส ที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล ในเวลาเพียง 3 วินาที รถไฟวิ่งผ่านนอกโรงเรียนออกมา ซึ่งโรงเรียนนั้นเป็นโรงเรียนที่ตั้งอยู่บนภูเขาออกห่างจากตัวเมืองประมาณ 10 กิโลเมตร และทางที่จะเดินทางได้เร็วที่สุดนั่นก็คือรถไฟที่ทารอสนั่งอยู่

             โรงเรียนประกอบด้วยตึกใหญ่ๆ  5  ตึก ตึกที่ 1 เป็นตึกที่พวกหน่วยวางแผนเรียนอยู่ ตึกนั้นได้ฉายา \"ตึกหนังสือวงกต\" เพราะหนังสือที่อยู่ในนั้นมีมากกว่า 200 ล้านเล่ม (จะมีไปทำไมหนักหนา) ตึกนั้นเป็นทั้งที่พักและที่เรียนไปในตัว

             ตึกที่ 2 เป็นตึกแห่งการสร้างและซ่อมแซม ตึกนี้เป็นตึกที่รวบรวมคนที่มีความสามารถทางด้านเครื่องยนต์อยู่อย่างมากมาย แต่ละคนถนัดไปคนล่ะแบบ ตึกนี้เป็นตึกที่จะมีเสียงดังตลอดเวลา เพราะดูท่าคนที่นี่จะขยันทำงานกันน่าดู จนได้ฉายาว่า \"ตึกเสียงสยองขวัญ\" (ไม่รู้ใครคิด)

             ตึกที่ 3 เป็นตึกที่สะสมพวกที่มีไอเดียเจ๋งๆ ตลอดเวลาพวกเขาจะต้องออกแบบหุ่นยนต์  ออกแบบระบบคอมพิวเตอร์ จะว่าไปแล้วระบบต่างๆ และเทคโนโลยีในโรงเรียนกว่า 80% ก็มาได้มาจากตึกนี้ แถมตึกนี้ยังเป็นตึกที่รูปร่างแปลกประหลาดอีก ตึกนี้จึงได้ฉายาว่า          \"ตึกมนุษย์ต่างดาว\"  

             ตึกที่ 4 เป็นตึกรวบรวมคนที่มีความสามารถในการบังคับยาน คนพวกนี้ต้องมีความพร้อมในหลายๆ ด้าน เช่น ด้านร่างกาย  การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ด้านการตัดสินใจ ด้านจิตวิทยา และในอีกหลายๆ ด้านอีกมากมาย หน่วยนี้จึงเป็นหน่วยที่เข้าได้ยากที่สุดจึงได้ฉายาว่า \"ตึกเทพ\" (...รู้แล้วว่าพวกไหนคิดฉายา) ตึกนี้จึงเป็นตึกที่มีคนอยู่มาก ในตอนกลางวันและน้อยในตอนกลางคืน เพราะในตอนกลางวันผู้คนจากหลายๆ ตึกจะมารวมตัวกันที่นี่ ตึก 2 จะมาเช็คสภาพของเครื่องยนต์ ซ่อมแซมเล็กๆ น้อย ต่อเติมอีกนิดหน่อย ตึกที่3จะมาดูระบบคอมพิวเตอร์ของตัวเครื่อง ออกแบบเพิ่มเติมหุ่นรบให้ทันสมัยยิ่งขึ้น  ส่วนตึกที่ 1 จะอยู่ที่ตึกของเขาตลอดเวลา ถ้าวันไหนคุณเห็นเด็กตึก 1 ออกมาเดินเพ่นพ่านล่ะก็คุณก็เตรียมร่มไว้ด้วยล่ะกัน แม้พยากรณ์อากาศจะบอกว่า วันนี้อากาศแจ่มใสก็เถอะ และกล่มสุดท้ายก็คือตึกที่ 4 เป็นตึกๆ เดียวที่มีกันแค่ 60 คน(ในปีนี้) เพราะฉะนั้นพวกเขาจะว่างมากในวันๆ นึงพวกเขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับพวกจิตวิทยาเสียมากกว่า และเนื่องจากตึกแต่ละตึก ใหญ่พอๆ กันตึก 4 ในตอนกลางคืนจึงเงียบสงัด พวกเขาจึงชอบทำกิจกรรมแปลกๆ กัน(รู้นะคิดอะไรอยู่)

             ส่วนตึกที่ 5 เป็นตึกที่รวมพวกข้อมูลทั้งหมดไว้ที่นี่ ประวัตินักเรียนเอย ใบประกาศนียบัติเอย ใบตรวจสภาพหุ่นยนต์เอย

    แล้วก็ใบอะไรก็ไม่รู้เยอะแยะไปหมด นี่ยังไม่รวมห้องพักครูทั้งโรงเรียน ซึ่งมีไม่ถึง 200 คน  ห้องของผู้อำนวยการ ห้องประชุมที่น่าจะเอามาทำเป็นโรงหนังที่ใหญ่ที่สุดในโลก (ขนาด5โรงติดกัน) ตึกนี้จึงได้ฉายาว่า \"ตึกแห่งนรก\" เพราะได้รวบรวมผลการเรียนของทุกคนไว้

                 รถไฟได้วิ่งออกมาเรื่อยๆ จนถึงตัวเมืองนครหลวงโมเรีย เมืองแห่งวิทยาศาสตร์เวทย์ เป็นเมืองแรกที่คิดค้นการรวมเวทย์มนตร์กับวิทยาศาสตร์เข้าด้วยกัน

                 ตึกสูงเสียดฟ้าที่เรียงรายกันอยู่อย่างเป็นระเบียบ รถที่บินฉวัดเฉวียนตามกฎจราจร  ถนนที่สะอาดไม่มีแม้แต่เศษกระดาษอยู่บนพื้น มีผู้คนมากมายเดินไปเดินมาอยู่ มากมายมหาศาล

                รถไฟยังวิ่งต่อไปและหยุดที่สถานี 4-5 สถานี ก่อนที่จะถึงที่หมายของทารอส เรือนจำกลางแห่งนครหลวงโมเรียซึ่งได้ชื่อว่าเป็นที่ๆ มีความแข็งแกร่งมากที่สุดในโลกกำแพงเหล็กกล้า 3 ชั้น อาบด้วยม่านเวทย์มนตร์ทั้งด้านล่างและบนฟ้า ทหารอาวุธครบมือที่มีมากกว่า 250 คน และคัดมาจากกองทหารราบ ทำให้เชื่อใจได้ว่า ถ้าได้ลองติดคุกที่นี่แล้ว จะไม่มีวันได้คิดถึงเรื่อง \"แหกคุก\" ได้เลย

                ทารอสเดินลงจากรถไฟ แล้วตรงไปที่เรือนจำกลาง เขาเดินผ่านทหารสองนายที่ยืนอยู่หน้าประตู นี่ถ้าในหนังสือมันไม่ได้บอกว่าคนพวกนี้เป็นคนจริงๆล่ะก็ เขาคงเข้าใจผิด ยกไปประดับไว้ที่หน้าตึกเรียนแน่ๆเลย

               ทารอสเดินไปถึงกำแพงชั้นแรก ที่อยู่ไม่ห่างจากทางเข้าเท่าไหร่นัก เขาต้องถูกตรวจอาวุธเสียก่อน ซึ่งนั่นหมายถึงอะไรก็ตามที่เอามาเป็นอาวุธได้  แต่ทารอสก็ผ่านไปได้อย่างสะดวกหลังจากที่เขาโดนยึดนาฬิกาข้อมือ สร้อยคอ เข็มขัด และปากกาไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เขาก็เดินต่อไปยังกำแพงชั้นที่สอง กำแพงนี้ต้องตรวจเช็คสมองว่าเป็นพวกถูกแทรกซึมง่ายหรือเปล่า เพราะเคยมีคดีที่พวก อัสตาร่า แทรกซึมจิตใจของผู้คุม แล้วก็เดินออกจากเรือนจำได้อย่างน่าตาเฉย แต่ทารอสซึ่งเคยฝึกทางด้านนี้มาแล้วเป็นอย่างดีจึงสามารถไปได้โดยที่ไม่ต้องสวมหมวกกันกระแสจิต  เขาเดินต่อไปยังกำแพงชั้นที่สาม ซึ่งกำแพงนี่จะต้องตรวจประวัติของผู้ที่มาเยี่ยมว่า เกี่ยวข้องกันอย่างไรกับนักโทษ ซึ่งถ้ามีความเสี่ยงมากก็จะไม่ให้เข้าพบ ซึ่งทารอสก็ผ่านชั้นนี้ไปได้อย่างสบาย ก่อนที่จะถึงจุดกลางของเรือนจำที่เป็นตึกเตี้ยๆ แต่ใหญ่โตมาก ที่นี่จะนำนักโทษไปขังไว้ในชั้นใต้ดิน ส่วนชั้นแรกๆ ก็จะเป็นพวกที่พักของทหารบ้าง โรงอาหารบ้าง ที่ติดต่อสอบถามบ้าง ซึ่งทารอสก็ได้เข้าไปยังจุดติดต่อสอบถามก่อนที่จะเดินไปขึ้นลิฟต์          

            วันนี้เป็นวันอังคาร จึงไม่ค่อยมีคนมาเยี่ยมนักโทษสักเท่าไหร่นัก เขากดปุ่มที่ลิฟต์ไปที่ชั้น 96 ซึ่งชั้นนี้เป็นชั้นที่มีการคุ้มกันแน่นหนาที่สุด สักพักประตูลิฟต์ก็เปิดออกเผยให้เห็นทางเดินยาวเหยียดข้างๆ ทางเดินจะมีทหารที่ยืนเรียงรายกันอยู่หน้าประตูสีขาวที่ตรงประตูจะมีกระจกให้เห็นด้านในได้ส่วนนึง  ทารอสเดินตามทางสีขาวซึงดูจะสว่างไสวขึ้นมา เพราะไฟที่ส่องมาจากด้านบน ทารอสเดินต่อไปเรื่อย จนไปหยุดที่ห้องสุดท้าย ห้องที่มีการป้องกันหนาแน่นที่สุดในเรือนจำแห่งนี้  ที่ๆ คุมขัง มนุษย์พวกที่สอง

           ทารอสแสดงใบอนุญาตให้เข้าพบกับทหารที่ยืนอยู่หน้าประตู ซึ่งทหารผู้นั้นก็ได้ทำการเปิดประตูทันที

            ภาพที่ทารอสเห็นคือ ม่านบาเรียสีเขียว ที่จะเปิดเวลามีคนมาเข้าพบเท่านั้น กั้นระหว่างเขากับหญิงสาวที่กำลังนั่งสมาธิอยู่  หญิงสาวลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ ก่อนจะหันมามองหน้าของเด็กหนุ่ม

                      \"ฉันรู้อยู่แล้ว ว่านายต้องมา\" เสียงใสๆ ของเธอนั้นไม่ค่อยเข้ากับกริยาท่าทางของเธอเท่าไหร่นัก ซึ่งทารอสก็นึกขำก่อนที่จะตอบกลับ

                      \"เอาเถอะๆ บอกเหตุผลได้ไหมที่เธอไปที่นั่น\" เด็กสาวหันมามองก่อนที่จะยิ้มน้อยๆ แล้วค่อยเอ่ยขึ้น

                      \"ฉันถูกส่งมาให้กำจัดการ์กอยล์ ก่อนที่อาณาเขตควบคุมจะเอามันไม่อยู่\" เด็กหนุ่มทำหน้าเข้าใจ และรู้ซะทีว่า ทำไมการ์กอยล์พวกนั้น จึงออกห่างจากหุ่นยนต์ที่เขาเจอไม่ได้                                  

                      \"แล้วเธอมาจากที่ไหนล่ะ\"

                      \"หมู่บ้านอลิเทีย...น่าจะเรียกว่าเมืองจะดีกว่านะ\" เด็กหนุ่มทำหน้าเข้าใจ เพราะในหนังสือก็บอกมาว่า เมืองอลิเทีย เป็นเมืองหลวงของมนุษย์พวกที่ 2 เช่นเดียวกับนครหลวงโมเรีย                  

                      \"เอ่อเข้าเรื่องเลยนะ ฉันว่าถามใครก็คงไม่รู้เท่าเธอหรอก\" เด็กสาวทำหน้าตาเข้าใจก่อนจะเอ่ยขึ้น

                      \"เรื่องหุ่นยนต์ตัวนั้นใช่ไหมล่ะ\" เด็กหนุ่มเบิกตากว้างแล้วนึกอยากจะสวมหมวกกันการแทรกแซงจิตใจซะแล้วสิ

                      \"ใช่\"เด็กหนุ่มทำหน้าเคร่งเครียด ก่อนที่เด็กสาวจะยิ้มขึ้น

                      \"เรื่องมันก็นานมาแล้วน่ะนะ\"



                Episode 2   /  end

                                The Destiny



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×