คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ปฐมบท
ปฐมบท
“การแสดงจะเริ่มแล้วนะ มัวแต่กินอยู่นั่นแหละ” ผู้หญิงสองคนพากันนำถุงขนมและแก้วน้ำไปทิ้ง คว้ามือกันวิ่งฝ่าฝูงชนรอบกายตรงไปยังหอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย
ผู้ชมเริ่มทยอยเข้าไปในหอประชุมเมื่อประตูบานใหญ่เปิดออกต้อนรับผู้ชมก่อนการแสดงโขนครึ่งชั่วโมง เสียงเพลงดนตรีไทยบรรเลงขับขานเป็นเพลงหน้าพาทย์ดังแว่วออกมา เหล่าผู้ชมที่ชื่นชอบการแสดงโขนเข้าประจำที่นั่ง
บัตรเข้าชมในรอบนี้เต็มหมดทุกที่นั่ง นานมากแล้วที่ไม่มีโขนรามเกียรติ์ตอนนี้ให้ดูนับตั้งแต่หอประชุมแห่งชาติเกิดเพลิงไหม้ขึ้นเมื่อปี ๒๕๐๓
ตอนทศกัณฐ์ล้ม[1]
หลายคนหวาดผวา เหล่าครูบาอาจารย์คัดค้านตักเตือน กริ่งเกรงในอาถรรพ์ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อห้าสิบกว่าปีก่อน แต่ผู้ทรงอิทธิพลคนหนึ่งกลับจ้างคณะโขนให้จัดแสดงด้วยทุนมหาศาลและแนะนำให้คณะโขนแก้อาถรรพ์ด้วยการ…
บูชาทศกัณฐ์!
งานบวงสรวงบูชาจัดอย่างยิ่งใหญ่เป็นข่าวไปทั่วทุกหัวหนังสือพิมพ์ มีทั้งด้านเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย แต่ผู้จ้างทุนหนากลับไม่ยี่หระสั่งเดินหน้าซ้อมต่อไป บัตรการแสดงขายหมดเกลี้ยงภายในสองวันแรกที่เปิดจอง นับเป็นการหักปากกาเซียนที่ทำให้บรรดานักวิจารณ์ที่ปรามาสไว้ว่าไม่มีทางจะขายบัตรได้หน้าแหกแทบออกไปพบผู้คนไม่ได้อีก
มนตรา ชาติเพชร พาร่างสูงเพรียวอ้อนแอ้นวิ่งกระหืดกระหอบผ่านเข้าประตูศูนย์วัฒนธรรมฯ เข้าไป บ่าข้างขวาหนักอึ้งเพราะกระเป๋าผ้าใบโตเต็มไปด้วยหนังสือเกี่ยวกับประเทศอินเดียที่เจ้าขอยืมมาจากห้องสมุดมหาวิทยาลัย เธอหยิบนาฬิกาทองเหลืองวงรีเรือนเก่า ที่ได้รับเป็นมรดกตกทอดมาจากมารดาผู้ล่วงลับไปแล้ว เปิดฝาด้านหน้าที่แกะสลักลวดลายอสุราผู้มีสิบเศียรเจ้าแห่งลงกามันดูน่าเกรงขามจนในคราแรกที่ได้เห็นเธอแทบไม่กล้ายื่นมือไปรับนาฬิกาเรือนนี้จากมารดา
หลังจากนั้นมนตราเกือบได้ขายนาฬิกาไปหลายหนเพราะชีวิตอดอยากยากจน สวรรค์กลั่นแกล้งเธอหรือไรไม่ว่าจะกระทำสิ่งใดมีอันต้องพ่ายแพ้ ล่มจม ไปไม่รอดเสียทุกที ครั้นจะขายเกือบหลุดไปอยู่ร้านรับซื้อของเก่ากลับมีมือมืดป้อนงานส่งเงินเข้ากระเป๋า นาฬิกาจึงอยู่ติดตัวเธอมาถึงบัดนี้
ความจริงอาจะไม่ใช่เพราะสวรรค์ แต่เพราะใบหน้าจืดชืดนี่แหละที่ไม่มีใครอยากจ้างไปทำงาน แม้แต่การสอนพิเศษเด็กระดับประถม ต่างกับเพื่อนของเธอหลายคนได้เป็นนางแบบ พริตตี้ทำงานสบายๆ รายได้ดีมีเงินจ่ายค่าเทอมแถมยังเหลือส่งไปให้พ่อแม่
มนตราถอนใจเบาๆ แม่ของเธอสวยมากน่าแปลกที่เธอกลับหน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่ จึงมีแต่ผู้คนปฏิเสธไม่อยากมองหน้า
การแสดงจะเริ่มในเวลาหนึ่งทุ่มเหลือเวลาอีกสิบนาที มนตราผ่อนฝีเท้าลงแทนการวิ่งตับแลบเมื่อครู่ วันนี้เธอแลกเวรเข้ากะร้านสะดวกกับเพื่อนรายได้ที่เคยมีอาจหายไป
เพื่อแลกกับสิ่งล้ำค่าที่อาจหาดูไม่ได้อีกแล้วในชีวิตนี้
ด้วยฐานะตอนนี้แค่เธอมีเงินไปเรียนก็บุญโขนักหนา ต้องทำงานหาเงินส่งตัวเองเรียน และตารางเรียนที่แน่นเอี้ยด ไม่มีปัญญาหาเงินหลักพันมาซื้อตั๋วดูโขนที่อาจเป็นเรื่องไร้สาระสำหรับคนบางคน จึงได้แต่มองตาละห้อยด้วยความเสียดายเป็นล้นพ้น
โชคดียังเข้าข้างเธออยู่บ้าง วันนี้เธอในฐานะนักเรียนทุนกำลังช่วยงานอาจารย์วรัญญาอยู่พอดี จู่ๆ ท่านกลับมอบบัตรเข้าชมโขนแก่เธอเพราะต้องเข้าประชุมด่วนอย่างไม่ทันตั้งตัว ช่างประจวบเหมาะอะไรอย่างนี้ เธอได้รับบัตรนี้มาฟรีๆ แบบไม่ต้องเสียเงินสักบาท หญิงสาวคิดอย่างลิงโลด นับว่าบุญหล่นทับขนานแท้
ชีวิตเด็กกำพร้าได้แค่นี้ก็ดีถม เธอไม่เคยใฝ่ฝันถึงเงินทองมากมายหรือเจ้าชายขี่ม้าขาวเอาราชรถมาเสย ขอแค่มีการศึกษาหาเลี้ยงตัวมีชีวิตอยู่ในสังคมโดยไม่เป็นภาระของสังคม เท่านี้เธอก็พอใจแล้ว
มนตราไม่ได้ตั้งใจกำพร้า มารดาท้องไม่มีพ่อและเสียไปด้วยโรคหัวใจตั้งแต่เธออายุได้เพียงหนึ่งขวบ ส่วนน้าสาวที่รับเธอไปดูแลก็มาตายจากอีกตอนเธอห้าขวบด้วยอุบัติเหตุรถทัวร์คว่ำ เธอจึงถูกส่งเข้าสถานสงเคราะห์ หลังจากนั้นมีผู้ปกครองหลายคนที่รับเธอไปอุปการะแต่กลับมีอันเป็นไปทุกราย
ทุกครั้งที่ผู้คนรอบกายตายจากหญิงสาวรู้สึกราวกับวิญญาณของเธอถูกดูดเข้าสูภพภูมิที่วิญญาณทั้งหลายนั้นดำดิ่งลงไปด้วย
มนตราเข้าจับจองที่นั่งของตัวเอง เธอได้ที่นั่งริมฝั่งซ้ายกลางโรงละคร เสียงเครื่องดนตรีไทยขับกล่อมในท่วงทำนองเสนาะหู เธอวางถุงผ้าไว้ข้างกายเอนหลังพิงพนัก รับแอร์เย็นฉ่ำที่โลมลูบผิวกายร้อนระอุจากนาทีเร่งรีบ
มาถึงแล้ว...
เพียงไม่นานไฟด้านผู้ชมจึงดับลง หญิงสาวจับจ้องไปบนเวทีด้วยความตื่นเต้น การแสดงโขนตอนที่ไม่มีใครเคยได้ดูมากว่าห้าสิบปีแล้ว มือที่วางต้นขากางจิกกระโปรงตัวยาวแน่นโดยไม่รู้ตัว เสียงดนตรีหน้าพาทย์บรรเลงดังขึ้นเป็นลำดับกึกก้องในโสตประสาท รุมเร้าปั่นป่วน มนตราสูดหายใจเข้าปอดลึกอีกรอบ กลิ่นหอมแปลกคล้ายธูปหอมลอยอวลในอากาศ
ม่านเวลาเปิดขึ้นไฟบนเวทีเริ่มฉายแสงจัดจ้า ขับไล่ความมืดมิดจากไป หญิงสาวหายใจทั่วท้องขึ้น เธอดูทุกชีวิตที่กำลังขับเคลื่อนบนเวทีตาไม่กะพริบ ฉากแรกเริ่มจากที่พระรามทรงทราบเรื่องกษัตริย์แห่งกรุงลงกายกทัพมาโจมตีจึงแต่งองค์ด้วยทรงเครื่องแต่งกายงดงาม เครื่องประดับทุกชิ้นประณีตบรรจงราวกับทำมาจากทองคำแท้ นักแสดงรูปร่างสูงเปรียวใบหน้าหล่อเหลาสง่างามยากจะหาผู้ใดมาเปรียบ
พระรามทรงรถศึกสีทองอร่ามตา ฉากเบื้องหลังเปลี่ยนเป็นทุ่งกว้างฉาบด้วยหมอกควันบางเบาจากจอภาพขนาดยักษ์ดูสมจริงราวกับกำลังหลุดเข้าไปในอีกมิติหนึ่ง
รถศึกอีกคันกำลังเลื่อนเข้ามาในฉากเชื่องช้า ร่างห่มเครื่องทรงสีเขียวเข้มตัดดิ้นทอง องอาจผึ่งผายรูปร่างสูงใหญ่กำยำจนมิอาจละสายตาได้ เสียงขับร้องทรงพลังห้าวหาญ เปี่ยมไปด้วยความฮึกเหิม มนตราเปลี่ยนไปดูภาพพักตร์ทั้งสิบของทศกัณฐ์ที่จอภาพขนาดใหญ่ด้านข้าง เธอคุ้นเคยกับทศกัณฐ์มากกว่าพระราม แน่ล่ะก็เธอเห็นภาพทศกัณฐ์มาทั้งชีวิตบนนาฬิกาพก หลายต่อหลายครั้งเธออยากรู้ว่าภายใต้หัวโขน ใบหน้าแท้จริงของทศกัณฐ์จะเป็นเช่นไร
ดวงตาของหญิงสาวจ้องลึกสำรวจตรวจตราบนหัวโขนสีเขียวที่ทำขึ้นด้วยช่างฝีมือระดับตำนาน
มนตราจ้องอยู่นิ่งนานกระทั่งเห็นหัวโขนทศกัณฐ์หันมาทางเธอ
ยกยิ้มมุมปากขึ้นราวกับมีชีวิต!!!
[1] โขน หรือการแสดงไทยในรูปแบบต่างๆ ไม่นิยมแสดงตอน ทศกัณฐ์ล้ม เพราะ
เชื่อกันว่าจะเกิดภัยพิบัติแก่บ้านเมือง
ความคิดเห็น