ลำดับตอนที่ #5
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : บทสี่_ดับเพื่อกลับมาสว่าง
บทสี่
“ดับ
เพื่อกลับมาสว่าง”
ในคืนที่มืดมิดชานเมืองฝั่งตะวันตกหาได้หลับไหล แสงไฟจากหมู่บ้านกระพริบหริบหรี่เมื่อมองมาจากภูเขาด้านทิศเหนือ ชุมชนเล็กๆถูกสร้างขึ้นที่นี่ส่วนมหาวิทยาลัยกับค่ายทหารนั้นตามมาทีหลัง ราคาที่ดินแสนถูกแต่ไม่สามารถซื้อได้โดยง่ายทำให้ในระแวกนี้มีเฉพาะบ้านของชาวบ้านกับสถานที่เอื้อประโยชน์ต่อสาธารณะชนเท่านั้น นอกจากนี้แล้วชาวบ้านไม่ยอมขายที่ให้ใครอื่นเป็นอันขาด ยกเว้นครอบครัวครอบครัวหนึ่งซึ่งมีอิธิพลต่อความคิดของชาวเมืองเป็นอย่างมาก
บ้านสองชั้นริมรั้วมหาวิทยาลัยยังดูดีแม้จะมีอายุมากแล้ว คงเป็นเพราะวัสดุที่ทำมาจากไม้กระมังถึงทำให้มันยังคงความสวยเอาไว้ได้ สนามหญ้าหน้าบ้านแต่ก่อนไม่กว้างขนาดนี้ เจ้าของคนเดิมไม่ค่อยใส่ใจกับมันมากนัก จริงๆแล้วเขาไม่ชอบที่โล่งๆเพราะมันทำให้เขารู้สึกไม่มั่นคง แต่ตั้งแต่เจ้าของคนใหม่ย้ายเข้ามาทุกอย่างที่นี่ก็เปลี่ยนไป อาณาเขตตัวบ้านที่กว้างขึ้น ชุมชนโดยรอบที่หันมาสนใจเรื่องการศึกษา มหาวิทยาลัยข้างๆก็ด้วย มันถูกก่อตั้งหลังจากที่เจ้าของคนใหม่ย้ายเข้ามาอยู่เพียงไม่กี่เดือน
ภายในบ้านตรงโซฟาสีอ่อน พลอย เด็กสาวที่เพลิงเจอเมื่อเช้านั่งอยู่หน้าจอโทรทัศน์
“ยังไม่นอนอีกเหรอพลอย วันนี้ก็ไปปฐมนิเทศมาทั้งวัน” เสียงที่คุ้นเคยเสียงหนึ่งดังลงมาจากชั้นสอง
“หนูว่าคนที่เหนื่อยน่าจะเป็นคุณลุงมากกว่านะคะวันนี้ก็พูดมาทั้งวัน” พอสิ้นเสียงเล็กๆของพลอยตรงบันไดก็ปรากฎเงาเงาหนึ่ง พอเงานั้นเลื่อนลงมาแสงไฟก็เผยให้เห็นใบหน้าของอธิการแปะยิ้มผู้เป็นเจ้าของ
“ก็อยากเหนื่อยอยู่นะแต่ต้องไปงานศพพี่เฉินต่อน่ะสิ” อธิการแปะยิ้มพูดตอบพลอยในขณะที่มือยังคงจัดเครื่องแต่งตัวสีดำสนิทขนาดพอเหมาะกับพุงกลมๆของแกอยู่
“ตาเฉินที่อยู่ชุมชนข้างหลังมหาวิทยาลัยเราใช่ไหมคะ” พลอยเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ใช่” ท่านอธิการตอบ
“อ่าว ยังเห็นดีๆอยู่เลยนิน่า เขาเป็นอะไรตายหรอคะ”
“ตกน้ำตาย
เห็นว่าเจอรถบินได้อะไรก็ไม่รู้ญาติพี่แกโทรมาบอกฟังยังไม่ทันรู้เรื่องเลยมัวแต่ร้องไห้อยู่นั่นแหละ
เห้อ” อธิการแปะยิ้มหันมาตอบพร้อมกับทำหน้าเซงแล้วถอนหายใจเบาๆ
“รถบินได้?
” พลอยทวนคำซ้ำด้วยความสงสัย
“อืมเดี๋ยวลุงไปก่อนนะวันนี้คงกลับดึก ไม่ต้องรอลุงหรอกเดี๋ยวลุงให้ป้าวันเปิดประตูให้”
“ค่าไม่ต้องห่วง เดี๋ยวป้าจะรอนะคะ”
เสียงของคุณป้าคนหนึ่งดังขึ้นอีกข้างของโซฟาตัวที่พลอยนั่งอยู่ แกคือป้าวันคนรับใช้เก่าแก่ของบ้านหลังนี้ก่อนที่อธิการจะมาซื้อบ้านต่อจากเจ้าของเดิม พอดีช่วงนั้นเจ้าของบ้านกำลังจัดโปรโมชั่นซื้อบ้านแถมคนใช้เลยได้แกเป็นของแถมติดบ้านมา และเนื่องจากป้าวันผ่านประสบการณ์ทำความสะอาดมาอย่างโชกโชนประกอบกับอายุอานามที่ปาไปเกือบหกสิบแต่ยังแข็งแรงเป็นสาวสองพันปีอยู่จึงทำให้ครอบครัวพลอยมองแกในฐานะญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง หน้าที่หลักของป้าวันไม่มีอะไรมากไปกว่าปัดกวาดเช็ดถูกับดูละครหลังข่าวเป็นเพื่อนพลอย แล้วก็เหมือนเช่นทุกวันเวลาสามทุ่มเศษป้าแกจะมาจองที่หน้าโทรทัศน์ที่ที่แกเพ้อหาพี่เคนธีระเดชอยู่ทุกวี่ทุกวัน
“คะคุณลุง”พลอยยิ้มๆแล้วพยักหน้ารับ
ขณะเดียวกันที่บ้านของเพลิง ตอนนี้เพิ่งสามทุ่มกว่าซึ่งถือว่าไม่ดึกมากหากเป็นในเมืองที่มีการจราจรคับคั่งเนื่องจากทางด่วนที่สร้างไม่เคยเสร็จ แต่ถ้าเป็นบริเวณชานเมืองใกล้ๆกับบ้านเพลิงแล้วเวลานี้ถือว่าดึกมากทีเดียว รอบๆบ้านของเพลิงไม่มีบ้านใครอยู่เลยจะมีก็มีแต่สวนผลไม้ที่อยู่ถัดไปอีกสองถึงสามกิโลเมตรจึงทำให้ระแวกนี้เงียบสงบ ถ้าหากจะมีเสียงดังขึ้นสักครั้งสองครั้งก็คงหนีไม่พ้นบ้านของเพลิงซึ่งตั้งอยู่โดดเดี่ยวเดียวดายนั่นแหละที่เป็นต้นเสียง และในบ้านหลังนั้นเองที่ห้องกระจกเพลิงนั่งทำหน้าเหมือนหมาเซงอยู่หน้าโทรทัศน์
“ยะเห้ย! เซงทำไมละพวก มีจ๊อดมานอนเป็นเพื่อนทั้งคน” จ๊อดกระโดดเข้ามานั่งเป็นเพื่อนเพลิงอย่างแรงทำให้โซฟาสีแดงสดถึงกับเด้งดึ๊งๆ
“ฉันไม่ได้เซงแก ฉันเซงไอ้ตัวประหลาดนั่นต่างหาก ใครบอกให้พามันมาที่บ้านฉันหา!” เพลิงตะคอกใส่จ๊อด พร้อมกับชี้นิ้วผ่านกระจกห้องไปยังนทีที่ตอนนี้มาเดินเปิดตู้เย็นเอาของในบ้านคนอื่นมากินหน้าตาเฉย
“ฉันก็ประหลาดไม่ต่างจากนายหรอก
” นทีพูดออกมาด้วยท่าที่ที่เย็นชาในมือเขายังถือฝรั่งสีเขียวสดอยู่หนึ่งลูก ส่วนเพลิงหลังจากที่ได้ยินนทีกล่าวประชดเขาก็กระโดดจากโซฟาตรงดิ่งมายังห้องครัวที่อยู่ใกล้ๆอย่างเร็ว
“โอ้ย ไอ้หน้าหนา! มาตืบเจ้าของบ้านเขาแล้วยังมาเดินเกะกะในบ้านเขาอีก อย่างนี้มันเรียกว่าโจรเฟ้ย!”เพลิงมาถึงก็ด่าเอาด่าเอา
“อย่าพูดงั้นสิ ฉันก็สะเทือนใจเป็น “ กร๊อบ!
นทีบอกว่าสะเทือนใจแต่กลับหยิบฝรั่งขึ้นมากัดด้วยท่าทีที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาวทำเอาเพลิงยิ่งโมโหเข้าไปใหญ่
“เอาน่า
ใจเย็นเถอะนทีเขาอุตส่าห์พามาส่ง” จ๊อดเข้ามาห้ามศึก
“ให้ไอ้ตัวประหลาดนี่มาส่ง ปล่อยฉันนอนตากฝนอยู่นั่นดีกว่า” เพลิงพูดอย่างโมโห พร้อมกับเอามือกอดอกเชิดหน้าหนีนทีอย่างยโส
“อ่า
ขอร้องล่ะ นทีเขาน่าสงสารออก พ่อกับแม่เขาบินไปดูงานศิลปะที่ฟลอริด้าเขาเลยต้องอยู่บ้านคนเดียว เขาคงเหงาเลยอยากมาอยู่เป็นเพื่อน แถมบ้านแกก็ออกกว้าง หน่าทำใจกว้างให้มันเหมือนบ้านหน่อยสิเพื่อน”
“เอะ!...นี่ตกลงมันบ้านฉันหรือบ้านแกวะ ก็ได้ถือซะว่าทำบุญ ชิ!” พอพูดจบเพลิงก็หันหลังให้แล้วเดินหนีไปทิ้งบรรยายกาศอึมครึมไว้ที่ห้องครัวจนจ๊อดต้องตะโกนถามออกไปด้วยความเป็นห่วง
“เพลิงไม่อยู่คุยด้วยกันเหรอไง”
“ไม่เอาแล้ว จะรีบนอนพรุ่งนี้จะตื่นไปทำบุญล้างซวยแต่เช้า” เสียงฮ้วนๆลอยออกมาจากปากของเพลิง แม้แต่จะตอบเขาก็ยังไม่หันหน้ากลับมา
“ว้าว
นี่ชั้นอยู่บ้านนักบุญหรอนี่” เพลิงไม่สนใจกับคำพูดของนทีเขาเดินเข้าห้องนอนไปปิดประตูดัง ‘ปัง!’
“อย่าถือสาเพลิงเลยนะ เขาก็เป็นแบบนี้แหละ” จ๊อดหันมามองหน้านที“แล้วนายไม่โกรธฉันแล้วเหรอจ๊อด” นทีถามทั้งๆที่เขาก็รู้คำตอบอยู่แล้ว ตามจริงความสามารถในการอ่านใจคนก็เป็นอีกหนึ่งความสามารถของเขา
“ฉันว่าให้บทเรียนกับความทนงตัวของเพลิงบ้างก็ดีนะ” จ๊อดหันมามองหน้านที แววตาใสซื่อแสดงให้เห็นถึงการให้อภัย
หลังจากนั้นจ๊อดก็ชวนนทีคุญเล่นอยู่นานสองนาน เรื่องราวหลายเรื่องออกมาจากปากของจ๊อดในขณะที่นทีนิ่งเฉยเมื่อจ๊อดเอ่ยถามถึงเรื่องราวของเขา ในตอนนี้จ๊อดรู้แค่เพียงว่านทีเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยเดียวกัน กับเรื่องที่พ่อแม่ของเขาไม่อยู่เท่านั้น
เวลาผ่านไป ตอนนี้จ๊อดหลับอยู่บนฟูบเล็กๆที่ห้องนั่งเล่นตาของเขาหลับพริ้มเหมือนเด็กๆ จ๊อดในเวลานี้ซื่อบริสุทธิ์ดูไม่ต่างอะไรจากเด็กเล็กๆเลยนทีคิดในใจ จากนั้นนทีก็เอาผ้ามาคลุมตัวให้จ๊อด ”เพลิงๆ แกไม่เป็นไรนะ
อย่าเป็นไรนะ” จ๊อดละเมอออกมาเบาๆ นทีมองที่จ๊อดถอนหายใจแล้วก็เดินจากไป
นทีปลีกตัวออกมายืนอยู่ที่ลานบนดาดฟ้าบ้านของเพลิง เขามองผ่านโดมสีใสไปยังดวงดาวบนท้องฟ้าที่เปิดหลังฝนตก คืนนี้พวกมันสวยมากทีเดียว อาจจะเป็นเพราะคืนนี้เป็นคืนเดือนมืดประกอบกับตรงนี้อยู่นอกเมืองจึงทำให้การดูดาวในวันนี้เป็นเรื่องน่าภิรมณ์
นทีล้วงเอาของบางอย่างที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงออกมา มันคือเมาท์ออแกนสีฟ้าอันน้อยมีลายสลักด้านบนพอให้รู้ว่าเป็นของใคร เนื่องจากนทีมีพ่อเป็นนักวาดภาพและมีแม่เป็นนักดนตรีชื่อดังเมื่อสมัยอดีต จึงไม่แปลกที่นทีจะเล่นเครื่องดนตรีชึ้นเล็กๆนี้เป็น เขาเริ่มเป่ามันอย่างนุ่มนวลเสียงที่ดังออกมาก้องกังวาลและไพเราะมากหรือเพราะเพลงมันเศร้าเข้ากับบรรยากาศก็ไม่อาจทราบได้
“เฮ้ย! ดึกดื่นป่านนี้แล้วยังมาเล่นเพลงชวนขนหัวลุกอยู่อีก
เล่นเพลงอื่นไม่เป็นแล้วรึไงวะไอ้ตัวประหลาด” เสียงของเพลิงดังขึ้นมาจากมุมหนึ่งของดาดฟ้า นทีไม่ได้ตกใจอะไรเพราะรู้อยู่นานแล้วว่าเพลิงยืนอยู่ตรงนั้น
“ไม่รีบนอนเหรอ เดี๋ยวตื่นไม่ทันล้างซวยพรุ่งนี้นะ” นทีหยุดเล่นเพลงพลางหันมาพูดกับเพลิงด้วยเสียงที่นุ่มนวลไม่ต่างจากเพลงที่เพิ่งจบไป แม้จะเป็นประโยคประชดประชันแต่ก็ไม่ทำให้ผู้ฟังเสียความรู้สึกแต่อย่างใด
“ใครจะไปหลับลง แกเล่นเป่าอะไรไม่รู้หนวกหูชิป” เพลิงตอบพร้อมกับเดินเคาะหูมาหานที เขาทำท่าเหมือนกับว่าเพลงของนทีไปรบกวนโสตประสาทของเขาจริงๆ
“นายอยากจะถามคำถามไหนก่อนล่ะ” นทีพูดดักเพลิงเหมือนรู้ว่าเพลิงคิดอะไรอยู่ในใจ
“(รู้อีก)
ก่อนอื่นเลย เลิกอ่านใจฉันได้แล้ว ถึงฉันจะแพ้แกแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเดาความสามารถของแกไม่ออก แกรู้ว่าฉันจะทำอะไรต่อ แกรู้ว่าฉันจะชกแกยังไง พึงสังวรไว้ซะว่าฉันไม่ได้แพ้แกเพราะฝีมือ” เพลิงยังวางมาดไม่เลิกหารู้ไม่ว่าตอนนี้นทีมองทะลุไปถึงไหนๆแล้ว “อีกอย่างฉันสงสัยอยู่ว่าแกเดินทะลุกำแพงได้ยังไงในเมื่อความสามารถของแกควรมีแค่อย่างเดียว” เพลิงถามต่อ
“ใครเป็นคนกำหนดเรื่องนั้น” นทีเอ่ย “ บ่อยครั้งที่ผู้คนเข้าใจผิดเรื่องขีดจำกัดของความสามารถที่มีอยู่ในตัว เป็นพวกมั่นใจเกินจริงครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งเป็นจำพวกไม่รู้ว่ามี แต่ฉันว่าตอนนี้นายเป็นทั้งสองอย่าง นายไม่แปลกใจบ้างเหรอที่พบตัวเองนอนอยู่ในห้องสองห้องที่แยกออกจากกัน ”
“ฉันถามแกไม่ใช่ให้แกมาหลอกด่าฉัน เลิกพูดอ้อมค้อมซะที ฉันล่ะเบื่อจริงๆไอ้สำนวนฝรั่งที่แกใช้เมื่อกี้ รู้ไหมว่าฉันเห็นในหนังสือจนเอียนจะอ๊วก เห็นแล้วหมั่นไส้ ไม่รู้ว่ามันจะพูดให้เข้าใจยากไปทำไมในเมื่อพูดกันตรงๆก็เข้าใจ”เพลิงบ่นพึมพำ
“ก็เพราะว่าไม่มีกำแพงน่ะสิ ” นทีตอบสั้นๆหลังจากฟังเพลิงบนมายืดยาว เหงื่อของเขาเริ่มหยดติ๋งๆ เพลิงชั่งไม่มีศิลปะในการพูดเอาซะเลย แต่คิดไปคิดมาที่เขาพูดก็มีเหตุผลเหมือนกัน แล้วทำไมเราต้องทำอะไรให้มันดูยุ่งยากล่ะเนี้ย
“ไม่มีได้ไง ก็ฉันเห็นอยู่ อ้อนี่แกสร้างภาพลวงตาได้ใช่ไหม?”เพลิงที่ในตอนนี้ยังไม่เข้าใจความหมายของคำว่าไม่มีกำแพงพูดโวยวายอย่างดัง วิชาปรัชญาเป็นเรื่องที่ยากจะเข้าใจ หลายครั้งคำพูดที่ไม่ชัดเจนและวกไปวนมานำปัญหามาสู่เจ้าของ แม้ว่าผู้พูดจะดูสูงส่งแต่ถ้ามันยุ่งยากนักก็อย่าดีกว่า
“ปัญญาที่ติดตัวนายมาในภพนี้ไม่ได้ช่วยอะไรนายเลยสินะ
ใช่ ความสามารถฉันมีเพียง อย่างเดียวแต่ความสามารถนั้นไม่ใช่ทั้งอ่านใจคนและสร้างภาพลวงตา สิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงทักษะที่ต่อยอดออกมาอีกที” นทีจงใจเว้นไว้ให้เพลิงคิดตาม
“งั้นหมายความว่า
” เพลิงเริ่มจะเข้าใจ เขาพอจะจับจุดนทีได้
“ใช่ที่นายคิดมันถูก ความสามารถที่แท้จริงของฉันคือพลังจิตและจิตใจอันละเอียดอ่อนจัดอยู่ในธาตุน้ำก็ไม่แปลกหรอกที่ตอนแรกนายซึ่งเป็นธาตุไฟจะเหม็นหน้าฉัน ส่วนเรื่องที่ฉันทะลุกำแพงได้ก็เพียงฉันเชื่อจริงๆว่าไม่มีกำแพงเท่านี้ก็ไม่มีกำแพงสำหรับฉัน เพราะมีคนเคยบอกฉันว่าถ้าหากเชื่อจริงๆว่าภูเขาลอยน้ำได้มันก็จะเป็นไปตามนั้น ตั้งแต่นั้นมาฉันก็ฝึกจิตมาโดยตลอดจนฉันสามารถควบคุมความรู้สึกนึกคิดได้ ทักษะเหล่านี้เกิดจากการเรียนรู้และพัฒนาตนเอง ไม่ใช่คนที่เอาแต่อวดเก่งแล้วก็ทำตัวเป็นน้ำล้นถ้วยอย่างนาย ถ้าจะเปรียบความสามารถนายตอนนี้ก็แค่ลูกนกหัดบินเท่านั้น” เพลิงพอได้ยินเช่นนี้ก็ได้แต่ทุเรศตัวเองที่คิดเสมอว่าตนเก่งเหนือใครหารู้ไม่ว่าตัวเองเป็นเพียงกบในกะลา ยังมีคนที่เหนือกว่าตนอยู่มากมายแล้วพวกเขาก็ยังพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง ยิ่งคิดเพลิงก็ยิ่งละอายใจ
“ฉันยังเก่งได้อีกใช่ไหม” เพลิงจ้องหน้านทีตีหน้าเข้มและเอ่ยถามด้วยความใคร่รู้
“ทั้งความสามารถของนายและฉันหากพัฒนาไปเรื่อยๆ ก็ไม่รู้จะจบลงที่ใด” คำตอบของนทีในตอนนี้ยังดูคลุมเครือ
“แล้วถ้ามันถึงที่สุดแล้วฉันมีโอกาสชนะนายรึเปล่า?” เพลิงบีบประเด็นให้แคบลงไปอีกเพื่อต้องการได้ยินคำตอบที่ทำให้เขาพึ่งพอใจ
“ไฟย่อมแพ้น้ำ แต่น้ำน้อยก็แพ้ไฟได้เช่นกัน หากวันใดที่นายมีความอุตสาหะมากกว่าฉัน วันนั้นฉันอาจไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาย” นทีตอบอย่างให้คิด
“เมื่อรู้ว่าถ้ามาบอกฉันแล้วฉันจะเก่งขึ้น แล้วแกมาบอกฉันทำไม” เพลิงทำหน้าสงสัย เขายังไม่สามารถไว้ใจนทีได้เลยซะทีเดียว
“น้ำย่อมไหลจากที่สูงลงที่ต่ำ มีมากก็แบ่งมาก รู้มากก็สอนมาก ทุกสิ่งยังต้องการสมดุลของมันเมื่อน้ำมีอิทธิพลเหนือไฟ ความเยือกเย็นและโหยหิวก็จะเกิดแก่สรรพสิ่ง หึหึ ที่พูดมาทั้งหมดนี้เพียงเพื่อจะบอกแค่ว่า
”
“ชะตาเราสัมพันธ์กัน”
เพลิงพูดสวนขึ้นมาอย่างรู้ใจ แล้วทั้งคู่ก็มองหน้ากันจากนั้นก็พากันหัวเราะเสียงดังลั่น นทีที่ดูเยือกเย็นพอมาถึงตอนนี้ก็หัวเราะได้ดังไม่แพ้เพลิงเลยทีเดียว ทั้งคู่คุยกันอยู่นาน เขาทั้งสองต่างแลกเปลี่ยนความรู้ความคิดเห็นซึ่งกันและกันจนมาถึงคำถามสุดท้าย
“แล้วแกจะอยู่ที่นี่อีกนานแค่ไหน”
“ไม่รู้สิ ฉันมีบ้านก็เหมือนไม่มี บ้านในตอนนี้ก็เป็นได้แค่เพียงสุสานความทรงจำของฉันที่มีต่อพ่อและแม่เท่านั้น” นทีพูดเสียงเอื่อยๆคำพูดของเขาแฝงความเศร้าไว้ภายใน
“ไหนแกว่าพ่อกับแม่บินไปดูงานศิลปะที่ฟลอริด้าไง” เพลิงถามอีกครั้งด้วยความสงสัย
“ใช่ แต่พวกเขาบินไปตั้งแต่สิบปีที่แล้วและพวกเขาก็ยังไม่ได้กลับมา”
“สิบปี! จะบ้าหรอป่านนี้ดูได้รอบโลกแล้วมั้ง แล้วแกอยู่ได้ยังไง”
“ตอนนั้นฉันยังไม่ถึงสิบขวบ ยังช่วยตัวเองไม่ค่อยได้ ผู้จักการส่วนตัวของแม่ฉันเลยหลอกให้ฉันขายภาพเขียนของพ่อและงานเพลงของแม่ซึ่งประเมิณค่าไม่ได้ออกไป ถึงฉันจะรู้อยู่ว่าโดนหลอกแต่มันก็เป็นทางรอดเดียวของฉัน และอีกอย่างภาพเขียน กับงานเพลงถึงแม้จะกดราคาแล้วราคาที่เสนอขายก็ยังสูงอยู่ดี จึงทำให้ฉันมีกินมีใช้อยู่ทุกวันนี้ สิ่งที่เหลือพอให้ดูต่างหน้าพ่อกับแม่ก็คงจะมีแค่เม้าท์ออแกนของฉันอันนี้ที่พ่อและแม่ช่วยกันทำขึ้นให้ฉันเป่าเล่นตอนเด็กๆ” นทีจ้องมองเครื่องดนตรีชิ้นน้อยในมือของตัวเองด้วยตาที่เศร้า เพลิงมองหน้านทีอย่างเห็นใจ เรื่องราวทั้งหมดที่เขารู้มาจากนทีถูกประติดประต่อเข้าด้วยกันจนสมบูรณ์ตอนนี้เพลิงรู้หมดทุกอย่างแล้ว และเขาก็รู้ความจริงที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ เรื่องที่เขาคิดว่ามีคนอย่างเขาใช้ชีวิตอย่างเดียวดายอยู่ในโลกนี้มันไม่จริง เพราะวันนี้เขามีจ๊อดกับนทีที่ยังยืนอยู่ข้างๆเขา และแล้วไฟในตัวเพลิงที่เคยมอดดับไปตอนที่แพ้ให้กับนทีก็ประทุขึ้นอีกครั้ง
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น