ลำดับตอนที่ #3
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทสอง_เมื่อเพลิงลุกโชน ความมืดย่อมซ่อนเร้น
บทสอง
“เมื่อเพลิงลุกโชน ความมืดย่อมซ่อนเร้น”
“เมื่อเพลิงลุกโชน ความมืดย่อมซ่อนเร้น”
๔ กันยายน ปีใดไม่ปรากฏ
บัดนี้สภาสวรรค์เหลือเพียงซาก วันโลกกาวินาศมาถึง กองทัพปีศาจมีชัยเหนือมวลมนุษย์และเทวดา ความโหดร้ายและการเข่นฆ่ามีทุกย่อมหญ้า อสูรบินโฉบเฉี่ยวเหนือหมู่เมืองที่จมอยู่ภายใต้กองเพลิง ผงธุลีและเปลวไฟปลิวขึ้นสู่ท้องฟ้าสีแดงฉานไม่ต่างอะไรกับเลือดผู้บริสุทธิ์ที่ไหลอาบพื้น
“ไม่!............”
ความแค้นเคล้าความเศร้าเกินเยียวยาทำให้เพลิงดีดตัวจากหน้าผาสูงชันลงสู่มหานครที่ลุกเป็นไฟเบื้องล่างอย่างไม่ทันได้ยั้งคิด ชายที่แข็งแกร่งอ่อนแอได้อย่างไม่น่าเชื่อเมื่อสูญเสียเพื่อนรัก แสงแดดยามเช้าอันแสนเศร้าส่องให้เห็นละอองน้ำตาลูกผู้ชายที่ปลิวมาตามลมความปวดร้าวสุดบรรยายแผ่ขยายเข้าแทรกซึมทุกอณูในร่างกายของผู้คนที่เขาทิ้งไว้เบื้องหลัง
“เพลิง!”
วายุตะโกนดังลั่น เพื่อนคนนี้ไม่สามารถทำได้แม้แต่จะรั้งตัว ลมเอื่อยๆหอบเอาความเสียใจของเพลิงส่งมาที่เขา เพียงแค่เศษเสี้ยวของความทุกข์ระทมก็เกินจะเข้าใจ ศิลาเช่นกัน เขาอยากจะกระโจนลงกองเพลิงใจแทบขาดหากแต่นทีดึกมือของเขาเอาไว้ก่อน
“นายจะไปไหน”เสียงเย็นชาเอ่ยถาม
“ไปช่วยเพลิง นทีหากนายยังเป็นเพื่อนฉันอยู่ก็ช่วยปล่อยมือเถอะ” ศิลาตอบนทีอย่างจริงจัง ด้วยความรักเพื่อนศิลาพร้อมที่จะกระโดดลงสู่ขุมนรกเบื้องล่างและต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่เพลิงจนกว่าจะหมดลมหายใจ
นทีไม่ตอบเขาหันกลับไปมองประชาชนที่ยืนเกาะกลุ่มกันอยู่ข้างหลัง ผู้คนไร้ที่พี่งมากมายมีสภาพไม่ต่างอะไรจากขอทาน เถ้าถ่านเปื้อนเสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่ง ลูกเล็กเด็กแดงโอบกอดผู้เป็นแม่ด้วยความหวาดกลัว ชายหนุ่มเลือดไหลท่วมเหงื่อโทรมกาย สายตาวิงวอนกำลังจ้องมองมาที่ศิลา อย่าไปเลยเราไม่เหลือใครแล้ว แววตามันบอกว่าอย่างนั้น แต่ฝูงปีศาจที่รออยู่ข้างล่างไม่ เพลิงก็ด้วย
“ปล่อยเพลิงไปเถอะ
” ฝ่ามืออ่อนโยนวางบนไหล่ที่กำยำ ปอยผมสีน้ำตาลเลื่อนลงมาบดบังน้ำตาที่เอ้อล้น วายุที่เคยร่าเริงกล่าวด้วยเสียงที่สั่นเครือก่อนเดินนำเข้าไปในทางลับที่มืดมิด
๔ กรกฎาคม สามเดือนก่อน
.
ณ ที่แห่งหนึ่ง ที่ๆอุดมด้วยต้นไม้พืชพรรณอันเขียวชอุ่มบนปลายใบหญ้ากลางทุ่งเขียวขจียังมีหยดน้ำเล็กๆเกาะอยู่ ไม่ไกลนักลำธารสายน้อยกำลังไหลเอื่อยๆ น้ำในลำธารนั้นใสจนสามารถมองเห็นพื้นหินสีฟ้าอ่อนที่อยู่เบื้องล่าง เหนือหินอ่อนเล็กน้อยมีปลาฝูงเล็กค่อยๆว่ายทวนน้ำอย่างใจเย็น เสียงนกแว่วดังมาเป็นระยะทั้งในพุ่มไม้และบนท้องฟ้าสีครามที่มาของแสงอันอบอุ่นดุจดั่งแดดยามเช้าในหน้าหนาว แสงแดดได้ส่องกระทบกับใบไม้สีเขียวมรกตของต้นไม้ต้นหนึ่งแตกออกเป็นแสงระยิบระยับ ภายใต้ต้นไม้นั้นปรากฎร่างของบุรุษเพศในอาการสงบด้วยสมาธิ และในขณะนั้นเองเปลือกตาผิวนวลละเอียดที่กำลังหลับอยู่ก็เปิดออกอย่างรวดเร็ว ก่อเกิดแสงสว่างลุกโพลงขึ้นทันใด
พรึบ!
บ้านใหญ่ย่านชานเมืองถูกตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวกลางทุ่งเขียวขจี มันมีสนามหญ้ายี่สิบไร่กั้นระหว่างประตูบ้านกับประตูรั้วเหล็กกล้าสูงเกือบสามเมตร ข้างๆเชื่อมเข้ากับแนวกำแพงหินที่ทอดตัวยาวจนสุดลูกหูลูกตา หากมองจากด้านหน้าแล้วจะสามารถมองเห็นตัวบ้านสีขาวครีมขนาดพอๆกับสนามฟุตบอลตั้งอยู่ เหนือชั้นห้าหลังคาสีแดงถูกออกแบบให้เข้ากับโดมของสระว่ายน้ำมาตราฐานโอลิมปิกกลางดาดฟ้า มันสร้างโดยวิศวะกรหัวกระทิกลุ่มเดียวกับที่สร้างฐานยิงจรวจให้องค์การนาซ่า และแน่นอนตัวบ้านที่ฉาบด้วยปูนพิเศษเสริมใยเหล็กสังเคราะห์กับผังตัวบ้านที่วกไปวนมาก็เป็นฝีมือของพวกเขาเช่นเดียวกัน
“กริ้ง!!!ๆๆๆ
กริ้งๆๆ!”
เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นภายในห้องนอนห้องหนึ่งที่อยู่บนชั้นสามของบ้านหลังใหญ่ ภายในห้องนั้นข้าวของถูกทิ้งระเกะระกะอยู่ตามพื้นพรมสีแดง กองผ้ากองหนังสือกระจัดกระจายปนกันมั่วไปหมด ขยะสามารถหาได้จากทุกซอกทุกมุม หากไม่มีเตียงตั้งอยู่จะไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่าเป็นห้องนอน แสดงถึงความมักง่ายและไม่ใส่ใจของผู้เป็นเจ้าของ
บนเตียงปรากฎร่างของชายหนุ่มกำลังนอนเอาหน้าฟุบอยู่บนหมอนภายใต้ผ้าห่มที่ตนกำลังดึงขึ้นมาคลุมโปงอยู่ด้วยความรำคาญเสียง ไม่นานนักมือที่อยู่ใต้ผ้าห่มก็เอื้อมออกมาเหมือนจะควานหาอะไรสักอย่างแบบสะเปะสะปะ จนกระทั่งมันได้เจอกับเศษกระดาษชิ้นหนึ่งที่ตกอยู่ไม่ไกล มันขยำอย่างรวดเร็วและปาไปยังที่มาของเสียงที่ตกอยู่อีกมุมของห้องซึ่งดูเหมือนเพิ่งเกิดจลาจลมาอย่างแม่นยำ
“กริ้งๆๆ
แกร๊กๆๆ
.ตุ๊ด
”
“เห้ย
พังอีกแล้วเหรอเนี้ย!...ไอ้นาฬิกาเฮงซวยเครื่องที่สิบของเดือนนี้แล้วนะเฟ้ย นี่กะว่าปาไม่ให้พังแล้วนะ โอ้ย
. ง่วง”เสียงนี้เอ่ยขึ้นอย่างงัวเงียภายใต้ผ้าห่มผืนเดิม คำบ่นยืดยาวออกมาจากปากของชายหนุ่มในรูปของก้อนอะไรซักอย่างที่ขดอยู่บนเตียง
“ตื๊ด!ๆ
ตี๊ด!ๆ
” เสียงโทรศัพท์ดังต่อจากนาฬิกา
..ยังไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ภายใต้ผ้าห่ม
“ตี๊ด!ๆ
” โทรศัพท์ยังดังต่อไป
“โอ้ย! นี้มันอะไรกันวะ คนจะหลับจะนอน โหล!” โทรศัพท์โดนลากลงไปใต้ผ้าห่ม เขารับมันด้วยความรำคาญ
“เฮ้ย!...วันนี้จะไม่เรียนรึไง เปิดเทอมวันแรกก็โดดเลยเรอะ รีบมารับฉันเดี๋ยวนี้ไอ้เพื่อนเฮงซวย”เสียงเล็กๆแทรกเข้ามา เสียงนี้น่ารำคาญยิ่งกว่าเสียงโทรศัพท์เสียอีกเขาคิดในใจ
“แกเป็นพ่อฉันรึไงวะ โทรมาก็สั่งเอาสั่งเอา เออๆได้เดี๋ยวไป ”
เพียงห้านาทีหลังจากที่ปุ่มวางสายถูกกด เสียงอึกทึกครึกโครมก็ได้ลามจากชั้นบนลงมายังโรงจอดรถที่อยู่ชั้นล่าง ตรงประตูบานเล็กที่เชื่อมตัวบ้านเข้ากับโรงรถตอนนี้ปรากฎเงาของชายคนหนึ่ง ถึงภายในโรงรถจะมืดมากแต่แสงที่ส่องผ่านประตูมาก็พอจะทำให้เห็นรูปร่างของอันสมส่วนของชายคนนั้นได้
ทันทีที่เสียง แกร๊ก! ของสวิทช์ไฟดังขึ้น เซลเรืองแสงบนเพดานที่อยู่สูงขึ้นไปประมาณสิบเมตรก็พร้อมใจกันติดดัง พรึ่บ!ๆ แสงที่ตกกระทบกับผนังควบคุมอุณหภูมิสีเทายาวสุดสายตาส่องให้เห็นยานพาหนะจำนวนมากที่จอดเรียงกันอย่างเป็นระเบียบภายในล็อกสีเหลืองที่มีแถบระบุรหัสติดอยู่ เทคโนโลยีล้ำหน้าในการเก็บรักษาเครื่องยนต์ถูกนำมาใช้ ฝุนละออง ไอน้ำ ความเย็น ถูกปรับให้เข้ากับเครื่องยนต์แต่ละชนิดที่จอดอยู่ในล็อกนั้นๆ นอกจากนี้แล้วอีกด้านของโรงรถยังเป็นที่อยู่ของเครื่องจักรกลปัญญาประดิษฐ์ผลงานชิ้นโบแดงของเขา มันมีหน้าที่ประกอบผลงานทางเทคโนโลยีเพื่อสนองต่อความต้องการของผู้เป็นนายกับคอยดูแลโรงรถให้ดูดีอยู่เสมอ เรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ติดปีก จานบินสนามแม่เหล็ก ยานพาหนะแปลกๆเกินกว่าครึ่งเป็นผีมือของมันอย่างไม่ต้องสงสัย
เมื่อเห็นว่าระบบแสงทำงานดีแล้วชายคนนั้นก็เดินเข้ามาข้างใน
“อรุณสวัสดิ์ครับ
..ตู๊ดๆ” เสียงสังเคราะห์เสียงหนึ่งดังขึ้นจากระบบกระจายเสียงที่อยู่ในห้อง มันพูดซ้ำๆกันแบบนี้ทุกวัน
“อรุณสวัสดิ์ โรเบิร์ต แกว่าวันนี้ฉันดูดีไหม” ชายหนุ่มกล่าวตอบพร้อมกับเดินเลือกรถไปเรื่อยๆ
“เก้าคะแนน
ตุ๊ดๆ ผมไม่สามารถให้คะแนนที่สิบได้เพราะคุณไม่มีล้อให้วิเคราะห์สภาพ
ตุ๊ดๆ ” โรเบิร์ตถูกออกแบบมาให้วิเคราะห์เครื่องจักรก็ไม่แปลกที่มันจะไม่เข้าใจการแต่งกายของมนุษย์
“เออๆ
ไว้วันหลังฉันจะเอาข้อมูลแฟชั่นยัดใส่หัวแก ว่าแต่เปิดเทอมวันแรกเอาคันไหนไปใช้ดี...แกช่วยเลือกหน่อยสิ” เขาหันหลังเดินไปเดินมาแล้วก็พูดกับโรงรถปัญญาประดิษฐ์ของเขา
“ตุ๊ดๆ
อากาศวันนี้แจ่มใส อุณหภูมิตอนเช้าอยู่ที่ยี่สิบแปดองศา จากรายงานพบว่าฝนจะไม่ตกตลอดวัน ..ตุ๊ดๆ..เมื่อนำมาคำนวนกับเส้นทางเดินรถที่ส่งมาจากดาวเทียมแล้วผมแนะนำให้ใช้เครื่องบินเจ๊ต IE9 หากคุณตกลงผมจะยืนยันรหัสทันทีตุ๊ดๆ
” สมกับที่เป็นเครื่องจักร ไม่มนุษย์คนไหนขับเครื่องบินเจ๊ตไปเรียนอย่างแน่นอน แต่การรายงานสภาพอากาศของมันก็ใช่ว่าจะไร้ประโยชน์ซะทีเดียว
หลังจากที่เลือกอยู่นานเขาก็ตัดสินใจกระโดดขึ้นรถสปอร์ตเปิดประทุนสีแดงสดคันเก่งทันที “ไปเลยลูกพ่อ
” พอสิ้นเสียงประตูโรงรถก็ค่อยๆเลื่อนขึ้นเพื่อเปิดทางให้รถที่จอดอยู่ได้มีโอกาสออกมาดูพระอาทิตย์ แสงแดดส่องให้เห็นผิวสีแดงสดเป็นมันวาวของรถคันหรูที่มีชื่อว่า ลูกพ่อ
แต่รถคันหรูยังไม่เป็นที่เตะตาเท่ากับชายหนุ่มที่กำลังนั่งรออยู่ เมื่อแสงแดดยามเช้าส่องผ่านประตูโรงรถที่เลื่อนขึ้นอย่างช้าๆเผยให้เห็นโครงหน้ารูปไข่ใบหน้าอันเกลียงเกลา ปากรูปกระจับสีแดง ผมกับคิ้วที่ดกดำ และดวงตาที่คมกริบดุจพญาอินทรีที่ซ่อนอยู่ภายใต้แว่นกันแดดเลนล์สีน้ำตาลเข้มของเขา
‘เพลิง’ ทายาทคนเดียวของอภิมหาเศรษฐีธุรกิจเงินทุนในยุโรป มีพร้อมทุกสิ่งทั้งสมอง ทักษะ รูปร่างหน้าตา และเงินทอง สิ่งเดียวที่ดูเหมือนจะเป็นปัญหาในชีวิตก็คือต้นเหตุการตายของแม่ที่เป็นคนไทยของเขา และพ่อของเขานั่นเองที่เป็นต้นเหตุ!
พอประตูเปิดขึ้นยังไม่ทันสุด ลูกพ่อก็ทะยานของจากโรงเก็บรถด้วยความเร็วสูงมุ่งไปยังประตูรั้วที่ควบคุมด้วยรีโมท ขณะที่ประตูกำลังเปิดออกเพียงแค่ช่องพอลอดได้ลูกพ่อก็ได้พุ่งผ่านมันไปเสียแล้ว จากถนนเส้นเล็กๆเข้าสู่เขตตัวเมืองที่เริ่มจอแจมากขึ้น เขาไม่ลืมแวะรับเพื่อนซี้ของเขาที่มีชื่อว่า‘จ๊อด’ จ๊อดเป็นลูกชายของเพื่อนแม่เขาสมัยยังมีชีวิตอยู่ พ่อของจ๊อดเป็นเจ้าของโรงงานผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ในย่านชานเมืองระแวกเดียวบ้านเพลิง ส่วนตัวจ๊อดเองเป็นคนตัวเล็ก ใส่แว่น ผิวขาวๆซีดๆเหมือนคนขี้โรค ตอนเด็กๆเลยโดนแกล้งบ่อยๆแล้วก็มีเพลิงนี่แหละที่คอยช่วยเหลือเขามาตลอด ด้วยเหตุนี้เองเขาจึงรักเพลิงมาก
“เห้ยๆ
เรียนมหาลัยวันแรกขับรถยนต์ไปอวดสาวเลยเหรอไงหา แล้วนี่แกมีใบขับขี่แล้วรึไงวะ” จ๊อดแซวเพลิงทันทีที่เห็นรถคันหรูพุ่งเข้ามาจอดในบ้าน
“จะยืนอีกนานไหม พูดพล่ามน่ารำคาญอยู่นั่นแหละ ” เพลิงพูดด้วยใบหน้าที่เฉยเมย กฎเป็นสิ่งเดียวที่เขาไม่เคยคิดที่จะจำโดยเฉพาะกฎจราจร
พอสิ้นเสียงจ๊อดก็กระโดดขึ้นรถทันที ทั้งคู่ออกจากบ้านจ๊อดแล้วมุ่งหน้าสู่มหาวิทยาลัยด้วยความเร็วเต็มอัตราของลูกพ่อ ไม่นานนักทั้งคู่ก็มาถึงตัวเมือง ตอนนี้เพลิงลดความเร็วเหลือประมาณร้อยถึงร้อยยี่สิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งความเร็วขนาดนี้กับรถสเปอร์ตก็อาจจะดูปกติถ้าอยู่บนถนนโล่งๆ แต่ตอนนี้เพลิงขับรถเร็วร่วมร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมงในย่านกลางเมืองและเป็นตอนชั่วโมงเร่งด่วน
ด้วยทักษะของเพลิงแล้วจะให้เร่งความเร็วมากกว่านี้ก็ยังได้ ติดที่คนข้างๆเขาต่างหากที่ตอนนี้นั่งหน้าซีดเป็นไก่ต้มไปแล้ว
“โอ้ว! พระเจ้ายอดช่วยจ๊อดด้วย
จ๊อดเสียวจนเ_ยวจะราดแล้วคร้าบ.... ไอ้บ้า! ขับช้ากว่านี้ไม่ได้รึไงวะ จะรีบตามไปหาแม่แกรึไง”
เพลิงเร่งความเร็วขึ้นอีกเหมือนกับไม่พอใจในคำพูดของจ๊อด
“เออก็ได้ๆ ไม่พูดถึงแม่แกก็ได้ แต่ขอให้ลดความเร็วมั่งก็ได้ก้าบ
..ฉี่จะราดอยู่แล้ว
เห้ย! ข้างหน้าไฟแดงแล้วนะเฟ้ย จะเอาไง?”จ๊อดหน้าตาตื่นรถที่วิ่งด้วยความเร็วขนาดนี้ไม่สามารถเบรกทันไฟแดงที่อยู่เบื้องหน้าได้อย่างแน่นอน
“ไม่รู้สิไม่เคยติดไฟแดง
”
เพลิงตอบพร้อมกับหักพวงมาลัยอย่างแรง รถที่วิ่งมาด้วยความเร็วสูงตอนนี้ถูกหักเลี้ยวอย่างรวดเร็วตัวรถตะแคงข้างทำมุมสี่สิบห้าองศากับพื้นดิน เหตุการณ์นี้เพลิงได้คำนวนไว้หมดแล้วรวมไปถึงสภาพของจ๊อดที่นั่งน้ำลายฟูมปากอยู่ข้างๆด้วย
แทบจะทันทีรถสปอร์ตคันหรูได้พุ่งทะยานเข้าไปในสวนสาธารณะข้างทาง ยามที่เฝ้าอยู่พยายามขัดขวางแต่สิ่งที่ทำได้ในตอนนี้ก็คือยืนมองตาละห้อยเท่านั้น ลูกพ่อยังคงพุ่งไปข้างหน้าต่อไป ถัดจากสวนสาธารณะก็มาเป็นตลาด จากตลาดที่เคยมีผู้คนจอแจมาถึงตอนนี้ผู้คนต่างวิ่งแตกกระจายไปคนละทิศละทางส่วนตูดลูกพ่อก็ปัดไปปัดมาหลบหลีกสิ่งกีดขวางเช่นเดียวกับหัวของจ๊อดที่น้ำลายยังฟูมปากอยู่ แต่จนแล้วจนรอดสีของรถเพลิงก็ยังไม่ได้รับการสัมผัสจากวัตถุแปลกปลอมใด เวลาผ่านไปสักพักลูกพ่อก็ได้ทะยานพ้นตลาดมาเป็นที่เรียบร้อย ไม่นานจ๊อดก็เริ่มรู้สึกตัว แต่สิ่งที่จ๊อดจะได้เห็นต่อไปนี้กลับทำให้เขาอยากสลบต่อเพราะเบื้องหน้าของเขาคือชุมชนแออัด
“แกปล่อยฉันลงเดี๋ยวนี้ได้ไหม
ฉันยอมเดิน ไม่มีค่าทางด่วนก็บอก เดี๋ยวจ๊อดจ่ายให้” จ๊อดหน้าซีด
“ไม่ชอบทางด่วน ทางมันโล่งไป!” เสียงเรียบๆกับท่าทีเฉยเมยของเพลิงบ่งบอกว่าที่ผ่านมามันแค่เรียกน้ำย่อย
“โล่งแล้วไม่ดีหรือไงวะ ไอ้บ้า ฮือๆ
ปล่อยฉันไปๆๆๆ” จ๊อดเริ่มไม่ฟังแล้ว เขาพยายามปลดล็อกประตู
“ก็เพราะมันโล่งจนน่าเบื่อไง
”
พูดแล้วลูกพ่อก็พุ่งผ่ากลางชุมชนแออัดแห่งนี้ไปได้อย่างเหลือเชื่อพาให้จ๊อดต้องสลบไปอีกรอบ พอผ่านชุมชนแออัดมาได้ก็มาถึงด่านสุดท้าย ชุมชนชาวจีนอันแสนสงบแต่ต่อจากนี้จะไม่สงบอีกต่อไป เพลิงเร่งความเร็วสุดขีดเพื่อที่จะข้ามแม่น้ำที่อยู่เบื้องหน้า โชคดีที่จ๊อดสลบไปแล้วจึงไม่ได้เห็นฉากเสี่ยงตาย ตอนนี้ลูกพ่อมีความเร็วไม่ต่ำกว่าสองร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมงทั้งๆที่ถนนคับแคบจนหมาแทบเดินชนกัน แล้วก็
ฟ้าว!
ลูกพ่อกำลังลอยอยู่เหนือแม่น้ำเบื้องล่าง ผู้เห็นเหตุการณ์นี้คือยายผู้น่าสงสารคนหนึ่งที่กำลังเดินเล่นกับตาอยู่ริมตลิ่ง
“อั้วว่าอั้วแก่แล้วจริงๆล่ะลื้อเอ้ย... เมื่อกี้อั้วเห็นรถบินได้”
“ช่ายๆแก่แล้วจริงๆ อั้วเห็นด้วยตั้งแต่ยี่สิบปีก่อนแล้วล่ะ” สิ้นเสียงยายก็กระโดดถีบตาตกแม่น้ำข้างๆเป็นเหตุให้ตาสิ้นใจตายในทันที
ขณะเดียวกันตอนนี้ลูกพ่อทะยานข้ามรั้วเข้ามาจอดในมหาวิทยาลัยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพลิงติดเครื่องเบาๆปล่อยให้ลูกพ่อนอนพักผ่อนอย่างสงบนิ่งไม่ต่างอะไรไปจากจ๊อดที่นอนตาค้างน้ำลายไหลยืดอยู่ข้างๆ
“ถึงแล้วพวก” จ๊อดดีดตัวตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจ หน้าตาของเขาในตอนนี้เหมือนคนที่เพิ่งไปพบยมบาลมา
“นี่ฉันตายแล้วใช่ไหม นี่มันสวรรค์ใช่ไหมหา!...ฮือๆ”
“ใครว่าล่ะ คนบ้องตื้นอย่างแกต้องลงนรกต่างหากเล่า” พูดเสร็จเพลิงก็ผลักหัวจ๊อดอย่างแรงจนจ๊อดได้สติแล้วมองไปรอบๆจึงรู้ว่าตอนนี้ตนอยู่ในเขตมหาลัยแล้ว เมื่อเขาเห็นดังนั้นเขาก็พูดขึ้นอย่างอายๆ
“เพลิง
แกซื้อกางเกงตัวใหม่ให้เค้าเลย เค้าเละเต็มกางเกงแล้ว” จ๊อดยิ้มแหยๆพร้อมกับชี้นิ้วไปที่เป้ากางเกงของเขา
“แกนิปอดแหกจริงๆ
อะกางเกงอยู่หลังรถ รีบเปลี่ยนซะเดี๋ยวปฐมนิเทศไม่ทัน” พูดจบเพลิงก็เดินล่วงหน้าไปโดยไม่ได้สังเกตเลยว่ามีแววตาคู่หนึ่งกำลังจับจ้องเขาอยู่
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น