ตอนที่ 22 : ความจริง
บรรดาศิษย์ตระกูลหลานเดินกรูเข้ามาหา พวกเขาเข้าใจทันทีเมื่อซือจุยและฉันเล่าเหตุการณ์และพิธีที่เกิดขึ้น ฉันมองพวกเขาที่เดินลัดเลาะเข้าไปภายในป่าประจวบเหมาะกับที่เด็กหนุ่มใบหน้าคุ้นตาวิ่งมาหา
"พวกเจ้าบอกกล่าวมาตั้งแต่แรกก็มิได้เสียหายอะไรนี่!" จิ่งอี๋ยืนกอดอกมองมาที่ซือจุยและฉันด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจ
"ข้าจำเป็นต้องปิดบังเรื่องนี้ อาจจะทำให้พวกเจ้าเกิดอันตรายเอาได้" ฉันยกมือจับไปที่แก้มของตนด้วยความประหม่า จิ่งอี๋ถลึงตามองฉันด้วยสีหน้าประหลาดใจ
"ปิดบัง? เราเป็นครอบครัวเดียวกันนะขอรับศิษย์พี่!ท่านอบรมสั่งสอนข้าตั้งแต่ยังเด็ก แล้วท่านบอกว่าเรื่องนี้จำเป็นต้องปิดบังข้าอย่างงั้นรึ" จิ่งอี๋เพ่งมองฉันจนฉันรู้สึกเหงื่อตกอย่างเห็นได้ชัด
"เหตุผลที่ศิษย์พี่ไม่บอกเรื่องนี้กับพวกเจ้าเพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องของศิษย์พี่หลี่อี้กับศิษย์พี่ฟางฮัวมันเป็นเรื่องของพวกท่านทั้งสอง" ซือจุยแย้งขึ้นแทนฉัน
"เราคือครอบครัวมิควรปิดบังกัน เฮ้อ..ก็ได้ๆๆข้าไม่เซ้าซี้แล้ว!" จิ่งอี๋เชิดหน้าเดินออกไป
ก็อย่างว่าจิ่งอี๋พูดถูก ฉันทำตามสิ่งที่เว่ยอิงบอกแต่อย่างน้อยจิ่งอี๋..จินหลิงและจื่อเจินก็คือเพื่อนสนิทของฉันอย่างน้อยฉันก็ต้องบอกพวกเขา
ฉันสำรวจตัวเองในกระจกเมื่ออาบน้ำขจัดสิ่งไม่พึงประสงค์ออกไป เด็กสาวใช้ตระกูลเจินยืนรอฉันอยู่ก่อนแล้ว
"ขอบคุณเจ้ามาก..มีอีกเรื่องที่ข้าอยากจะขอ..ข้าขอไปที่ห้องของหลี่อี้ได้รึไม่?" ฉันมองเธอ
ฉันสำรวจมองห้องของเธอที่สว่างขึ้นเมื่อสาวใช้จุดเทียนภายในห้อง ดูท่าแล้วยังคงได้รับการทำความสะอาดอย่างดี ฮูหยินคงมีความหวังว่าหลี่อี้จะกลับมาสินะ... ฉันเดินไปที่เตียงนอนของเธอพลางหันไปมองเครื่องไม้ที่มีลักษณะเป็นรูปกล่องขนาดเล็ก ฉันมองมันอยู่นานตัดสินใจเปิดออกดู
มันคือจดหมายที่จ่าหน้าซองด้วยชื่ออักษรจีนที่เขียนชื่อ.. ฟางฮัว
"เด็กน้อย ข้าฝากเจ้าไปบอกกับพวกเขาหน่อยนะว่าให้รอข้าซักเดี๋ยว" ฉันหันไปยิ้มให้กับเธอ เด็กหญิงดูสีหน้าลังเล ฉันจึงบอกกับเธอว่าฉันไม่ทำห้องรกหรือทำอะไรให่ยุ่งแน่เธอพยักหน้าแล้วเดินออกไป
ฉันไม่รอช้า รีบเปิดอ่าน
' ข้าเขียนจดหมายฉบับนี้ให้กับเจ้า เมื่อเจ้าเปิดอ่านมันแล้วก็แสดงว่าเจ้าเข้ามาในห้องของข้า! ข้ามิเคยให้เจ้ามาที่บ้านของข้ามาก่อน! มาได้อย่างไรกันนะ ... ข้าอิจฉาเจ้า ข้าโกรธเจ้า วันนี้ข้าต้องกลับมาที่บ้านแพ้ประลองก็เพราะเจ้า! ในอนาคตข้าคงไม่ได้เป็นประมุขแน่...... '
ฉันขมวดคิ้วอ่านลายมือที่ดูชุ่ยๆของหลี่อี้ หมึกพู่กันลากยาวมาเรื่อยๆจนสุดกระดาษ ดูเหมือนว่าจดหมายฉบับนี้เธอดูไม่ได้ตั้งใจเขียน เหมือนว่างจากการแพ้ประลองแล้วมานั่งเขียนระบายความในใจอะไรแบบนี้
- - ;
ถึงเธอจะอิจฉาฟางฮัวแต่ก็ตั้งใจเก็บจดหมายฉบับนี้หวังว่าจะให้ฟางฮัวมาอ่านอย่างงั้นเลยนะ ?
ฉันโค้งคำนับซีเฉิน ใบหน้าคมพยักหน้าพลางส่งรอยยิ้มเล็กๆให้ ฉันรายงานสถานการณ์ที่สำนักตระกูลเจินให้เขาฟังรวมถึงมีคนสกุลจินไปที่สำนักก่อนที่พวกฉันจะไปทีหลัง ซีเฉินดูไม่สบายใจทันทีเมื่อฉันบอกเขาว่าพิธีสับเปลี่ยนวิญญาณอาจจะมีคนในสกุลจินเสนอ
"ฟางฮัว..เจ้าอย่าพึ่งตระหนักว่าสิ่งที่เจ้าคิดจะเป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้น ข้ามีภารกิจที่จะเดินทางไปหลันหลิงเอาเป็นว่าข้าจะช่วยสืบให้เจ้าได้" เสียงนุ่มคมเอ่ย ฉันกล่าวขอบคุณเขาก่อนจะขอตัวออกไป
"ไปกินข้าวกันขอรับศิษย์พี่!ข้าหิวจะตายอยู่แล้ว!" จิ่งอี๋เดินมาทักฉันอย่างร่าเริง ฉันมองเขาที่เดินมาคนเดียว
"พวกซือจุยล่ะ?" ฉันถามเขา
"พวกเขาไปรอท่านกันหมดแล้วขอรับ—"
"จิ่งอี๋ ข้ามีเรื่องจะถามเจ้า" ฉันมองอีกฝ่ายที่เลิกทำท่าทีสบายก่อนจะมองฉันด้วยสีหน้าที่สงสัย
"ตามที่ซือจุยกล่าวเลยขอรับ ไม่มีผู้ใดรู้นอกเหนือจากนี้แล้วว่าทำไมท่านถึงกลัว" เขาตอบหลังจากที่ฉันถามเกี่ยวกับปมของฟางฮัว
"ท่านดูแปลกๆนะศิษย์พี่ ความทรงจำของท่านน่าจะกลับมาสมบูรณ์แล้ว ท่านบำเพ็ญเพียรไปมาก!" จิ่งอี๋มองฉันอย่างสงสัย
"เอ่อ..เราจะไปกินข้าวกันมิใช่หรอกรึ ไปกันสิ เดี๋ยวพวกเขารอนาน" ฉันเบี่ยงประเด็น
เสียงหัวเราะของบรรดาเด็กหนุ่มที่นั่งกินข้าวไม่ทำให้ฉันสบายใจขึ้นสักนิด ซือจุยและจิ่งอี๋ดูท่าจะเริ่มสงสัยฉันแล้วไม่แน่พวกเขาอาจจะรู้ในเร็ววัน
"ศิษย์พี่ขอรับ.."
ฉันจะทำยังไงดีไม่แน่อาจจะพูดตรงๆยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นถ้าร้ายแรงสุดก็อาจโดนขับออกจากสกุลหลาน?
หมับ!
ฉันสะดุ้งโหยงเมื่อความอบอุ่นจากนิ้วมือเรียวจิ้มตรงกลางระหว่างคิ้วเบาๆ เขายกยิ้มให้กับฉัน
"เจ้าทำอะไรน่ะ!เกือบโดนผ้าคาด—" ฉันเงียบทันที มีสิทธิ์ไปว่าเขาได้ด้วยหรือไง...
"ท่านคิดอะไรอยู่รึขอรับ? คิ้วขมวดเชียวหนา" เด็กหนุ่มหัวเราะสดใส ฉันย้ายสายตาไปมองจื่อเจินและจินหลิง
"มะ ไม่มีอะไร ข้าแค่รู้สึกเหนื่อย" ฉันหลบตาพวกเขาก่อนจะหยิบตะเกียบคีบกับข้าวเข้าปาก
"ทานเยอะๆนะขอรับศิษย์พี่" จื่อเจินสลับจานกับข้าวที่ฉันชอบมาวางใกล้ๆฉัน ฉันขอบคุณเขา
"พรุ่งนี้ให้ข้าสอนท่านยิงธนูดีรึไม่!" จินหลิงถามฉันด้วยสีหน้ากระตือรือร้น ฉันแค่ยิ้มและพยักหน้าให้
เฮ้อ..รู้สึกแย่จังเลยแฮะ
"ศิษย์พี่!ช่วยไปตามซือจุยและจิ่งอี๋ที่ห้องหนังสือได้รึไม่ขอรับ พวกเขาต้องไปเขียนกระดาษและธงยันต์กับข้าน่ะ" ศิษย์ชายตระกูลหลานโค้งคำนับให้กับฉัน ฉันที่พึ่งเดินออกจากสำนักศึกษาเรือนกล้วยไม้พยักหน้าเบาๆก่อนจะหันตัวเดินไปห้องหนังสือ
"ซือจุย" จิ่งอี๋มองเด็กหนุ่มด้านข้างที่ดูหนังสือบนชั้นวาง
"ว่าไง" เสียงนุ่มตอบเขา จิ่งอี๋ผ่อนลมหายใจก่อนจะถามในสิ่งที่เขาค้างคาใจ
"เจ้าว่าศิษย์พี่ดูแปลกไปรึไม่?" เมื่อคนที่ได้ยินคำถามก็ขมวดคิ้วทันที
"อะไรทำให้เจ้าคิดเช่นนั้น"
จิ่งอี๋เงียบเมื่อมีศิษย์จากสำนักอื่นเดินผ่านพวกเขาไป
"เมื่อคืนศิษย์พี่มาถามเกี่ยวกับความกลัวของนาง เจ้าไม่สงสัยบ้างรึว่าความทรงจำของนางน่าจะกลับมาได้แล้ว"
"สงสัยสิ" ซือจุยตอบก่อนจะหยิบหนังสือจากชั้นวางย้ายมาอยู่ในอ้อมแขน
"นางดูเงียบๆเหมือนแต่ก่อนก็จริง..แต่นางดูยิ้มง่าย และดูใจดีเกินไป?" จิ่งอี๋พูดต่อ
"ข้าคิดว่า..เอ่อ..อาจจะเป็นความคิดที่แปลกไปสักหน่อย นางอาจไม่ใช่ศิษย์พี่ฟางฮัวก็ได้ เรื่องศิษย์พี่หลี่อี้ยิ่งทำพิธีเปลี่ยนวิญญาณตามที่โม่เสวียนอี่กล่าวก็เป็นเรื่องที่พอดิบพอดี!" จิ่งอี๋ร่ายยาวมองเพื่อนสนิทด้านข้างที่มีสีหน้าที่เรียบนิ่ง
"จิ่งอี๋" ซือจุยหันมามองทางเขา
"ถ้านางผู้นั้นมิใช่ศิษย์พี่ฟางฮัวก็ต้องมีจุดประสงค์ว่าเหตุใดนางถึงมาอยู่ในร่าง.. ถ้าถามความรู้สึกข้า ข้าคงเสียใจมากแต่ข้าก็จะ.." ซือจุยหยุดพูดกะทันหันเขาเม้มปาก
"อะไรรึ" จิ่งอี๋ถามอย่างร้อนรน
"ข้าก็จะรักนาง" ซือจุยพูดสร้างความฉงนให้กับจิ่งอี๋
"แต่นางมิใช่ศิษย์พี่ฟางฮัว!นางเป็นหญิงอื่นจากที่ใดก็มิรู้!เจ้ายังจะรักนางอยู่อีกรึ!!" จิ่งอี๋เริ่มขึ้นเสียง ซือจุยยื่นมือไปปิดปากอีกฝ่าย
"มีสิ่งหนึ่งที่ข้าคิดว่านางเหมือนกับศิษย์พี่ฟางฮัว.."
"คือความอ่อนโยน.."
"พวกเจ้า!กระซิบกระซาบอะไรกันรึ" เสียงหวานเอ่ยทัก พวกเขาทั้งสองสะดุ้ง ซือจุยผละมือออกจากปากจิ่งอี๋พลางมองใบหน้าของอีกฝ่าย
"ศิษย์พี่..มีอะไรรึขอรับ" ซือจุยถามมองร่างบาง
"มีคนตามพวกเจ้าไปช่วยเขียนยันต์น่ะ" ฟางฮัวตอบ
คน? ก็คงจะเป็นศิษย์สกุลหลาน เธอจำชื่อศิษย์สกุลหลานได้ทุกคนเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นศิษย์สำนักอื่นมาตามพวกเขาให้ไปเขียนใบยันต์ ทำไมเธอถึงไม่บอกชื่อคนที่เรียกพวกเขาไปล่ะ
"ศิษย์พี่.." เขามองใบหน้าที่ดูสงสัยเมื่อเขาเรียกเธอ
"ท่านมิใช่ศิษย์พี่ฟางฮัวใช่รึไม่ขอรับ" ซือจุยมองหญิงสาวที่ตาโต ริมฝีปากเล็กสีชมพูกัดปาก มือเรียวกำมือแน่นข้างลำตัว จิ่งอี๋ร้องเหวอตกใจ
"เจ้า..หมายความว่าอย่างไรหรอกรึ?" ซือจุยมองอีกฝ่ายที่ดูก็รู้ว่าเธอแสร้งขำ
เขาคว้าข้อมือหญิงสาวให้เดินออกจากห้องหนังสือ
TALK
มาต่อแล้วว~ ติดตามตอนต่อไปด้วยนะคะ!
ยีงไงก็ขอฝากแท็กในทวิตเตอร์ #เอ็นดูหนูซือจุย
ด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ! ไปเล่นกันเยอะๆ ><
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ไม่น้าาาาาาาาา!! โป๊ะแล้ว ;-;
ยังไม่อยากกินมาม่า