ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ท่านอ๋องเจ้าขา...ข้ายอมแล้ว 王上 您上我 (รีอัพ)

    ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 649
      19
      2 ก.พ. 65

    แผ่นดินใหญ่ปู้จิ่นฉีอันไกลโพ้น

    สงครามระหว่างแคว้นหานและแคว้นเป่ยเกิดขึ้นมาอย่างยาวนาน  ทั้งสองฝ่ายต่างต้องการครองความเป็นหนึ่ง ต่อมาแคว้นหานได้ส่งแม่ทัพผู้กร้าวแกร่งแห่งตระกูลเยี่ยนเข้าสู่สนามรบ ด้วยสืบสายเลือดตระกูลนักรบอันดับหนึ่งในแผ่นดิน แม่ทัพหนุ่มห้าวหาญดุดันบุกตีฝ่ายตรงข้ามจนแตกพ่ายครั้งแล้วครั้งเล่า และแล้วในที่สุดก็มีชัยเหนือแคว้นเป่ย 

    หลังได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงแคว้นเป่ยหยุดยกทัพโจมตีแคว้นหานนานราวสิบปี ทว่าท่ามกลางความเงียบสงบต่างฝ่ายต่างดูเชิงกันโดยไม่ประมาท

    ปราการที่กั้นขวางทั้งสองแคว้นไว้คือแนวเขาลืมทุกข์กับแม่น้ำลืมเลือน แม้จะสงบศึกกันอยู่แต่ก็ยังปรากฏเหตุความไม่สงบก่อตัวขึ้นบ้างตามแนวชายแดน มีการบุกปล้น ลอบทำร้ายกองทหารลาดตระเวนของแคว้นหานเป็นระยะ ทหารแคว้นเป่ยมักลอบเข้ามาดักซุ่มแบบกองโจร ถึงไม่ได้สร้างความเสียหายมากนัก แต่ก่อให้เกิดความหวาดวิตกแก่ราษฎรผู้อาศัยอยู่ในเมืองหน้าด่านเป็นอย่างมาก

    เมื่อเหตุการณ์ยังไม่สงบเรียบร้อยอย่างแท้จริง แม่ทัพตระกูลเยี่ยนผู้เกรียงไกรย่อมต้องแบกรับปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งหมดอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง

    ย้อนกลับไปหลายสิบปีก่อน ยามนั้นเยี่ยนหยางเจวี๋ยนิสัยดุดันเหี้ยมหาญ หากใครอยากลองดีคงต้องมอดม้วยด้วยทวนเกล็ดมังกร เมื่อต้องสู้รบติดพันมายาวนานหลายปี ความที่ยังหนุ่มยังแน่นย่อมคิดถึงฮูหยินและบุตรธิดาเป็นธรรมดา สุดท้ายแล้วจึงตัดสินใจย้ายครอบครัวมาปักหลักที่เมืองชายแดนหานจี

    ฮูหยินท่านแม่ทัพได้เดินทางตามสามีมาพร้อมกับบุตรชายทั้งสองคน อีกหลายปีต่อมานางได้ให้กำเนิดบุตรสาวแก่เยี่ยนหยางเจวี๋ย สร้างความปีติยินดีให้เขาเป็นอย่างมาก  

    แม้จะอยู่เมืองชายแดนห่างไกลความเจริญ แต่ท่านแม่ทัพกับฮูหยินก็ตั้งใจอบรมบุตรชายกับบุตรสาวอย่างเข้มงวด เพราะต้องการให้บุตรธิดาเติบโตมาอย่างไม่น้อยหน้าผู้ใดในแคว้นหาน สองสามีภรรยาจึงเชิญอาจารย์ผู้มีชื่อเสียงในยุทธภพและเชี่ยวชาญศาสตร์ในแต่ละด้านมาสั่งสอนวิชาให้แก่เด็กทั้งสาม

    คุณชายใหญ่มีพรสวรรค์ด้านฝึกยุทธ์ เขามานะฝึกฝนจนสำเร็จวิชาทวนตระกูลเยี่ยนได้ตั้งแต่อายุเพียงสิบห้าปี ด้วยฝีมืออันเยี่ยมยุทธ์รวมไปถึงความห้าวหาญและแข็งแกร่ง ในที่สุดเขาก็สามารถสังหารแม่ทัพแคว้นเป่ยคนสำคัญได้ เหตุการณ์นี้สร้างชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือ จนฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งให้เขาขึ้นเป็นรองแม่ทัพอย่างภาคภูมิเมื่อมีอายุได้เพียงสิบเจ็ดปีเท่านั้น

    บุตรชายคนรองเชี่ยวชาญทั้งศาสตร์และศิลป์ โดยเฉพาะความรู้ด้านพิชัยสงคราม อีกทั้งยังเป็นศิษย์หนึ่งในสองของท่านโหราจารย์ประจำรัชกาลของอดีตฮ่องเต้ ด้วยความฉลาดหลักแหลม เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว ทำเอาข้าศึกงุนงงตกหลุมพราง เขาจึงขึ้นเป็นกุนซือฝีมือฉกาจได้ตั้งแต่อายุสิบแปดปี 

    ความสามารถของบุตรชายท่านแม่ทัพเป็นที่ประจักษ์ นำพาให้ทั้งราชสำนักและราษฎรมั่นใจว่าตระกูลเยี่ยนจะปกป้องชายแดนให้สงบสุขได้อีกหลายชั่วอายุคน

    ส่วนบุตรสาวเพียงคนเดียวนามเยี่ยนเยว่ฉี ท่านแม่ทัพและฮูหยินให้นางศึกษาวิชาความรู้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ทั้งเขียนอักษร วาดภาพ และดนตรี แต่เรื่องที่คนกล่าวขวัญมากที่สุดคงจะเป็นเรื่องที่ท่านแม่ทัพเชิญปรมาจารย์ขลุ่ยโลกันต์แห่งยุทธภพ ไป่หลงจิว มาเป็นอาจารย์ให้นาง

    เนื่องจากไป่หลงจิ่วประกาศเลิกยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวในยุทธภพ เขาผนึกขลุ่ยโลกันต์พร้อมให้คำมั่นว่าจะไม่ถ่ายทอดวิชาต้องห้ามนี้แก่ผู้ใดเด็ดขาด ตราบเท่าที่เขายังรักษาคำสัตย์ ราชสำนักจึงปล่อยให้ผู้อาวุโสได้ใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสุขสงบ ทำให้ผู้คนหาได้นึกหวาดกลัวที่ชายชราคนหนึ่งจะมาเป็นอาจารย์สอนดนตรีให้สตรีตัวน้อย แต่ก็มีผู้คนอีกจำนวนหนึ่งที่ยังคลางแคลงใจ 

    ท่านแม่ทัพเปิดเผยจริงใจ ไม่กลัวฟ้ากลัวดิน หากผู้ใดอยากจับผิดก็ทำไป เมื่อธิดาน้อยเรียนเพียงวิชาขลุ่ย เหตุใดเขาจะต้องกลัวคำครหา นานวันเข้าข่าวลือไม่ดีก็ถูกลืมเลือนไปตามกาลเวลา ดรุณีน้อยเติบโตขึ้นมาเป็นสตรีในห้องหออย่างสมบูรณ์แบบ

    เยี่ยนเยว่ฉีได้รับขลุ่ยหยกพลิ้วพลายซึ่งไป่หลงจิวสร้างให้เป็นพิเศษ ว่ากันว่านางสามารถเป่าขลุ่ยเป็นเพลงไพเราะน่าอัศจรรย์ เมื่อใครได้ฟังจะเคลิบเคลิ้มสุขใจยิ่ง ผู้คนจึงเข้าใจว่าท่านแม่ทัพแค่ต้องการให้บุตรสาวได้เรียนกับอาจารย์ผู้เป็นสุดยอดแต่ละด้านเท่านั้นเอง

    นอกจากความสามารถด้านต่าง ๆ ที่โดดเด่นของทายาทตระกูลเยี่ยน อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้พวกเขาเป็นที่กล่าวขวัญคือรูปร่างหน้าตา ผู้คนต่างร่ำลือถึงรูปโฉมอันงดงามของสามพี่น้อง

    บุตรชายคนโตของตระกูลนามเยี่ยนหยางจง ปีนี้อายุยี่สิบสามปี เขามีรูปร่างสูงใหญ่ กำยำล่ำสัน กล้ามเนื้อทุกมัดเต็มไปด้วยความแข็งแกร่ง เส้นผมดำสนิทราวขนกาถูกรวบเป็นมวยด้วยผ้าแถบ องคาพยพทั้งห้า[1] ได้รูป ใบหน้าคมเข้ม ริมฝีปากอิ่มหนา ผิวคร้ามแดด นัยน์ตาเหยี่ยวฉายแววล้ำลึกดุดัน กลิ่นอายบุรุษแผ่กำจายมีสง่าราศีของผู้ฝึกยุทธ์อยู่เต็มเปี่ยม เรื่องฝีมือก็เป็นที่ประจักษ์จนเลื่องระบือไปถึงเมืองหลวง เขาจึงเป็นความหวังของตระกูลและราชสำนัก ด้วยรองแม่ทัพเป็นคนหนุ่มรูปงาม องอาจ อนาคตไกล จึงไม่แปลกที่จะเป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ ของเหล่าตระกูลผู้ดีทั้งหลายเพราะอยากได้เป็นเขยขวัญ หญิงงามที่นิยมชมชอบก็มีอยู่มากมายแต่ชายหนุ่มมักพูดเสมอว่าชายแดนยังไม่สงบจึงไม่อาจวางใจแต่งงานได้

    บุตรชายคนรองของตระกูลนามว่าเยี่ยนจิ้นหลิง วัยยี่สิบสองปี เขามีลักษณะแตกต่างจากบิดาและพี่ชายจนน่าตกใจ หากเยี่ยนหยางจงมีลักษณะของยอดนักรบ เยี่ยนจิ้นหลิงก็คงเรียกได้ว่ามีลักษณะของยอดบัณฑิต ร่างสูงโปร่งห่อหุ้มด้วยอาภรณ์แพรไหมสีขาว จุดเด่นสะดุดตาคือผมเงินเป็นเงางามปล่อยสยายไปด้านหลัง รูปโฉมสง่างาม ท่วงท่ากริยาสุภาพ นัยน์ตาดอกท้อเต็มเปี่ยมไปด้วยความลุ่มลึกบางอย่าง เขางดงามราวเทพเซียน อาวุธประจำกายมิใช่ทวนหนักแปดสิบชั่ง หากแต่คือมันสมอง 

    เยี่ยนจิ้นหลิงรั้งตำแหน่งกุนซือของกองทัพตระกูลเยี่ยน อีกทั้งยังเชี่ยวชาญศาสตร์การทำนายอย่างหาตัวจับได้ยาก ด้วยความงดงามและดูลึกลับ บรรดาคุณหนูทั้งหลายต่างหมายปองเขาทั้งสิ้น ไม่มีใครตำหนิเรื่องผมสีเงินที่ดูแปลกประหลาดกว่าคนทั่วไป กลับมองว่าเขาเป็นเทพเซียนมาจุติ ทุกครั้งที่กุนซือหนุ่มเข้าเมือง มักจะพบเห็นคุณหนูใจกล้าพากันมาดักรอพบหน้า หากอายเสียหน่อยก็ให้คนเอาจดหมายมาให้แทน แต่บุรุษผมเงินมักจะเปรยเสมอว่า ถ้าพี่ใหญ่ยังไม่แต่งฮูหยิน เขาก็ไม่อาจแต่งงานได้

    บุตรสาวคนเล็กของตระกูลเยี่ยนเยว่ฉี เป็นดรุณีวัยแรกแย้มงดงาม กิริยามารยาทงามสง่าตรึงใจผู้พบเห็น ถูกอบรมตามแบบฉบับคุณหนูในห้องหอ เส้นผมสีดำมันเงาดั่งราตรี นัยน์ตาดอกท้อทอประกายหวานหยาดเยิ้มสะกดใจ รูปร่างอรชรอ้อนแอ้น เอวคอดกิ่วดังกิ่งหลิว นิ้วมือเรียวงดงามดุจลำเทียน ที่ควรอวบอิ่มก็อวบอิ่ม ที่ควรบอบบางก็บอบบาง มีเสน่ห์ยั่วยวนบุรุษให้คลั่งตายได้ 

    เยี่ยนหยางเจวี๋ยค่อนข้างหวงบุตรสาวเป็นอย่างมาก ทั้งที่มีคนมากมายส่งแม่สื่อมาทาบทามสู่ขอ ท่านแม่ทัพก็ยังไม่ยอมยกบุตรสาวให้ผู้ใด ทำให้มีข่าวลือว่าที่ท่านแม่ทัพอบรมบุตรสาวเป็นพิเศษก็เพื่อจะส่งเข้าไปคัดเลือกเป็นพระสนมของฮ่องเต้

     

    ห้องทรงอักษร วังหลวง

    ฮ่องเต้มู่เหวินหลงเห็นว่าชายแดนเริ่มสงบสุขถึงแม้จะมีเรื่องบ้างก็เล็กน้อย ใจจึงอยากให้แม่ทัพใหญ่กลับมารับตำแหน่งที่เมืองหลวง ปูนบำเหน็จและให้รางวัลแก่ความเหนื่อยยากของตระกูลเยี่ยน 

    พระองค์รู้สึกเสียดายหากต้องทิ้งตระกูลเยี่ยนไว้ยังเมืองชายแดนตลอดไป อีกทั้งยังต้องการให้โอกาสแม่ทัพคนอื่น ๆ ได้แสดงฝีไม้ลายมือเสียบ้าง เพราะถ้าพระองค์ปล่อยไว้ไม่สนใจ อาจจะมีคนยื่นฎีกากล่าวโทษตระกูลเยี่ยนสะสมกำลังอีก 

    ความอิจฉาริษยาของขุนนางเป็นเรื่องที่เขาจะประมาทมิได้

    ฝีไม้ลายมือรวมไปถึงความภักดีของตระกูลเยี่ยนทำให้ฮ่องเต้ทรงไว้วางพระทัย พระองค์จึงมีดำริแต่งตั้งตำแหน่งราชองครักษ์ และกองกำลังรักษาเมืองหลวงให้

    ถึงแม้ตอนนี้ศึกภายนอกดีขึ้นแล้ว แต่ฮ่องเต้กลับรู้สึกถึงคลื่นใต้น้ำ ศึกภายในมีโอกาสจะเกิดได้ทุกเมื่อ หากรั้งตระกูลเยี่ยนไว้ใกล้ตัวก็เป็นหลักประกันได้ชั้นหนึ่งว่าพระองค์ และเหล่าราชนิกุลทั้งหลายจะนอนหลับได้สนิท

    แต่เมื่อทรงพระราชทานกองกำลังให้เป็นจำนวนมาก ซ้ำยังรักษาการณ์อยู่ใกล้ชิดติดเมืองหลวง ความวิตกกังวลก็พลันเกิดขึ้นในพระทัย 

    ยามนี้ตระกูลเยี่ยนจงรักภักดีไม่ต้องสงสัย แต่อนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอน 

    เมื่อมีอำนาจและกองกำลังก็เป็นไปได้ว่าอาจจะมีหลายฝ่ายพยายามผูกสัมพันธ์กับแม่ทัพใหญ่ หากเป็นผู้ภักดีก็แล้วไป แต่หากเป็นพวกกังฉินย่อมไม่เป็นผลดีกับราชบัลลังก์ ฮ่องเต้มู่เหวินหลงจึงยังไม่อาจปล่อยวางพระทัยลงได้สนิท

    “เรามิได้สงสัยความภักดีของแม่ทัพใหญ่ แต่ก็ไม่อาจปล่อยวางได้เช่นกัน อัครเสนาบดี เจ้ามีวิธีใดที่จะช่วยให้ตระกูลเยี่ยนภัคดีต่อเราโดยไม่สั่นคลอนบ้างหรือไม่”

    “ทูลฝ่าบาท เพียงมอบรางวัลกับตำแหน่งให้อาจยังไม่พอ ถ้าหากต้องการกำลังและความมั่นใจว่าตระกูลเยี่ยนจะไม่เป็นอื่น พระองค์ต้องสานความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นมากกว่านี้อีกขั้นพ่ะย่ะค่ะ” ถางซือเซิน อัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายกราบทูลด้วยสีหน้าจริงจัง

    “ความหมายของเจ้า คือจะให้เรารับบุตรีของเยี่ยนหยางเจวี๋ยมาเป็นพระสนมอย่างนั้นรึ” ฮ่องเต้มู่เหวินหลงตรัสอย่างเหนื่อยหน่าย “แต่วังหลังของข้านั้นมีสนมชั้นกุ้ย ชั้นเฟย ครบถ้วนอยู่แล้ว จะให้เป็นสนมเล็ก ๆ ก็เกรงว่าจะทำให้เยี่ยนหยางเจวี๋ยเข้าใจว่าเราไม่ให้เกียรติเขาน่ะสิ ไม่มีวิธีอื่นหรืออย่างไร เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ ข้าจะยกองค์หญิงให้ลูกชายของเขา เพียงแต่องค์หญิงน้อยของข้าอายุมากสุดก็เพิ่งสิบสี่ชันษาเท่านั้น ต้องรออีกปีหนึ่งถึงจะสามารถออกเรือนได้” 

    ฮ่องเต้มู่เหวินหลงคิดหาทางเลือกอื่นในการสานสัมพันธ์เพราะไม่อยากรับพระสนมเพิ่มอีกแล้ว จำนวนป้ายหัวเขียวของเขาเต็มถาด ครั้นจะมีความสุขกับฮองเฮาที่รักเพียงผู้เดียวก็ถูกกล่าวหาว่าไม่ทำให้พระพิรุณตกถ้วนทั่ว หากจะให้เพิ่มมาอีกก็รู้สึกไม่เป็นสุขอย่างยิ่ง

    “หามิได้ ให้พระองค์พระราชทานสมรสแก่ฉินอ๋องกับบุตรสาวท่านแม่ทัพต่างหาก ด้วยฐานะนี้ท่านแม่ทัพย่อมไม่มีอะไรไม่พอใจหรือขัดข้อง เพราะท่านอ๋องเป็นบุรุษผู้เพียบพร้อม ผู้มากความสามารถอย่างหาจับตัวได้ยากคนหนึ่งของแว่นแคว้น สิ่งสำคัญเหนืออื่นใด ด้วยอุปนิสัยของท่านอ๋องแล้ว หากได้เกี่ยวดองกันก็ไม่ยากที่จะตรวจสอบและควบคุมตระกูลเยี่ยนพ่ะย่ะค่ะ”

    “แต่เมื่อจบงานชมดอกไม้เมื่อปีที่แล้ว ฉินอ๋องมาขอให้เราหยุดพระราชทานสาวงามให้อีก โดยให้เหตุผลว่าอยากจะเลือกพระชายาเอกด้วยตนเอง เราดันรับปากพระอนุชาไปเสียแล้ว หากปีนี้ยังทำเช่นเดิมอีก มิเท่ากับว่าเราผิดคำพูดหรือ” 

    “ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของกระหม่อมเองพ่ะย่ะค่ะ” อัครเสนาบดีกล่าวพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ แววตาส่องประกายวาบ “แค่ทำให้ท่านอ๋องมาขอพระราชทานสมรสด้วยตนเองก็หมดปัญหาแล้วไม่ใช่หรือ พ่ะย่ะค่ะ”

    “ดี...ข้าชอบความคิดเจ้า” ฮ่องเต้มู่เหวินหลงย้ำว่าดีอีกถึงสามครั้ง พร้อมทรงพระสรวลดังกึกก้อง เขาแทบจะรอดูสภาพน้องชายจอมเย่อหยิ่งมาร้องขอให้เขาพระราชทานสมรสแทบไม่ไหว คิดแล้วก็เบิกบานพระทัยยิ่งนัก

    ‘ฉินอ๋อง ข้าจะเลือกชายาเอกให้ท่านเอง จะทำให้ท่านปฏิเสธมิได้ จนต้องร้องขอสมรสพระราชทาน’ ถางซือเซินมาดมั่นไว้ในใจ ส่วนในหัวก็วาดแผนการ เขาเดินออกจากวังหลวงพร้อมความมั่นใจเต็มเปี่ยม


     


    [1] องคาพยพ หมายถึง หมายถึงส่วนทั้งหลายที่ประกอบกันเข้าเป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ในที่นี้หมายถึงอวัยวะบนหน้า คิ้ว ตา จมูก ปาก

    โปรดติดตามตอนต่อไป

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×