คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : เทียบเชิญที่เลี่ยงไม่ได้ (2)
เยี่ยนจิ้นหลิงเดินออกจากห้องหนังสือที่เรือนหลักด้วยฝีเท้ามั่นคง ผ่านสวนหินที่ตกแต่งไว้ด้านหน้าเรือน มุ่งตรงไปยังประตูวงเดือนที่กั้นระหว่างเรือนหลักกับส่วนลานกว้างของจวน ทหารองครักษ์พิเศษกำลังฝึกยุทธ์กันอย่างแข็งขัน เมื่อเห็นท่านกุนซือก็หยุดการกระทำทั้งหมดแล้วยกมือขึ้นทำท่าคำนับ พร้อมกล่าวคำคารวะ ทหารฝีมือเยี่ยมเหล่านี้เยี่ยนจิ้นหลิงล้วนตรวจสอบปูมหลังแล้วคัดเลือกมาด้วยตนเองทั้งสิ้น จึงมั่นใจได้ว่าจะไม่มีคนร้ายหน้าไหนแทรกซึมเข้ามาภายในจวนแห่งนี้ได้
กุนซือผมสีเงินรีบเดินตัดผ่านลานฝึกยุทธ์เพื่อย่นระยะทาง เร่งฝีเท้าขึ้นเล็กน้อย มุ่งตรงสู่สวนกลางคฤหาสน์ทันที โดยไม่แม้แต่จะชำเลืองมองดอกท้อที่บานสะพรั่งอยู่รายล้อม เป้าหมายของเขาอยู่ที่ศาลาพักร้อนริมสระบัวใหญ่
เมื่อเข้าใกล้บริเวณศาลาเสียงขลุ่ยอันไพเราะก็ลอยแว่วมา สายลมโชยอ่อนพัดพากลิ่นดอกโบตั๋นจาง ๆ จากร่างบางลอยมาปะทะจมูก เยี่ยนจิ้นหลิงครุ่นคิดพลางมองแผ่นหลังเหยียดตรงของสตรีที่ยืนอยู่เบื้องหน้า
ตอนอยู่เมืองชายแดน ความงามของเยี่ยนเยว่ฉีก็เป็นที่เลืองลือแล้ว ครั้นนางอายุได้สิบสองปี บรรดาคุณชายต่างตั้งมั่นว่าจะต้องรีบส่งแม่สื่อมาสู่ขอ ไม่ต้องพูดถึงตอนนางอายุถึงวัยเข้าพิธีปักปิ่น บรรดาแม่สื่อและขุนนางท้องถิ่นรวมไปถึงเมืองข้างเคียง ต่างแห่แหนกันมาทาบทามบุตรสาวแม่ทัพเยี่ยนไม่ขาดสาย
แต่แม่ทัพใหญ่ในเวลานั้นไม่ยอมยกบุตรสาวให้ผู้ใด จนกระทั่งฮ่องเต้มีรับสั่งให้เยี่ยนหยางเจวี๋ยเลื่อนบรรดาศักดิ์และย้ายมาพำนักในเมืองหลวง ด้วยเหตุนี้ข่าวลือเรื่องที่เขาจะถวายตัวบุตรสาวแด่ฮ่องเต้ จึงถูกหยิบยกออกมาพูดถึงอีกครา
“น้องเล็ก”
ได้ยินเสียงพี่ชายเอ่ยทักจากด้านหลัง เยี่ยนเยว่ฉีจึงถอนริมฝีปากสีชมพูระเรื่อออกจากขลุ่ยหยกอย่างแช่มช้า นางหันหลังกลับมามองพร้อมคลี่ยิ้มอ่อนหวาน ใบหน้ารูปแตงปรากฏรอยยินดี นางช่างงดงามน่าทะนุถนอมยิ่ง
“พี่รอง...” เยี่ยนเยว่ฉีกล่าวทักทาย
“อีกเจ็ดวันพวกเราต้องเข้าวังไปงานเลี้ยงชมดอกเหมย” เยี่ยนจิ้นหลิงเดินเข้าไปในศาลา เขานั่งลงเคียงข้างน้องสาว “เตรียมตัวให้พร้อม เจ้าต้องแสดงความสามารถหน้าพระพักตร์ อย่าให้เสียชื่อท่านพ่อเป็นอันขาด”
“พี่รองอย่าได้กังวล เยว่ฉีจะแสดงสุดความสามารถเจ้าค่ะ ไม่มีทางทำให้ท่านพ่อต้องผิดหวังอย่างแน่นอน”
“ฉีเอ๋อร์....ลำบากเจ้าแล้ว”
“ลำบากอันใดแค่ไปงานเลี้ยง ไม่ได้ไปขึ้นเขียงสักหน่อย” ดรุณีน้อยคลี่ยิ้มหยอกล้อพี่ชายที่ทำท่าทางเคร่งครึม
“น้องเล็กเจ้าฟังคำข้าให้ดี งานชมดอกเหมยครานี้เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตเจ้า เจ้าจะได้แต่งงานในไม่ช้า ตามชะตา ชื่อของเจ้าจะได้จารึกในแผนผังราชวงศ์ แต่พี่คงบอกเจ้าได้เพียงเท่านี้ ไม่อาจแพร่งพรายลิขิตสวรรค์ได้อีกแล้ว” เยี่ยนจิ้นหลิงตัดสินใจบอกนางให้รู้คำทำนาย ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาไม่อยากกล่าวถึง แต่ก็อดเป็นห่วงน้องสาวสุดที่รักไม่ได้ สู้ให้นางรับรู้และเตรียมใจไว้เสียตั้งแต่ตอนนี้ดีกว่า
ผู้เป็นพี่ยื่นมือออกไปจับบ่าทั้งสองข้างของน้องสาวแล้วบีบเบา ๆ เป็นเชิงปลอบโยน ชายหนุ่มรับรู้ถึงกล้ามเนื้อที่เกร็งขึ้นเล็กน้อย
“ทราบแล้วเจ้าค่ะ พี่รองโปรดวางใจ ข้าเยี่ยนเยว่ฉียินดีอุทิศตนเพื่อตระกูลเยี่ยนของเราเจ้าค่ะ” นางตอบเสียงเรียบ พยายามข่มกลั้นความเสียใจ ใช่ว่านางเป็นสตรีในห้องหอแล้วจะไม่รู้ความอันใด เพื่อควบคุมกองทัพตระกูลเยี่ยนการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์เป็นสิ่งที่ง่ายดายที่สุด
“เพียงแต่...เยว่ฉีเคยหวังว่าจะได้แต่งงานกับชายที่ตนเองเลือก” นางพึมพำเสียงเบาหวิว หยดน้ำเริ่มเอ่อคลอบนดวงตา คิ้วงามราวกับถูกวาด บัดนี้กลับขมวดมุ่น สีหน้าของนางยามนี้พาให้คนปวดใจตามด้วยความสงสาร เยี่ยนจิ้นหลิงจึงดึงน้องสาวมากอดไว้แนบอก มือข้างหนึ่งลูบศีรษะนางเบา ๆ เขาก้มลงมองใบหน้าอันเศร้าสร้อยแล้วยกชายแขนเสื้ออีกข้างขึ้นเช็ดน้ำตาให้ ดวงตาเข้มส่งประกายคมกล้ากล่าวคำมั่นแก่น้องสาวที่ตนรักยิ่ง
“เจ้าไม่ต้องเศร้าใจไป แม้ฟ้าจะถล่มลงมา ท่านพ่อ พี่ใหญ่ และข้าจะช่วยเจ้าแบกรับเอาไว้เอง”
บุรุษผมสีเงินถอนหายใจเบา ๆ เมื่อนึกถึงชะตากรรมของน้องสาว งานนี้นอกจากจะทำให้ตระกูลต้องเข้าไปเกี่ยวพันกับปัญหาของราชวงศ์แล้ว ยังนำพาให้น้องสาวของตนพบเนื้อคู่อีกด้วย ความจริงเขาไม่ควรต้องมากังวลเรื่องพรรค์นี้ แต่ชายผู้นั้นดันมีชะตาดอกท้อ[1] มากภรรยา แถมดวงยังแข็งข่มผู้อื่นจนวุ่นวาย
‘มารดามันเถอะ’
น้องสาวของเขาจะทนแบ่งปันความรักกับหญิงอื่นได้อย่างไร ตนไม่มีทางให้นางได้รับความทุกข์ใจจนเป็นไปตามโชคชะตาเป็นอันขาด เขาจะต้องขจัดอุปสรรคเหล่านั้นเพื่อนางให้จงได้
ผ่านไปสักครู่ เยี่ยนเยว่ฉีก็เริ่มข่มใจหยุดร้องไห้ในที่สุด เมื่อเยี่ยนจิ้นหลิงเห็นน้องสาวตั้งสติได้ก็เบาใจ กุนซือหนุ่มจึงกล่าวลาแล้วรีบเดินทางออกจากจวนทันที โดยไม่ได้บอกผู้ใดทั้งสิ้นว่าจะไปที่แห่งหนไหน
เมื่อพี่ชายคนรองเดินจากไปแล้ว เยี่ยนเยว่ฉีได้แต่นั่งเหม่อมองผิวน้ำสีเทาหม่นภายในสระบัวเบื้องหน้าอยู่เงียบ ๆ
วสันตฤดูกำลังจะมาเยือนทำให้น้ำแข็งที่เคยฉาบอยู่จนหนาละลายหายไปจนสิ้นแล้ว แต่ก็ยังไม่มีปทุมมาผลิบานให้เห็น ช่างคล้ายกับจิตใจของตนเองในยามนี้ยิ่งนัก
มันทั้งหนาวเหน็บและไร้ชีวิตชีวา…
สายลมปลายเหมันตฤดูพัดผ่านร่างงามระหง จนผมสีดำสนิทดุจราตรีพลิ้วไหวน้อย ๆ โฉมสะคราญปรายสายตามองไปยังขอบฟ้าทางทิศใต้ นัยน์ตาดอกท้อที่เคยหวานหยาดเยิ้มกลับไม่สดใสดั่งวันวาน เยี่ยนเยว่ฉีพลันคิดถึงมารดาของตนอย่างสุดหัวใจ หากยามนี้มีเยี่ยนฮูหยินอยู่เคียงข้าง นางก็ยังมีที่ปรึกษาและปรับทุกข์ อีกทั้งคงได้รับการปลอบประโลมเป็นอ้อมกอดอันแสนอบอุ่นของสตรีผู้ให้กำเนิด
เมื่อไม่มีมารดาอยู่ด้วย ก็มีแต่ต้องอดทนและเข้มแข็งเข้าไว้ ถึงแม้พี่ชายคนรองจะบอกว่าชายผู้นั้นเป็นเนื้อคู่ของนางก็ตามที แต่ก็ไม่ได้รับประกันว่าชีวิตหลังแต่งงานจะมีความสุขเสมอไป
ตัวอย่างอันน่าอดสูก็มีให้เห็นตั้งมากมาย สตรีหลายคนต้องอยู่อย่างเดียวดายอ้างว้างในเรือนหลัง เพราะพวกนางถูกสามีลืมเลือน
ยิ่งแต่งกับผู้สูงศักดิ์ซึ่งมีอนุภรรยานับสิบ โอกาสที่จะทุกข์ทรมานก็มีมากขึ้นเรื่อย ๆ จะไม่ให้คนกังวลใจได้อย่างไร ถึงแม้นางจะมีรูปโฉมงดงามกว่าสตรีอื่นอยู่บ้าง แต่ความสาวย่อมโรยราไปตามกาลเวลา แล้วถ้าหากบุรุษผู้นั้นเป็นคนมากภรรยาเล่า นางมิต้องใช้ชีวิตม่ายทั้งที่ยังเป็นสาวอยู่หรอกหรือ
เยี่ยนเยว่ฉีเผลอกัดริมฝีปากจนรู้สึกเจ็บ มือขาวผ่องกำขลุ่ยพลิ้วพรายเอาไว้แน่น รู้สึกย่ำแย่ที่ต้องเกิดเป็นสตรี ด้วยตนเองต้องยึดถือหลัก ‘สามเชื่อฟัง สี่จรรยา’ อย่างเคร่งครัด จึงไม่มีสิทธิโต้แย้งการตัดสินใจของบิดาและพี่ชายทั้งสอง
โฉมสะคราญอึดอัดใจจนอยากหาที่ระบาย จึงเหน็บขลุ่ยหยกเอาไว้ที่ข้างเอว จากนั้นดรุณีในชุดสีขาวขลิบฟ้าจึงสาวเท้านำสาวใช้คนสนิทไปยังลานฝึกยุทธ์
[1] ชะตาดอกท้อ หมายถึง ผู้มีดวงชะตาเด่นในเรื่องความรัก
ความคิดเห็น