คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : ท่านอ๋องเจ้าขา...ข้ามาเอาขลุ่ยคืน (3)
“กรี๊ด...ท่าน ท่านปล่อยข้านะ คุณหนูช่วยข้าด้วย...อ๊าย” เสียงซูจิ้งร้องดังอย่างน่าเวทนา องครักษ์ของท่านอ๋องคงจัดการทำให้นางเงียบตามคำสั่งของผู้เป็นนายแน่แล้ว
“อย่านะ...อย่าทำอะไรซูจิ้ง” หญิงสาวดิ้นหลุดจากพันธนาการได้ในที่สุด นางวิ่งถลาไปข้างหน้าด้วยความเป็นห่วงสาวใช้คนสนิท กลัวว่าองค์รักษ์ของฉินอ๋องจะทำรุนแรงกับนาง
ซูจิ้งเติบโตมาพร้อมเยี่ยนเยว่ฉี จึงมีความรักความผูกพันต่อกันอย่างมาก ตลอดเวลาก็รับใช้ไม่ขาดตกบกพร่อง เป็นสาวใช้ที่รู้กาลเทศะและมีกิริยามารยาทเรียบร้อย นางเป็นเพียงเด็กสาวอ่อนแอไร้ซึ่งวรยุทธ์คงไม่อาจทนได้หากถูกจับไปลงโทษ
เยี่ยนเยว่ฉีวิ่งได้ไม่ถึงสามก้าวมู่เลี่ยงหรงก็ปราดมาดักหน้านางเอาไว้ ร่างกายไวกว่าความคิด คนงามตวัดฝ่ามือใส่หน้าผู้เป็นอ๋องอย่างเต็มแรงฉาดหนึ่ง ชายหนุ่มรับแรงกระแทกจากผ่ามือเต็ม ๆ โดยไม่ได้หลบเลี่ยง
เขาหาได้เจ็บกาย...ทว่าเจ็บที่ใจต่างหาก
บัดนี้ บุรุษผู้อ่อนโยนซึ่งเคยยั่วเย้านางได้หายไปแล้ว แววตาก็เปลี่ยนเป็นดุดันเหี้ยมเกรียม บรรยากาศรอบ ๆ เย็นเยียบจนนางหนาวสั่น เมื่อเขาก้าวมาอีกก้าวหนึ่ง นางก็ก้าวถอยหลังอีกหนึ่งก้าวเช่นกัน เขาเริ่มโกรธจริง ๆ เสียแล้ว หากนึกเสียใจตอนนี้คงจะไม่ทันการณ์
“เจ้ากล้าตบหน้าเปิ่นหวาง” ทั้งที่เมื่อครู่เขาเพียงอยากจะรั้งนางเพื่อขออภัย แต่สตรีน่าตายผู้นี้กลับสะบัดมือฟาดบนหน้าของเขาเต็มแรง
“หม่อมฉันไม่ได้ตั้งใจเพคะ”
“ไม่ได้ตั้งใจ ถ้าตั้งใจเจ้าคงจะเดินลมปราณแล้วซัดเราจนตายไปเลยกระมัง” ใช่แล้ว สตรีผู้นี้นางมีวรยุทธ์ เขารับรู้ถึงกำลังภายในที่ค่อนข้างแข็งแกร่งด้วยแกล้งเปิดโอกาสให้หญิงสาวลงมือตั้งหลายครั้งหลายครา แต่นางเพียงกอดและจูบตอบ ดังนั้นเขาย่อมคิดว่าอีกฝ่ายมีใจให้ แต่ที่แท้สตรีผู้นี้ไม่ได้รู้สึกหวั่นไหวอะไรเลยสินะ
เยี่ยนเยว่ฉีคุกเข่าลงกับพื้น มู่เลี่ยงหรงรู้ทุกอย่างจากสัมผัสเมื่อครู่ วรยุทธครึ่ง ๆ กลาง ๆ ของนางเพียงพอที่จะทำร้ายคนให้บาดเจ็บได้
“หม่อมฉันไม่มีทางทำร้ายท่านอ๋องเพคะ”
“เจ้าลงมืออย่างไม่กลัวตายไปแล้ว”
“ท่านอ๋องได้โปรดยกโทษ หม่อมฉันผิดไปแล้วเพคะ”
“สายไปแล้วเยี่ยนเยว่ฉี หวังว่าชั่วชีวิตนี้เราคงไม่ต้องพบหน้าเจ้าอีก” มู่เลี่ยงหรงคิดตัดใจ นางไม่ได้ชอบเขา ซ้ำยังตบหน้าอีก หากเป็นผู้อื่นคงถูกประหารสามชั่วโคตรไปแล้ว พระเชษฐาอยากผูกสัมพันธ์นักก็ให้แต่งตั้งนางเป็นพระสนมไปเถิด
อ๋องหนุ่มต้องการจะจากไปให้เร็วที่สุด หวังว่าไม่นานเขาจะลืมเรื่องทุกอย่างในวันนี้ได้ จวนอ๋องไม่ได้ขาดสตรี ส่วนตำแหน่งหวางเฟยคงต้องว่างเปล่าอยู่เช่นเดิม
ได้ยินคำของฉินอ๋อง เยี่ยนเยว่ฉีคิดว่าตนต้องถูกประหารแน่ นางจึงตัดสินใจโผเข้าไปกอดขาชายหน่มหวังให้เขาคลายโทสะลงก่อน มิเช่นนั้นท่านพ่อคงเดือดร้อนไปด้วย
มู่เลี่ยงหรงเบิกนัยน์ตาด้วยความตกใจ สตรีผู้นี้จะเล่นเล่ห์อะไรอีก
“หม่อมฉันเพียงตกใจกลัวซูจิ้งเป็นอันตราย ท่านอ๋องอย่าเกลียดเยว่ฉีนะเพคะ”
“ปล่อยเปิ่นหวางเดี๋ยวนี้” มือแข็งแรงดันไหล่น้อย ๆ ของหญิงสาว เขาออกแรงไม่มาก เพียงแค่อยากรักษาระยะห่าง ด้วยไม่อาจเดาใจสตรีที่กำลังเปลี่ยนท่าที แต่ความโกรธที่พวยพุ่งขึ้นเมื่อครู่กลับค่อย ๆ มลายหายไปอย่างประหลาด เขาไม่อาจเชื่อได้ว่าตนเองจะสามารถตัดใจจากสตรีผู้นี้ได้เลย
‘ให้ตายเถอะ เยี่ยนเยว่ฉี หากเจ้าไม่ยอมปล่อยมือเสียตอนนี้ ข้าสาบานว่าจะไม่รามือจากเจ้าอีกต่อไปเช่นกัน’
“ไม่เพคะ ท่านอ๋องจะไม่เมตตาเยว่ฉีจริง ๆ หรือ” นางช้อนนัยน์ตาหวานซึ้งขึ้นสบกับเขาแล้วกัดริมฝีปาก
ภาพตรงหน้าทำให้ชาติบุรุษถึงกับหายใจไม่ออก เห็นนางเศร้าสร้อยจิตใจก็อ่อนวูบ อย่างไรก็ตามเขาไม่มีทางให้นางได้ล่วงรู้ถึงความอ่อนไหวที่กำลังก่อตัวขึ้น
“ปล่อย...เปิ่นหวางจะไม่ฟังอะไรอีกแล้ว พอกันที” ขาขยับถอยออกเล็กน้อย แต่มือนุ่มนิ่มนั้นยึดชายชุดคลุมสีดำเอาไว้แน่น ไม่มีทีท่าว่าจะยอมปล่อย ซ้ำนางยังกระถดตัวตามมาอีกด้วย เขาจึงต้องหยุดนิ่งอยู่ตรงนั้นเกรงว่าหัวเข่าของนางจะถลอกจนได้เลือด ฉินอ๋องปั้นสีหน้าเย็นชาส่งสายตาโกรธขึ้งไปยังหญิงสาว
“ท่านอ๋องเพคะ หม่อมฉันสำนึกผิดแล้ว”
“ไม่ได้ยินที่เปิ่นหวางพูดหรือ เราจะไม่กล่าวซ้ำ”
“ท่านอ๋องลงโทษหม่อมฉันเพียงผู้เดียวเถิดเพคะ โปรดละเว้นท่านพ่อ ท่านแม่ และพี่ชายทั้งสองด้วย”
“เจ้าเพ้อเจ้ออะไร” มู่เลี่ยงหรงเหยียดริมฝีปาก ดูเย็นชาหน้ากลัวยิ่งนัก
“หม่อมฉันล่วงเกินท่านอ๋องย่อมต้องถูกประหาร แต่คนในครอบครัวไม่มีส่วนรู้เห็น ท่านอ๋องได้โปรดเมตตาปล่อยพวกเขาไปเถิดนะเพคะ” เยี่ยนเยว่ฉีเข้าใจว่าฉินอ๋องผู้เด็ดขาดย่อมลงโทษตามกฎมณเฑียรบาล นางจึงยิ่งร้องห่มร้องไห้ อ้อนวอนขอร้องด้วยเสียงอันสั่นเครือ
“อ่อ...นึกหวั่นขึ้นมาบ้างแล้วสินะ ทีตอนลงมือทำไมไม่กลัว หือ”
“หม่อมฉันไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ นะเพคะ”
เมื่อเห็นนางกลัวอาญาถึงเพียงนี้ มู่เลี่ยงหรงจึงคิดแผนการบางอย่างขึ้นมาได้ ในเมื่อเขาใช้วิธีละมุนละม่อมแล้วนางไม่ยินดีเช่นนี้ก็ให้นางรับโทษเสียก็หมดเรื่อง
‘เยี่ยนเยว่ฉีเอ๋ย เจ้าไม่อาจจะบิดพลิ้วอะไรได้อีกแล้ว’
“อืม...ถ้าไม่อยากตาย เช่นนั้นจะชดใช้อย่างไร”
“แล้วแต่ท่านอ๋องจะเมตตาเพคะ”
“เจ้าแน่ใจแล้วหรือ”
“เพคะ”
“โทษทัณฑ์ของการลบหลู่ผู้แทนพระองค์นั้นช่างหนักหนา เกรงว่าคุณหนูเยี่ยนคงต้องใช้ทั้งชีวิตเพื่อชดใช้”
“ท่านอ๋องจะให้เยว่ฉีเป็นบ่าวของท่านตลอดไปก็ย่อมได้ เพียงละเว้นครอบครัวของหม่อมฉันก็เพียงพอแล้ว” ดวงตากลมโตเห็นประกายแห่งความหวังขึ้นมาบาง หากฉินอ๋องเอ็นดูนางสักนิด อย่างมากก็คงลงโทษให้นางไปเป็นทาสเท่านั้น
“ดี เช่นนั้นก็มาเป็นหวางเฟยของเปิ่นหวาง จงอุทิศตนปรนนิบัติเราทั้งเช้าค่ำไปจนจวบสิ้นลมหายใจ” มู่เลี่ยงหลงประคองสาวน้อยตัวสั่นเทาขึ้นมาจากพื้น สัมผัสนั้นเต็มไปด้วยความทะนุถนอมยิ่ง นัยน์ตาเหยี่ยวลุ่มลึกสะกดใจของนาง เขาสวมกอดสตรีในชุดสีชมพูแล้วประทับจุมพิตแผ่วเบาลงบนหน้าผากมนทีหนึ่ง
“นี่ล่ะบทลงโทษที่เหมาะสมสำหรับเจ้า”
“ท่านอ๋อง…”
นี่คือการลงอาญาชนิดใดกัน หัวใจของหญิงสาวเต้นระรัวราวกับมีผู้ลั่นกลองรบ ฉินอ๋องเมตตาถึงเพียงนี้ หรือว่าเขามีใจให้นางอย่างแท้จริง ตำแหน่งพระชายาเอกไม่ใช่ใครก็เป็นได้ เยี่ยนเยว่ฉีแทบไม่อยากเชื่อ เป็นไปได้ไหมว่าเขาคือเนื้อคู่ตามคำทำนายของพี่รอง
“ถึงกับพูดไม่ออกบอกไม่ถูกเชียวรึ” อีกฝ่ายกลั้วหัวเราะเบา ๆ
“ท่านอ๋องมั่นใจหรือเพคะ ตำแหน่งหวางเฟยไม่มากเกินไปสำหรับคนธรรมดาอย่างหม่อมฉันหรือ”
ดรุณีน้อยลูบสาบเสื้อสีดำปักลายพยัคฆ์เบา ๆ นางแหงนหน้าจนสบกับนัยน์ตาสีเข้ม นางต้องการจะค้นหาว่าแท้ที่จริงแล้วบุรุษผู้นี้คิดกับตนเช่นไรกันแน่
“ทุกคำ เปิ่นหวางล้วนไตร่ตรองแล้ว เหลือเพียงเจ้ายินยอมทำตามก็เท่านั้น” ว่าแล้วก็ลูบเส้นผมสีดำเงางามดั่งท้องฟ้ายามรัตติกาล ก่อนเผยอยิ้มเปี่ยมเสน่ห์ที่มากพอจะทำให้สตรีในอ้อมแขนต้องมนต์ บุตรสาวแม่ทัพทำได้แต่เพียงแค่เหม่อมอง
“เพคะ...หม่อมฉันยอมรับโทษนี้”
เยี่ยนเยว่ฉีรับคำเสียงอ่อน หวังว่านี่คงเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง ถึงแม้ในใจยังคงลังเลอยู่ไม่น้อย ด้วยตัวเคยอยู่แต่เมืองหานจี จึงแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับชายผู้นี้เลย ที่เคยได้ยินเสียงเล่าลือก็มีเพียงเรื่องผลงานกับความเด็ดขาดของฉินอ๋องเท่านั้น หวังว่าเขาจะไม่ใช่ผู้ชายเจ้าชู้มากรักหลายใจหรอกนะ
“ดี เราจะขอพระราชทานสมรสเสียวันนี้เลย”
“เราเพิ่งพบกัน ไม่เร็วเกินไปหรือเพคะ”
“ไม่เร็วสักนิด อีกอย่างเราต้องการหลักประกันว่าเจ้าจะไม่มีทางบิดพลิ้ว” มู่เลี่ยงหรงคลายอ้อมกอด จากนั้นจึงรั้งบ่าสองข้างของนางเอาไว้ทำให้ทั้งคู่ยืนประจันหน้ากัน เขากับนางจดจ้องกันและกันนิ่ง
“ตลอดชีวิตนี้ เจ้าหนีเราไม่พ้นแล้ว”
“อ่อ...เป็นเช่นนี้เอง” นางรู้สึกเจ็บแปลบอย่างประหลาด ที่แท้ฉินอ๋องเพียงต้องการใช้ราชโองการผูกมัดนางเอาไว้เพื่อชดใช้ให้เขา หญิงสาวเสมองไปทางอื่นไม่ยอมจ้องดวงตาคู่นั้นอีกต่อไป
‘ไม่เพียงเท่านั้นหรอก พระจันทร์ดวงน้อยของข้า’ มู่เลี่ยงหรงลอบยิ้มในใจที่นางมีทีท่าแง่งอนเช่นนี้
“นี่ขลุ่ยของเจ้า” อ๋องหนุ่มก้มหยิบขลุ่ยที่วางอยู่บนตั่งหินคืนให้นาง
“ขอบพระทัยเพคะ” เยี่ยนเยว่ฉียอบกายคำนับ แล้วยื่นมือไปรับเครื่องดนตรีประจำกายคืนมา ใบหน้างดงามเต็มไปด้วยรอยยิ้มราวกับได้พบสิ่งล้ำค่าที่หายไป นางรีบเหน็บขลุ่ยหยกไว้ข้างเอว
“เราสมควรกลับเข้าไปในงานได้แล้ว” สิ้นคำมู่เลี่ยงหรงก็สาวเท้าเดินนำออกไปตามทางเดินสู่ปากถ้ำหิน เยี่ยนเยว่ฉีเยื้องกรายตามเขาไปติด ๆ อย่างคนว่าง่าย
ความคิดเห็น