คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #26 : หงส์วอนหาคู่ (3)
มู่เลี่ยงหรงลุกขึ้นพลางเหลือบมองเยี่ยนเยว่ฉีด้วยแววตาลึกสุดหยั่ง เขาไม่ได้พูดอะไรกับนางอีก เสียงผู้คนยินดีรอบข้างก็มิได้เข้าไปในโสต ชายหนุ่มเพียงยิ้มเย็นให้สตรีตรงหน้า แล้วเดินกลับไปยังที่นั่งของตนเงียบ ๆ
หลังจากนั้น อ๋องหนุ่มเอาแต่นั่งหน้านิ่ง ไม่แสดงอารมณ์ใดทั้งสิ้นอยู่เนิ่นนาน เขาเพียงยกจอกสุราดื่มรวดเดียวหมดติด ๆ กันหลายจอก ผู้ใดมาคาราวะแสดงความยินดีก็ร่วมดื่มกับทุกคน
ถึงปกติพันจอกไม่เมา แต่วันนี้เขาตั้งใจจะดื่มให้เมามาย
มู่เลี่ยงหรงปักใจไปแล้วถึงสามส่วนว่าเยี่ยนเยว่ฉีไม่ได้รักชอบเขาจริง ความคิดนี้พาให้ก้อนเนื้อในหน้าอกด้ายซ้ายเจ็บเหลือประมาณ ชายหนุ่มไม่อาจเข้าใจว่าเหตุใดตนจึงกร้าวรานถึงเพียงนี้
'ข้าไม่เคยชอบพอผู้ใด แล้วไยเมื่อพบคนที่พึงใจนางก็ทำเหมือนข้าเป็นตัวโง่งม ช่างน่าขันยิ่งนัก' เขาหัวเราะเยาะหยันตัวเองเบา ๆ
ในที่สุดฉินอ๋องก็ตัดสินใจลุกขึ้นยืน โดยไม่สนว่าจะเป็นการเสียมารยาทหรือไม่ เขาไม่อยากอยู่ร่วมงานเลี้ยงอีกต่อไปแล้ว
แต่ด้วยดื่มสุราไปหลายจอกติดกันทำให้ร่างสูงซวนเซเล็กน้อย ถางซือเซินที่รอท่าอยู่ก่อนแล้วแตะตัวสหายไว้ไม่ให้ล้มอย่างแนบเนียน ไม่ให้ผู้เป็นอ๋องขายหน้า
“กระหม่อมจะทูลฮ่องเต้ว่าท่านไม่สบาย” ถางซือเซินกระซิบให้พอได้ยินเพียงสองคน
“ฝากเจ้าด้วย” เสียงของฉินอ๋องแหบแห้ง
“ท่านอ๋องเดินดี ๆ” ถางซือเซินค่อย ๆ ปล่อยมืออย่างไม่กระโตกกระตาก
มู่เลี่ยงหรงตั้งสติ เดินตัวตรงจากไปอย่างสง่าผ่าเผย ไม่มีท่าทางของผู้ที่กำลังเมาสุรา เหลือเพียงใบหน้าซับสีแดงเป็นหลักฐานเท่านั้น
ขณะเดียวกันถางซือเซียนหันไปมองเยี่ยนเยว่ฉีด้วยสายตาตำหนิ นางลุกขึ้นแล้วรีบย่างเท้าตามเขาออกไปทันที ไม่สนใจสายตาที่แสดงความกังขาของสตรีผู้หักหน้าฉินอ๋องแม้แต่น้อย
เยี่ยนเยว่ฉีมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยหัวใจอันสับสน จู่ ๆ ถางซือเซียนก็ตามมู่เลี่ยงหรงไป ทั้งสองมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกันเพียงใดนางคงต้องให้คนไปสืบเสียแล้ว
แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งสะท้อนใจ นี่หรือคือการได้พบเนื้อคู่...
'ข้าแค่ต้องการให้ท่านเห็นคุณค่า ไม่อยากเป็นเพียงหนึ่งในสตรีที่ท่านได้มาง่าย ๆ แต่ดูเหมือนว่าทุกอย่างคงยากเย็น ท่านมีสตรีรายล้อมมากมายเหลือเกิน สุดท้ายแล้วข้าคงเป็นได้เพียงบุปผาที่ประดับไว้ในจวนจนถูกลืมเลือนกระมัง' นางร่ำร้องในใจ สุดท้ายก็ตัดสินใจลุกตามคนทั้งสองออกไปในทันที
เมื่อถางซือเซียนพ้นออกมาจากงานเลี้ยง ก็รีบวิ่งตามมู่เลี่ยงหรงไปจนทัน นางดึงแขนเสื้อของฉินอ๋องเอาไว้ ชายหนุ่มหยุดเดิน แต่กลับยืนนิ่งไม่ไหวติงเหมือนคนใจลอย
“เซียนเอ๋อร์” เขาพูดชื่อนางในที่สุด
“เซียนเอ๋อร์กลับด้วยเพคะ”
“ข้าไม่เป็นไร คงจะไม่ต้องพึ่งเจ้าในยามนี้”
“อย่างไรให้เซียนเอ๋อร์อยู่กับท่านจะดีกว่า”
“เจ้าไม่ได้ห่วงข้า แต่ห่วงคนที่จวนฉินอ๋องต่างหาก” เขากลั้วหัวเราะ แต่สีหน้าไม่สู้ดี
“เซียนเอ๋อร์เป็นห่วงท่านจริง ๆ นะเพคะ”
“ไม่ต้องห่วง ข้าไม่ใช่พวกชอบฆ่าคนส่งเดชเพียงเพราะกำลังมีโทสะ เจ้าก็รู้”
“รู้เพคะ แต่ให้เซียนเอ๋อร์อยู่กับท่านจะดีกว่า” นางยังคงยืนกรานประโยคเดิม
“ก็ได้ แต่ไม่ต้องพยุงข้าหรอก เจ้าแค่เดินตามมาก็พอ” ชายหญิงไม่อาจใกล้ชิด แต่เขาก็ไม่อยากเสียเวลาโต้เถียงกับนางอีกต่อไป จึงอนุญาตตามคำขอ
ถางซือเซียนรีบสั่งองครักษ์หนุ่ม “ซิ่นเฉิง ที่นี้มีข้าแล้ว รีบไปเตรียมรถม้ามารอรับท่านอ๋องเร็วเข้า”
“ขอรับคุณหนูถาง” เขาไม่รอช้ารีบล่วงหน้าไปเตรียมรถม้าทันที
มู่เลี่ยงหรงเลิกคิ้วหนาขึ้นเล็กน้อย
“หึ! เดี๋ยวนี้เจ้าสั่งซิ่นเฉิงทำโน้นนี่ โดยไม่ถามข้าแล้วหรือ”
“ก็แค่เรื่องเตรียมรถม้า เลี่ยงหรงเกอเกอจะคิดมากไปไย”
“อืม...ช่างเถอะ วันนี้ข้าหมดแรงจะเถียงกับสตรีแล้ว พวกเจ้าก็เหมือนกันหมด มารยาร้อยเล่มเกวียน รักที่จะเล่นลิ้นปั่นหัวผู้ชายหน้าโง่ไปวัน ๆ แต่พอได้รับผลประโยชน์ ก็นั่งหัวเราะชื่นชมความสำเร็จ มีหรือข้าจะไม่รู้” มู่เลี่ยงหรงหัวเราะเสียงดังขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย
“ไม่เคยเห็นท่านปล่อยให้ตนเองเมามายถึงเพียงนี้ เช่นนั้นก็รีบเดินเข้าเถิด แต่ขึ้นรถม้าแล้วต้องเล่ามาให้หมดด้วย” ถางซือเซียนถึงกับกุมขมับ ดีที่แขกเหรื่อยังอยู่ในงานเลี้ยง มิฉะนั้นพวกเขาคงจะเป็นจุดสนใจ นางต้องรีบพาเขากลับจวนฉินอ๋องแล้ว
มู่เลี่ยงหรงก้าวเท้าไปตามทางเดินศิลาอันทอดยาว สู่ประตูสีแดงบานใหญ่ของวังหน้า ที่นี่เป็นจุดขึ้นรถม้าของในวังหลวง เมื่อเดินใกล้ถึงจุดหมายก็เห็นซิ่นเฉิงยืนรอท่าอยู่ก่อนแล้ว
รถม้าและคนขับพร้อมเดินทางกลับทุกเมื่อ
ครั้นขึ้นรถม้าเรียบร้อยแล้ว มู่เลี่ยงหรงก็นั่งหลับตานิ่ง ถอนหายใจเฮือก คิดไม่ถึงว่าตนเองก็มีวันที่โดนสตรีปั่นหัวได้ถึงเพียงนี้ แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น เขาก็ไม่อาจตัดใจจากนางได้ในทันที
‘น่าตายนัก นี่ข้าเป็นอะไรไป’
มู่เลี่ยงหรงปกติเป็นคนสุขุมเยือกเย็น ไม่เคยเผยจุดอ่อนให้ผู้ใดเห็น มีเรื่องไม่กี่เรื่องที่ทำให้เขาทุกข์ใจ นานมากแล้วที่ชายหนุ่มไม่ได้รู้สึกว่าโดนคนเล่นงานจนย่ำแย่ ซ้ำเขายังเคยเห็นการขอแต่งงานเป็นเรื่องไร้สาระอีกด้วย
“เซียนเอ๋อร์...ข้าขอให้เจ้าช่วยได้หรือไม่” เขาพูดเสียงเบา ราวกับกำลังจะหมดแรง
“ไหนว่าวันนี้ไม่ต้องการเซียนเอ๋อร์อย่างไรเล่า” นางถามผู้ชายตัวโตที่หยิ่งใส่ตนเมื่อครู่
“ตอนแรกก็ตั้งใจว่าจะไม่ แต่ตอนนี้คิดว่าคงจะดีกว่าถ้าข้าสงบใจลงได้อย่างรวดเร็ว” เขาอ้อนวอนด้วยเสียงอันสั่น “ข้าเกลียดความรู้สึกที่มีอยู่ตอนนี้ คงมีเพียงเจ้าที่จะช่วยได้”
“เมื่อครู่ท่านเลี่ยงหรงเกอเกอพูดเหมือนจะไล่เซียนเอ๋อร์เสียด้วยซ้ำ” นางแสร้งหันไปทางอื่นทำเป็นแง่งอน
“เช่นนั้นไม่ต้องก็ได้ เกือบลืมไปว่าเจ้าเข้าพิธีปักปิ่นไปแล้ว ตอนนี้ย่อมไม่ใช่นางฟ้าน้อยของข้าอีกต่อไป” เขาถอนหายใจเฮือกหนึ่ง จากนั้นจึงเอนกายพิงไปกับผนังรถม้า
“แหม เซียนเอ๋อร์ก็พูดไปอย่างนั้นเอง หากไม่ยินยอมพร้อมใจคงไม่ขึ้นรถม้ามากับท่านหรอกเพคะ” น้ำเสียงนางอ่อนลงด้วยเป็นห่วงเขา
“เซียนเอ๋อร์...เด็กดีมานี่มา” ท่านอ๋องหนุ่มหันกลับมาหานาง พร้อมยิ้มบาง ๆ อย่างรักใคร่เอ็นดู
มู่เลี่ยงหรงตบลงบนเบาะข้างกายสองสามทีเป็นสัญญาณให้ถางซือเซียนขยับมานั่งใกล้ ๆ สาวน้อยจึงเคลื่อนกายไปนั่งลงข้างอ๋องผู้กำลังเมามาย
บุรุษตัวโตตวัดแขนแกร่งโอบกอดสตรีร่างบางไว้หลวม ๆ แล้วโน้มศีรษะลงบนบ่าเล็ก ๆ โดยให้จมูกของตนอยู่บนสาบเสื้อสีฟ้าอ่อนของนาง และพออยู่ในท่าที่ถนัดถนี่แล้ว ชายหนุ่มก็เริ่มสูดหายใจเข้าอย่างช้า ๆ เพื่อดอมดมกลิ่นอันวิเศษแสนหอมหวานประดุจบุปผานานาพันธุ์ของนางอย่างแผ่วเบา
“อืม...เซียนเอ๋อร์ความจริงแล้วหลังวันงานปักปิ่นนั่นข้าก็คิดว่าจะไม่ทำเช่นนี้อีก ไม่ได้ต้องการจะเอาเปรียบเจ้าไปเรื่อยๆ แบบนี้ แต่...”
“ชู่ว์...เซียนเอ๋อร์รู้เพคะ เลี่ยงหรงเกอเกอทำใจให้สบายเถิด” นางกระซิบบอก แล้วใช้มือลูบไรผมของเขา ปัดเป่าโทสะผู้เมามายอย่างปลอบประโลม “เซียนเอ๋อร์ไร้ความสามารถ ที่พอจะแบ่งเบาท่านได้ ก็มีเพียงเรื่องนี้เท่านั้น”
“นางฟ้าน้อยของข้า มีเพียงกลิ่นจรุงจิตของเจ้าเท่านั้นที่ทำให้ข้าสงบลงได้”
ความคิดเห็น