ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ท่านอ๋องเจ้าขา...ข้ายอมแล้ว 王上 您上我 (รีอัพ)

    ลำดับตอนที่ #24 : หงส์วอนหาคู่ (1)

    • อัปเดตล่าสุด 7 ก.พ. 65


    เวลาแห่งการเฉลิมฉลองต้อนรับฤดูใบไม้ผลิยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง

    การแสดงฉิน[1] ของคุณหนูหลิวชิงกำลังสร้างความเพลิดเพลินให้กับแขกเหรื่อ เยี่ยนจิ้นหลิงที่กลับมานั่งประจำที่ของตนด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม 

    มู่เลี่ยงหรงเห็นจิ้งจอกหนุ่มเดินกลับเข้ามา ก็ทำเพียงปรายตามองแว่บหนึ่ง แล้วหันไปให้ความสนใจและสนทนาอย่างออกรสกับเจ้ากรมอาญาที่แวะมาคารวะสุราบุตรเขยอย่างเขา

    เยี่ยนจิ้นหลิงลอบเหยียดปากเล็กน้อย เฝ้ารอคอยเวลาที่ฉินอ๋องจะยิ้มไม่ออกมาถึง ตอนนี้ตนเองจะปล่อยให้อีกฝ่ายมีความสุขไปก่อน 

    เมื่อเห็นน้องชายครุ่นคิด ซ้ำยังเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์จนถึงดวงตา เยี่ยนหยางจงก็อดสังหรณ์ใจไม่ได้ แม้น้องชายคนนี้จะไม่ชอบการนองเลือด แต่ก็มีนิสัยเสียติดตัวคือขี้แกล้งและชอบอาฆาต หากเขาไม่พอใจผู้ใดก็มักจะหาทางให้คนผู้นั้นพบความหายนะหลายรูปแบบ มีตั้งแต่เรื่องเล็กน้อยไปจนถึงเรื่องใหญ่โต ยังดีที่พ่อจิ้งจอกสีเงินตัวร้ายไม่ชอบสังหารผู้คนส่งเดช มิเช่นนั้นเขากับท่านพ่อคงได้ปวดหัวหนักกว่านี้

    ระหว่างนั้นทุกคนต่างทานอาหาร ดื่มสุรา และชมการแสดงต่อไปอย่างสำเริงสำราญ จนการแสดงฉินของคุณหนูหลิวชิงจบลง ฮ่องเต้ทรงพระราชทานรางวัลอีกเช่นเคย และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ขันทีน้อยคนเดิมก็ขานชื่อการแสดงชุดต่อไป 

    “การแสดงขลุ่ยพลิ้วพราย จากจวนไคกั๋วกง คุณหนูเยี่ยนเยว่ฉีแสดง...”

    สิ้นเสียงขาน สตรีในชุดสีชมพูกรุยกรายย่างเท้าออกมาอย่างแช่มช้อยสู่ลานแสดงหน้าพระพักตร์ เยี่ยนเยว่ฉีงดงามดุจเทพธิดาจากสวรรค์ พาผู้คนตะลึงงันในรูปโฉม นางยิ้มพรายปรายสายตาหวานหยาดเยิ้มสะกดใจ ริมฝีปากแดงระเรื่อชุ่มฉ่ำจรดกับผิวขลุ่ยหยกในมือ

    “ช้าก่อน” เสียงบุรุษผู้หนึ่งดังขึ้นขัดจังหวะ เป็นมู่เลี่ยงหรงนั่นเอง

    “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมฉินอ๋องใคร่จะร่วมแสดงครั้งนี้กับคุณหนูเยี่ยนด้วย หวังว่าจะสร้างสีสันด้วยพิณหวนคำนึง ขอฝ่าบาททรงอนุญาต”

    แขกเหรื่อในงานต่างตกใจแตกตื่นกันยกใหญ่ ฉินอ๋องจะร่วมบรรเลงเพลงพิณกับบุตรสาวท่านแม่ทัพใหญ่ ผู้คนต่างรู้กันดีว่าท่านอ๋องผู้นี้มีฝีมือเล่นพิณเป็นหนึ่งในใต้หล้า แล้วพิณหวนคำนึงนั้นก็เป็นสมบัติล้ำค่าควรเมือง ไม่ใช่ผู้ใดจะได้ชื่นชมกันง่าย ๆ พวกเขาเหล่านั้นจึงตั้งหน้าตั้งตารอให้ฮ่องเต้ทรงอนุญาต

    “หรงเอ๋อร์ ทำไมเจ้าจึงนึกอยากเล่นดนตรีคู่กับคุณหนูเยี่ยนนักเล่า” มู่เหวินหลงทรงมีรับสั่งถามแทนใจใครหลายคนที่กำลังส่งสายอยากรู้อยากเห็นมาทางบุคคลทั้งคู่

    “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมได้ยินชื่อเสียงของคุณหนูเยี่ยนมานาน อยากเปิดหูเปิดตาพ่ะย่ะค่ะ”มู่เลี่ยงหรงคลายข้อกังขาลงอย่างง่ายดาย

    “ดี ข้าอนุญาต” 

    “ขอบพระทัยฝ่าบาท”

    หลังจากได้พระอนุญาตแล้ว นางกำนัลก็อุ้มพิณหลังงามออกมาวางไว้บนโต๊ะและจัดที่นั่งสำหรับท่านอ๋องในเวลาอันรวดเร็ว เยี่ยนเยว่ฉีปรายตามองก็เห็นพิณผิวเนื้อดีส่องประกาย สายพิณที่ขึงตึงพอดี มีอักษรสีทองสลักว่า ‘หวนคำนึง’ ไว้อย่างชัดเจน มู่เลี่ยงหรงก้าวเท้าเข้ามายังกลางลายแสดง ก่อนสะบัดชายชุดคลุมสีดำปักเลื่อมทองแล้วนั่งลงอย่างสง่างาม

    ยามนี้ฉินอ๋องพร้อมที่จะบรรเลงเพลงคู่กับสตรีผู้เลอโฉมแล้ว

    “เจ้าจะเล่นเพลงอะไร” มู่เลี่ยงหรงหันไปสบนัยน์ตาหวานหยาดเยิ้ม พลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอันนุ่มนวลยิ่ง

    “หม่อมฉันให้ท่านอ๋องเป็นผู้เลือกเพคะ” เยี่ยนเยว่ฉียิ้มตอบ

    “ได้...เพลงนี้ข้าขอมอบให้เจ้า เสี่ยวเยว่” รอยยิ้มน้อย ๆ ของเขาเต็มไปด้วยนัยที่ชวนให้สตรีใจเต้นแรง 

    สิ้นคำประกาศของมู่เลี่ยงหรง ทำเอาบรรดาแขกเหรื่อพากันตกอกตกใจอีกครา ฉินอ๋องประกาศเล่นเพลงนี้ให้คุณหนูเยี่ยนผู้งามดั่งเทพธิดา ซ้ำยังเรียกขานกันอย่างสนิทสนม นี่ใช่การเกี้ยวอิสตรีของท่านอ๋องใช่หรือไม่

    แต่ใครจะคิดเช่นไรก็มิได้ทำให้การแสดงหยุดลง

    มู่เลี่ยงหรงเริ่มต้นจรดปลายนิ้วลงบนพิณล้ำค่า ฉับพลันท่วงทำนองแห่งบทเพลงหงส์วอนหาคู่ก็ดังกังวานไปทั่วบริเวณ พอได้ฟังทุกคนต่างเลิกสงสัยในทันที หากไม่มีสิ่งใดผิดพลาดครานี้จวนฉินอ๋องคงจะมีสตรีแต่งเข้าไปเพิ่มอีกนางแล้ว เพียงแค่ยังไม่รู้ว่าจะได้ตำแหน่งใดเท่านั้นเอง 

    ทว่าคนที่ตกใจกว่าผู้ใดเห็นจะเป็นจ้าวกุ้ยอิน นางไม่นึกมาก่อนเลยว่านอกจากถางซือเซียนแล้ว ยังจะมีสตรีคนใหม่เพิ่มเข้ามาเป็นมารหัวใจของตนเองอีก ยามนี้นางนั่งกระฟัดกระเฟียด มือกำผ้าเช็ดหน้าแน่น ส่งสายตาอาฆาตไปยังเยี่ยนเยว่ฉี แต่กลับหม่นหมองลงเมื่อมองไปยังชายหนุ่มในดวงใจ 

    ถางซือเซียนนั่งยิ้มด้วยอารมณ์ที่ต่างไป นี่เป็นครั้งแรกที่มู่เลี่ยงหรงเล่นบทเพลงสื่อความหมายให้แก่สตรีโดยตรง สาวน้อยจึงอดที่จะลอบหัวเราะให้กับปฏิกิริยาของท่านหญิงกุ้ยอินไม่ได้ เพราะสำหรับนางแล้วหากสตรีทั้งเมืองหลวงจะแต่งเข้าจวนฉินอ๋องตนเองก็รู้สึกยินดี ยกเว้นก็แต่จ้าวกุ้ยอินผู้เดียวที่ไม่คู่ควร

    ทางด้านสามบุรุษจากจวนไคกั๋วกง ต่างทำหน้านิ่งไม่แสดงท่าทีอันใดทั้งสิ้น พวกเขาดื่มสุราพูดคุยเสวนากันประหนึ่งว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับพวกตนแม้แต่น้อย

    หลังจากมู่เลี่ยงหรงบรรเลงได้ช่วงหนึ่ง เยี่ยนเยว่ฉีก็เริ่มเป่าขลุ่ยขึ้นสอดประสานรับกับเขา หนึ่งบุรุษสูงส่งอาจหาญ หนึ่งสตรีงดงามเฉิดฉาย ต่างบรรเลงบทเพลงหงส์วอนหาคู่อย่างไพเราะจับใจ จนบรรดาแขกเหรื่อรู้สึกปริ่มเปรม แทบสัมผัสได้ถึงความรักอันอบอวลอยู่ในอากาศ 

    ท่านอ๋องหนุ่มสบนัยน์ตาโฉมสะคราญอย่างลึกซึ้ง ทั้งสองต่างแสดงออกถึงจิตใจอันเปี่ยมล้นไปด้วยความเสน่หา เสียงพิณและขลุ่ยหยกบรรเลงสอดประสานไพเราะกังวานจับใจไปทั่วบริเวณ ดังมีมนต์วิเศษพาให้คนซาบซึ้งตรึงใจ จวบจนการแสดงจบสิ้นลง มู่เลี่ยงหรงจึงลุกขึ้น ย่างเท้าเข้าไปหยุดยืนใกล้กับเยี่ยนเยว่ฉี เขายิ้มกว้างถึงดวงตา ซึ่งไม่มีผู้ใดเห็นมานานมากแล้ว

    ขณะนี้ผู้คนต่างคิดตรงกันว่าพวกเขาเหมาะสมกันดั่งคู่สวรรค์สร้างโดยแท้ จึงพากันปรบมือดังกึกก้อง พลางเหลือบตามองสีพระพักตร์ฮ่องเต้ด้วยหัวใจระทึก

    “เจ้าชอบเพลงนี้หรือไม่ ข้าตั้งใจเล่นให้เจ้าเชียวนะ” มู่เลี่ยงหรงพูดเอาใจหญิงสาว มีสตรีใดบ้างเล่าไม่ชอบให้บุรุษเกี้ยวพา นางต้องพอใจอยู่แล้ว 

    “ชอบเพคะ เพียงแต่...”

    “มีอะไรไม่ดีหรือ” มู่เลี่ยงหรงตกประหม่าเล็กน้อย ไม่ทราบว่าตนพลาดที่ตรงไหน ฝีมือพิณของเขาก็ไม่เคยมีผู้ใดกังขา เมื่อครู่เขาก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่าพึงใจนาง ให้ความสำคัญถึงเพียงนี้ยังไม่เพียงพอให้ประทับใจหรืออย่างไร

    “ท่านอ๋องคงลืมแล้วกระมังว่า ‘หงส์วอนหาคู่’[2] นั้นแต่งโดยผู้ใด สุดท้ายแล้วสตรีที่เขากล่าวถึงในบทเพลงก็ต้องชอกช้ำกายใจ จนต้องแต่ง ‘ลำนำผมขาว’[3] ตอบแทนให้กับความรักอันจอมปลอม” เยี่ยนเยว่ฉีเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ นัยน์ตาพร่าเลือนไปด้วยไอหมอก ไม่เหลือท่าทีเอียงอายเคลิบเคลิ้มเหมือนดั่งตอนอยู่ในถ้ำใต้น้ำตกจำลอง

    ความเปลี่ยนแปลงอันรวดเร็วกอปรกับคำตอบทำให้มู่เลี่ยงหรงรู้สึกเหมือนถูกตบหน้าด้วยมือที่มองไม่เห็น ชายหนุ่มรู้สึกชาที่หัวใจ แต่ก็ยังคงรักษาท่าทีเยือกเย็นเอาไว้ 

    “คิดมากไปแล้ว หากเจ้าไม่ชอบเพลงนี้ วันหน้าข้าจะเล่นเพลงอื่นให้ฟังก็ได้ เราสองคนยังมีเวลาอีกทั้งชีวิต” ชายหนุ่มหัวเราะเบา ๆ เพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกแปลก ๆ ที่กำลังก่อตัว เขาเอื้อนเอ่ยถ้อยคำแสดงเจตจำนงว่าจะอยู่กับนางไปชั่วนิรันดร์ เพื่อย้ำเตือนเรื่องคำสัญญา

    เยี่ยนเยว่ฉีมิได้ตอบอันใดอีก ยังคงยืนด้วยท่าทีสงบนิ่ง อมยิ้มน้อย ๆ รอคอยรับสั่งของฮ่องเต้ที่กำลังพระสรวลอยู่

    ฮ่องเต้มู่เหวินหลงเห็นท่าทีของมู่เลี่ยงหรงก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากไม่ต้องขัดแย้งกับพระอนุชาเรื่องบังคับแต่งงาน ฉินอ๋องผูกสัมพันธ์อันดีกับขุนนางมากความสามารถเอาไว้คู่บัลลังก์ กลุ่มผู้คิดกระด้างกระเดื่องย่อมไม่มีโอกาสชักนำท่านแม่ทัพใหญ่ไปเป็นพวกด้วยอีกแล้ว ถือว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกถึงสองตัว 

    เพียงเท่านี้ฮ่องเต้เช่นเขาก็นอนหลับสนิทได้เสียที

    “ไพเราะมาก เราจะให้รางวัลแก่พวกเจ้าทั้งคู่ ว่าอย่างไรฉินอ๋อง จวนของเจ้าคงมีสิ่งของมากมายไม่ขัดสน ครั้นเราจะยกให้สุ่มสี่สุ่มห้าก็เกรงว่าเจ้าจะมีอยู่ก่อนแล้ว ยังขาดสิ่งใดอยู่หรือไม่ จงขอมาเถิด”

    “ทูลฝ่าบาท จวนของกระหม่อมมิได้ขัดสนสิ่งใด จะขาดก็แต่เพียงพระชายาเอกคู่ใจ ซึ่งบัดนี้กระหม่อมได้พบสตรีที่เหมาะสมผู้นั้นแล้ว ขอพระองค์ทรงส่งเสริมพวกเราทั้งสองด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”มู่เลี่ยงหรงกล่าวด้วยเสียงดังกังวานแล้วผินมองเยี่ยนเยว่ฉีที่ยืนอยู่ข้างกาย นัยน์ตาเต็มไปด้วยแววรักใคร่อย่างไม่ปิดบัง เขายิ้มให้นาง แสดงออกว่าจริงใจเหลือประมาณ

    “ในเมื่อฉินอ๋องออกปากเองเช่นนี้ เราย่อมยินดีส่งเสริม” มู่เหวินหลงพระสรวนอย่างพอพระทัย เสร็จแล้วจึงหันไปตรัสถามเยี่ยนเยว่ฉี” “แล้วคุณหนูเยี่ยนเล่าต้องการรางวัลเป็นสิ่งใด อย่าบอกนะว่าเจ้าจะขอในสิ่งเดียวกัน เช่นนั้นเราจะมอบชุดแต่งงานที่งดงามที่สุดให้ ดีหรือไม่เล่า”

    “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเมตตา หากแต่หม่อมฉันก็มิได้ต้องการสิ่งของเช่นกัน”

    “เจ้าต้องการสิ่งใดเล่า บอกมาเถิด เรายินดี”

    “ทูลฝ่าบาท มารดาของหม่อมฉันยังป่วยอยู่เมืองหานจี จึงมิได้เดินทางกลับเมืองหลวงมาด้วย อีกทั้งครอบครัวของหม่อมฉันถือเรื่องโชคลางเป็นสำคัญ หากฉินอ๋องหมายให้เกียรติตระกูลเยี่ยนของพวกเรา หม่อมฉันจึงจำเป็นต้องเป็นผู้กำหนดวันสมรสด้วยตนเอง ขอฝ่าบาททรงอนุญาตด้วยเถิดเพคะ”

    “เยี่ยนเยว่ฉี! เจ้าคิดจะทำอะไร” มู่เลี่ยงหรงตกใจกับท่าทีของนาง รอยยิ้มใบหน้าหล่อเหลาจางหายไป 

    ‘สตรีผู้นี้จะทำสิ่งใดอีก นางคิดจะฉีกหน้าข้าต่อหน้าเหล่าขุนนางใช่หรือไม่’

    “เรียนท่านอ๋อง หม่อมฉันเพียงอยากพบมารดาก่อนออกเรือน และต้องการแต่งงานด้วยฤกษ์อันเป็นมงคล ได้โปรดเมตตาด้วยเถิดเพคะ” หญิงสาวตอบด้วยน้ำเสียงอันราบเรียบชัดถ้อยชัดคำ


     


    [1] ฉินหรือพิณเป็นเครื่องสายจีน เดิมมีห้าสาย ต่อมาพัฒนาเป็นเจ็ดสาย เป็นเครื่องดนตรีอันแสดงถึงความสูงสง่า

    [2] หงส์วอนหาคู่ เป็นบทกวีประกอบเพลงพิณโบราณ แต่งขึ้นโดยหม่าเซียงหรูตอนที่ยังเป็นบัณฑิตยากจน เขาได้พบรักกับบุตรสาวคหบดีและบรรเลงเพลงนี้แสดงความในใจ ต่อมาคนทั้งคู่หนีตามกันและใช้ชีวิตร่วมกัน

     

    [3]ลำนำผมขาว เป็นบทกวีที่แต่งขึ้นโดยจั่วหวินจวิน ภรรยาของหม่าเซียงหรู เพื่อเป็นการเตือนให้เขาระลึกถึงคำมั่นสัญญาในความรัก เพราะหลังจากที่หนีตามกันมา หม่าเซียงหรูสอบติดราชการได้เป็นขุนนางและคิดมีภรรยาน้อย

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×