ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ท่านอ๋องเจ้าขา...ข้ายอมแล้ว 王上 您上我 (รีอัพ)

    ลำดับตอนที่ #22 : บุรุษผู้มากรักหลายใจ (3)

    • อัปเดตล่าสุด 6 ก.พ. 65


    ด้านหลังกระโจม

    ภายในส่วนเตรียมการแสดงค่อนข้างวุ่นวาย มีทั้งบรรดาคุณหนูทั้งหลายและคณะแสดงที่คัดเลือกมา นางกำนัลผู้นำทางขอให้เยี่ยนเยว่ฉีนั่งรอที่โต๊ะเครื่องแป้งตัวหนึ่ง 

    “คุณหนูเยี่ยน ท่านรอที่ตรงนี้ อีกประเดี๋ยวจะมีเจ้าหน้าที่ขานเรียกชื่อท่านเมื่อถึงเวลาแสดง ส่วนเครื่องประทินโฉมเหล่านี้ท่านสามารถใช้ได้นะเจ้าคะ” นางกำนัลอธิบายพร้อมผายมือไปด้านหน้ากระจกทองเหลืองที่เต็มไปด้วยแป้งและชาดทาปากราคาแพง จากนั้นก็ยอบกายคารวะแล้วเดินนวยนาดจากไป ทิ้งเยี่ยนเยว่ฉีให้นั่งใจลอยอยู่เพียงผู้เดียว

    ขณะเดียวกัน สตรีในชุดระบำสีขาวสวยงามนางหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล กำลังลอบมองไปยังด้านนอกห้องแต่งตัว ท่าทางของนางในยามนี้ดูเขินอาย เหมือนกำลังจ้องบุรุษในฝันอยู่ก็มิปาน

    “ข้างดงามแล้วหรือยัง” นางเอ่ยถามหญิงสาวอีกผู้หนึ่ง เยี่ยนเยว่ฉีได้ยินจึงอดหันไปมองมิได้ ทั้งสองคงเป็นคุณหนูของจวนใดจวนหนึ่งที่กำลังรอแสดง

    “ท่านหญิงงดงามมาก ปีนี้ท่านผู้นั้นต้องตกตะลึงและขอท่านไปเป็นศรีภรรยาเป็นแน่” หญิงสาวในชุดสีเขียวเอ่ยตอบอย่างประจบประแจง

    “ข้ายอมไปเรียนการร่ายรำให้งดงามก็เพื่องานนี้ เห็นว่าท่านเลี่ยงหรงเกอเกอโปรดระบำชุดนี้เป็นที่สุด” นางหัวเราะกับคู่สนทนาด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ

    เยี่ยนเยว่ฉีได้ฟังความทั้งหมดก็คาดเดาได้แล้วว่าบุรุษที่หญิงงามผู้นี้กำลังจับตาและเอ่ยถึงคือผู้ใด

    'เลี่ยงหรงเกอเกออีกแล้วหรือ ทำไมบรรดาสตรีเหล่านี้ถึงได้พากันเรียกขานเขาอย่างสนิทสนมไปหมด'

    จากกำลังเศร้าสร้อยเยี่ยนเยว่ฉีกลับรู้สึกโกรธขึ้นมา ยิ่งนึกถึงบุรุษหน้าตายผู้นั้น หากไม่ติดว่าอีกฝ่ายคือฉินอ๋องผู้สูงศักดิ์ นางก็อยากจะวิ่งออกไปกระชากคอเขาแล้วถามหาความจริงเสียให้รู้แล้วรู้รอด 

    สตรีในชุดสีเขียวยังคงชวนโฉมงามในชุดสีขาวสนทนาต่ออย่างออกรส จนทำให้เยี่ยนเยว่ฉีที่ลอบฟังด้วยความสนอกสนใจ ได้รับคำตอบเรื่องที่ยังคาใจอยู่เมื่อสักครู่

    “อย่างไรท่านหญิงก็เหมาะสมกับฉินอ๋องมากกว่าถางซือเซียนผู้นั้นนัก นางเป็นเพียงบุตรสาวขุนนางอย่างไรก็ต่ำศักดิ์ไม่คู่ควร” หญิงชุดเขียวพูดเอาอกเอาใจคู่สนทนา ทั้งที่ความจริงตระกูลถางนั้นมีบรรดาศักดิ์โหว ถางซือเซียนย่อมสามารถเป็นฉินหวางเฟยได้อย่างสบาย ๆ

    “พูดแล้วข้าก็เจ็บใจยิ่งนัก เลี่ยงหรงเกอเกอเองก็เอาแต่อยู่กับถางซือเซียน หลงใหลหญิงแพศยานั่นอยู่ได้” น้ำเสียงของท่านหญิงเต็มไปด้วยความไม่พอใจและเคียดแค้น

    “ท่านอ๋องสูงศักดิ์จะมีพระชายารองหลายคนก็คงไม่แปลก หากท่านหญิงได้เป็นหวางเฟยแล้ว ถางซือเซียนจะทำอะไรท่านได้”

    “อย่าประมาทนางปีศาจนั่นเชียว นางล่อลวงญาติผู้พี่มานานเพียงไร ไม่มีผู้ใดรู้ดีไปกว่าข้าอีกแล้ว ยามนี้ผู้คนก็เอาแต่เล่าลือว่าถางซือเซียนปักปิ่นแล้ว อีกไม่นานฉินอ๋องคงจะรับนางเข้าจวน” สตรีในชุดระบำสีขาวพูดอย่างคับแค้นใจ นางบิดผ้าเช็ดหน้าไหมจนเกือบขาด

    “ท่านหญิงจะหวั่นไปไยเล่าเจ้าคะ อย่างไรท่านก็มีไทเฮาทรงสนับสนุน ไม่ช้าก็เร็วต้องได้แต่งเข้าจวนฉินอ๋อง และเมื่อใดท่านมีซื่อจื่อ[1]ให้ท่านอ๋องแล้วละก็ ถางซือเซียนต้องตกกระป๋องอย่างแน่นอน” 

    “นั่นสินะ”

    พูดจบสตรีทั้งสองก็พากันหัวเราะชอบใจ

    ‘ที่แท้นางกับถางซือเซียนต่างกำลังแย่งชิงตำแหน่งฉินหวังเฟย หรือเมื่อครู่ถางซือเซียนจะพูดโกหกเพื่อกันท่าข้าออกไป แต่ก็เป็นไปได้อีกว่าท่านอ๋องจะเที่ยวฝากรักไปทั่ว’ เยี่ยนเยว่ฉีสรุปทุกสิ่งในใจ

    แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งขุ่นแค้น ครั้นนึกได้ว่าวันนี้ตนเองก็เพิ่งพบท่านอ๋องหนุ่มครั้งแรก เขาก็กล้าทำอะไรต่อมิอะไรนางแล้ว จะเป็นไปได้หรือไม่ว่ามู่เลี่ยงหรงคือชายเจ้าชู้ที่เที่ยวให้ความหวังกับสตรีไปทั่ว

    'น่าตายนัก ข้าเกลียดท่าน' 

    ดวงตาของเยี่ยนเยว่ฉีแดงก่ำ หยาดน้ำตาเม็ดเล็ก ๆ เริ่มร่วงหล่น ลอบกำมือแน่นเพื่อระบายอารมณ์โกรธที่กำลังพุ่งทะยาน ยามนี้หากทำได้นางอยากจะวิ่งไปซัดฝ่ามือใส่คนใจร้ายผู้นั้นเสียให้ตาย

    “ท่านหญิงกุ้ยอินได้เวลาแล้ว” ขันทีน้อยขานเรียกผู้แสดงคนต่อไป

    'ท่านหญิงกุ้ยอินงั้นหรือ' 

    เยี่ยนเยว่ฉีนึกถึงสิ่งที่ได้ฟังจากถางซือเซียนก่อนหน้านี้ น้องสาวของอัครเสนาบดีบอกว่าท่านอ๋องมิได้ชอบสตรีผู้นี้แต่อย่างใด นางเป็นแค่เพียงหนึ่งในบรรดาหญิงสาวที่ชื่นชอบเขาเท่านั้น หากเป็นท่านหญิงจวนจ้าวอ๋องจริง ๆ แล้วละก็ นางย่อมมีศักดิ์เป็นญาติผู้น้องของมู่เลี่ยงหรง การเรียกเขาว่าเกอเกอก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

    ทว่ายามนี้ทุกอย่างก็เป็นเพียงสิ่งที่ตนคาดเดาไปเองทั้งสิ้น

    เยี่ยนเยว่ฉียังคงวิตกกังวลในเรื่องที่ยังคงคลุมเครือ นางเริ่มไม่มั่นใจว่าควรจะรีบแต่งงานกับชายมากภรรยาและมีชะตาดอกท้อผู้นี้หรือไม่ 

    หากเป็นไปได้ นางก็อยากจะเลื่อนเวลาออกไปอีกสักระยะหนึ่งก่อน อย่างน้อยฉินอ๋องก็ควรจะพิสูจน์ตนเองว่าชอบนางด้วยใจจริง มิใช่เห็นนางเป็นเพียงแค่บุปฝาที่อยากจะเก็บเอาไว้ดอมดมจนเบื่อหน่ายแล้วทิ้งขว้าง แต่จะทำเช่นไรในเมื่อฉินอ๋องกำลังจะขอพระราชทานสมรสในวันนี้แล้ว

    ระหว่างเยี่ยนเยว่ฉีอยู่ในห้วงความคิด ขันทีน้อยก็ตะโกนขานชื่อการแสดงชุดถัดไป

    “การแสดงชุดระบำเทพธิดาดวงจันทร์ จากจวนจ้าวอ๋อง ท่านหญิงกุ้ยอินแสดง”

    สิ้นคำขันทีน้อย เสียงดนตรีก็แว่วดังกังวานขึ้น เครื่องดนตรีหลากหลายสอดประสาน ส่งเสียงประกอบกันเป็นจังหวะสำหรับร่ายรำ จ้าวกุ้ยอินในชุดระบำสีขาวดุจเทพธิดาวิ่งออกไปยังโถงกลาง ทุกท่วงท่าพลิ้วไหวดุจสายลม ยามนางหมุนกาย ผ้าแพรก็สยายคล้ายล่องลอย 

    ท่านหญิงในยามนี้ดูอ่อนช้อยงดงามราวนางสวรรค์ก็มิปาน

    ระหว่างร่ายรำอยู่นั้น จ้าวกุ้ยอินก็แสดงความใจกล้าเกินสตรีออกมา โดยส่งสายตาให้มู่เลี่ยงหรงอย่างเปิดเผย แม้เคลื่อนกายส่ายไหวก็ยังคงจับจ้องเขาอยู่ตลอดเวลาด้วยแววตาซึ่งเต็มไปด้วยความเสน่หาชัดเจน ประกายแห่งความวาดหวังสื่อออกมาว่าต้องการบุรุษตรงหน้ามาครอบครองให้จงได้

    จิตใจของจ้าวกุ้ยอินที่มีต่อฉินอ๋องนั้น คนทุกผู้ในเมืองหลวงต่างทราบเป็นอย่างดี นางมีรักมั่นมายาวนานต่อมู่เลี่ยงหรง ทั้งคู่ดูเหมาะสมกันราวกิ่งทองใบหยก และด้วยศักดิ์ฐานะของท่านหญิง ผู้คนจึงลงความเห็นว่านางเหมาะสมกับตำแหน่งพระชายาเอกจวนฉินอ๋อง 

    แต่เวลาก็ล่วงเลยมานานจนท่านหญิงอายุได้สิบเก้าปีแล้ว ฝ่ายชายเองก็รับพระชายารองเข้าจวนไปแล้วถึงสามคน แต่ฉินอ๋องผู้หล่อเหลาก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะไปสู่ขอจ้าวกุ้ยอินแต่อย่างใด ซ้ำมีข่าวลือว่าท่านอ๋องหนุ่มชอบพอถางซือเซียนที่เติบโตมาด้วยกันต่างหาก นางเป็นบุตรสาวของท่านโหว หรืออีกตำแหนางหนึ่งก็คืออดีตอัครเสนาบดีผู้ทรงความรู้ และยังเป็นบิดาของอัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายคนปัจจุบันอีกด้วย นางย่อมคู่ควรกับฉินอ๋องไม่น้อยไปกว่าผู้ใด 

    ทั้งที่ท่านหญิงกุ้ยอินสูงส่งและงดงามราวกับหยางกุ้ยเฟย[2] ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในห้าของโฉมสะคราญแห่งเมืองหลวง แต่ผู้ที่ดูมีภาษีจะได้เข้าจวนฉินอ๋องกลับเป็นดรุณีแรกรุ่นวัยสิบห้าปี ทำให้ผู้คนอดรู้สึกเห็นใจธิดาของจ้าวอ๋องไม่ได้

    ด้านมู่เลี่ยงหรงถึงแม้จะถูกจ้าวกุ้ยอินทอดไมตรีสักเพียงใด ทว่าเขายังคงสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน ไม่มีความหวั่นไหวบนดวงตาแม้สักน้อย บุรุษในชุดคลุมสีดำยังคงเพลิดเพลินกับการดื่มสุราพลางสนทนากับจ้าวอ๋องและอู๋อ๋องที่นั่งข้างกันอย่างออกรส โดยตลอดการแสดงเขาปรายตามองสตรีในชุดสีขาวเพียงชั่วขณะเดียวเท่านั้น 

    เมื่อการร่ายรำอันสวยงามวิจิตรจบลง แขกเหรื่อต่างสรรเสริญชื่นชมท่านหญิง แต่จ้าวกุ้ยอินมิใคร่ใส่ใจผู้อื่น เอาแต่ทิ้งสายตาที่เต็มไปด้วยความปรารถนาไปยังบุรุษในดวงใจ หวังว่าชายหนุ่มจะเหลียวแลและชื่นชมตนเอง

    “ร่ายรำได้งดงามมาก เสมือนนางสวรรค์จริง ๆ เด็ก ๆ ตบรางวัล” ฮ่องเต้ทรงพระสรวลอย่างสำราญ นอกจากจะปรบมือให้กับจ้าวกุ้ยอินเป็นการใหญ่ ยังทรงพระราชทานรางวัลให้แก่นางมากมาย

    “ขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ” จ้าวกุ้ยอินยอบกายคารวะฮ่องเต้ แล้วยื่นมือรับรางวัลที่หลิวกงกงส่งมาให้ จากนั้นก็ลุกขึ้นอย่างแช่มช้า สาวเท้ากลับไปนั่งประจำที่ของตนเองทางฝั่งสตรี โดยที่สายตายังคงอ้อยอิ่งอยู่กับบุรุษในดวงใจ

    เยี่ยนเยว่ฉีเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดก็ลอบตำหนิว่าสตรีผู้นี้ช่างใจกล้ายิ่งนัก ตัวเป็นถึงท่านหญิง แต่กลับส่งสายตาร้อนแรงหาบุรุษโดยไม่ใส่ใจผู้ใด ยามนี้นางเข้าใจแล้วว่า เพราะเหตุใดถางซือเซียนจึงดูแคลนท่านหญิงผู้นี้นัก 

    ตอนนี้เยี่ยนเยว่ฉีค่อนข้างพอใจกับอากัปกิริยาของมู่เลี่ยงหลง เขาไม่ชายตาแลสตรีใจกล้าอย่างจ้าวกุ้ยอินเลยสักนิด ร้อยยิ้มจึงปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนางเล็กน้อย หลังจากแอบกินน้ำส้ม[3]อยู่เป็นนาน

    เยี่ยนเยว่ฉีจึงรอทำการแสดงด้วยใจที่สงบเยือกเย็นขึ้น

    แต่ก่อนที่การแสดงชุดต่อไปจะเริ่มขึ้น ซูจิ้งก็ก้าวเข้ามาพร้อมเหลียวซ้ายแลขวาเพื่อหาผู้เป็นนาย ครั้นพบเป้าหมายแล้วก็รีบปราดเข้าไปแจ้งจุดประสงค์ของตนเองทันที

    “คุณหนูเล็ก คุณชายรองให้บ่าวมาตามคุณหนูไปพบเจ้าค่ะ”


     


    [1] ซื่อจื่อ ตำแหน่งทายาทผู้สืบทอดตำแหน่งอ๋อง

    [2] หยางกุ้ยเฟย สตรีที่ได้รับการบันทึกว่าเป็นหนึ่งในสี่สตรีที่งดงามที่สุดในประวัติศาสตร์จีน มีชีวิตอยู่ในช่วงราชวงศ์ถัง

     

    [3] กินน้ำส้ม หมายถึง แสดงอาการหึงหวง

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×