คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #20 : บุรุษผู้มากรักหลายใจ (1)
หมู่เมฆบดบังแสงอาทิตย์ในปลายเหมันต์ฤดู อากาศยังคงหนาวเย็นอยู่แม้หิมะละลายไปสิ้นแล้ว สายลมโชยบาดผิวขาวเนียนจนสั่นสะท้าน เยี่ยนเยว่ฉีกระชับเสื้อคลุมให้แน่นขึ้นแล้วเร่งฝีเท้ากลับไปยังกระโจมสีขาวเบื้องหน้าอย่างมิรั้งรอ
เมื่อมาถึงบริเวณงานเลี้ยง นางค่อย ๆ เยื้องกรายกลับไปยังที่นั่งปราศจากทีท่ารีบร้อนอย่างก่อนหน้านี้ ครั้นผู้เป็นนายนั่งลงประจำที่สาวใช้ผู้รู้งานก็รีบกุลีกุจอรินชาชั้นดีลงจอกหยก
บุตรสาวแม่ทัพใหญ่ที่เพิ่งได้รับเกียรติให้ร่วมงานในวังหลวงเป็นครั้งแรก ยังไม่รู้จักมักคุ้นกับผู้ใดจึงได้แต่นั่งจิบชาหอมกรุ่นพร้อมชมการแสดงเบื้องหน้าอย่างสงบเสงี่ยม แต่ด้วยรูปโฉมดั่งเทพธิดาจากสวรรค์ย่อมดึงดูดผู้คน ส่งผลให้ทุกอากัปกิริยาของนางเป็นที่สนอกสนใจของแขกเหรื่อภายในงาน โดยเฉพาะเหล่าบุรุษทั้งหลาย แม้จะมีผ้าโปร่งบางกางกันอยู่ชั้นหนึ่ง แต่ไม่อาจบดบังความเจิดจรัสของนางได้ พวกเขาพากันตกตะลึงในความงามของบุตรสาวแม่ทัพใหญ่ ต่างคนต่างรีบไปคารวะสุราว่าที่พ่อตากันมิขาดสาย
ส่วนฝั่งสตรี พอได้พบสตรีผู้เพรียบพร้อมเช่นเยี่ยนเยว่ฉี บรรดาฮูหยินขุนนางที่มีบุตรชายถึงวัยแต่งภรรยาต่างหมายใจจะส่งแม่สื่อไปทาบทามสู่ขอนางเพื่อมาเป็นศรีสะใภ้ ตรงกันข้ามกับบรรดาคุณหนูทั้งหลายที่พากันส่งกระแสริษยาไปยังบุตรตรีจวนไคกั๋วกง หากสายตานั้นพิฆาตคนให้ม้วยมรณาได้แล้วละก็ เกรงว่าร่างอันงดงามของเยี่ยนเยว่ฉีคงแหลกเป็นชิ้น ๆ เพราะนอกจากจะงามล้ำราวเทพธิดามาจุติ สวรรค์ยังมอบทรวงอกอิ่มอลังการให้นางอีกด้วย สตรีบางคนถึงกับกัดผ้าเช็ดหน้า ทั้งลอบด่าเง๊กเซียนในใจว่าเหตุอันใดช่างลำเอียงได้ถึงเพียงนี้
ทว่าท่ามกลางความวุ่นวายเหล่านั้น เยี่ยนเยว่ฉีหาได้สนใจความคิดอ่านของผู้อื่น นางยังคงนั่งชมการแสดงระบำพัดด้วยสีหน้าเรียบเฉย กอปรกับตอนเริ่มงานเลี้ยงหญิงสาวแทบไม่ได้แตะต้องอาหารด้วยกังวลเรื่องขลุ่ยหยกที่หายไป เมื่อได้ของชิ้นสำคัญคืนมาแล้ว ความวิตกทั้งหลายก็มลายสิ้น ยามนี้นางจึงหิวมาก
ขณะที่เยี่ยนเยว่ฉีกำลังเอาตะเกียบคีบเนื้อหงส์สวรรค์เข้าปากอย่างเพลิดเพลินนั้น พลันได้ยินเสียงดรุณีนางหนึ่งเรียกตนจากที่ที่นั่งด้านข้าง
“คุณหนูเยี่ยนท่านไปที่ใดมา”
“...” คนถูกเรียกหันหน้าไปทางต้นเสียงอย่างเสียมิได้
เยี่ยนเยว่ฉีพบเด็กสาวแปลกหน้าผู้หนึ่ง อายุราวสิบห้าปี ดูแล้วคงจะเพิ่งผ่านพิธีปักปิ่นมาไม่เท่าใด นางรูปร่างเล็กบาง ผิวพรรณเกลี้ยงเกลาดุจกระเบื้องเคลือบ ดวงหน้าเล็กหมดจดปรากฏเลือดฝาด ปากนิดจมูกหน่อยรับกับใบหน้า นัยน์ตาเปล่งประกายสุกใสดุจดวงดาว ยามนี้สองข้างแก้มปรากฏลักยิ้มดูน่ารักอย่างยิ่ง ชวนให้นึกชื่นชมอย่างเสียมิได้
'น่าทะนุถนอมยิ่งนัก มองแล้วช่างเจริญตาเจริญใจ'
เมื่อเห็นผู้ที่ตนทักทายยังคงเก็บปากเงียบ สาวน้อยจึงรีบกล่าวแนะนำตนเองอีกคำรบหนึ่ง
“เสียมารยาทแล้ว ข้าคือถางซือเซียน เป็นน้องสาวของท่านอัครเสนาบดีฝ่ายซ้าย”
เมื่อทราบว่าคู่สนทนาคือผู้ใด หญิงสาวคลี่ยิ้มงดงามตอบรับไมตรี “ข้าคือเยี่ยนเยว่ฉี บุตรตรีไคกั๋วกง ยินดีที่ได้รู้จักคุณหนูถาง”
“ท่านพี่บอกว่านี่เป็นการออกงานครั้งแรกของคุณหนูเยี่ยน จึงกำชับกำชาให้ข้าช่วยพูดคุยเป็นเพื่อนท่าน”
“ขอบคุณท่านอัครเสนาบดีกับคุณหนูถาง เยว่ฉีรบกวนแล้ว”
“มิต้องเกรงใจ ว่าแต่คุณหนูเยี่ยนไปที่ใดมาเสียตั้งนาน ข้าก็มองหานึกว่าท่านหลงทางไปเสียแล้ว”
“พอดีข้าซุ่มซ่ามทำขลุ่ยหยกหล่นหาย จึงออกไปตามหาที่ด้านนอก” เยี่ยนเยว่ฉีตอบคำถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยดังเดิม
“จริงสิ ท่านพี่บอกว่าคุณหนูเยี่ยนจะทำการแสดงหน้าพระพักตร์” ถางซือเซียนชำเลืองมองหาขลุ่ยหยกสลักด้วยความเป็นห่วง “ท่านคงหาขลุ่ยหยกเจอแล้วกระมัง”
“โชคดีที่สาวใช้ของข้าตามหาจนพบ” สตรีเจ้าของขลุ่ยโกหกตาไม่กระพริบ ด้วยมิอาจกล่าวถึงบุรุษผู้นำขลุ่ยมาคืนได้
“ดีจริง หากของวิเศษที่มีเพียงชิ้นเดียวหายไปท่านต้องรู้สึกแย่เป็นแน่” สาวน้อยยิ้มยินดีเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายได้ของสำคัญคืนแล้ว
“เป็นดั่งคุณหนูถางกล่าว” เยี่ยนเยว่ฉีส่งยิ้มน้อย ๆ ตอบอย่างมีมารยาท
“ข้าได้ยินชื่อเสียงเกี่ยวกับบทเพลงอันไพเราะของคุณหนูเยี่ยนมานาน วันนี้หมายจะได้ฟังสักครั้ง”
“คุณหนูถางชมเกินไปแล้ว”
สตรีทั้งสองสนทนากันอย่างถูกคอ คนหนึ่งน่ารักสดใสดั่งดอกทานตะวันอันเจิดจ้า อีกคนหนึ่งงดงามดั่งดอกโบตั๋นที่ดึงดูดหมู่ภมร ทั้งสองจึงเป็นที่จับจ้องของบรรดาแขกเหรื่อทั้งชายหญิง
“นี่...เจ้ารู้หรือไม่ บรรดาฮูหยินกับคุณหนูทั้งหลายเอาแต่ลอบมองเจ้าอยู่นั่น คนพวกนี้ชอบซุบซิบนินทาน่ารำคาญ” ถางซือเซียนกล่าวด้วยน้ำเสียงเจือความไม่พอใจอย่างชัดเจน “บรรดาคุณชายพวกนั้นอีก ไม่รู้จักเก็บอาการเสียบ้าง”
“ข้าคงแปลกหน้าสำหรับพวกเขา ก็เป็นธรรมดาที่จะถูกจ้องมอง” เยี่ยนเยว่ฉีเกิดมารูปโฉมงดงาม จึงคุ้นชินกับสายตาของผู้คนเสียแล้ว “อีกอย่าง ไม่ใช่เพียงแค่ข้า คนที่ถูกจ้องยังมีเจ้าอีกคนหนึ่ง”
“ถ้าท่านรับมือได้ข้าก็เบาใจ” เมื่อเห็นหญิงงามไม่สะทกสะท้านต่อสายตาที่พร้อมใจกันมองมา ถางซือเซียนก็มิใคร่ใส่ใจคนเหล่านั้นอีก “ส่วนตัวข้า พูดไปก็เรื่องยาวไม่มีทางถูกสู่ขอเร็ว ๆ นี้แน่”
เยี่ยนเยว่ฉีอยากจะถามเหตุผลแต่ก็ยั้งเอาไว้ อย่างไรก็เพิ่งได้พบกัน หากเสียมารยาทจะถูกตำหนิเอาได้ นางจึงได้แต่รักษาท่าทีอันสงบแล้วยิ้มเอออออย่างเป็นธรรมชาติแทน
ถางซือเซียนชวนเยี่ยนเยว่ฉีสนทนาอยู่เป็นระยะ บ้างคุยเรื่องการแสดงต่าง ๆ บ้างแนะนำบุคคลสำคัญที่นางไม่เคยรู้จักให้อีกด้วย
พอได้พูดคุยทำความรู้จักกันอยู่ระยะหนึ่ง ถางซือเซียนก็ทำให้คู่สนทนารู้สึกดีด้วยได้ในที่สุด ในความคิดของเยี่ยนเยว่ฉี น้องสาวท่านอัครเสนาบดีผู้นี้เป็นคนฉลาด กิริยาท่าทางคล่องแคล่ว น้ำเสียงสดใสแว่วกังวาน มีรอยยิ้มแสนพิมพ์ใจที่สามารถสะกดใครต่อใครให้หลงใหลและเอ็นดู ทำให้นางนึกเสียดายอยู่เล็กน้อยที่ต้องไปเติบโตยังเมืองชายแดนห่างไกล มิเช่นนั้นคงได้เป็นสหายกับสตรีน่ารักผู้นี้ไปแล้วอย่างแน่นอน
เวลาล่วงเข้ายามอู่[1] การแสดงระบำพัดจบลง เรียกเสียงปรบมือกึกก้องจากแขกเหรื่อในงาน ฮ่องเต้ทรงพระราชทานรางวัลให้นักแสดง
ชั่วขณะนั้นมู่เลี่ยงหรงก็ย่างเท้ากลับเข้ามาภายในงาน
'เขากลับมาแล้ว' เยี่ยนเยว่ฉีร่ำร้องในใจ
นัยน์ตาหวานหยาดเยิ้มมองตามเขาอย่างไม่รู้ตัว ใบหน้าแดงระเรื่อเมื่อเห็นว่าฉินอ๋องเองก็ปรายสายตามาทางนี้ นางรู้สึกเหมือนถูกจับได้จึงหลุบเปลือกตาลงไม่กล้าสบนัยน์ตาคมปลาบนั่นอีก
[1] ยามอู่ ช่วงเวลาประมาณ 11.00-12.59 น.
ความคิดเห็น