ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ท่านอ๋องเจ้าขา...ข้ายอมแล้ว 王上 您上我 (รีอัพ)

    ลำดับตอนที่ #19 : พบจิ้งจอกสีเงินแห่งแคว้น (4)

    • อัปเดตล่าสุด 5 ก.พ. 65


    ก่อนว่าที่น้องเขยจะอกแตกตายด้วยโทสะ เยี่ยนจิ้นหลิงคิดว่าตนคงต้องยุติการปะทะอันไม่จำเป็นนี้ได้แล้ว แต่ก็รู้สึกเสียดายอยู่นิด ๆ เขากำลังสนุกกับการยั่วโมโหผู้สูงศักดิ์อยู่ทีเดียวเชียว

    “ท่านอ๋อง...โปรดทรงละเว้นด้วย” บุรุษผมสีเงินค้อมศีรษะ ทำท่าคารวะท่านอ๋องอย่างนอบน้อม “กระหม่อมเพียงบังเอิญผ่านมาเท่านั้น มิได้จงใจสะกดรอยตามท่านแต่อย่างใด ครั้นจะปรากฏตัวก็เกรงว่าน้องสาวสุดที่รักจะเขินอาย” บุตรคนรองแห่งสกุลเยี่ยนอธิบายด้วยเสียงอันหนักแน่น นัยน์ตาสีน้ำตาลสบตาฉินอ๋องเขม็ง ไม่เหลือความขี้เล่นดั่งเมื่อครู่ 

    “เจ้าจงใจเร้นกายในเขตวังหลวง เกรงว่าเหตุผลจะฟังไม่ขึ้น”

    “หากกระหม่อมจงใจเร้นกายจริง เกรงว่าจนป่านนี้ ท่านอ๋องคงจะไม่มีโอกาสรู้ตัวกระมัง”

    ด้วยเหตุผลข้อนี้ทำให้มู่เลี่ยงหรงลดฝ่ามือลง แต่ยังคงระมัดระวัง บุรุษผู้นี้ขึ้นชื่อเรื่องความเจ้าเล่ห์ เขาจะคอยดูว่าจิ้งจอกตนนี้จะยกเหตุผลอะไรมาอ้างให้รอดไปได้

    “หากน้องสาวของกระหม่อมมีวาสนาจะไม่ให้ยินดีได้อย่างไร” เยี่ยนจิ้นหลิงพูดพลางคลี่พัดในมือแล้วโบกด้วยท่วงท่าสง่างาม 

    “แล้วอย่างไรเล่า หากไม่ยินดีเราก็มีวิธีให้เจ้าเปลี่ยนใจตั้งมากมาย” 

    “กระหม่อมคิดว่าพวกเราควรจะสมัครสมานสามัคคีกันเอาไว้จะดีกว่า น้ำหนักของจิ้นหลิงในใจเยว่ฉีนั้นไม่น้อยเลยทีเดียว” รอยยิ้มที่บนใบหน้าสะท้อนความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม

    “เราไม่จำเป็นต้องเชื่อใจคนหลอกลวงเช่นเจ้า”

    “กระหม่อมหลอกลวงอันใด” 

    “เจ้ามีวรยุทธ์แต่กลับมุสาว่าไม่มี”

    “มิได้ ท่านอ๋องเข้าใจผิดแล้ว ที่ผ่านมากระหม่อมไม่เคยพูดว่าตนเองไม่มีวรยุทธ์เลยสักครั้ง เป็นผู้อื่นพากันเล่าลือไปเองต่างหาก” เขาแสร้งทำท่าเหนื่อยหน่าย มือยังคงสะบัดพัดหยกม่วงไม่หยุด

    “เจ้าจิ้งจอกเงินจอมเจ้าเล่ห์” มู่เลี่ยงหรงยังคงไม่เชื่อถือบุรุษตรงหน้า

    “กระหม่อมจะถือว่านั่นเป็นคำชม แต่ท่านอ๋องลองตรองดูสักนิดเถิด คำเล่าลือนั้นจะหาความจริงได้มากน้อยสักเพียงไหน หากผู้คนพากันพูดว่าท่านอ๋องมีนิ้วมือเก้านิ้ว นั่นจะถือว่าเป็นความจริงอย่างนั้นหรือ”

    “แล้วเพราะเหตุอันใด ที่ผ่านมาจึงไม่เคยมีผู้ใดพูดถึงเรื่องวรยุทธ์ของเจ้า”

    “เป็นเพราะกระหม่อมถนัดการใช้สมองมากกว่ากำลัง และถ้าเทียบกับพี่ใหญ่แล้วละก็ วรยุทธ์ของผู้น้อยนั้นช่างอ่อนด้อย คงไม่มีหน้าไปโอ้อวดผู้ใดได้”

    “อ่อนด้อยอย่างนั้นหรือ” มู่เลี่ยงหรงเลิกคิ้ว ยิ้มคล้ายไม่ยิ้มกับคำตอบของบุรุษผมสีเงิน หากนี่เรียกว่าอ่อนด้อย เช่นนั้นเยี่ยนหยางจงจะเก่งกาจสักเพียงใดเล่า

    “แต่เหตุผลสำคัญคือจิ้นหลิง...กลัวเลือด พ่ะย่ะค่ะ” เขาพูดเสียงเบาราวกับกระซิบ ทำดั่งกับว่าความลับเล็ก ๆ นี้ช่างน่าอาย

    “เจ้าน่ะหรือกลัวเลือด” มู่เลี่ยงหรงไม่อยากจะเชื่อหูตนเอง เหตุผลนี้แย่เสียยิ่งกว่าเหตุผลก่อนหน้าที่เขาอธิบายเสียอีก 

    “ขายหน้าท่านอ๋องแล้ว” ชายหนุ่มทำหน้าเหมือนอับอายจริง ๆ

    “ได้ เราจะละเว้นเจ้า แต่จะขอเตือนเอาไว้ก่อน หากเมื่อไรเรารู้ว่าสิ่งที่เจ้าพูดมาเป็นความเท็จ ก็อย่าได้หวังว่าจะได้รับความปรานีอีก” ถ้าจะบอกว่าเยี่ยนจิ้นหลิงโกหกทั้งหมดก็เป็นการด่วนตัดสินจนเกินไป ตระกูลเยี่ยนอยู่ถึงเมืองชายแดนหานจี เป็นไปได้ว่าข่าวสารอาจจะตกหล่นไม่ครบถ้วน ดังนั้นตนเองควรพักเรื่องนี้เอาไว้ก่อน แล้วค่อยส่งคนไปตรวจสอบอีกครั้งก็ยังไม่สาย

    “ขอบพระทัยท่านอ๋อง” เยี่ยนจิ้นหลิงส่งยิ้มสะกดใจ หากเป็นสตรีมาเห็นใบหน้าเช่นนี้แล้วละก็ จะต้องเคลิบเคลิ้มหลงใหลเป็นแน่แท้

    ในเมื่ออีกฝ่ายยอมถอย มู่เลี่ยงหรงก็ไม่ใช่คนใจคอคับแคบเช่นกัน จริงๆ เขาไม่อยากให้เรื่องใหญ่โต ยิ่งยามนี้ตนเองอยู่ในเขตวังหลวงจะทำอะไรก็คงไม่สะดวก และหากตนเองฆ่าคนผู้นี้จริงๆ ผลเสียย่อมมีมากกว่าผลดี แล้วไหนจะเยี่ยนหยางเจวี๋ยกับเยี่ยนหยางจงอีกเล่า พวกเขาอาจอ้างเหตุนี้เพื่อก่อการกระด้างกระเดื่อง พระเชษฐาก็จะสูญเสียขุนนางมากฝีมือคนสำคัญ กลายเป็นได้ไม่คุ้มเสีย

    เมื่อสงบศึกกับฉินอ๋องได้สำเร็จ เยี่ยนจิ้นหลิงจึงหันไปให้ความสนใจกับซิ่นเฉิงที่บาดเจ็บเพราะตนบ้าง

    “องครักษ์ซิ่นเป็นอย่างไร ข้าทำเจ้าเจ็บมากใช่หรือไม่” เยี่ยนจิ้นหลิงปราดเข้าไปหาซิ่นเฉิง ทำราวกับว่าห่วงใยอีกฝ่ายเสียเต็มประดา 

    “ข้าไม่เป็นไร เพียงรู้สึกเจ็บเล็กน้อยที่หลังมือ” ความจริงตนปวดจะตายอยู่แล้ว แต่ด้วยศักดิ์ศรีจึงไม่อาจกล่าวความจริงอันน่าอับอายได้

    “ไหนข้าขอดูมือของเจ้าหน่อย” 

    เมื่อไหร่ไม่รู้เยี่ยนจิ้นหลิงก็คว้ามือบวมเบ่งของซิ่นเฉิงไปกุมไว้ ใบหน้าของเขาช่างงดงามยั่วยวนได้กระทั่งบุรุษ เล่นเอาองครักษ์หนุ่มหน้าแดง 

    'นี่ข้าเขินผู้ชายหรือ' ซิ่นเฉิงขนลุกซู่

    แต่ฉับพลันก็รู้สึกถึงกระไอสังหารเข้มจัด นัยน์ตาเข้มลึกของบุรุษผมสีเงินลุกโชนด้วยเพลิงกาฬ ใบหน้าหล่อเหลาเปลี่ยนเป็นเหี้ยมเกรียม ดูดุดันบ้าคลั่งราวกับสัตว์ป่า ไม่เหลือคราบชายขี้เล่นก่อนหน้าแม้แต่น้อย 

    ซิ่นเฉิงรู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาล เขาไม่กล้าขยับกาย เพราะรู้สึกว่าถ้าตนทำเช่นนั้น มือที่ถูกกุมอยู่จะปลิดปลิว

    “ทะ... ท่านกุนซือ” ซิ่นเฉิงเผลอครางเสียงสั่น รู้สึกเย็นวาบบนศีรษะ

    'ข้ากลัวคนผู้นี้!'

    เยี่ยนจิ้นหลิงยื่นหน้ามาใกล้แล้วหรี่เสียงกระซิบแสนเย็นเยียบ ลมหายใจอุ่น ๆ ปะทะบนใบหน้าคมคายของซิ่นเฉิง

    “หืม...ถ้าวันนี้เจ้าแตะซาลาเปาน้อยของซูจิ้งแล้วล่ะก็ เกรงว่ามือของเจ้าจะไม่ใช่แค่เจ็บ” 

    “ขะ...ข้า” ซิ่นเฉิงได้แต่ละล่ำละลัก

    “ชู่วร์! เจ้าโชคดีมากนะ ถ้าข้าไม่กลัวเลือดแล้วล่ะก็ รับรองว่าเจ้าจะไม่มีปากไว้จูบสตรีใดอีกเลย”

    “ทะ... ท่านจะทำอะไรข้า”

    “ก็ไม่รู้สิ แต่เจ้าเลิกยุ่งกับซูจิ้งของข้าเสียดีกว่า”

    'ซูจิ้งของข้า หมายความว่าเขากับนาง...ไม่นะ ไม่จริง' 

    ซิ่นเฉิงไม่อยากจะเชื่อหูตนเอง รู้สึกวูบโหวงอย่างบอกไม่ถูก เมื่อกุนซือหนุ่มแสดงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของสาวใช้น่ารักผู้นั้น

    เยี่ยนจิ้นหลิงปล่อยมือที่กุมออก เคลื่อนกายถอยหลังออกมาอย่างช้า ๆ ทุกท่วงท่าสง่างาม เขาปรับสีหน้ากลับมาเป็นปกติอีกครั้ง ดวงหน้าหล่อเหลาราวพานอัน[1] ไม่น่าเชื่อว่าเมื่อครู่กลายเป็นสัตว์ร้ายไปได้

    “เจ้าสั่งเสียกันพอหรือยัง” มู่เลี่ยงหรงเอ่ยขัดจังหวะคนทั้งสอง 

    เยี่ยนจิ้นหลิงจึงหันกายกลับมา ทิ้งซิ่นเฉิงที่ยืนหน้าซีดเพราะตื่นตกใจเอาไว้

    “ในเมื่อองครักษ์ของท่านไม่เป็นอะไรมาก กระหม่อมขอทูลลา”

    มู่เลี่ยงหรงพยักหน้าอนุญาต เยี่ยนจิ้นหลิงจึงสาวเท้าจากไป ไม่หันหลังกลับไปมองอีกเลย

    “ทะ...ท่านอ๋อง” องครักษ์หนุ่มทรุดกายลงคุกเข่า ช่างขายหน้านัก เขาปกป้องตนเองยังไม่ได้ ไม่ต้องกล่าวถึงผู้เป็นนาย 

    “ซิ่นเฉิงเอ๋ย...เจ้าไม่ได้อ่อนด้อย แค่คนผู้นั้นแข็งแกร่งเกินไปเท่านั้น ข้าไม่ลงโทษเจ้าหรอก” อ๋องหนุ่มเอ่ยด้วยใจปรานีต่อองครักษ์ที่กำลังเสียขวัญ

    “กระหม่อมรู้สึก...รู้สึก” ซิ่นเฉิงคับแค้นและอับอาย 

    “ข้าเข้าใจ เจ้าลุกขึ้นเถิด” มู่เลี่ยงหรงขยับกายเข้าไปใกล้คนสนิทของตน วางมือบนบ่าอันสั่นเทา ขยับตบเบา ๆ เพื่อปลอบใจ องครักษ์หนุ่มจึงค่อย ๆ ลุกขึ้นถอนลมหายใจอย่างหนักหน่วง หากไม่นับผู้เป็นนายแล้ว มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นในชีวิตที่สามารถทำตนหวาดกลัวได้ถึงเพียงนี้

    “เยี่ยนจิ้นหลิงอันตราย” ซิ่นเฉิงลงความเห็น

    “อืม...ข้ารู้” อีกฝ่ายรับคำเพียงสั้น ๆ ในใจได้ตระหนักแล้วว่าตนต้องไม่ประมาทคนผู้นี้

    'ข้าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว คนตระกูลเยี่ยนไม่ธรรมดาเลยสักคน นี่ขนาดบุตรสาวกับบุตรชายคนรองเท่านั้น คนเป็นผู้สืบทอดตระกูลอย่างเยี่ยนหยางจงจะเป็นคนเช่นไรหนอ'

    “เอาล่ะ กลับเข้างานเลี้ยงกันดีกว่า พระเชษฐาคงรอข้านานแล้ว” อ๋องหนุ่มกับองครักษ์เร่งฝีเท้าไปยังจุดหมายเพื่อไม่ให้เสียเวลาอีก

    สำหรับมู่เลี่ยงหรงแล้ว วันนี้ยังอีกยาวนานนัก


     


    [1] พานอัน เป็นบุรุษรูปงามในบันทึกของจีน มักนำมาใช้เปรียบเทียบกับผู้ชายที่หล่อเหลากว่าคนทั่วไป

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×