คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : ท่านอ๋องเจ้าขา...ข้ามาเอาขลุ่ยคืน (2)
เมื่อหญิงสาวเชื่อฟังและหยุดดิ้น มู่เลี่ยงหรงยิ้มกริ่มอย่างพอใจ นัยน์ตาคมปลาบยังฉายแววปรารถนาอันลุกโชน นิ้วเรียวหยาบของบุรุษวาดไล้บนริมฝีปากบวมแดงที่เพิ่งผ่านการจูบอย่างเร่าร้อน รสชาติหวานล้ำยังคงตราตรึง อ๋องหนุ่มไม่คิดว่าสตรีในอ้อมกอดจะหอมหวานถึงเพียงนี้ จะดูดกลืนเท่าไรก็มิพอ ทำให้เขาหิวกระหายไม่รู้จบ…
มู่เลี่ยงหรงยังไม่ยอมปล่อยร่างบางให้ลงจากตัก ภายในใจเริ่มรักใคร่เอ็นดูนางขึ้นหลายส่วน ชายหนุ่มเพียงหัวเราะเบา ๆ ทุกครั้งที่นางหน้าแดงยามถูกหยอกเย้าจุดอ่อนไหวบนใบหู
ในคราแรกฉินอ๋องเพียงหวังจะตรวจสอบวรยุทธ์ของหญิงสาวแล้วคืนขลุ่ยหยกให้แก่นางเพียงเท่านั้น ไม่คิดว่าจะได้รางวัลเป็นจูบอันเนิ่นนานแสนหวาน ชายหนุ่มแปลกใจอยู่ไม่น้อยเนื่องจากคาดไม่ถึงว่าคนงามจะกล้า ‘ยั่วยวน’ เขา
ครั้นนึกถึงยามพบกันที่ใต้ต้นหลิว บุตรสาวท่านกั๋วกงก็ไม่มีท่าทีอยากจะกระโจนสู่อ้อมอกของเขาเสียหน่อย แต่ก็เป็นไปได้ว่าเยี่ยนเยว่ฉีอาจจะเขินอายเมื่อมีคนอื่นอยู่ด้วย หรือไม่นางอาจจะประทับใจบทเพลงรักนกยวนยางกระมังเพราะเมื่อครู่เขาเองก็พยายามส่งกระแสความรู้สึกอันท่วมท้นไปถึงนาง
‘นางชอบข้างั้นรึ’
เขาคิดเข้าข้างตัวเอง ยิ่งหวนนึกถึงสายตาหวานหยาดเยิ้มที่นางส่งให้ที่ใต้ต้นหลิวจึงทำให้รู้สึกมั่นใจขึ้นหลายส่วน
หากนางพึงใจในตัวเขาเช่นกัน การแต่งงานย่อมเกิดจากความเต็มใจ เท่ากับไม่ต้องบังคับขู่เข็นใครทั้งสิ้น รอยยิ้มอย่างหาได้ยากจึงปรากฏบนใบหน้าของฉินอ๋อง
“เสี่ยวเยว่...เจ้าชอบเพลงรักของเรามากหรือ” มู่เลี่ยงหรงกระซิบถามนางพร้อมเรียกขานด้วยชื่อ แอบหวังว่านางจะมีใจให้ดั่งที่เขาคิด
“ทะ...ท่านอ๋องเล่นได้ดีจนหม่อมฉันตกใจ ไม่คิดว่าคนที่เพิ่งจับขลุ่ยพลิ้วพรายครั้งแรกจะเป่าเป็นเพลงที่...ที่…” เยี่ยนเยว่ฉีนิ่งเงียบ นางไม่กล้าบอกชายหนุ่มว่าพอได้ฟังเพลงของเขาก็เกิดความรู้สึกหวามไหวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก จนปล่อยตัวปล่อยใจให้ท่านอ๋องเชยชิมริมฝีปากและต้องตกอยู่ในอ้อมกอดของบุรุษตัวโตอย่างเช่นในยามนี้
นางไม่คาดคิดว่าเรื่องราวจะเลยเถิด แม้ยามที่พบกับเขาเป็นครั้งแรกจะรู้สึกหวั่นไหวระคนประทับใจอยู่ไม่น้อย ที่ผ่านมาก็ยังไม่เคยมีผู้ใดสามารถทำให้หัวใจของนางเต้นระรัวได้เฉกเช่นเขาอีกแล้ว แต่ถึงกระนั้นก็อดตระหนกไม่ได้ที่ความสัมพันธ์นี้จะ ‘รุดหน้า’ ไวปานสายฟ้าฟาด
“ถ้าชอบ เราจะเล่นให้ฟังอีกดีหรือไม่ แต่เจ้าต้องให้รางวัลอีกนะ” ชายหนุ่มกระซิบข้างหูนางแล้วขบกัดเบา ๆ เพื่อหยอกล้อ หญิงสาวขนลุกไปทั้งร่างส่งเสียงครางอือในลำคอ
“อะ...อือ ท่านอ๋องปล่อยหม่อมฉันได้แล้ว เราทั้งสองออกมาเสียตั้งนาน ควรต้องกลับเข้าไปในงานเลี้ยงเสียที” เยี่ยนเยว่ฉีพยายามใช้เหตุผลหวังให้เขาปล่อยนางลงจากตัก ตนเองก็ไม่ใช่สตรีกร้านโลกที่จะไม่รู้สึกถึงความไม่เหมาะสมที่เกิดขึ้นขณะนี้
‘ชายหญิงไม่อาจใกล้ชิด’ เสียงมารดาก้องอยู่ในหัวของหญิงสาว
“อืม...ข้าขอจูบเจ้าอีกทีได้หรือไม่”
“มะ...ไม่ได้เพคะ”
“ทำไมเล่า ขออีกทีเถิดนะ...นะ ข้ายังไม่อิ่มเลย” ชายหนุ่มเปล่งเสียงเว้าวอน กระชับอ้อมกอดอีกครั้ง
“ท่านอ๋อง...จูบไม่ใช่กินข้าวจะให้อิ่มท้องได้อย่างไร พอแล้วเพคะ ท่านรังแกหม่อมฉันมากเกินไปแล้ว” เยี่ยนเยว่ฉีเริ่มมีโทสะ บุรุษตรงหน้าทำตัวเหมือนเติงถูจื่อ[1] ขึ้นทุกที
“ข้ามิได้รังแกเจ้าเสียหน่อย ก็เห็นอยู่ว่าเจ้าเต็มใจ” อ๋องหนุ่มงุนงงกับคำพูดของนางยิ่งนัก ก็เห็นอยู่ว่ายินยอมพร้อมใจ นางไม่ได้ปัดป้องจุมพิตของตนสักนิด ซ้ำยังจูบตอบอย่างอ่อนหวานอีกด้วย
“ท่านอ๋อง...เลิกพูดเหลวไหลเสียที” เยี่ยนเยว่ฉีเสียงแข็งขึ้นสามส่วน
“พูดเหลวไหลเมื่อไหร่กัน เป็นเจ้ายั่วยวนก่อน ทำทีเป็นหมดเรี่ยวหมดแรงให้อุ้ม เราก็ตอบสนองเจ้าแล้วมิใช่หรือ” บุรุษหนุ่มประชดประชัน ไม่พอใจที่นางพูดเหมือนกับว่าเขาไปบังคับขืนใจ
“ในเมื่อท่านอ๋องเห็นว่าหม่อมฉันเป็นสตรีไร้ยางอายก็ปล่อยสิเพคะ ปล่อย...ปล่อยนะ” ถึงแม้จะเผลอตัวเผลอใจไปชั่วครู่ แต่นางก็มีศักดิ์ศรีของตนกับตระกูลให้รักษา
“เจ้าเป็นอะไรไป ถ้าเจ้าชอบเราก็ไม่มีเหตุผลจะต้องอาย ใช่ว่าเราจะไม่พึงใจเจ้าเสียหน่อย เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ เราจะรับผิดชอบสู่ขอเจ้ามาเป็นชายาเอก เท่านี้เจ้าคงพอใจแล้วกระมัง”
เขาพยายามปลอบใจสตรีตรงหน้าด้วยเสียงที่อ่อนลง เพราะนึกว่าสาวน้อยคงจะเขินอาย และเกรงว่าเขาจะไม่รับผิดชอบนาง
แต่หารู้ไม่ว่าคำปลอบโยนเมื่อครู่เปรียบเสมือนคำดูถูกก็มิปาน วาจาของมู่เลี่ยงหรงทำให้เยี่ยนเยว่ฉีทั้งโกรธทั้งน้อยใจเป็นอย่างมาก นางไม่ได้หมายอยากกลายเป็นหงส์เสียหน่อย
“ท่านอ๋องโปรดรับรู้เอาไว้ หม่อมฉันไม่ได้อยากแต่งงานกับท่านจนตัวสั่น”
“เฮอะ! เจ้ารู้หรือไม่ มีสตรีมากมายเพียงใดอยากปีนขึ้นเตียงของเรา บางคนพยายามมากกว่าเจ้าเรายังไม่ชายสายตา เราอุตส่าห์เอ็นดูเจ้าถึงเพียงนี้แต่กลับพูดจายโสโอหัง ตำแหน่งหวางเฟยของฉินอ๋องมีใครบ้างไม่อยากเป็น” มู่เลี่ยงหรงเหยียดปาก สีหน้ากลับมาเย็นชา น้ำเสียงของเขาแฝงความเย้ยหยันสตรีเอาไว้อย่างเต็มเปี่ยม
“หึ! แต่หนึ่งในนั้นย่อมไม่ใช่หม่อมฉัน” เยี่ยนเยว่ฉีตวาดใส่แทบจะทันที ถลึงตามองบุรุษสูงศักดิ์ด้วยอารมณ์อันเดือดดาล
“เห็นว่าเราดีต่อเจ้าเพียงนิดหน่อยคงคิดว่าจะพูดจาอย่างไรกับฉินอ๋องก็ได้อย่างนั้นสินะ เราขอเตือน ต่อให้พึงใจเจ้าสักเพียงใด หากความอดทนของเราหมดสิ้นแล้วละก็ เกรงว่าศีรษะสวย ๆ นั่นอาจจะไม่ได้อยู่บนบ่าอีกต่อไป”
คิ้วกระบี่ขมวดมุ่น กำมือจนเส้นเลือดปูนโปน สตรีนางนี้ต้องการสิ่งใดกันแน่ พยายามป่วนปั่นจนเขาเสียการควบคุม ต่อมาก็ทำเหมือนเขาเป็นโจรขโมยจูบ เอะอะโวยวายพูดอะไรไม่คำนึงสถานะ
“เอะอะก็ส่งกรมอาญา เอะอะก็ตัดหัว หากท่านอ๋องอยากจะฆ่าก็ลงดาบมาเสียเลย หม่อมฉันเยี่ยนเยว่ฉีขอยอมตาย แต่มิอาจยินยอมให้ท่านหยามศักดิ์ศรี” นางจ้องนัยน์ตาสีนิลของเขานิ่งแต่ในใจกลับสับสนปนเป ทั้งโกรธและน้อยใจ ทั้งที่เมื่อครู่ชื่นชมหลงใหลเขาเสียมากมาย ไฉนเหตุการณ์กลับกลายเป็นเช่นนี้
‘สตรีผู้นี้น่าตายนัก ทั้งที่ตอนแรกก็ยอมให้กอดจูบ แต่ตอนนี้กลับตัดพ้อต่อว่าดั่งข้าเป็นคนฉวยโอกาส นี่นางกำลังทดสอบความอดทนของข้าอยู่ใช่หรือไม่’
“ฮือ... ปล่อยนะ ถ้าหม่อมฉันไร้ยางอายแล้วมากอดทำไมกัน ถ้าหม่อมฉันเหมือนสตรีที่อยากปีนขึ้นเตียงท่านพวกนั้น...แล้วจะมาจูบทำไม ในเมื่อเหยียดหยามกันขนาดนี้ ทำไมท่านอ๋องไม่เมินหม่อมฉันไปเสียเลย”
เห็นนางตัดพ้อร้องไห้สะอึกสะอื้น มู่เลี่ยงหรงก็ปวดใจอย่างบอกไม่ถูก สตรีนางนี้ช่างบอบบางยิ่งนัก ขนาดร้องไห้ก็ยังงดงามราวดอกสาลี่ที่ต้องฝน แล้วผู้ใดเล่าเมื่อได้เห็นภาพนี้จะทนใจแข็งอยู่ได้อีก
ชายหนุ่มรวบมือเรียวบางที่กำลังทุบอกเขาเอาไว้ด้วยมือเพียงข้างเดียวแล้วโน้มคอลงประทับจูบบนเปลือกตาอย่างแผ่วเบาราวสัมผัสของปีกแมลงปอ ใช้ริมฝีปากดูดซับน้ำตาของนางเพื่อปลอบประโลม จมูกโด่งรั้นลากไล่ลงมาบนแก้มนวล
มู่เลี่ยงหรงชะงักไปครู่หนึ่ง ลมหายใจร้อนเริ่มกระชั้นถี่ สุดท้ายก็พ่ายแพ้ต่อแรงดึงดูดอันมหาศาล ท่านอ๋องตัดสินใจครอบครองริมฝีปากสีแดงระเรื่อของนางอีกครั้ง เหยียนเยว่ฉีต่อต้านโดยการเม้มปากเอาไว้แน่น พยายามครองสติของตนไว้ไม่ให้หวั่นไหวไปกับการล่อลวงอันแสนวาบหวามนี้ เขายังคงคิดว่านางมีใจเพียงแต่ขวยอายอยู่เท่านั้น
“อืม...เด็กดี อย่าปากแข็งอีกเลย จะเอียงอายไปไย เจ้าไม่ได้ชอบเราแม้สักนิดเลยหรือ” มู่เลี่ยงหรงกระซิบชิดริมฝีปากนาง ลมหายใจเจือกลิ่นสุราเป่ารดใบหน้าพาให้มึนงงไปหมด
“มะ...ไม่ ไม่ชอบ...อือ...อืมมม” ปากบางประกบเข้ามาอีกครั้ง ตวัดลิ้นพัวพันดูดลิ้มชิมรสหวานอย่างเหิมเกริม ลิ้นอ่อนนุ่มของนางทำให้เขาแทบคลั่ง ชายหนุ่มพบว่าตนกำลังจะจมดิ่งลึก ความปรารถนาที่จะสัมผัสเทพธิดาในอ้อมกอดมีมากขึ้นจนทบทวี ความรู้สึกนี้ช่างแผดเผาทำลายตัว
ถึงหญิงสาวยังคงปฏิเสธเสียงแข็งแต่ในหัวใจก็ยอมรับว่าหวั่นไหวตั้งแต่ได้พบหน้าเขา กิริยาไม่ได้บ่งบอกสักนิดว่ารังเกียจ เพียงพยายามดันฝ่ายชายออกไปเบา ๆ เท่านั้น หากเป็นชายอื่นนางคงซัดฝ่ามือออกไปแล้ว
มู่เลี่ยงหรงเลื่อนจุมพิตลงมาบนซอกคอหอมกรุ่น สูดกลิ่นกายหอมละมุนอย่างเต็มที่ ตัวของนางไม่มีกลิ่นแป้งหรือเครื่องหอมแสบจมูก กลับเป็นกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของบุปผาในวสันตฤดู ทำให้ชายหนุ่มอยากดอมดมไม่รู้เบื่อ
“ท่านอ๋องหยุดเถิดเพคะ เมตตาหม่อมฉันสักครั้ง” หญิงสาวสะอื้นไห้ น้ำตาหยดพร่างพราวราวกับไข่มุก แม้ชั่วขณะหนึ่งจะรู้สึกดีกับชายผู้นี้จนคิดไปว่าหากเขาเป็นเนื้อคู่ของนางก็คงดี แต่ก็เสียใจที่ถูกกินเต้าหู้จนแทบไม่เหลือหลอ
“เยี่ยนเยว่ฉีเจ้าต้องการสิ่งใดกันแน่ อยากให้เราปล่อยเจ้าจากไปจริงๆ หรือ หากไม่ได้มีใจเหตุใดจึงมา...” มู่เลี่ยงหรงกลืนคำว่ายั่วยวนลงคอ ด้วยไม่อาจพูดให้นางรู้สึกย่ำแย่กว่านี้ได้ “ปั่นป่วนเราเช่นนี้เล่า”
“หม่อมฉันเพียงรู้สึกหน้ามืด จากนั้นท่าน...” สตรีในชุดสีชมพูสะอึกสะอื้น มือเรียวงามลูบลงใต้ดวงตาเพื่อปาดน้ำสีใสออกไป “ท่านอ๋องก็ขโมยจูบแรกของหม่อมฉันไป” นางตัดพ้อเสียงเบาหวิวอย่างน่าสงสาร
“เรานึกว่าเจ้า…” มู่เลี่ยงหรงไม่คิดว่านางจะไม่ชอบเขา ชายหนุ่มรู้สึกจุกในอก เขาพบเจอเล่ห์เหลี่ยมสารพัดจากหญิงงามที่หมายกลายเป็นหงส์ แต่ครานี้สายตาของตนคงพร่าเลือน หญิงสาวผู้นี้คงไม่เหมือนสตรีอื่นที่หากมีโอกาสก็จะรีบฉวยเอาไว้
ความรู้สึกกระดากระคนละอายใจทำให้ฉินอ๋องตัดสินใจคลายอ้อมกอด เขากำลังจะปลดปล่อยนางให้เป็นอิสระ แต่แล้วสวรรค์ก็ทำให้เรื่องยุ่งยากขึ้น
“คุณหนูเจ้าคะ...ท่านอยู่ที่ใด!”เสียงของซูจิ้งดังใกล้เข้ามา ปลุกให้คนทั้งสองตื่นจากภวังค์แห่งความคิด
“ข้าอยู่นี่...ซูจิ้ง” เยี่ยนเยว่ฉีรีบตะโกนเพราะตกใจ
“ซิ่นเฉิง ลากนางออกไปจัดการให้อยู่เงียบ ๆ อย่าให้เข้ามารบกวน” มู่เลี่ยงหรงตะโกนสั่งซิ่นเฉิงที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านนอก ความจริงตนอยากจะสั่งแยกร่างสาวใช้น่าชังผู้นี้ด้วยซ้ำ
‘เช้าไม่มาสายไม่มา ดันมาเอาตอนนี้’
[1] เติงถูจื่อ เป็นตัวละครในบทประพันธ์จีนใช้เปรียบเทียบกับผู้ชายเจ้าชู้ ปากว่ามือถึง
ความคิดเห็น