ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ท่านอ๋องเจ้าขา...ข้ายอมแล้ว 王上 您上我 (รีอัพ)

    ลำดับตอนที่ #13 : ท่านอ๋องเจ้าขา...ข้ามาเอาขลุ่ยคืน (1)

    • อัปเดตล่าสุด 4 ก.พ. 65


    เยี่ยนเยว่ฉีมองไปรอบถ้ำใต้น้ำตกจำลองซึ่งถูกสร้างขึ้นอย่างสวยงาม มีทางเดินทอดยาวสู่พื้นหินที่ยกสูงขึ้นเสมือนเป็นเกาะกลางน้ำ ด้านบนมีตั่งหินและโต๊ะสำหรับวางขนมกับน้ำชา นี่คงเป็นสถานที่สำหรับนั่งพักผ่อนขณะเดินเล่นภายในสวน 

    เสียงน้ำตกจากภายนอกไม่ได้ดังรบกวนอย่างที่คิด ถ้าสังเกตให้ดี ถ้ำนี้ถูกออกแบบมาให้ระบายอากาศและยังมีช่องรับแสงสว่างอีกด้วย 

    ดวงอาทิตย์สาดส่องลำแสงอันอบอุ่นเข้ามาภายในถ้ำ ต้องกระทบผิวน้ำปรากฏเป็นเงาระยิบระยับงดงามพลิ้วไหว

    มู่เลี่ยงหรงยืนหันหลัง ในมือถือขลุ่ยหยกของนางเอาไว้

    เนื่องจากเยี่ยนเยว่ฉีมีพี่ชายรูปงามราวเทพเซียนอย่างเยี่ยนจิ้นหลิง มาตรฐานบุรุษในใจของนางจึงสูงตามไปด้วย ในระหว่างที่ย่างเท้าไปตามทางเดินหินหญิงสาวจึงอดลอบพิจารณาบุรุษเบื้องหน้าไม่ได้

    ฉินอ๋องสูงส่งสง่างาม ใบหน้าหล่อเหลาเหมือนถูกสลักมาอย่างละเอียดลออ ถึงแม้จะดูเย็นชาอยู่บ้าง แต่กลับทำให้โฉมสะคราญประหม่าอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เมื่อต้องมาเผชิญหน้ากับเขาเพียงลำพังหัวใจดวงน้อยพลันเต้นระรัว 

    ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ชายหนุ่มในชุดคลุมสีดำมากขึ้นเท่าใด มือของนางก็เย็นเฉียบขึ้นทุกขณะ 

    หญิงสาวทั้งตื่นเต้นระคนหวาดหวั่นในหัวใจ

    เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า มู่เลี่ยงหรงจึงหันหลังมาอย่างช้า ๆ เห็นเยี่ยนเยว่ฉีเยื้องกรายเข้ามาหยุดยืนห่างออกไปเพียงหนึ่งจั้ง บุรุษร่างสูงใช้ดวงตาเข้มลึกพิจารณาไปทั่วเรือนร่างอันอวบอิ่มราวกับว่าจะมองให้ทะลุ

    เนื่องจากถูกฟูมฟักมาอย่างทะนุถนอมยิ่ง ถึงจะมีโอกาสพบพานบุรุษอยู่บ้างตอนที่จวนแม่ทัพจัดงานเลี้ยงที่เมืองหานจี แต่ก็ยังไม่เคยมีคุณชายบ้านใดมองนางด้วยสายตาร้อนแรงถึงเพียงนี้  นัยน์ตาคมกริบทำให้หญิงสาวรู้สึกเหมือนกำลังถูกลูบโลบไปทั่วกายจนสั่นสะท้าน ใบหน้าแดงระเรื่อขึ้นทุกขณะ

    “คารวะฉินอ๋อง หม่อมฉันมารับขลุ่ยหยกคืนตามคำเชิญในจดหมายเพคะ” เสียงของนางทำลายบรรยากาศกระอักกระอ่วนเมื่อครู่

    “อืม...เราคืนให้เจ้าแน่” มู่เลี่ยงหรงปรายสายตามองขลุ่ยหยกในมือ “เมื่อครู่เราลองเป่าขลุ่ยของเจ้า แต่ว่ามันไร้เสียง เกรงว่ามันคงตกเสียหายแล้วกระมัง” ชายหนุ่มแสร้งพูดเหมือนไม่รู้อะไร

    “เรียนท่านอ๋อง ขลุ่ยของหม่อมฉันไม่ได้เสียหาย แต่เพราะทำขึ้นเป็นพิเศษ ต้องฝึกฝนและเป่าอย่างถูกวิธีจึงจะสามารถบรรเลงให้มีเสียงไพเราะได้เพคะ” เยี่ยนเยว่ฉีตอบอย่างตรงไปตรงมาไม่ปิดบัง

    “เราเองก็ชื่นชอบดนตรี อีกทั้งยังร่ำเรียนมาไม่น้อย ในจวนก็มีขลุ่ยสั่งทำพิเศษอยู่หลายแบบ หรือคุณหนูเยี่ยนคิดว่าเราด้อยฝีมือจึงไม่สามารถเป่าขลุ่ยเลานี้ได้” ฉินอ๋องกล่าวเสียงเข้ม แกล้งทำเป็นมีโทสะ

    “หม่อมฉันมิบังอาจ ท่านอ๋องทรงปรีชา ผู้คนในใต้หล้าต่างรู้ดี แต่เป็นเพราะขลุ่ยเลานี้อาจารย์ของหม่อมฉันเป็นผู้สร้าง ต้องอาศัยกำลังภายในเล็กน้อยจึงจะเป่าให้มีเสียงดังได้” หญิงสาวก้มศีรษะเล็กน้อย แสดงกิริยานอบน้อมราวกับต้องการขออภัย

    “เราไม่เคยรู้เลยว่ามีวิธีการเป่าขลุ่ยแบบนี้อยู่ด้วย”

    “หากไม่เชื่อ ท่านอ๋องก็ลองดูใหม่สิเพคะ แต่อาจจะบรรเลงเป็นเพลงยากอยู่เสียหน่อย หม่อมฉันเองต้องร่ำเรียนอยู่นานจึงสามารถเล่นเป็นบทเพลงอันไพเราะได้” สตรีเจ้าของขลุ่ยเงยหน้าขึ้นสบนัยน์ดวงตาเหยี่ยวของอีกฝ่าย รอยยิ้มแสนนุ่มนวลประทับอยู่บนใบหน้า 

    กิริยาของนางทำให้มันหัวใจบุรุษคันยุบยิบ เต้นเป็นจังหวะถี่รัว ทั้งที่ปกติเขาเป็นคนสุขุมเยือกเย็น แต่ครานี้กลับร้อนรุ่มจนแทบทนไม่ไหว

    ‘มารดามันเถอะ! นางเป็นภูตพรายหรืออย่างไร เหตุใดข้าจึงหวั่นไหวถึงเพียงนี้ ไม่ได้เด็ดขาดมู่เลี่ยงหรง เจ้าต้องไม่หลงเล่ห์แห่งสตรีง่ายดายเช่นนี้’ ฉินอ๋องพยายามข่มใจอย่างสุดความสามารถ

    เยี่ยนเยว่ฉียังคงส่งยิ้ม แต่แอบลอบบิดผ้าเช็ดหน้าสีขาวสะอาดอยู่ใต้แขนเสื้อ ยามช้อนสายตาขึ้นมองบุรุษชุดดำคราใด ก็เห็นเขาเพียรจดจ้องนางไม่วางตา ตอนนี้หน้านางร้อนไปหมดแล้ว นึกอยากให้เขาตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง

    ‘ท่านอ๋อง ท่านจะเป่าก็เป่า จะคืนก็คืนเสียทีเถิด หากอยู่ด้วยกันสองต่อสองไปเรื่อย ๆ คงอันตรายต่อความรู้สึกเป็นแน่’

    ในขณะที่เยี่ยนเยว่ฉีว้าวุ่น มู่เลี่ยงหรงเองก็รู้สึกเหมือนกำลังจะพ่ายแพ้ เพียงสตรีตรงหน้ายกมืองามดุจลำเทียนขึ้นลูบปิ่นปักผมจนเห็นเรียวแขนขาวราวหิมะ ใบหูของเขาก็ร้อนขึ้นทันที

    ‘นี่ข้ากำลังเขินอายผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งอย่างนั้นหรือ หึ! เป็นอย่างไรก็เป็นกัน หวั่นไหวแล้วอย่างไร นางเป็นว่าที่หวางเฟยของจวนฉินอ๋องอยู่แล้ว ยังไงข้าก็มีสิทธิ์เต็มที่ วันนี้จะเกี้ยวว่าที่พระชายาของตนเองสักครั้งก็คงไม่เสียหายกระมัง’

    ชายหนุ่มตัดสินใจจรดริมฝีปากบางบนขลุ่ยหยก หลุบตาลงเล็กน้อย เขาตั้งสมาธิแล้วปลดปล่อยลมปราณสู่เครื่องดนตรีอันแสนพิเศษ ฉับพลันก็บังเกิดเสียงขลุ่ย 

    บทเพลงรักนกยวนยางล่องลอยกังวานไปทั่วถ้ำหิน แม้เสียงจะยังไม่คงที่ แต่ก็มากพอให้เยี่ยนเยว่ฉีตื่นตะลึงระคนประทับใจ นางนึกไม่ถึงว่าฉินอ๋องจะสามารถเป่าขลุ่ยพลิ้วพรายเป็นเพลงได้ตั้งแต่ครั้งแรก

    นัยน์ตาดอกท้อทอประกายชื่นชมส่งไปให้บุรุษตรงหน้า พลางคิดในใจว่าจะดีสักเพียงใดหากเนื้อคู่ของนางจะเป็นชายผู้องอาจและมากความสามารถอย่างบุรุษผู้นี้

    มู่เลี่ยงหรงพยายามควบคุมลมปราณ แต่ขลุ่ยหยกเลานี้ก็เป่ายากเสียจริง ถึงอย่างนั้นเขาก็ทำอย่างตั้งใจ ด้วยพยายามจะถ่ายทอดความรู้สึก และความปรารถนาที่กำลังท่วมท้นผ่านเพลงรักนกยวนยางอันเลื่องชื่อ ซึ่งบุรุษนิยมใช้เพลงรักนี้เกี้ยวพาอิสตรี

    ‘ช่างน่าอาย...แต่ข้าก็ยินดี เยี่ยนเยว่ฉีเจ้าจงภูมิใจเถิด องค์ชายเช่นข้าไม่เคยกระทำเพื่อสตรีใดถึงเพียงนี้’

    โดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้ กระแสกระสันจากขลุ่ยวิเศษแผ่กระจายไปอย่างเชื่องช้า จนในที่สุดเยี่ยนเยว่ฉีถูกรายล้อมเอาไว้ด้วยมนต์ตราแห่งบุรุษเพศ 

    ยามนี้คลื่นอารมณ์ปั่นป่วนรุนแรงถาโถมสู่กายนาง พลังจากความต้องการอันร้อนแรงนี้ฉุดรั้งนางให้จมดิ่งสู่ความปรารถนาของผู้บรรเลงเพลงรักโดยไม่ทันได้ตั้งตัว

    เยี่ยนเยว่ฉีโดนพลังปราณผสานกับอำนาจของขลุ่ยวิเศษก่อให้เกิดความรู้สึกร้อนรุ่มยากจะอธิบาย ความวาบหวามหวั่นไหวเข้าจู่โจมพาให้เรี่ยวแรงหดหายแทบจะหมดสิ้น ขาเรียวงามของนางพลันอ่อนยวบ 

    ครั้นมู่เลี่ยงหรงสังเกตเห็นสตรีตรงหน้าเกิดอาการผิดปกติเขาจึงหยุดเป่าขลุ่ยทันที ร่างสูงปราดเข้าไปรับร่างบางสู่อ้อมแขนได้ทันท่วงที

    เขาไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น เหตุใดหญิงสาวถึงได้หมดเรี่ยวแรง จึงได้แต่ประคองนางไว้ในอ้อมแขน แล้วใช้อีกมือหนึ่งลูบแก้มนวลอย่างห่วงใย

    ร่างงามนุ่มนิ่มหอมกรุ่นอ่อนระทวยพิงอกแกร่ง ใบหน้านางแดงเรื่อจนถึงใบหู เสียงหายใจหอบกระชั้นดังชัดเจน นัยน์ตาฉ่ำปรือ ริมฝีปากสีแดงสดเผยอออกเล็กน้อยราวกับกำลังเชื้อเชิญให้เขาเข้าครอบครอง

    ผ่านไปครู่หนึ่งนางยังคงเหมือนคนไร้สติสิ้นเรี่ยวแรง ชายหนุ่มจึงตวัดแขนอุ้มร่างขึ้นแนบกาย เขาพาหญิงสาวไปยังตั่งหินแล้วนั่งลง ส่งผลให้ยามนี้เยี่ยนเยว่ฉีนั่งอยู่บนตักแกร่ง 

    มู่เลี่ยงหรงจดจ้องโฉมสะคราญในอ้อมแขนอย่างไม่วางตา กิริยาช่างยั่วยวนชวนให้เขาตกตะลึง ต้องลอบกลืนน้ำลายด้วยรู้สึกว่าคอนั้นแห้งผาก

    ‘นางกำลังเชิญชวนข้าอยู่อย่างนั้นหรือ’

    เมื่อเห็นว่าหญิงสาวยินดีอยู่ในอ้อมกอดของเขาอย่างเต็มใจ เขาก็ไม่สามารถควบคุมตนเองได้อีก ความสุขุมเยือกเย็นที่เคยมีพลันสลายไปจนสิ้น ในที่สุดเขาจรดริมฝีปากแนบปากอันอวบอิ่ม 

    ลิ้นร้อนตวัดไล้เลียกลีบปากสีกุหลาบอย่างแผ่วเบา จากนั้นค่อย ๆ แทรกเข้าสู่ด้านใน ครั้นปลายลิ้นทั้งสองสัมผัสกันก่อให้เกิดกระแสป่วนปั่นสั่นสะท้าน ลิ้นร้อนกระหวัดรัดลิ้นบาง ดูดชิมความหวานอย่างลึกซึ้ง เขาโหมจูบหนักหน่วงทว่าเนิบช้า ค่อย ๆ เติมเชื้อแผดเผานางให้ลุกเป็นไฟ บุรุษผู้หิวกระหายดูดกลืนลมหายใจของนางแทบหมดสิ้น 

    “เสี่ยวเยว่...เสี่ยวเยว่ของข้า...” มู่เลี่ยงหรงพึมพำดั่งคนละเมอ เขาไม่แน่ใจว่าทำไมจึงอยากเรียกขานนางเช่นนี้ 

    แต่ก็ช่างเถิด ตอนนี้เหตุผลอะไรก็ไม่สำคัญอีกแล้ว

    เยี่ยนเยว่ฉีพยายามหอบหายใจ เผยอริมฝีปากส่งเสียงครางหวิว ช่างยั่วยวนชวนให้บุรุษคลุ้มคลั่ง

    มู่เลี่ยงหรงครางกระหึ่มในลำคอ กระแสร้อนวูบหนึ่งพลันพุ่งไปยังกลางกาย  ความเป็นชายแข็งขึงดึงดัน เขาปวดหนึบกับความอึดอัดตึงแน่นที่ถูกซ่อนไว้ใต้กางเกง 

    แม้จะรุมร้อนด้วยเพลิงปรารถนาสักเพียงใด ชายหนุ่มก็อดทนมิให้ตนเองขาดสติจนรีบร้อนครอบครองหญิงสาวในอ้อมอกเสียตรงนี้ 

    เยี่ยนเยว่ฉีรู้รสสัมผัสบุรุษปนกับรสสุราจาง ๆ ชายผู้นี้กำลังมอมเมานางด้วยรสจูบ หัวสมองขาวโพลน ร่างกายเบาหวิวและสติล่องลอย มือทั้งสองข้างเลื่อนขึ้นโอบต้นคอแข็งแกร่งเอาไว้แน่นราวกับเกรงว่าเขาจะจากไป

    กระแสรุ่มร้อนพลุ่งพล่านยากควบคุม ยามนี้นางไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรแล้ว ได้แต่เพียงปล่อยตัวปล่อยใจไปตามที่ชายหนุ่มนำพา นางขยับตัวไปมาหวังจะคลายความรู้สึกวาบหวามที่กำลังทรมานร่างกาย แต่ก็ต้องสะดุ้งเมื่อความแข็งขึงของบุรุษดุนดันสะโพกงาม

    ถึงเยี่ยนเยว่ฉีจะไร้ประสบการณ์เรื่องชายหญิง แต่ก็เคยได้อ่านหนังสือภาพวังวสันต์[1]มาบ้าง

    ครั้งนั้นนางบังเอิญไปพบเข้าตอนไปยืมหนังสือในห้องของพี่ชายคนรองมาอ่าน จำได้ว่าตอนเห็นภาพในหนังสือครั้งแรกก็อายแทบตาย จนพี่รองเข้ามาเห็นเข้าพอดี แต่เขาก็ไม่ได้ดุว่า กลับพูดว่าให้นางศึกษาเรื่องในห้องหอเอาไว้บ้างก็ดี ยามได้ร่วมหอกับบุรุษที่พึงใจจะได้ไม่ตระหนกตกใจจนทำอันใดมิถูก

    เมื่อรู้ว่าตนเองกำลังนั่งอยู่บนความเป็นชายของฉินอ๋องก็ตกใจ นี่หรือคือแก่นกายของบุรุษ มันช่างใหญ่โตและร้อนจนแทบลวกผิว คิดไม่ถึงเลยว่าของจริงจะน่าหวาดหวั่นยิ่งกว่าภาพวาดในหนังสือ

    เยี่ยนเยว่ฉีได้สติขึ้นมาทันที ความตกใจระคนอับอาย นางจึงพยายามดิ้นให้หลุดจากวงแขนที่รัดแน่น

    มู่เลี่ยงหรงกัดฟันกรอด พอหญิงสาวในอ้อมกอดขยับกาย ยิ่งดิ้นสะโพกงอนงามก็ยิ่งบดเบียดกับแก่นกายของเขา ชายหนุ่มส่งเสียงครางต่ำในลำคอ สตรีนางนี้ทำให้เขาแทบคลุ้มคลั่ง ความอดกลั้นที่มีเกือบจะพังทลาย บุรุษผู้ร้อนรุ่มถอนริมฝีปากออกอย่างเสียดาย แต่ยังคงโอบกอดเจ้าแสนซนไว้อย่างหวงแหน

    “เสี่ยวเยว่...อย่าดิ้นสิ” เขากระซิบข้างหูนางอย่างแผ่วเบา ซ้ำเรียกขานนางอย่างสนิทชิดเชื้อ

    “ทะ...ท่านอ๋อง...ปะ...ปล่อยหม่อมฉันนะเพคะ” นางยังไม่ยอมหยุดดิ้น มือทั้งสองทั้งทุบทั้งผลักป่ายปัดไปทั่ว เริ่มร้องโวยวายเสียงดังหวังให้เขาปล่อยตัวนางเสียที

    “อยู่นิ่ง ๆ ไม่อย่างนั้นเราจะทนไม่ไหวแล้วนะ” มู่เลี่ยงหรงห้ามปรามด้วยเสียงอันสั่นเทา แต่มิยอมคลายอ้อมแขนแม้สักน้อย ลมหายใจร้อนเป่ากระทบใบหูนางจนแดงซ่าน

    “ฮือ ๆ ปล่อยสิ ปล่อยข้า” นางยังคงดิ้นรน มือเล็กทุบลงบนอกอีกฝ่าย

    “ชู่ว์...เด็กดื้อ ถ้าเจ้าดิ้นอยู่แบบนี้เราจะสงบลงได้อย่างไร หรือว่าเจ้าอยากให้เราหมดความอดทนแล้วจับเจ้ากินเสียทั้งเนื้อทั้งตัวเดี๋ยวนี้...หือ” กล่าวจบก็จุมพิตแผ่วเบาบนริมฝีปากของนางทีหนึ่ง

    ลมหายใจอันหนักหน่วงของท่านอ๋องทำให้เยี่ยนเยว่ฉีรู้ว่าเขากำลังข่มใจด้วยความยากเย็น นางจึงหยุดดิ้น หยดน้ำใส ๆ เริ่มเอ่อคลอบนดวงตา อับอายที่ถูกเขาช่วงชิงจูบแรกของนางไป


     


    [1] หนังสือภาพวังวสันต์ เป็นตำรากามสูตรของจีนในสมัยโบราณ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×