คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่ 2...นายใหญ่แห่งเฟิ่งเทียน (60%)
เสียงลมหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอของคนบนเตียงแสดงอาการหลับสนิท
ลีเฝ้ามองใบหน้าของอีกฝ่ายอยู่เช่นนั้นโดยไม่สนใจว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่
หัวใจของชายหนุ่มเหมือนถูกบีบรัดเบาๆ อยู่ที่กลางอก
เมื่อนึกถึงสิ่งที่เคยรับปากกับใครบางคนไว้
“ลี...นายเป็นคนเดียวที่ฉันไว้ใจ
ฝากครอบครัวของฉันด้วย”
มือทั้งสองข้างของลีกำหมัดแน่นก่อนจะค่อยๆ
คลายลงเมื่ออีกฝ่ายขยับตัวและลืมตาขึ้นมา
แววตากระจ่างใสของคนที่ต้องซ่อนตัวเองอยู่ในคราบของเด็กหนุ่มค่อยๆ
แปรเปลี่ยนเป็นเข้มขึ้นจนชาเฉยเมื่อสติของตนเองเริ่มประมวลผล
“ถ้าเป็นไปได้ หลินอยากให้มันเป็นความฝัน
ไม่มีเฟิ่งเทียน ไม่มีหลิวหลิน ไม่มีหลิวลู่เอิน”
เสียงหวานแผ่วเบาที่ดังขึ้นมาจากคนบนเตียงทำให้ลีถอนหายใจด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย
ห้องนี้คงเป็นเพียงสถานที่เดียวที่ตัวตนของหลิวหลินจะสามารถเปิดเผยออกมาได้
ชายหนุ่มจึงปล่อยให้เธอได้เป็นตัวของตัวเองชั่วคราวก่อนจะสวมรอยเป็นหลิวลู่เอินเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น
“แต่มันก็เป็นไปไม่ได้สินะคะ...ในเมื่อตอนนี้หลินอยู่ที่นี่
บนเตียงหลังนี้ ในห้องอันเป็นที่พำนักของนายใหญ่แห่งเฟิ่งเทียน”
แววตาของหลิวหลินยังคงจับจ้องอยู่บนเพดาน
บนนั้นภาพหงส์คู่สีทองที่วาดไว้ด้วยฝีมือของศิลปินชื่อดัง
ยิ่งมองดูยิ่งคล้ายว่าหงส์สองตัวนั้นมีชีวิต มันทั้งสวยงามและน่าเกรงขาม ทว่าในความรู้สึกของเธอมันกลับมีบางอย่างหนักอึ้งอยู่ที่กลางอก
“หลินยกมันให้ลีได้ไหมคะ?”
คำถามของหลิวหลินทำให้ลีถึงกับสะดุ้ง
“พูดจาเหลวไหล”
เสียงของเขาเข้มขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
“ที่หลินต้องไปอยู่อเมริกาตั้งแต่เด็กๆ
เป็นเพราะอย่างนี้ใช่ไหมคะ อะไรมากมายที่หลินต้องเรียนรู้
หลายสิ่งหลายอย่างที่หลินต้องทำ
มาดามโรสเตรียมทุกอย่างไว้เพื่อให้หลินกลับมาสานต่องานของนายท่านคนก่อนอย่างนั้นสินะคะ”
ลีนิ่งเงียบ
เขาไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ ไม่แม้กระทั่งออกความเห็นใดๆ กับความจริงที่เด็กคนนั้นพูดขึ้นมา
เพราะเขารับรู้มาโดยตลอด ทั้งยังเป็นคนฝากฝังเพื่อนที่อเมริกาให้สอนในสิ่งที่หลิวหลินจำเป็นต้องรู้อีกด้วย
เด็กสาวผู้นี้ถูกหล่อหลอมให้เติบโตเกินกว่าอายุ
เขารู้ดีว่าภายใต้ท่าทีไม่สู้คนแบบหลิวลู่เอินทุกอย่างล้วนเป็นมายาที่เกิดจากการเสกสรรของหลิวหลินทั้งนั้น
เพียงเพื่อให้ศัตรูลดความหวาดระแวงลงว่าที่ผู้นำคนใหม่จึงดูเหมือนเป็นเพียงเด็กหนุ่มอ่อนแอไร้ทางสู้
ทั้งหมดที่หลิวหลินสร้างคือเป็นคำตอบในตัวเองอยู่แล้วว่าทั้งหมดนี้เธอรู้หน้าที่ของเธอเองเป็นอย่างดี
แม้ไม่อยากยอมรับแค่ไหนก็ตาม
“ในเมื่อรู้คำตอบดีอยู่แล้ว
ทำไมถึงยังต้องถามอีก”
หลิวหลินขยับมุมปากคล้ายยิ้มทว่าแววตาของเธอกลับไม่ปรากฏร่องรอยของความยินดีแม้แต่น้อย
“การถามในสิ่งที่รู้อยู่แล้ว...บางทีก็ไม่ได้ต้องการคำตอบ
แต่แค่อยากตอกย้ำความจริงกับตัวเองก็เท่านั้น”
พูดจบเธอก็ขยับตัวลุกขึ้นนั่ง
ก่อนจะรินน้ำที่โต๊ะข้างเตียงขึ้นมาดื่ม หลิวหลินกระแอมเบาๆ สองครั้ง
จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงประจันหน้ากับลีโดยตรง ร่างผอมเพรียวที่อยู่ในชุดนอนสีน้ำเงินเข้มของหลิวหลินดูคล้ายเด็กหนุ่มมากกว่าหญิงสาว
อาจเป็นเพราะท่วงท่าที่ได้รับการฝึกปรือมานานและร่างกายที่ฝึกฝนตนเองมาอย่างหนักจนมีมัดกล้ามบางๆ
นั่นด้วยที่หลอกสายตาคนนอกได้อย่างแนบเนียน
“นายไม่ต้องกังวลหรอกนะลี”
น้ำเสียงที่เปลี่ยนไปเป็นหลิวลู่เอินอย่างกะทันหันทำให้บอดี้การ์ดหนุ่มกระตุกยิ้มที่มุมปาก
“ฉันจะเป็นอย่างที่นายต้องการ”
ลีค้อมศีรษะลงเล็กน้อยเพื่อแสดงความเคารพต่อคนตรงหน้า
“นายท่านตัดสินใจได้ถูกต้องแล้วครับ”
“แต่เมื่อไหร่ที่พี่จ้าวเล่ยกลับมายังเฟิ่งเทียน
ฉันก็จะไม่ใช่นายใหญ่อีกต่อไป”
การตัดสินใจที่เด็ดเดี่ยวและไม่อาลัยอาวรณ์ในความยิ่งใหญ่ของหลิวลู่เอินนั้นลีไม่นึกค้าน
เขาเองก็คิดเช่นเดียวกัน ความจริงแล้วเขาไม่ได้อยากให้ตัวตนของหลิวหลินต้องหายไป
เด็กสาวผู้นั้นควรจะเติบโตอย่างสง่างามในฐานะคุณหนูตระกูลหลิว
ควรเติบโตเป็นสตรีที่งดงามและเป็นที่จับตามองของชายหนุ่มทั้งโลกอย่างที่พี่บุญธรรมของเขาวาดหวัง
เขาไม่อยากซ่อนตัวตนและชีวิตของเธอไว้ในคราบของหลิวลู่เอินไปตลอดกาล
.................................
ร่างผอมเพรียวในชุดสูทสากลสีดำสนิทนั่งพิงพนักเก้าอี้ทำงานตัวใหญ่ด้วยท่าทีครุ่นคิด
คิ้วทั้งสองข้างขมวดมุนจนคนที่เพิ่งก้าวเท้าเข้ามาในห้องอดเป็นห่วงไม่ได้
ทว่าลีก็ยังคงปล่อยให้เด็กหนุ่มนั่งอยู่แบบนั้นโดยไม่คิดรบกวน
ในที่สุดหลิวลู่เอินก็เอ่ยปากทำลายความเงียบลง
“เมื่อครู่เดซี่โทรมา”
“จิวฮวา?”
ลีนิ่วคิ้วแปลกใจ
เดซี่หรืออู๋จิวฮวาคือหลานบุญธรรมของเขาที่ถูกส่งตัวไปอยู่อเมริกาตั้งแต่อายุสิบสอง
สถานะที่ทุกคนในกลุ่มเฟิ่งเทียนรับรู้นั้นคือ ‘คู่หมั้นของหลิวลู่เอิน’
ทว่าความจริงแล้วเธอเป็นบอดี้การ์ดส่วนตัวที่เขาฝึกฝนมากับมือเด็กสาวที่มีความเก่งกาจทั้งฝีมือและมีมันสมองเป็นอัจฉริยะเกินอายุ
ทั้งยังไว้วางใจได้จึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดของมาดามโรสที่ต้องการให้ทายาทคนเดียวของตระกูลที่เหลืออยู่ผู้ดูแลใกล้ชิด
อันที่จริงจิวฮวามีกำหนดจะเดินทางมาร่วมพิธีศพของอดีตนายหญิงด้วยแต่เธอกลับหายเงียบไปเสียเฉยๆ
กระทั่งเขาเองก็ยังติดต่อไม่ได้
“เดซี่จะไปเมืองไทย”
“เมืองไทย?
หมายความว่าที่จิวฮวาหายตัวไปเพราะเรื่องนี้ใช่ไหมครับ”
หลิวลู่เอินพยักหน้าแทนคำตอบ
“นายท่านให้จิวฮวาสืบเรื่องนั้นด้วยตัวเองตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
น้ำเสียงเคร่งเครียดของลีที่ถามขึ้นทำให้อีกฝ่ายช้อนสายตาขึ้นมอง
ทว่าใบหน้าของชายหนุ่มไม่ได้ปรากฏความไม่พอใจหรือความรู้สึกอื่นใดนอกเหนือไปจากความวิตกกังวล
“สองปีก่อนฉันได้พบคุณลุงที่นิวยอร์ค”
ภาพหนุ่มใหญ่วัยห้าสิบต้นๆ
ที่มีใบหน้าเคร่งขรึมอยู่เป็นนิจลอยเข้ามาในความคิด ‘คุณลุง’ ที่หลิวลู่เอินพูดถึงคือศตพลพี่ชายคนเดียวของมาดามโรส
ตอนที่รสรินตกลงแต่งงานกับนายท่านคนก่อนทางครอบครัวของหญิงสาวได้แสดงเจตนาตัดขาดความสัมพันธ์อย่างชัดเจนเพราะไม่อยากให้อิทธิพลของตระกูลหลิวลุกลามไปถึงที่นั่น
แม้ภาพที่แสดงออกมาจะเป็นเช่นนั้นทว่าในความจริงทั้งสองครอบครัวยังคงมีความสัมพันธ์อันดีอยู่ในเงามืดนั่นเอง
แต่จู่ๆ การที่ศตพลเดินทางไปหาหลิวลู่เอินนั้นย่อมไม่ใช่เหตุปกติอย่างแน่นอน
“มาดามรู้เรื่องนี้หรือเปล่า”
หลิวลู่เอินส่ายหน้ายิ้มน้อยๆ
“ถ้ารู้ก็คงไปถึงเมืองไทยเองแล้วละ”
“อย่างน้อยนายท่านก็ควรจะบอกผม”
“ลีรับภาระทางนี้มากพอแล้ว
อีกอย่างตอนนั้นเราก็ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าพี่จ้าวเล่ยอยู่ที่ไหนด้วย”
“แสดงว่าตอนนี้รู้แน่แล้วอย่างนั้นหรือครับ”
“ยัง! แต่เบาะแสที่พบคราวนี้มันสำคัญและค่อนข้างชัดเจนกว่าที่ผ่านๆ
มา”
คำบอกเล่าของผู้อ่อนวัยกว่าทำให้ลีนึกทึ่ง
ความกังวลในใจเบาลงไปกว่าครึ่งเมื่อตระหนักได้ว่าเด็กวัยสิบเก้าอย่างหลิวลู่เอินไม่ใช่ธรรมดาแม้แต่น้อย
อยู่ไกลคนละซีกโลกยังสามารถตามหาเบาะแสของพี่ชายได้อีกแบบนี้เขาค่อยคลายใจ
“นายท่านเคยไปเมืองไทยมาหรือยัง”
“หลังจากรอดชีวิตมาตอนนั้น
ฉันก็ไม่เคยไปเหยียบที่นั่นอีกเลยไม่ต้องห่วงหรอก”
“นายท่านทราบด้วยหรือว่าผมกังวลเรื่องอะไร”
ลีลองถามหยั่งเชิง
“เรื่องที่ลีกังวลหรือ...ก็คงเป็นร่องรอยของฉันนั่นละ
ไม่ต้องห่วงหรอกความลับทั้งหมดจะตายไปพร้อมกับหลิวลู่เอินอย่างแน่นอน
ความพยายามของมาดามกับลีไม่สูญเปล่าแน่ๆ”
ลีพยักหน้ารับ
ใบหน้าของชายหนุ่มคงมีแต่ความเรียบเฉยเพื่อกลบบางอย่างไว้เพียงในใจ
“แต่ยังไง
ฉันก็คงต้องให้เดซี่กลับมาที่นี่ก่อน จากนั้นค่อยส่งเธอไปเมืองไทยอย่างเปิดเผย”
“นายท่านกลัวว่าคนพวกนั้นจะสงสัยที่จู่ๆ
จิวฮวาหายไปอย่างนั้นหรือครับ”
หลิวลู่เอินส่ายหน้า
“พวกมันต้องสงสัยอยู่แล้วละ ไม่ว่าจะใช้วิธีไหนหลอกตาก็ตาม เรื่องที่พี่จ้าวเล่ยหายตัวที่เมืองไทยไม่ใช่ความลับ
เรื่องที่เราตามหาเขามาตลอดก็ไม่ใช่ความลับ
แต่สิ่งที่เป็นปริศนาสำหรับพวกเราต่างหากที่เป็นความลับ”
“คนทรยศ!”
เด็กหนุ่มพยักหน้า
“ฉันต้องการตามหาคนทรยศให้ได้เร็วที่สุด”
เขาเว้นวรรคเล็กน้อยเพื่อสังเกตสีหน้าของคนฟัง
เมื่อพบเพียงความเรียบเฉยเขาจึงพูดต่อ “ฉันจะเปลี่ยนเฟิ่งเทียนให้เป็นไปในแบบที่นายท่านคนก่อนอยากให้เป็น
แรงต่อต้านจากภายในคืออุปสรรคสำคัญที่จำเป็นต้องกำจัดทิ้ง”
“แล้วพวกชิงเหลียนล่ะ”
“เมื่อมีความแค้นย่อมต้องสะสางให้จบ”
ถ้อยคำเด็ดเดี่ยวที่ออกมาจากปากของเด็กหนุ่มวัยสิบก้าวทำให้ลีเผลอขมวดคิ้วออกมาทันที
“นายท่านไม่จำเป็นต้องเสี่ยง”
“มันไม่ใช่การเสี่ยงหรอกลี
แต่มันคือศักดิ์ศรีที่ฉันต้องปกป้องด้วยชีวิต
ฉันไม่ต้องการให้เฟิ่งเทียนสูญเสียอีกแล้ว”
แววตาอ่อนล้าของหลิวลู่เอินแทนคำตอบทุกอย่างได้ทั้งหมดลีจึงทำได้เพียงเงียบและฟัง
“ฉันเรียนรู้มาแสนนานว่าเลือดมันล้างด้วยเลือดไม่ได้
วิธีการของฉันลีอาจจะไม่ชอบใจ”
“นายท่านเห็นผมเป็นคนโหดร้ายป่าเถื่อนไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
ลีพูดพลางมองอีกฝ่ายด้วยแววตาเอ็นดู
“เปล่า...แค่รู้สึกว่าลีเป็นคนเด็ดขาดเท่านั้นเอง
ฉันเป็นแบบลีไม่ได้”
“งั้นก็จงเป็นนายท่านในแบบของหลิวลู่เอินเถอะครับ”
คำแนะนำสั้นๆ
จากคนสนิททำให้แววตาที่อ่อนล้ากลับกระจ่างใสด้วยความเข้าใจ
หลิวลู่เอินพยักหน้ารับพร้อมทั้งสัญญากับตัวเองในใจ
เขาจะต้องวางรากฐานของเฟิ่งเทียนให้แข็งแกร่งให้ได้ แม้ตัวตนจริงๆ
จะไม่ได้รับการยอมรับ แต่เปลือกที่สวมไว้นี่ละ ที่จะทำให้เฟิ่งเทียนคงอยู่อย่างมั่นคง
ความคิดเห็น