คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 1...เปิดม่าน
"เตรียมจัดพิธีศพ"
คำสั่งสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงทุ้มกังวานดังออกมาจากปากของหลิวลู่เอิน
หนุ่มน้อยวัยสิบเก้าปีที่กำลังจะก้าวเข้ามากุมอำนาจทั้งหมดไว้ในมือ กลุ่มชายฉกรรจ์ตรงหน้าค้อมตัวรับคำสั่งก่อนจะแยกย้ายกันไปทันที
นัยน์ตาแดงก่ำของเขาวาวโรจน์
เมื่อเห็นคนกลุ่มหนึ่งเดินสวนกลุ่มคนของเขาเข้ามา เจ้าของผมสั้นสีดอกเลาที่เดินนำเข้ามานั้นคือ
'ป๋ายซินหยู'
หนึ่งในสมาชิกระดับสูงของกลุ่มเฟิ่งเทียน
แม้ไม่ได้พบกันบ่อยแต่แววตาเจ้าเล่ห์ราวกับจิ้งจอกร้ายนั่นหลิวลู่เอินกลับจดจำมันได้อย่างแม่นยำ
"ไม่คิดว่าจะได้พบเธอที่นี่นะลู่เอิน"
"ผมต้องเป็นฝ่ายพูดคำนั้นกับคุณป๋ายมากกว่าครับ
นี่แสดงว่าการข่าวของคุณในบ้านใหญ่นี่ไม่เบาเลยทีเดียว"
ป๋ายซินหยูหน้าตึงเมื่อถูกเด็กรุ่นหลานเหน็บเอาซึ่งหน้า
แต่เพียงแค่วูบเดียวเท่านั้นความไม่พอใจที่แสดงออกมาก็จางหายไป
"การข่าวอะไรกันเล่า
ฉันเยี่ยมมาดามหลิวก็เท่านั้นเอง ไม่คิดว่าเธอจะกลับมาแล้วด้วยซ้ำ"
โกหก! หลิวลู่เอินนึกรู้ทันทีเมื่อสบสายตาของ
'จิ้งจอกป๋าย'
แววตาลุ่มลึกของฝ่ายนั้นกำลังปิดบังซ่อนเร้นบางสิ่งบางอย่างอยู่
ทว่าเขาจำเป็นต้องปล่อยให้มันผ่านไป
เพียงเพราะในเวลานี้ยังไม่สมควรให้เกิดความวุ่นวายขึ้นที่นี่
"คุณป๋ายกลับไปก่อนเถอะครับ
ที่นี่ยังต้องวุ่นวายอีกมากเพราะคุณแม่ท่านเพิ่งเสีย
เกรงว่าจะต้อนรับได้ไม่สะดวก"
"อ้อ เช่นนั้นเองรึ
ลุงเสียใจด้วยนะลู่เอิน"
แม้ปากบอกอย่างนั้นแต่ดวงตาของป๋ายซินหยูกลับเต็มไปด้วยรอยปีติอย่างไม่คิดปิดบัง
หลิวลู่เอินได้แต่กำหมัดแน่นข่มใจของตนเองไว้ เขารู้มานานแล้วว่าเสี้ยนชิ้นสำคัญของเฟิ่งเทียนอยู่ที่ไหน
แต่ทว่ายังไม่มีอำนาจมากพอที่จะกำจัดมันออกไปได้เสียที
"แดนส่งแขก" เขาหันไปสั่งบอดี้การ์ดที่ยืนอยู่ใกล้ๆ
ก่อนจะหันมาค้อมศีรษะให้กับป๋ายซินหยูในเชิงบอกลา “ผมขอตัวก่อนนะครับ”
ป๋ายซินหยูสะบัดหน้าจากไปทันที
ท่าทางการส่งแขกของเจ้าเด็กนั่นทำให้เขารู้สึกไม่สบอารมณ์เพราะมันชวนให้เขาคิดถึงหลิวหลงซิน
เห็นทีลูกไม้คงหล่นไม่ไกลต้นเสียแล้ว
"สวัสดีครับคุณป๋าย"
จิ้งจอกเฒ่าชะงักฝีเท้าทันทีเมื่อร่างสูงของลีค้อมกายแสดงความเคารพ
ชายชราหรี่ตามองชายหนุ่มตรงหน้าก่อนจะเอ่ยทักออกไป
"สวัสดี"
"ไม่คิดว่าจะได้พบคุณป๋ายในเวลานี้"
"อ่อ
ฉันตั้งใจมาเยี่ยมมาดามน่ะแต่ดูเหมือนว่าจะไม่ทันแล้วนะ
เดี๋ยวฉันมาใหม่ตอนที่ทุกอย่างพร้อมกว่านี้ก็แล้วกัน"
น้ำเสียงไม่ยี่หระหรือแสดงความรู้สึกเสียใจต่อการจากไปของนายหญิงแห่งเฟิ่งเทียนทำให้ผู้ฟังได้แต่กำหมัดแน่น
ป๋ายซินหยูมองมือที่กำลังสั่นน้อยๆ นั้นด้วยรอยยิ้มเยาะ ชายชราตบไหล่ของลีเบาๆ
ก่อนจะเดินเลยจากไปไม่จำเป็นต้องมีคำร่ำลาระหว่างกัน
ลีได้แต่มองแผ่นหลังของฝ่ายจนกระทั่งลับสายตาไป
ไหล่กว้างของเขาเกร็งขมึงด้วยความแค้นเคือง
ทุกครั้ง...เป็นมันทุกครั้งที่รู้ทุกความเคลื่อนไหวของคนที่นี่ เขาไม่ต้องใช้การคาดเดามากมายนักกับการตามหาคนในที่ลอบร่วมมือกับศัตรูฝ่ายตรงข้าม
เขาทั้งมั่นใจและแน่ใจว่ากลุ่มซินหยูต้องอยู่เบื้องหลังทั้งหมดนี้อย่างแน่นอน
เพียงแต่เขายังไม่มีหลักฐานที่จะกำจัดเสี้ยนที่ได้ชื่อว่าเป็นจิ้งจอกร้ายนี้ออกไปเสียที
สัมผัสจากมืออุ่นที่บีบเบาๆลงบนต้นแขนของเขาทำให้ลีชะงัก
“นายท่าน”
เจ้าของร่างสูงโปร่งในชุดสูทสากลขมวดคิ้วเล็กน้อย
ก่อนจะถอนหายใจ ลีมองหญิงสาวในคราบของเด็กหนุ่มด้วยความเข้าใจที่ส่งถึงกัน...มันยังไม่ถึงเวลา
“อย่าไปสนใจเลย...เรายังเรื่องอีกมากมายให้ทำ”
แววตาเศร้าลึกและหางเสียงสั่นๆ
ทำให้ลีพยักหน้ารับ “ครับนายท่าน”
พิธีศพของมารดาถูกจัดขึ้นเป็นเวลาเจ็ดวัน
ชื่อของ ‘รสริน หลิว’ หรือมาดามหลิวนั้นค่อนข้างโด่งดังในวงการมาเฟียไม่น้อย
เพราะหลังจากการตายของหลิวหลงซินเมื่อ 19 ปีก่อน
คนที่นั่งบัลลังก์และดูแลกลุ่มการค้าเฟิ่งเทียนมาโดยตลอดคือสตรีเรือนร่างบอบบางในชุดดำ
ภาพเหล่านั้นคุ้นตาเสมอเพราะรสรินไม่เคยใส่ชุดสีอื่นและเธอไม่ยอมออกงานรื่นเริงอีกเลยนับตั้งแต่การสูญเสีย
ใครๆ จึงพากันตั้งฉายาให้เธอว่า ‘หงส์ดำ’ ในช่วงแรกกลุ่มการค้าที่มีตระกูลหลิวเป็นผู้นำเกิดความระส่ำระสายอย่างหนัก
แต่เพราะแนวทางการบริหารกับอำนาจที่หลิวหลงซินเหลือไว้จึงทำให้ผ่านช่วงเวลาอันยากลำบากมาได้ในที่สุด
จุดเปลี่ยนสำคัญคงเป็นกระสุนนัดที่มาดามหลิวใช้สังหารมือปืนผู้ฆ่าสามี
นัดแรกที่ขาขวา นัดต่อมาที่ขาซ้าย นัดที่สามเจาะเข้าที่ไหปลาร้าด้านขวา
นัดต่อมาเธอยิงไปที่ไหปลาร้าด้านซ้าย...และกระสุนสังหารนัดสุดท้ายที่กลางหน้าผากอย่างแม่นยำ
แววตาเยียบเย็นและเรียบเฉยทำให้ทุกคนต่างหวาดกลัว รวมไปถึงกลุ่มชิงเหลียนที่อยู่เบื้องหลังการลอบสังหารเธอและสามีล้วนถูกตามล่าอย่างหนัก
ไม่มีใครคิดปรามาสฝีมือของมาดามหลิวอีก และเมื่อมือขวาอย่างลีปรากฏตัว
เฟิ่งเทียนก็กางปีกผงาดทั้งในวงธุรกิจและวงการมาเฟียขึ้นอีกครั้ง
ทว่าแก๊งชิงเหลียนยังไม่ได้หมดไปโดยง่าย
ช่วงสองสามปีมานี้ ‘หลีซ่ง’ พยายามรวบรวมอำนาจใต้ดินเพื่อมาต่อกรกับเธอ ลูกไม้สกปรกถูกงัดมาใช้
รวมไปถึงการลอบฆ่า รสรินถูกลอบยิงจนรถที่นั่งมาประสบอุบัติเหตุพลิกคว่ำ แม้รอดมาได้แต่การบาดเจ็บสาหัสคราวนั้นทำให้มาดามจากไปก่อนวัยอันควร
แต่ใครเลยจะรู้ ถึงไม่ถูกลอบยิงมาดามหลิวก็ไม่รอดอยู่ดี
เธอกำลังจะตายเพราะอาการเจ็บป่วยที่เฝ้าปกปิดไว้นั่นเอง
ชายฉกรรจ์นับร้อยที่อยู่ในลานหน้าห้องโถงใหญ่อยู่ในชุดไว้ทุกข์สีขาวหม่น
กลุ่มแขกผู้มาร่วมที่อยู่อีกด้านจึงดูโดดเด่นด้วยชุดสากลสีดำสนิท แม้มีผู้คนอยู่มากมายทว่าสถานที่แห่งนี้กลับเงียบสงัด
พิธีคารวะศพครั้งสุดท้ายก่อนจะนำร่างไร้วิญญาณของมาดามหลิวไปฝังยังสุสานประจำตระกูลกำลังจะเริ่มต้นขึ้น
ร่างสูงโปรงในชุดไว้ทุกข์
เดินนำเข้ามาโดยมีกลุ่มคนสนิทระดับสูงของตระกูลหลินตามมาด้านหลัง
หลิวลู่เอิน...ทรุดตัวลงคุกเข่าลงบนเบาะที่อยู่เบื้องหน้าโลงศพ
เขาโขกศีรษะนำสี่ครั้ง ก่อนที่กลุ่มคนในชุดไว้ทุกข์จะทำตาม
ร่างชายฉกรรจ์ที่ทรุดตัวลงนั่งทีละแถวอย่างเป็นระเบียบสร้างความขรึมขลังให้กับพิธี
หลังจากการคำนับเสร็จสิ้นเสียงที่ดังแทรกความเงียบขึ้นมากลับเป็นเสียงของรองเท้าหนังและโซ่ตรวน
หลิงลู่เอินหันขวับไปทางต้นเสียง ก่อนจะก้าวเท้าออกมาที่หน้าประตู
กลุ่มชายฉกรรจ์ในสูทสีดำสองคนกำลังช่วยกันหิ้วปีกชายคนหนึ่งเข้ามา ก่อนจะทิ้งร่างๆ
นั้นลงกับพื้นราวกับเศษผ้าห่มเก่าๆ
“นี่มันอะไรกัน” ว่าที่นายใหญ่แห่งเฟิ่งเทียนถามขึ้น
เสียงของเขาแม้ไม่ดังนักแต่เมื่อทุกคนพร้อมใจกันเงียบสนิท มันจึงดังกังวานโดยทั่วถึง
ป๋ายซินหยูเป็นคนแรกที่ก้าวออกมาจากกลุ่มแขกผู้มาร่วมพิธี
“มือปืนที่ลอบยิงมาดาม...ลุงลากตัวมันมาวันนี้เพื่อเอาเลือดมันมาขอขมามาดาม”
หลิวลู่เอินขมวดคิ้ว...ป๋ายซินหยูช่างกล้านักที่ทำแบบนี้
หวังจะหักหน้าเขาหรือหวังจะทำอะไรกันแน่
“ลู่เอินควรส่งวิญญาณของมันไปเป็นข้ารับใช้ของมาดามในปรโลกนะ”
จิ้งจอกป๋ายไม่เพียงแค่พูด
ฝ่ายนั้นยังโยนปืนมาให้กับเขาอีกด้วย หลิวลู่เอินรับปืนกระบอกนั้นไว้ได้อย่างพอดิบพอดีตามสัญชาตญาณที่ถูกฝึกปรือมานาน
เขาหันไปสบตากับลีเล็กน้อย
ก่อนจะหันมาทางป๋ายซินหยู ว่าที่นายใหญ่แห่งเฟิ่งเทียนมองอีกฝ่ายสลับไปมากับร่างของนักโทษที่มองอย่างไรก็ไม่ต่างกับผ้าขี้ริ้ว
หลิงลู่เอินหยิบปืนกระบอกนั้นมาพิจารณาก่อนจะโยนมันลงไปที่พื้นด้วยแววตาเฉยชา
ชายชรามองท่าทางหยิ่งผยองนั่นด้วยความโกรธกรุ่น
“ไม่กล้างั้นรึ?”
น้ำเสียงเหยียดหยามที่หลุดปากออกมาทำให้ทุกฝ่ายต่างชะงัก
มีเพียงหลิวลู่เอินเท่านั้นที่เหยียดยิ้มออกมาเพราะเข้าใจเจตนาของอีกฝ่ายทันที
ที่แท้ป๋ายซินหยูอยากจะลองของกับว่าที่นายใหญ่คนใหม่อย่างที่คิดจริงๆ
“ทำไมต้องกล้า
หรือไม่กล้าด้วยครับ” หลิวลู่เอินย้อนถาม
“เธอควรจะแสดงให้ทุกคนเห็นนะลู่เอิน
ว่ากลุ่มเฟิ่งเทียนไม่ใช่จะให้ใครมาหยามเกียรติอย่างง่ายๆ”
เด็กหนุ่มเหยียดริมฝีปากคล้ายยิ้ม
ทว่าไม่ใช่ “ถูกอย่างที่คุณป๋ายพูดครับ
ถ้าเช่นนั้นก็ยิ่งไม่ควรจะมีใครตายในพิธีศพของแม่ผม
หรือคุณป๋ายคิดว่าการเอาคนมาฆ่าในพิธีคราวนี้มันถูกต้องตามธรรมเนียม”
ป๋ายซินหยูหน้าชาที่โดนตำหนิซึ่งหน้า
แต่ยังไม่ทันขยับปากจะพูดต่อเด็กหนุ่มที่เขาปรามาสไว้ก็ชิงพูดขึ้นเสียก่อน
“ลี...ให้คนของเราพาไปรักษาตัว
ฉันมีเรื่องต้องคุยกับมือปืนคนนั้นอีกยาว”
ลีค้อมศีรษะรับคำสั่ง
ก่อนจะหันไปพยักหน้ากับชายฉกรรจ์อีกสองคนที่อยู่ในแถวใกล้ๆ กับจุดที่นักโทษผู้นั้นอยู่
“หยุดนะ
นี่มันเป็นมือปืนที่ฆ่าแม่ของเธอนะลู่เอิน”
หลิวลู่เอินยิ้มเหี้ยม
“ในเมื่อลุงกล้าเอามันเข้ามา
นั่นก็หมายความว่าลุงยกมันให้ผมแล้ว เพราะฉะนั้นผมจะฆ่าหรือจะรักษาย่อมไม่ต่างกัน
เอาตัวไปได้”
สิ้นคำสั่งของทายาทคนเดียวของเฟิ่งเทียนร่างสะบักสะบอมของชายผู้นั้นก็ถูกคนของตระกูลหลิวลากออกไปทันที
ป๋ายซินหยูมองตามด้วยความแค้นเคืองเพราะคาดไม่ถึงว่าหลิวลู่เอินจะใช้วิธีนี้
แม้จะยังไม่ฆ่าใคร ทว่าก็ไม่ได้ดูอ่อนแอไร้น้ำยา
เห็นทีเขาคงต้องมองเด็กคนนี้เสียใหม่ ดูทีว่าทายาทคนเดียวที่เหลืออยู่นี้จะไม่ใช่เด็กธรรมดาจริงๆ
โลงศพของมารดาที่ค่อยๆ ถูกวางลงในหลุม
ที่เตรียมไว้เคียงข้างกับ ‘หลิวหลงซิน’ อดีตนายใหญ่ผู้ล่วงลับ นับเป็นครั้งแรกที่เขาได้มีโอกาสเข้าร่วมพิธีศพอันเป็นพิธีเฉพาะของตระกูลที่สืบทอดกันมายาวนานตั้งแต่ก่อนจะย้ายมาจากแผ่นดินใหญ่
หลิวลู่เอินปล่อยให้ภาพตรงหน้าผ่านไปด้วยสายตาว่างเปล่า ในเวลานี้เขามีหน้าที่แค่ทำพิธีตามที่ผู้ใหญ่ของตระกูลเป็นผู้ดำเนินการ
ท่ามกลางผู้ร่วมพิธีนับร้อยเขากลับรู้สึกโดดเดี่ยวและอ้างว้างราวกับยืนอยู่เพียงลำพังในสุสานประจำตระกูล
หลิวลู่เอินแทบไม่รู้สึกตัวเลยว่าทุกสิ่งทุกอย่างเสร็จสิ้นลงตอนไหน
สติของเขาถูกเรียกกลับคืนมาอีกครั้งก็ตอนที่มือของใครบางคนแตะลงบนบ่าเบาๆ
“กลับกันเถอะครับนายท่าน”
หลิวลู่เอินช้อนสายตาขึ้นมอง
ร่างสูงของลียืนตระหง่านอยู่ในเงามืดของดวงตะวัน ทิศทางที่บอดี้การ์ดหนุ่มยืนอยู่นั้นบดบังแสงของพระอาทิตย์ให้เขาอย่างพอดิบพอดีราวกับเป็นความตั้งใจ
“หมดเวลาแล้วสินะ”
เสียงของหลิวลู่เอินแผ่วเบาจนฟังดูเหมือนพูดกับตัวเองมากกว่าจะสนทนากับลี
เด็กหนุ่มหลับตา พยายามกลืนความรู้สึกบางอย่างลงไป กระบอกตาของเขาร้อนผ่าว
วินาทีที่ก้มลงคำนับลา น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าก็ทิ้งตัวลงบนพื้นปูน ไหล่ของเขาไหวเบาๆ
ตามแรงสะอื้น มันช่างเป็นเวลาเจ็ดวันที่ยาวนานเหลือเกิน
“กลับกันเถอะลี”
หลิงลู่เอินบอกคนข้างกายก่อนจะขยับตัวลุกขึ้น
ลีก้าวเข้ามาประชิดตัวทันทีเพื่อประคองราวกับรู้ว่าขาทั้งสองข้างของผู้เป็นนายชาจนแทบไร้ความรู้สึก
“ทำไมทุกคนต้องพากันทอดทิ้งไปหมด”
คำถามของเขาไม่ดังไปกว่าเสียงกระซิบ
ความเงียบรอบกายบอกหลิวลู่เอินได้เป็นอย่างดีว่าตอนนี้พวกเขาอยู่กันลำพัง ลีคงจัดการให้ทุกคนกลับไปก่อน
บางทีอาจจะมีบอดี้การ์ดราวๆ สิบคนรออยู่ที่ด้านนอก
และเหลือเขาเพียงคนเดียวที่อยู่เป็นเพื่อนเพื่อคุกเข่าส่งวิญญาณจนครบตามกำหนดเวลาตามพิธีกรรมเฉพาะของตระกูล
“ไม่มีใครทิ้งนายท่านหรอกครับ...นี่เป็นการจากลากันแค่เพียงชั่วคราวเท่านั้น”
“ห้ามทิ้ง” หลิวลู่เอินบีบแขนของลีเบาๆ
“ลีห้ามทิ้งหลินนะคะ”
น้ำเสียงของเขาเปลี่ยนไปเป็นเสียงหวานของหลิวหลิน
ตัวจริงที่ต้องหลบซ่อนอยู่ใต้เปลือกของเด็กหนุ่ม
บอดี้การ์ดหนุ่มขมวดคิ้ว
ก่อนจะพยักหน้ารับ
“ครับ”
เขารับคำสั้นๆ
แต่มันก็เพียงพอ ลีไม่เคยผิดคำพูด ขอเพียงแค่เขารับปากเท่านั้น
เหมือนกับที่เขาเคยรับปากหลิวหลงซินว่าจะกลับมา
“ไปกันเถอะ”
เสียงของหลิวลู่เอินหวนกลับคืนมาอีกครั้ง
คราวนี้เด็กหนุ่มก้าวนำอีกฝ่ายออกไปอย่างมั่นคง เรือนร่างสูงโปร่งเดินออกห่างจากหลุมศพของบุพการีทั้งสองมากขึ้นทุกที
ภายในใจของหลิวลู่เอินสงบนิ่ง
นับแต่บัดนี้เป็นต้นไปหลิวหลินจะถูกขังอยู่ที่นี้พร้อมกับความตายของทุกคน
มีเพียงเขาเท่านั้นที่ต้องก้าวต่อไป ลีขยับตัวเดินตามหลังของผู้เป็นนายไป เงาของทั้งสองทอดยาวเคียงข้างกันก่อนจะหายลับไปพร้อมกับแสงตะวันที่มืดลง
............................................
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆ”
เสียงหัวเราะที่กังวานก้องไปทั้งห้องรับแขกของ
‘กลุ่มชิงเหลียน’ เป็นคำประกาศชั้นดีถึงความรู้สึกสาสมใจของ ‘หลีซ่ง’ แม้ตัวเขาจะนึกเสียดายมาดามคนสวยอยู่บ้างก็ตาม ทว่าการตายของอีกฝ่ายกลับมีประโยชน์มากกว่านัก
เมื่อหลายปีก่อนกลุ่มของเขาโดนอีกฝ่ายถล่มอย่างหนักจนแทบจะสิ้นชื่อไปแล้วด้วยซ้ำ
เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าแท้จริงแล้วผู้บงการที่ตั้งใจจะถอนรากถอนโคนชิงเหลียนจะเป็นเพียงสตรีตัวเล็กๆ
เท่านั้น ท่าทางอ่อนแอและบอบบางเกือบจะหลอกตาเขาได้สำเร็จ
หากเขาเบี่ยงตัวหลบช้ากว่านั้นอีกนิด คมกระสุนคงตัดขั้วหัวใจของเขาได้อย่างพอดิบพอดี
GLOCK 26 สีดำในมือของมาดามโรสเกือบจะเป็นเคียวมัจจุราชที่ใช้กระชากวิญญาณของเขาออกไปเสียแล้ว
“นายท่านหัวเราะอะไรหรือครับ”
มือขวาคนสนิทของหลีซ่งอดถามขึ้นมาไม่ได้เมื่อเห็นเจ้านายเอาแต่หัวเราะหลังจากที่วางโทรศัพท์
“แกรู้มั้ยแดนว่าผู้นำของเฟิ่งเทียนคนต่อไปจะเป็นใคร”
แดเนียลพยักหน้า
“ทายาทของเฟิ่งเทียนที่เหลืออยู่ก็มีเพียงแค่หลิวลู่เอินใช่ไหมครับ”
“ถูกต้อง...แล้วแกคิดว่าเด็กอายุ
19
ที่ใช้ชีวิตอยู่แต่อเมริกาจะสามารถต่อกรกับเสือสิงห์กระทิงแรดในเฟิ่งเทียนได้มากน้อยแค่ไหน”
“ผมว่ามันคงเป็นเรื่องที่ยาก
แต่โดยกฎที่สืบทอดกันมาเนิ่นนานก็คงช่วยสนับสนุนให้หลิวลู่เอินอยู่ในตำแหน่งได้นานพอที่จะปรับตัว”
หลีซ่งชูนิ้วชี้ขึ้นก่อนจะโบกไปมาแสดงอาการไม่เห็นด้วย
“ผิดแล้วละ มันไม่มีเวลานานขนาดนั้นหรอก”
“หมายความว่ายังไงครับ”
แดเนียลขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจ
“ฉันเพิ่งวางโทรศัพท์จากคุณป๋าย
ฝ่ายนั้นส่งข่าวมาว่าเจ้าเด็กนั่นไม่กล้าแม้แต่จะฆ่าเพื่อแก้แค้นให้แม่ของตัวเอง
แล้วคนแบบนี้รึ ที่จะครอบครองเฟิ่งเทียน
แกก็รู้ไม่ใช่หรือแดนว่าถนนของมาเฟียไม่ต้อนรับผู้ที่อ่อนแอ”
“นายท่านประมาทเกินไปหรือเปล่าครับ
ไอ้ลีมันยังอยู่ มันคงไม่ยอมให้อำนาจของตระกูลหลิวถูกสั่นคลอนกันง่ายๆหรอกครับ”
“ต่อให้มีไอ้ลีอีกร้อยคนก็ไร้ความหมาย
เมื่อกลุ่มไร้ผู้นำที่เข้มแข็ง สมาชิกย่อมไม่วางใจอยู่แล้ว”
รอยยิ้มเหี้ยมเกรียมที่มุมปากของเจ้านายไม่ได้ทำให้แดเนียลวางใจ
เขารู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างดูง่ายเกินไป แม้ว่ากลุ่มของเขาจะได้รับความร่วมมืออย่างลับๆ
จากคนสำคัญในกลุ่มเฟิ่งเทียน
แต่การต่อสู้กันมาอย่างยาวนานทำให้เขาไม่เชื่อว่ายุคแห่งความรุ่งเรืองของเฟิ่งเทียนกำลังจะจบลงพร้อมกับความตายของมาดามหลิว บางอย่างที่อยู่ลึกๆ ในใจบอกเขาว่ามันกำลังจะเริ่มต้น
“นายท่านไว้ใจคนของซินหยูจริงๆ
หรือครับ”
ความกังวลในใบหน้าของมือขวาคนสนิททำให้หลีซ่งสะบัดตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันที
มือหนาของผู้เป็นเจ้านายตบหนักๆ ลงบนบ่า “ในวงการนี้นอกจากตัวฉันเองและแกแล้ว
ฉันไม่ไว้ใจใครอีก แกไม่ต้องห่วงหรอก”
“ครับนายท่าน”
แดเนียลรับคำอย่างเบาใจ
“แกออกไปได้แล้ว
ฉันต้องการอยู่คนเดียว”
แดเนียลผงกหัวรับก่อนจะเดินออกจากห้องไปทันทีตามคำสั่ง
ทันทีที่ประตูปิดลงแววตาของหลีซ่งก็เรียบเฉย
ไร้ประกายของความดีใจเมื่อครู่ไปอย่างสิ้นเชิง ในใจลึกๆ
หัวใจของเขากำลังแหลกสลายอย่างเงียบเชียบ
น่าอายนักหากจะบอกว่าเขาตกหลุมรักผู้หญิงที่ครั้งหนึ่งเกือบจะฆ่าเขาอย่างเลือดเย็น
ไม่สิ!
เขารักเธอตั้งแต่แรกเห็นที่กรุงเทพแต่เขากลับเอื้อมไม่ถึงเธอ
คุณหนูคนสวยของกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ที่เป็นทั้งเจ้าของโรงพยาบาลและผลิตยา
หงส์สาวผู้งามสง่ากลับตกไปอยู่ในมือของคู่ปรับตลอดกาลอย่างหลิวหลงซินโดยที่เขาไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะต่อสู้เพื่อช่วงชิงมาด้วยซ้ำไป
ความรักตั้งแต่แรกเห็นหยั่งรากลึกอยู่ในใจของเขาอย่างเงียบงัน
เขาเฝ้าติดตามลอบมองเธอแทบทุกฝีก้าวแม้จะรู้ว่าเป็นเรื่องที่อันตรายหากเรื่องนี้ล่วงรู้ถึงหูของผู้ใหญ่ในกลุ่มชิงเหลียนก็ตาม
ความรักที่เขามีต่อรสรินบริสุทธิ์และเต็มไปด้วยความปรารถนาดีเสมอมา การตายของหลิวหลงซินทำให้เขามีความหวัง
แต่ทว่าเขาก็รู้ว่าไม่มีวันเมื่อได้เผชิญหน้ากับเธอตรงๆ
แววตาของหงส์สาวเต็มไปด้วยความอาฆาตระคนเจ็บปวด วินาทีที่เธอตัดสินใจยิงเขา สัญชาตญาณการเอาตัวรอดสั่งให้เขาหลบแม้จะไม่ทัน...แต่ก็ไม่ตาย
หลีซ่งรับรู้ในวินาทีนั้นเองว่ารสรินจะไม่มีวันให้อภัย ใครก็ตามที่มีส่วนกับการตายของสามีเธอ
แต่เขาก็เลิกรักเธอไม่ได้
เรื่องนี้เป็นความลับเดียวที่เขาไม่เคยบอกใครแม้แต่คนสนิทที่ร่วมหัวจมท้ายยิ่งกว่าเพื่อนตายอย่างแดเนียล
เขาก็ไม่เคยปริปากพูด
“สุดท้ายแล้ว...คุณก็หนีผมไปไกลจนได้”
หลีซ่งก้มมองรูปถ่ายของรสรินที่เขาหยิบขึ้นมาจากลิ้นชักโต๊ะทำงาน
สตรีในภาพยังคงงดงามเหมือนในวันแรกที่ได้พบเจอ
“ต่อไปนี้ผมกับคุณไม่มีอะไรติดค้างกันอีก
เฟิ่งเทียนที่ไม่มีคุณผมจะเป็นคนทำลายมันลงเอง คุณคอยดูแล้วกัน
สิ่งที่คุณทำเพื่อหลิวหลงซิน ผมนี่แหละจะทำลายมันลงเอง”
ชายหนุ่มพูดราวกับสตรีในภาพจะได้ยิน
ความจริงเขารักเธอ แต่เขาก็เกลียดคนตระกูลหลิว
นอกเหนือจากความแค้นที่มีต่อกันมาอย่างยาวนานระหว่างชิงเหลียนและเฟิ่งเทียนแล้ว
รสรินเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เขาเกลียดพวกหลิวจับใจ เขาถูกแย่งชิงมาทั้งชีวิต
การถูกแย่งชิงซ้ำแล้วซ้ำเล่านี่ละจะเป็นแรงผลักให้เขาเดินก้าวเข้าสู่ความเป็นที่หนึ่ง
ไม่ว่าใครก็เทียบเขาไม่ได้ เขาต้องยิ่งใหญ่กว่าที่หลิวหลงซินเคยเป็นให้ได้
ความคิดเห็น