ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บุษบามาเฟีย

    ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 1...เปิดม่าน

    • อัปเดตล่าสุด 4 เม.ย. 59



    "เตรียมจัดพิธีศพ"

    คำสั่งสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงทุ้มกังวานดังออกมาจากปากของหลิวลู่เอิน หนุ่มน้อยวัยสิบเก้าปีที่กำลังจะก้าวเข้ามากุมอำนาจทั้งหมดไว้ในมือ กลุ่มชายฉกรรจ์ตรงหน้าค้อมตัวรับคำสั่งก่อนจะแยกย้ายกันไปทันที

    นัยน์ตาแดงก่ำของเขาวาวโรจน์ เมื่อเห็นคนกลุ่มหนึ่งเดินสวนกลุ่มคนของเขาเข้ามา เจ้าของผมสั้นสีดอกเลาที่เดินนำเข้ามานั้นคือ 'ป๋ายซินหยู' หนึ่งในสมาชิกระดับสูงของกลุ่มเฟิ่งเทียน แม้ไม่ได้พบกันบ่อยแต่แววตาเจ้าเล่ห์ราวกับจิ้งจอกร้ายนั่นหลิวลู่เอินกลับจดจำมันได้อย่างแม่นยำ

    "ไม่คิดว่าจะได้พบเธอที่นี่นะลู่เอิน"

    "ผมต้องเป็นฝ่ายพูดคำนั้นกับคุณป๋ายมากกว่าครับ นี่แสดงว่าการข่าวของคุณในบ้านใหญ่นี่ไม่เบาเลยทีเดียว"

    ป๋ายซินหยูหน้าตึงเมื่อถูกเด็กรุ่นหลานเหน็บเอาซึ่งหน้า แต่เพียงแค่วูบเดียวเท่านั้นความไม่พอใจที่แสดงออกมาก็จางหายไป

    "การข่าวอะไรกันเล่า ฉันเยี่ยมมาดามหลิวก็เท่านั้นเอง ไม่คิดว่าเธอจะกลับมาแล้วด้วยซ้ำ"

    โกหก! หลิวลู่เอินนึกรู้ทันทีเมื่อสบสายตาของ 'จิ้งจอกป๋าย' แววตาลุ่มลึกของฝ่ายนั้นกำลังปิดบังซ่อนเร้นบางสิ่งบางอย่างอยู่ ทว่าเขาจำเป็นต้องปล่อยให้มันผ่านไป เพียงเพราะในเวลานี้ยังไม่สมควรให้เกิดความวุ่นวายขึ้นที่นี่

    "คุณป๋ายกลับไปก่อนเถอะครับ ที่นี่ยังต้องวุ่นวายอีกมากเพราะคุณแม่ท่านเพิ่งเสีย เกรงว่าจะต้อนรับได้ไม่สะดวก"

    "อ้อ เช่นนั้นเองรึ ลุงเสียใจด้วยนะลู่เอิน" แม้ปากบอกอย่างนั้นแต่ดวงตาของป๋ายซินหยูกลับเต็มไปด้วยรอยปีติอย่างไม่คิดปิดบัง หลิวลู่เอินได้แต่กำหมัดแน่นข่มใจของตนเองไว้ เขารู้มานานแล้วว่าเสี้ยนชิ้นสำคัญของเฟิ่งเทียนอยู่ที่ไหน แต่ทว่ายังไม่มีอำนาจมากพอที่จะกำจัดมันออกไปได้เสียที

    "แดนส่งแขก" เขาหันไปสั่งบอดี้การ์ดที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ก่อนจะหันมาค้อมศีรษะให้กับป๋ายซินหยูในเชิงบอกลา “ผมขอตัวก่อนนะครับ”

    ป๋ายซินหยูสะบัดหน้าจากไปทันที ท่าทางการส่งแขกของเจ้าเด็กนั่นทำให้เขารู้สึกไม่สบอารมณ์เพราะมันชวนให้เขาคิดถึงหลิวหลงซิน เห็นทีลูกไม้คงหล่นไม่ไกลต้นเสียแล้ว

    "สวัสดีครับคุณป๋าย"

    จิ้งจอกเฒ่าชะงักฝีเท้าทันทีเมื่อร่างสูงของลีค้อมกายแสดงความเคารพ ชายชราหรี่ตามองชายหนุ่มตรงหน้าก่อนจะเอ่ยทักออกไป

    "สวัสดี"

    "ไม่คิดว่าจะได้พบคุณป๋ายในเวลานี้"

    "อ่อ ฉันตั้งใจมาเยี่ยมมาดามน่ะแต่ดูเหมือนว่าจะไม่ทันแล้วนะ เดี๋ยวฉันมาใหม่ตอนที่ทุกอย่างพร้อมกว่านี้ก็แล้วกัน" น้ำเสียงไม่ยี่หระหรือแสดงความรู้สึกเสียใจต่อการจากไปของนายหญิงแห่งเฟิ่งเทียนทำให้ผู้ฟังได้แต่กำหมัดแน่น ป๋ายซินหยูมองมือที่กำลังสั่นน้อยๆ นั้นด้วยรอยยิ้มเยาะ ชายชราตบไหล่ของลีเบาๆ ก่อนจะเดินเลยจากไปไม่จำเป็นต้องมีคำร่ำลาระหว่างกัน

    ลีได้แต่มองแผ่นหลังของฝ่ายจนกระทั่งลับสายตาไป ไหล่กว้างของเขาเกร็งขมึงด้วยความแค้นเคือง ทุกครั้ง...เป็นมันทุกครั้งที่รู้ทุกความเคลื่อนไหวของคนที่นี่ เขาไม่ต้องใช้การคาดเดามากมายนักกับการตามหาคนในที่ลอบร่วมมือกับศัตรูฝ่ายตรงข้าม เขาทั้งมั่นใจและแน่ใจว่ากลุ่มซินหยูต้องอยู่เบื้องหลังทั้งหมดนี้อย่างแน่นอน เพียงแต่เขายังไม่มีหลักฐานที่จะกำจัดเสี้ยนที่ได้ชื่อว่าเป็นจิ้งจอกร้ายนี้ออกไปเสียที สัมผัสจากมืออุ่นที่บีบเบาๆลงบนต้นแขนของเขาทำให้ลีชะงัก

    “นายท่าน”

    เจ้าของร่างสูงโปร่งในชุดสูทสากลขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจ ลีมองหญิงสาวในคราบของเด็กหนุ่มด้วยความเข้าใจที่ส่งถึงกัน...มันยังไม่ถึงเวลา

    “อย่าไปสนใจเลย...เรายังเรื่องอีกมากมายให้ทำ”

    แววตาเศร้าลึกและหางเสียงสั่นๆ ทำให้ลีพยักหน้ารับ “ครับนายท่าน”

     

    พิธีศพของมารดาถูกจัดขึ้นเป็นเวลาเจ็ดวัน ชื่อของ รสริน หลิว หรือมาดามหลิวนั้นค่อนข้างโด่งดังในวงการมาเฟียไม่น้อย เพราะหลังจากการตายของหลิวหลงซินเมื่อ 19 ปีก่อน คนที่นั่งบัลลังก์และดูแลกลุ่มการค้าเฟิ่งเทียนมาโดยตลอดคือสตรีเรือนร่างบอบบางในชุดดำ ภาพเหล่านั้นคุ้นตาเสมอเพราะรสรินไม่เคยใส่ชุดสีอื่นและเธอไม่ยอมออกงานรื่นเริงอีกเลยนับตั้งแต่การสูญเสีย ใครๆ จึงพากันตั้งฉายาให้เธอว่า หงส์ดำในช่วงแรกกลุ่มการค้าที่มีตระกูลหลิวเป็นผู้นำเกิดความระส่ำระสายอย่างหนัก แต่เพราะแนวทางการบริหารกับอำนาจที่หลิวหลงซินเหลือไว้จึงทำให้ผ่านช่วงเวลาอันยากลำบากมาได้ในที่สุด

    จุดเปลี่ยนสำคัญคงเป็นกระสุนนัดที่มาดามหลิวใช้สังหารมือปืนผู้ฆ่าสามี นัดแรกที่ขาขวา นัดต่อมาที่ขาซ้าย นัดที่สามเจาะเข้าที่ไหปลาร้าด้านขวา นัดต่อมาเธอยิงไปที่ไหปลาร้าด้านซ้าย...และกระสุนสังหารนัดสุดท้ายที่กลางหน้าผากอย่างแม่นยำ แววตาเยียบเย็นและเรียบเฉยทำให้ทุกคนต่างหวาดกลัว รวมไปถึงกลุ่มชิงเหลียนที่อยู่เบื้องหลังการลอบสังหารเธอและสามีล้วนถูกตามล่าอย่างหนัก ไม่มีใครคิดปรามาสฝีมือของมาดามหลิวอีก และเมื่อมือขวาอย่างลีปรากฏตัว เฟิ่งเทียนก็กางปีกผงาดทั้งในวงธุรกิจและวงการมาเฟียขึ้นอีกครั้ง

    ทว่าแก๊งชิงเหลียนยังไม่ได้หมดไปโดยง่าย ช่วงสองสามปีมานี้ หลีซ่ง พยายามรวบรวมอำนาจใต้ดินเพื่อมาต่อกรกับเธอ ลูกไม้สกปรกถูกงัดมาใช้ รวมไปถึงการลอบฆ่า รสรินถูกลอบยิงจนรถที่นั่งมาประสบอุบัติเหตุพลิกคว่ำ แม้รอดมาได้แต่การบาดเจ็บสาหัสคราวนั้นทำให้มาดามจากไปก่อนวัยอันควร แต่ใครเลยจะรู้ ถึงไม่ถูกลอบยิงมาดามหลิวก็ไม่รอดอยู่ดี เธอกำลังจะตายเพราะอาการเจ็บป่วยที่เฝ้าปกปิดไว้นั่นเอง

    ชายฉกรรจ์นับร้อยที่อยู่ในลานหน้าห้องโถงใหญ่อยู่ในชุดไว้ทุกข์สีขาวหม่น กลุ่มแขกผู้มาร่วมที่อยู่อีกด้านจึงดูโดดเด่นด้วยชุดสากลสีดำสนิท แม้มีผู้คนอยู่มากมายทว่าสถานที่แห่งนี้กลับเงียบสงัด พิธีคารวะศพครั้งสุดท้ายก่อนจะนำร่างไร้วิญญาณของมาดามหลิวไปฝังยังสุสานประจำตระกูลกำลังจะเริ่มต้นขึ้น ร่างสูงโปรงในชุดไว้ทุกข์ เดินนำเข้ามาโดยมีกลุ่มคนสนิทระดับสูงของตระกูลหลินตามมาด้านหลัง

    หลิวลู่เอิน...ทรุดตัวลงคุกเข่าลงบนเบาะที่อยู่เบื้องหน้าโลงศพ เขาโขกศีรษะนำสี่ครั้ง ก่อนที่กลุ่มคนในชุดไว้ทุกข์จะทำตาม ร่างชายฉกรรจ์ที่ทรุดตัวลงนั่งทีละแถวอย่างเป็นระเบียบสร้างความขรึมขลังให้กับพิธี หลังจากการคำนับเสร็จสิ้นเสียงที่ดังแทรกความเงียบขึ้นมากลับเป็นเสียงของรองเท้าหนังและโซ่ตรวน หลิงลู่เอินหันขวับไปทางต้นเสียง ก่อนจะก้าวเท้าออกมาที่หน้าประตู กลุ่มชายฉกรรจ์ในสูทสีดำสองคนกำลังช่วยกันหิ้วปีกชายคนหนึ่งเข้ามา ก่อนจะทิ้งร่างๆ นั้นลงกับพื้นราวกับเศษผ้าห่มเก่าๆ

    “นี่มันอะไรกัน” ว่าที่นายใหญ่แห่งเฟิ่งเทียนถามขึ้น เสียงของเขาแม้ไม่ดังนักแต่เมื่อทุกคนพร้อมใจกันเงียบสนิท มันจึงดังกังวานโดยทั่วถึง ป๋ายซินหยูเป็นคนแรกที่ก้าวออกมาจากกลุ่มแขกผู้มาร่วมพิธี

    “มือปืนที่ลอบยิงมาดาม...ลุงลากตัวมันมาวันนี้เพื่อเอาเลือดมันมาขอขมามาดาม”

    หลิวลู่เอินขมวดคิ้ว...ป๋ายซินหยูช่างกล้านักที่ทำแบบนี้ หวังจะหักหน้าเขาหรือหวังจะทำอะไรกันแน่

    “ลู่เอินควรส่งวิญญาณของมันไปเป็นข้ารับใช้ของมาดามในปรโลกนะ”

    จิ้งจอกป๋ายไม่เพียงแค่พูด ฝ่ายนั้นยังโยนปืนมาให้กับเขาอีกด้วย หลิวลู่เอินรับปืนกระบอกนั้นไว้ได้อย่างพอดิบพอดีตามสัญชาตญาณที่ถูกฝึกปรือมานาน

     เขาหันไปสบตากับลีเล็กน้อย ก่อนจะหันมาทางป๋ายซินหยู ว่าที่นายใหญ่แห่งเฟิ่งเทียนมองอีกฝ่ายสลับไปมากับร่างของนักโทษที่มองอย่างไรก็ไม่ต่างกับผ้าขี้ริ้ว หลิงลู่เอินหยิบปืนกระบอกนั้นมาพิจารณาก่อนจะโยนมันลงไปที่พื้นด้วยแววตาเฉยชา

    ชายชรามองท่าทางหยิ่งผยองนั่นด้วยความโกรธกรุ่น “ไม่กล้างั้นรึ?”

    น้ำเสียงเหยียดหยามที่หลุดปากออกมาทำให้ทุกฝ่ายต่างชะงัก มีเพียงหลิวลู่เอินเท่านั้นที่เหยียดยิ้มออกมาเพราะเข้าใจเจตนาของอีกฝ่ายทันที ที่แท้ป๋ายซินหยูอยากจะลองของกับว่าที่นายใหญ่คนใหม่อย่างที่คิดจริงๆ

    “ทำไมต้องกล้า หรือไม่กล้าด้วยครับ” หลิวลู่เอินย้อนถาม

    “เธอควรจะแสดงให้ทุกคนเห็นนะลู่เอิน ว่ากลุ่มเฟิ่งเทียนไม่ใช่จะให้ใครมาหยามเกียรติอย่างง่ายๆ”

    เด็กหนุ่มเหยียดริมฝีปากคล้ายยิ้ม ทว่าไม่ใช่ “ถูกอย่างที่คุณป๋ายพูดครับ ถ้าเช่นนั้นก็ยิ่งไม่ควรจะมีใครตายในพิธีศพของแม่ผม หรือคุณป๋ายคิดว่าการเอาคนมาฆ่าในพิธีคราวนี้มันถูกต้องตามธรรมเนียม”

    ป๋ายซินหยูหน้าชาที่โดนตำหนิซึ่งหน้า แต่ยังไม่ทันขยับปากจะพูดต่อเด็กหนุ่มที่เขาปรามาสไว้ก็ชิงพูดขึ้นเสียก่อน

    “ลี...ให้คนของเราพาไปรักษาตัว ฉันมีเรื่องต้องคุยกับมือปืนคนนั้นอีกยาว”

    ลีค้อมศีรษะรับคำสั่ง ก่อนจะหันไปพยักหน้ากับชายฉกรรจ์อีกสองคนที่อยู่ในแถวใกล้ๆ กับจุดที่นักโทษผู้นั้นอยู่

    “หยุดนะ นี่มันเป็นมือปืนที่ฆ่าแม่ของเธอนะลู่เอิน”

    หลิวลู่เอินยิ้มเหี้ยม

    “ในเมื่อลุงกล้าเอามันเข้ามา นั่นก็หมายความว่าลุงยกมันให้ผมแล้ว เพราะฉะนั้นผมจะฆ่าหรือจะรักษาย่อมไม่ต่างกัน เอาตัวไปได้”

    สิ้นคำสั่งของทายาทคนเดียวของเฟิ่งเทียนร่างสะบักสะบอมของชายผู้นั้นก็ถูกคนของตระกูลหลิวลากออกไปทันที ป๋ายซินหยูมองตามด้วยความแค้นเคืองเพราะคาดไม่ถึงว่าหลิวลู่เอินจะใช้วิธีนี้ แม้จะยังไม่ฆ่าใคร ทว่าก็ไม่ได้ดูอ่อนแอไร้น้ำยา เห็นทีเขาคงต้องมองเด็กคนนี้เสียใหม่ ดูทีว่าทายาทคนเดียวที่เหลืออยู่นี้จะไม่ใช่เด็กธรรมดาจริงๆ

    โลงศพของมารดาที่ค่อยๆ ถูกวางลงในหลุม ที่เตรียมไว้เคียงข้างกับ หลิวหลงซิน อดีตนายใหญ่ผู้ล่วงลับ นับเป็นครั้งแรกที่เขาได้มีโอกาสเข้าร่วมพิธีศพอันเป็นพิธีเฉพาะของตระกูลที่สืบทอดกันมายาวนานตั้งแต่ก่อนจะย้ายมาจากแผ่นดินใหญ่ หลิวลู่เอินปล่อยให้ภาพตรงหน้าผ่านไปด้วยสายตาว่างเปล่า ในเวลานี้เขามีหน้าที่แค่ทำพิธีตามที่ผู้ใหญ่ของตระกูลเป็นผู้ดำเนินการ ท่ามกลางผู้ร่วมพิธีนับร้อยเขากลับรู้สึกโดดเดี่ยวและอ้างว้างราวกับยืนอยู่เพียงลำพังในสุสานประจำตระกูล

    หลิวลู่เอินแทบไม่รู้สึกตัวเลยว่าทุกสิ่งทุกอย่างเสร็จสิ้นลงตอนไหน สติของเขาถูกเรียกกลับคืนมาอีกครั้งก็ตอนที่มือของใครบางคนแตะลงบนบ่าเบาๆ

    “กลับกันเถอะครับนายท่าน”

    หลิวลู่เอินช้อนสายตาขึ้นมอง ร่างสูงของลียืนตระหง่านอยู่ในเงามืดของดวงตะวัน ทิศทางที่บอดี้การ์ดหนุ่มยืนอยู่นั้นบดบังแสงของพระอาทิตย์ให้เขาอย่างพอดิบพอดีราวกับเป็นความตั้งใจ

    “หมดเวลาแล้วสินะ”

    เสียงของหลิวลู่เอินแผ่วเบาจนฟังดูเหมือนพูดกับตัวเองมากกว่าจะสนทนากับลี เด็กหนุ่มหลับตา พยายามกลืนความรู้สึกบางอย่างลงไป กระบอกตาของเขาร้อนผ่าว วินาทีที่ก้มลงคำนับลา น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าก็ทิ้งตัวลงบนพื้นปูน ไหล่ของเขาไหวเบาๆ ตามแรงสะอื้น มันช่างเป็นเวลาเจ็ดวันที่ยาวนานเหลือเกิน

    “กลับกันเถอะลี”

    หลิงลู่เอินบอกคนข้างกายก่อนจะขยับตัวลุกขึ้น ลีก้าวเข้ามาประชิดตัวทันทีเพื่อประคองราวกับรู้ว่าขาทั้งสองข้างของผู้เป็นนายชาจนแทบไร้ความรู้สึก

    “ทำไมทุกคนต้องพากันทอดทิ้งไปหมด”

    คำถามของเขาไม่ดังไปกว่าเสียงกระซิบ ความเงียบรอบกายบอกหลิวลู่เอินได้เป็นอย่างดีว่าตอนนี้พวกเขาอยู่กันลำพัง ลีคงจัดการให้ทุกคนกลับไปก่อน บางทีอาจจะมีบอดี้การ์ดราวๆ สิบคนรออยู่ที่ด้านนอก และเหลือเขาเพียงคนเดียวที่อยู่เป็นเพื่อนเพื่อคุกเข่าส่งวิญญาณจนครบตามกำหนดเวลาตามพิธีกรรมเฉพาะของตระกูล

    “ไม่มีใครทิ้งนายท่านหรอกครับ...นี่เป็นการจากลากันแค่เพียงชั่วคราวเท่านั้น”

    “ห้ามทิ้ง” หลิวลู่เอินบีบแขนของลีเบาๆ

    “ลีห้ามทิ้งหลินนะคะ” น้ำเสียงของเขาเปลี่ยนไปเป็นเสียงหวานของหลิวหลิน ตัวจริงที่ต้องหลบซ่อนอยู่ใต้เปลือกของเด็กหนุ่ม

    บอดี้การ์ดหนุ่มขมวดคิ้ว ก่อนจะพยักหน้ารับ

    “ครับ”

    เขารับคำสั้นๆ แต่มันก็เพียงพอ ลีไม่เคยผิดคำพูด ขอเพียงแค่เขารับปากเท่านั้น เหมือนกับที่เขาเคยรับปากหลิวหลงซินว่าจะกลับมา

    “ไปกันเถอะ”

    เสียงของหลิวลู่เอินหวนกลับคืนมาอีกครั้ง คราวนี้เด็กหนุ่มก้าวนำอีกฝ่ายออกไปอย่างมั่นคง เรือนร่างสูงโปร่งเดินออกห่างจากหลุมศพของบุพการีทั้งสองมากขึ้นทุกที ภายในใจของหลิวลู่เอินสงบนิ่ง นับแต่บัดนี้เป็นต้นไปหลิวหลินจะถูกขังอยู่ที่นี้พร้อมกับความตายของทุกคน มีเพียงเขาเท่านั้นที่ต้องก้าวต่อไป ลีขยับตัวเดินตามหลังของผู้เป็นนายไป เงาของทั้งสองทอดยาวเคียงข้างกันก่อนจะหายลับไปพร้อมกับแสงตะวันที่มืดลง

    ............................................

    “ฮ่าๆๆๆๆๆๆ”

    เสียงหัวเราะที่กังวานก้องไปทั้งห้องรับแขกของ กลุ่มชิงเหลียน เป็นคำประกาศชั้นดีถึงความรู้สึกสาสมใจของ หลีซ่ง แม้ตัวเขาจะนึกเสียดายมาดามคนสวยอยู่บ้างก็ตาม ทว่าการตายของอีกฝ่ายกลับมีประโยชน์มากกว่านัก เมื่อหลายปีก่อนกลุ่มของเขาโดนอีกฝ่ายถล่มอย่างหนักจนแทบจะสิ้นชื่อไปแล้วด้วยซ้ำ เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าแท้จริงแล้วผู้บงการที่ตั้งใจจะถอนรากถอนโคนชิงเหลียนจะเป็นเพียงสตรีตัวเล็กๆ เท่านั้น ท่าทางอ่อนแอและบอบบางเกือบจะหลอกตาเขาได้สำเร็จ หากเขาเบี่ยงตัวหลบช้ากว่านั้นอีกนิด คมกระสุนคงตัดขั้วหัวใจของเขาได้อย่างพอดิบพอดี GLOCK 26 สีดำในมือของมาดามโรสเกือบจะเป็นเคียวมัจจุราชที่ใช้กระชากวิญญาณของเขาออกไปเสียแล้ว

    “นายท่านหัวเราะอะไรหรือครับ” มือขวาคนสนิทของหลีซ่งอดถามขึ้นมาไม่ได้เมื่อเห็นเจ้านายเอาแต่หัวเราะหลังจากที่วางโทรศัพท์

    “แกรู้มั้ยแดนว่าผู้นำของเฟิ่งเทียนคนต่อไปจะเป็นใคร”

    แดเนียลพยักหน้า “ทายาทของเฟิ่งเทียนที่เหลืออยู่ก็มีเพียงแค่หลิวลู่เอินใช่ไหมครับ”

    “ถูกต้อง...แล้วแกคิดว่าเด็กอายุ 19 ที่ใช้ชีวิตอยู่แต่อเมริกาจะสามารถต่อกรกับเสือสิงห์กระทิงแรดในเฟิ่งเทียนได้มากน้อยแค่ไหน”

    “ผมว่ามันคงเป็นเรื่องที่ยาก แต่โดยกฎที่สืบทอดกันมาเนิ่นนานก็คงช่วยสนับสนุนให้หลิวลู่เอินอยู่ในตำแหน่งได้นานพอที่จะปรับตัว”

    หลีซ่งชูนิ้วชี้ขึ้นก่อนจะโบกไปมาแสดงอาการไม่เห็นด้วย “ผิดแล้วละ มันไม่มีเวลานานขนาดนั้นหรอก”

    “หมายความว่ายังไงครับ” แดเนียลขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจ

    “ฉันเพิ่งวางโทรศัพท์จากคุณป๋าย ฝ่ายนั้นส่งข่าวมาว่าเจ้าเด็กนั่นไม่กล้าแม้แต่จะฆ่าเพื่อแก้แค้นให้แม่ของตัวเอง แล้วคนแบบนี้รึ ที่จะครอบครองเฟิ่งเทียน แกก็รู้ไม่ใช่หรือแดนว่าถนนของมาเฟียไม่ต้อนรับผู้ที่อ่อนแอ”

    “นายท่านประมาทเกินไปหรือเปล่าครับ ไอ้ลีมันยังอยู่ มันคงไม่ยอมให้อำนาจของตระกูลหลิวถูกสั่นคลอนกันง่ายๆหรอกครับ”

    “ต่อให้มีไอ้ลีอีกร้อยคนก็ไร้ความหมาย เมื่อกลุ่มไร้ผู้นำที่เข้มแข็ง สมาชิกย่อมไม่วางใจอยู่แล้ว”

    รอยยิ้มเหี้ยมเกรียมที่มุมปากของเจ้านายไม่ได้ทำให้แดเนียลวางใจ เขารู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างดูง่ายเกินไป แม้ว่ากลุ่มของเขาจะได้รับความร่วมมืออย่างลับๆ จากคนสำคัญในกลุ่มเฟิ่งเทียน  แต่การต่อสู้กันมาอย่างยาวนานทำให้เขาไม่เชื่อว่ายุคแห่งความรุ่งเรืองของเฟิ่งเทียนกำลังจะจบลงพร้อมกับความตายของมาดามหลิว  บางอย่างที่อยู่ลึกๆ ในใจบอกเขาว่ามันกำลังจะเริ่มต้น

    “นายท่านไว้ใจคนของซินหยูจริงๆ หรือครับ”

    ความกังวลในใบหน้าของมือขวาคนสนิททำให้หลีซ่งสะบัดตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันที มือหนาของผู้เป็นเจ้านายตบหนักๆ ลงบนบ่า “ในวงการนี้นอกจากตัวฉันเองและแกแล้ว ฉันไม่ไว้ใจใครอีก แกไม่ต้องห่วงหรอก”

    “ครับนายท่าน” แดเนียลรับคำอย่างเบาใจ

    “แกออกไปได้แล้ว ฉันต้องการอยู่คนเดียว”

    แดเนียลผงกหัวรับก่อนจะเดินออกจากห้องไปทันทีตามคำสั่ง ทันทีที่ประตูปิดลงแววตาของหลีซ่งก็เรียบเฉย ไร้ประกายของความดีใจเมื่อครู่ไปอย่างสิ้นเชิง ในใจลึกๆ หัวใจของเขากำลังแหลกสลายอย่างเงียบเชียบ น่าอายนักหากจะบอกว่าเขาตกหลุมรักผู้หญิงที่ครั้งหนึ่งเกือบจะฆ่าเขาอย่างเลือดเย็น ไม่สิ! เขารักเธอตั้งแต่แรกเห็นที่กรุงเทพแต่เขากลับเอื้อมไม่ถึงเธอ คุณหนูคนสวยของกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ที่เป็นทั้งเจ้าของโรงพยาบาลและผลิตยา หงส์สาวผู้งามสง่ากลับตกไปอยู่ในมือของคู่ปรับตลอดกาลอย่างหลิวหลงซินโดยที่เขาไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะต่อสู้เพื่อช่วงชิงมาด้วยซ้ำไป

    ความรักตั้งแต่แรกเห็นหยั่งรากลึกอยู่ในใจของเขาอย่างเงียบงัน เขาเฝ้าติดตามลอบมองเธอแทบทุกฝีก้าวแม้จะรู้ว่าเป็นเรื่องที่อันตรายหากเรื่องนี้ล่วงรู้ถึงหูของผู้ใหญ่ในกลุ่มชิงเหลียนก็ตาม ความรักที่เขามีต่อรสรินบริสุทธิ์และเต็มไปด้วยความปรารถนาดีเสมอมา การตายของหลิวหลงซินทำให้เขามีความหวัง แต่ทว่าเขาก็รู้ว่าไม่มีวันเมื่อได้เผชิญหน้ากับเธอตรงๆ แววตาของหงส์สาวเต็มไปด้วยความอาฆาตระคนเจ็บปวด วินาทีที่เธอตัดสินใจยิงเขา สัญชาตญาณการเอาตัวรอดสั่งให้เขาหลบแม้จะไม่ทัน...แต่ก็ไม่ตาย หลีซ่งรับรู้ในวินาทีนั้นเองว่ารสรินจะไม่มีวันให้อภัย ใครก็ตามที่มีส่วนกับการตายของสามีเธอ แต่เขาก็เลิกรักเธอไม่ได้ เรื่องนี้เป็นความลับเดียวที่เขาไม่เคยบอกใครแม้แต่คนสนิทที่ร่วมหัวจมท้ายยิ่งกว่าเพื่อนตายอย่างแดเนียล เขาก็ไม่เคยปริปากพูด

    “สุดท้ายแล้ว...คุณก็หนีผมไปไกลจนได้”

    หลีซ่งก้มมองรูปถ่ายของรสรินที่เขาหยิบขึ้นมาจากลิ้นชักโต๊ะทำงาน สตรีในภาพยังคงงดงามเหมือนในวันแรกที่ได้พบเจอ

    “ต่อไปนี้ผมกับคุณไม่มีอะไรติดค้างกันอีก เฟิ่งเทียนที่ไม่มีคุณผมจะเป็นคนทำลายมันลงเอง คุณคอยดูแล้วกัน สิ่งที่คุณทำเพื่อหลิวหลงซิน ผมนี่แหละจะทำลายมันลงเอง”

    ชายหนุ่มพูดราวกับสตรีในภาพจะได้ยิน ความจริงเขารักเธอ แต่เขาก็เกลียดคนตระกูลหลิว นอกเหนือจากความแค้นที่มีต่อกันมาอย่างยาวนานระหว่างชิงเหลียนและเฟิ่งเทียนแล้ว รสรินเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เขาเกลียดพวกหลิวจับใจ เขาถูกแย่งชิงมาทั้งชีวิต การถูกแย่งชิงซ้ำแล้วซ้ำเล่านี่ละจะเป็นแรงผลักให้เขาเดินก้าวเข้าสู่ความเป็นที่หนึ่ง ไม่ว่าใครก็เทียบเขาไม่ได้ เขาต้องยิ่งใหญ่กว่าที่หลิวหลงซินเคยเป็นให้ได้

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×