คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Dried bloody RIVER
แบบฟอร์มอื่นๆ
“ออกๆมาเถอะ การเป็นนักล่าอสูรมันก็ไม่ได้เงินเดือนดีขนาดนั้น ถ้าเทียบกับประกันชีวิตที่แกจะเอาไปตาย”
“เดี๋ยวนี้ยังมีพวกเอาชีวิตมาเสี่ยงอยู่เรื่อยๆรึไง?”
บท : อดีตเสาหลัก
สกุล-ชื่อ: คามุย มิซุ (Kamui Mizu)
ชื่อเล่น,ชื่อเรียก: อาจารย์มิซุ (Mizu sensei)
อาชีพ : อดีตเสาหลักวารี , ปัจจุบันเป็นอาจารย์สอนปราณวารี
อายุ : 40 (แต่หน้ายังดูเหมือนสามสิบต้นๆ)
นิสัย :
มิซุเป็นนักดาบสาว ไม่สิ อดีตนักดาบสาวรุ่นใหญ่ที่มีหน้าตาขมึงตึง เข้มแข็ง และดูป่าเถื่อนไม่น่าคบหาเท่าไหร่นัก
ผนวกกับน้ำเสียงโทนทุ้มต่ำด้วยแล้ว เรียกได้ว่าเหมือนพวกกุ๋ยหรือยากูซ่าที่ไม่น่าเข้าหาแบบหนักหน้าเข้าไปใหญ่เลย ไหนจะพวกคำพูดแทงใจดำเอยอะไรเอยที่หล่อนจะเอ่ยออกจากปากโดยไม่ยากเย็นนักราวหัวใจด้านชาไปแทบทั้งหมด ผู้หญิงคนนี้ดูไร้ความรักและปราณีไม่เว้นแม้กระทั่งศิษย์ที่มาเรียนปราณโดยสิ้นเชิง
เหล่าๆศิษย์และผู้ใช้ปราณวารีจากสำนักนี้ที่รอดมาได้ทั้งหลายมักเบือนหน้าหนี พวกเขาไม่อยากจะพูดถึงความโหดและรุนแรงอย่างตรงไปตรงมาทั้งด้านการกระทำและคำพูดของคนที่ถูกเรียกว่าอดีตเสาหลักวารีหญิงท่านนี้
มิซุค่อนข้างตรงไปตรงมาและพูดคำไหนคำนั้น ไม่มีการโกหกหรือคำพูดที่ออกมาจากปากเพื่อเยินยอหรือเป็นคำลวงหลอกปลอมๆแม้แต่คำเดียว หล่อนมักให้เหตุผลบอกใจตัวเองเสมอว่าการยอหรือพูดว่าใครสักคนเก่งแม้ว่าเขาจะเก่งจริงอาจทำให้เกิดการเหลิงหรือหลงตัวเองและเอาชีวิตไปเสี่ยงตายบุกสู้อสูรได้ อีกอย่างมิซุเป็นคนที่พูดคำว่าในเชิงสร้างสรรค์ออกมาได้ไม่เต็มปากนัก แต่ก็ไม่รู้ตนเองเหมือนกันว่าทำไม
อย่างไรเหรียญก็ย่อมมีสองด้าน คามุย มิซุยังเคยเป็นคนที่เคยอ่อนไหวและอ่อนแอในอดีต เธอมีด้านที่ประณีประนอมและจิตใจดีจากใจจริง มิซุต้องการให้ศิษย์ทุกคนเก่งและปลอดภัย เธอไม่ต้องการให้พวกเขาสู้ ฝืนหรือโหมตัวเองและตายลง เพียงแต่ไม่รู้ว่าควรสื่อสารหรือทำยังไงจึงแสดงออกในด้านแข็งกร้าวเหมือนหินเช่นนั้น
ประวัติ :
ตอนแรกเธอไม่ได้มีชื่อมิซุเสียด้วยซ้ำ
คามุย มิซุในอดีตจำตนเองไม่ค่อยได้นัก หรือจะว่าไม่อยากจำก็ว่าได้
เธอเป็นลูกสาวของนักจูนเนอร์รถและครอบครัวเป็นนักซิ่ง ตั้งแต่เกิดมีชื่อโดยพ่อแม่ตั้งให้ว่าเอโตะ
แต่ใช่ว่าในตอนยังเล็กจะเป็นเหมือนปัจจุบัน เอโตะได้รับความอบอุ่น การเอาใจใส่และความอ่อนโยนราวกับเจ้าหญิงน้อย แม้ว่าจะอยู่กลางพวกทำงานนักแข่งนักซิ่งแบบนี้ แต่มิซุก็จำตัวเองที่ยังเป็นเอโตะในตอนนั้นได้เสมอว่าญาติๆ แม่และพ่อมีมุมพิเศษที่เลี้ยงดูเธออย่างเป็นที่รัก
เอโตะชอบเล่นไวโอลิน แม่ของเธอเป็นนักดนตรีคนเดียวในบ้านเสียก็พอเหมาะพอดี บวกกับทรัพย์สินและเงินทองที่มีมากพวกเขาก็ส่งเธอไปเรียนไวโอลิน และเล่นคู่กับคุณแม่ที่เล่นเปียโน
เกิดเรื่องน่าเศร้าขึ้นในวันหนึ่งที่เธอและแม่ไปงานเลี้ยงของเพื่อนสนิทบนเรือหรู แต่เกิดโศกนาฏกรรมที่เรือล่ม แม่บังเกิดเกล้าของเอโตะตาย หล่อนก็แทบตายแต่เจ้าหน้าที่มาช่วยทัน นั่นทำให้หล่อนกลัวน้ำ หรือแม้แต่การสัมผัสน้ำไปในระยะยาว ดีที่มีการปลอบประโลมจากคุณพ่อและญาติที่เหลือ แต่ตอนนี้ก็ไม่เหลือคนที่เล่นเปียโนและคอยสอนด้านดนตรีเธออีกต่อไปแล้ว
แต่โศกนาฏกรรมก็เกิดขึ้นอย่างซ้ำซ้อนอีกครั้ง เอโตะพบสิ่งมีชีวิตประหลาดที่มาทราบภายหลังว่ามันคืออสูรฆ่าล้างครอบครัว เธอเกือบจะถูกเอาชีวิตและถูกเอาตาขวาไป ยังคงโชคดีอีกครั้งที่ตอนนั้นมีนักล่าอสูรเข้ามาฆ่าอสูรและสามารถยื้อจนเช้าได้โดยชัยชนะเป็นของนักล่าคนนั้น
เอโตะก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมโชคชะตาต้องเล่นตลกไม่เอาวิญญาณเธอไปทั้งที่เธอเป็นแค่เด็กอ่อนแอและไร้ค่า เอโตะร้องไห้อย่างหนักหลายวันหลายคืนจนพูดไม่รู้เรื่อง นักล่าอสูรและคาคุชิพาเธอมาหาอาจารย์ฝึกปราณ อาจารย์คนนั้นตั้งชื่อใหม่ให้ว่ามิซุที่แปลว่าสายน้ำให้สอดคล้องกับลักษณะของเธอและปราณที่กำลังจะศึกษา เขายังให้ผ้าปิดตาเพื่อปกปิดบาดแผลที่อสูรสร้างในวันก่อน มิซุฝึกฝนปราณอย่างกล้าๆกลัวๆ เธอเป็นเด็กผู้หญิง และไม่คิดจะจับดาบ ทำให้ท้อแท้และถูกดูถูกจากพวกผู้ชายบ่อยครั้ง ในที่สุดมิซุก็ถูกส่งมาสอบคัดเลือกเพื่อเข้าร่วมหน่วย
เหมือนเป็นโชคอีกครั้งที่มิซุรอดมาได้ แต่เธอสูญเสียเพื่อนร่วมสำนักและอีกหลายคนที่เจอและบอกว่ามาเป็นเพื่อนกันระหว่างทาง หัวใจดวงน้อยๆเริ่มซึมซับความเจ็บปวดและปลอบใจตนเองว่าหากเดินในเส้นทางนี้แล้วต้องสูญเสียอีกมาก
เธอพยายามทำตัวให้เงียบขรึมและสงบเสงี่ยมที่สุดเพื่อปกปิดความอ่อนแอในใจที่มีสูงสุด มิซุไม่ได้เป็นอัจฉริยะอะไร เธอขึ้นเป็นเสาหลักเมื่ออายุ20ต้นๆจากการเป็นนักล่าอสูรหลายปีแต่เด็ก
เมื่อดำรงตำแหน่งได้ไม่นาน เธอก็พบกับเด็กๆและผู้สืบทอดมากมายที่พอเป็นเพื่อนคุย เสาหลักหลายท่านในช่วงนั้นก็คอยเป็นกำลังใจและเซฟโซนที่ดี มิซุมีแรงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยไฟที่จะล่าอสูรต่อไปและไม่ค่อยกลัวอะไรอีกแล้ว ทว่าเป็นอย่างที่บอก ทางเดินในฐานะของนักล่าอสูรเต็มไปด้วยเลือดและหนาม เด็กๆที่เข้าหน่วยตั้งแต่ตัวเล็กๆอายุสิบสามสิบสี่ ไม่ก็ผู้สืบทอดต่างล้มหายตายจากไปหมด มันเป็นฝีมือของอสูร
มิซุไม่ได้อยากโทษลูกศิษย์ผู้เป็นผู้สืบทอดปราณที่ง่ายที่สุดอย่างปราณวารีที่ประมาทเลิ่นเล่อจนถูกฆ่า เธอพยายามแล้วที่จะมองโลกในแง่ดีและเห็นว่าทุกคนที่เข้าไปสู้อสูรเพราะหวังให้พวกมันหมดไปหรือต้องการแก้แค้น และพวกเขาก็จะต้องไปอยู่ในที่สบายๆที่ควรอยู่
แต่เสาหลักก็เช่นกัน เสาหลักรุ่นเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว พวกเขาก็ไม่ได้กลับมาครบสามสิบสองหรือมีลมหายใจ
การสังหารราชาอสูรเป็นเป้าหมายที่ไกลและห่างเหินของมนุษย์ แม้ว่าจะมีปราณหรือดาบนิจิรินก็ตาม...
เธอที่ทนเห็นการสูญเสียภายในหน่วยและองค์กรที่เกี่ยวข้องไม่ไหว หัวใจเธอบอบช้ำและด้านชาหมดแล้ว เธอก็เลยวางมือจากตำแหน่งเสาหลักวารี แต่ท่านเจ้าบ้านหรือผู้นำก็วอนขอให้คนมีฝีมือแบบเธอยังคงดูแลอยู่ห่างๆหรือเป็นเหมือนอาจารย์ฝึกปราณ
เพราะไม่มีอะไรที่จะทำได้ มิซุจึงทำหน้าที่นี้ เธอพยายามอย่างมากที่จะปกปิดความลับ ไม่เกี่ยวข้องกับภารกิจหรืองานล่าอสูรโดยตรง มีหน้าที่แค่ฝึกสอนและคอยชี้นำ สอนปราณ...แต่ก็เหมือนกับการพาคนไปตายอยู่ดี
ตัวอย่างคำพูด :
ออกไปซะเถอะ
ฉันไม่ใช่เสาหลักแล้ว ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับอสูรแล้ว
ไปตายซะ ถ้าแค่ผ่าหินยังทำไม่ได้ ก็ฆ่าอสูรไม่ได้แล้วล่ะ
ถามว่าทำไมต้องพูดตรงๆเหรอ? จะให้พูดเอียงเหรอวะ แล้วพูดเอียงนี่ยังไง?
ปราณและกระบวนท่า : ปราณวารี แต่ไม่ได้ใช้แล้วในตอนนี้ เพียงแค่สอนศิษย์เท่านั้น
อาวุธ : ตอนนี้ก็ไม่ได้ใช้แล้ว
ความสามารถอื่นๆ : การเล่นไวโอลิน,มวย,ยิงปืนได้ในระยะหนึ่ง,ขับรถได้ทุกคันด้วย
อื่นๆ :
-ไม่ค่อยอยากรับลูกศิษย์ แต่ก็ต้องทำใจรับ ถ้าใครฝึกนานหรือมีวี่แววไปไม่รอดก็ไล่ออก เพราะตัวเองไม่อยากให้คนไปตายเยอะ
-รู้จักดีกับเสาหลักตะวัน เสาหลักหินผา เพราะเคยเจอแวบๆ และเสาหลักวารี(เพราะเป็นศิษย์นี่นา)
-เคยปะทะกับข้างขึ้นที่สี่ แต่ไม่รู้ผล ต้องล่าถอยเพราะนักล่าที่เป็นผู้สืบทอดตายเยอะ
-เป็นคนฝึกสอนเสาหลักวารีคนปัจจุบัน ก็ยังงงๆว่าทำไมเขามีอีกฉายาว่ามิซุเหมือนชื่อตัวเอง แล้วก็เคยเขียนขอร้องให้กลับมารับตำแหน่งเสาหลักจริงๆด้วย...แต่ มันเป็นคำสั่งท่านเจ้าบ้านไง
-เคยอยู่ในรุ่นที่มีเสาหลักโกโจ ซาโตรุ แต่ช่วงนั้นแหละที่มิซุออกมาจากหน่วย
-ส่วนสวมบทบาทตัวละครเพื่อตอบคำถาม-
สถานการณ์ที่1 :
รู้สึกยังไงกับอสูร
: พวกชอบล้างผลาญที่ฆ่าเด็กๆของฉัน แต่กับตัวเองล่ะก็...ช่างเถอะ มันเป็นอดีตไปนานแล้วล่ะ
ความคิดเห็น