เพราะว่ารักถึงต้องทำ - เพราะว่ารักถึงต้องทำ นิยาย เพราะว่ารักถึงต้องทำ : Dek-D.com - Writer

    เพราะว่ารักถึงต้องทำ

    ผมเป็นฆาตกร ที่ฆ่าเพื่อนเพราะความรัก ฟังดูโหดร้ายมากเลยใช่มั้ยครับ ผมก็ว่าโหดร้าย งั้นลองมาฟังหน่อยมั้ยครับ เรื่องของผม

    ผู้เข้าชมรวม

    696

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    696

    ความคิดเห็น


    3

    คนติดตาม


    1
    หมวด :  รักดราม่า
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  18 ก.ค. 52 / 08:43 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      ผมเป็นฆาตกร ที่ฆ่าเพื่อนเพราะความรัก
      ฟังดูโหดร้ายมากเลยใช่มั้ยครับ ผมก็ว่าโหดร้าย

      งั้นลองมาฟังหน่อยมั้ยครับ เรื่องของผม
      .     
      .
      ผมเป็นคนที่ได้รับความรักจากสาวๆมากมายจนแทบจะทิ้งขว้างได้อย่างสบาย
      แต่ในขณะเดียวกันที่ผมเองก็ไม่รู้จักการค้นหารักด้วยตัวของตัวเอง

      อะไรคือสิ่งที่เรียกว่ารักแท้? ความรู้สึกดีๆเหรอ? แล้วเนื้อคู่ล่ะ
      เรื่องแบบนี้
      -----------ผมจะมีกับเขาบ้างไหม------------
      หรือว่าผมต้องออกตามหาเองถึงจะเจอ
      แล้วเมื่อไหรจะเจอล่ะ อีกนานมั้ย
      ยังไงดีล่ะ

      ผมก็ไม่รู้ว่าผม ตั้งคำถามพวกนี้ไว้ถามใคร และให้ใครตอบ
      เพื่อนเหรอ? ไม่หรอก….ถ้าพวกมันได้ยินก็หัวเราะตายเลย
      เรื่องพวกนี้ ผู้หญิงเขาพูดกัน ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเรื่องที่ผู้หญิงพูดกัน
      ผู้ชายถึงเอามาพูดบ้างไม่ได้ มันน่าอายเหรอ
      งั้นผู้ชายอย่างผมก็แย่สิ จะเอาเรื่องพวกนี้ไปปรึกษาใครได้ เสียเปรียบจัง…

      วันนี้ผมได้ยินเพื่อนผู้หญิงคุยกันเรื่องแฟนของพวกหล่อน มุมมองของพวกเธอฟังแล้วแปลกหูดี
      ‘อยากให้เขารักเราคนเดียวตลอดไป’
      ‘อยากนั่งคุยกันนานๆสองต่อสอง’

      งี่เง่า ใครจะรักผู้หญิงคนเดียวให้โง่ล่ะ
      พวกผู้ชายน่ะ เกิดมาพร้อมกับความเจ้าชู้อยู่แล้ว
      ผู้ชายที่รักเดียวใจเดียวน่ะหาอยากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรซะอีก
      พวกผู้หญิงเองก็เอาแต่ขอให้เขารักอยู่ได้ ไม่รู้ว่าพวกหล่อนเคยให้อะไรกับพวกผู้ชายอย่างผมบ้าง
      ถึงได้ขอนักขอหนา

      ผมเองก็เอาแต่วิจารณ์คำพูดของพวกหล่อนอยู่ในใจ และความคิดของผมก็หยุดกึ้ก เมื่อได้ยินคำพูดประโยคหนึ่งเข้า
      ‘อืม- - เราอยากรักคนที่เรารักไปนานๆ ถึงแม้จะไม่สมหวังก็เถอะนะ เห็นเขามีความสุขก็ดีแล้วล่ะ’
      เป็นประโยคที่สะกิดใจผมมาก ใครกันที่พูดประโยคนี้ ผมค่อยๆหันตัวไปมอง

      ‘เธอ’ที่อยู่ในวงสนทนานั้นเป็นผู้จูงสายตาผม จำได้ว่าเคยคุยกับเมื่อตอนเปิดเทอมบ้างแล้วนิดนึง
      หน้าตาเธอก็น่ารักตรงสเป๊ค ฐานะ การเรียนก็ดี
      แต่ที่ถูกใจผมไปกว่านั้นคือ ประโยคที่หลุดมาจากปากอันเรียวบางของเธอมันโดนใจผมมาก
      แล้วจู่ๆผมก็แปลงร่างเป็นกวีขึ้นมา

      จะใช่เธอรึเปล่า- - -คนที่จะเข้ามาเป็นคู่แท้
      จะคือเธอแน่รึเปล่า- - -คนที่จะมาเป็นคนคอยห่วงใย
      และจะได้เธอมารึเปล่า ถ้ามัวแต่มองเธออยู่อย่างนี้ ห๊ะ!?!~ ไอ้ซื่อบื้อ

      ใช่เลย! ผมลุกจากเก้าอี้อย่างรีบร้อน สายตาจับจ้องไปที่ “เธอ” เมื่อปลายเท้าหยุดลงตรงข้างหน้าเธอ
      ผมเริ่มรู้สึกงงกับตัวเอง อะไรที่ทำให้ผมขาดสติได้ถึงขนาดนี้
      . . .ความรักเหรอ?. . .
      ผมมีแล้วเหรอ!~ ทั้งๆที่เมื่อกี๊ยังนั่งถวิลหา แต่ทำไมถึงได้มาอย่างรวดเร็วขนาดนี้ล่ะ
      แล้วความรู้สึกหนักอึ้งนี่มันคืออะไรกัน ทำไมหน้าผมถึงร้อนผ่าวนัก
      ผู้หญิงที่ยืนต่อหน้าผมเวลาที่จะสารภาพรักต่อผมมีความรู้สึกอย่างนี้เองเหรอ ผมรู้สึกสงสารพวกหล่อนจัง
      รู้สึกผมจะกลายเป็นเป้าสายตาภายในห้องซะแล้ว ก็แน่ล่ะ ลุกพรวดพราดมาจากเก้าอี้แล้วเดินตึงตังขนาดนั้น
      แถมมายืนต่อหน้าวงสนทนาของผู้หญิงเสียด้วย ใครเค้าก็มองด้วยความสงสัยอยู่แล้ว
      รู้สึกว่าจะถอยไม่ได้แล้วสิ บ๊ะ! เอาไงเอากันวะ

      ตอนนี้ . . . สายตาของผมและของเธอกำลังประสานกัน
      ถ้าพูดไปตอนนี้เธอคงรู้แน่ว่ากำลังพูดกับเธอ อาจเป็นอะไรที่ห่ามๆไปนิด และก็เป็นอะไรที่ไม่แน่นอน
      เพราะไม่รู้ว่าคำตอบของเธอจะออกมาในลักษณะไหน แต่ผมก็ไม่คิดถึงอะไรแล้ว. . . . .!?!~

      “เราชอบเธอ คบกันได้มั้ย”

      เหมือนบรรยากาศในห้องมันเป็นใจยังไงก็ไม่รู้ทุกคนเงียบกันหมดเหมือนผีเดินผ่าน
      เมื่อตอนที่ผมหลุดประโยคนั้นออกมา
      แล้วรู้สึกว่า ทุกคนจะได้ยิน. . . . . . อ๊าก------ก ผมอยากจะร้องขึ้นมาอย่างนั้น
      อาย อายมากๆ ทำไมพึ่งจะมารู้สึกเอาตอนนี้ฟะ โถ่โถ่โถ่
      ตอนนี้เพื่อนในห้องเริ่มส่งเสียงล้อเลียนเข้ามา บ้างก็ส่งเสียงวี้ดวิ้ว บ้างก็ตะโกนมาไม่ก็ตบมืออย่างสะใจ
      แล้วถ้าเธอไม่ตอบรับผม เรื่องของผมไม่กลายเป็นเรื่องให้น่านินทาอันดับ1ของสัปดาห์ให้มันส์ขี้ปากชาวบ้านหรือเนี่ย
      โห่. . .หมดกั. . .

      “เราเองก็สนใจนายอยู่เหมือนกัน”
      ……………………..
      และนั้นคือประโยคที่หลุดออกมาจากปากอันเรียวบางของเธอ
      ทำเอาสมองผมหยุดกึ้กไปทันที โอ๊ะ!~รู้สึกว่าจะไม่ใช่แค่สมองของผมซะแล้วแต่รวมไปถึงเพื่อนๆในห้องด้วย
      แต่นี่มันจริงเหรอ ! จริงเหรอเนี่ย!! ผมดีใจจนแทบอยากจะร้อง Yahoo ออกมาดัง
      แต่เพื่อรักษาภาพพจน์คงต้องเก็บเอาไปร้องในใจแทน
      หลังจากนั้นผมกับเธอก็อยู่ด้วยกันบ่อยขึ้น ทำอะไรร่วมกันมากมาย
      กลับบ้านด้วยกัน โทรศัพท์หากัน ทานข้าวหรืออ่านหนังสือด้วยกัน
      อะไรต่อมิอะไรมากมาย แต่ผมยังไม่คิดที่จะทำอะไรเกินเลยหรอกครับ
      ผมต้องการที่จะทะนุถนอมเธอมากกว่า ที่จะย่ำยีเธอเหมือนที่ผมเคยทำกับผู้หญิงคนอื่น
      มันดูเป็นPuppy Loveมากครับ ใครจะคิดว่า Play boyอย่างผมจะมีอิมเมจอย่างนี้อยู่ในตัวบ้างล่ะ
      แต่พอยิ่งคิดถึงประโยคที่เธอเคยพูด

      ‘เราอยากรักคนที่เรารักไปนานๆ ถึงแม้จะไม่สมหวังก็เถอะนะ เห็นเขามีความสุขก็ดีแล้วล่ะ’

      เขาคนนั้นที่เธอพูดถึงคือผมรึเปล่านะ. . . แต่ถ้าไม่ใช่ เธอคงไม่ยอมคบกับผมหรอก
      ถ้าใช่ ผมจะรู้สึกภูมิใจในตัวเองมาก. . . เพราะมีคนที่ปรารถนาให้ผมมีความสุข และยังรักผมขนาดนั้น
      ผมเองก็จะตอบแทนเธอด้วยความปรารถนาที่ดี และจะมอบความรักให้อย่างสุดซึ้งเลย

      ผมได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่างในตัวเธอ แล้วเธอก็สอนอะไรหลายๆอย่างให้กับผม
      ผมเริ่มคิดว่า คู่รัก ไม่ได้เป็นของกันและกันเสมอไป
      แต่คู่รัก. . . คือคนสองคนที่อยู่ร่วมกันและผูกพันกันด้วยความเชื่อใจกันมากกว่า
      ถ้าไม่เชื่อใจกัน ก็ไม่ใช่คู่ เหมือนที่พวกผู้หญิงอื่นคิดกับผม
      ผมคิดว่าเราสองคนเชื่อใจกัน แต่ผมเอง. . . ก็อดคิดไม่ได้ว่า เธอเป็นของผม
      ความคิดชั่งขัดแย้งกันเหลือเกิน สับสนจัง. . .

      และความสับสนก็ยังมีต่อไปเรื่อยๆ
      แต่เมื่อเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น. . . . . . . . ความสับสนของผมก็หายไปในพริบตา

      “รักเธอ”

      ขอบอกก่อนนะครับว่าประโยคนี้ผมไม่ได้พูดกับเธอ
      แต่เป็นผู้ชายที่อยู่ในห้องเรียนกับเธอสองต่อสอง โดยที่มีผมยืนอยู่หน้าห้องคอยเธอได้ยินเข้า
      ‘บังอาจ’
      ในหัวผมมีคำๆนี้ผุดขึ้นมา มันกล้ามากที่มาเจ๊าะแจ๊ะกับเธอของผม
      แล้วเลือดก็ขึ้นหน้าทันที ผมก้าวเท้าออกไปแสดงตัว ดูเหมือนหมอนั่นจะตกใจไม่น้อย
      เธอเองก็ดูตกใจมากเหมือนกัน
      ผมจ้องหน้ามันซักพัก แล้วก็เดินตรงรี่ไปหามัน ในหัวผมกำลังคิดว่า ต่อยหรือถีบดี
      อย่างนี้ต้องสั่งสอนซะบ้าง ว่าของใครเป็นของใคร

      ‘หมับ’

      อุ้งมือน้อยๆของเธอมารั้งผมไว้ แต่มันก็น้อยจริงๆแหละครับ
      เพราะมันไม่ได้ช่วยยั้งร่างของผมไว้ได้เลย
      และตอนนี้ผมก็หยุดตัวเองไม่ได้ซะแล้ว
      ผมเลือกต่อยบนใบหน้าของมัน โดนเข้าจังๆเลย ตัวของหมอนั่นแทบทรุดแน่ะ
      ผมเริ่มถาม
      “เอ็งมายุ่งอะไรกับแฟนข้า! อยากตายนักรึไง”
      “. . . . . . . . “
      ผมรู้ว่ามันเป็นคำถามที่ไม่จำเป็นต้องตอบ
      แต่พอเห็นหมอนั่นไม่ตอบอะไรกลับมา มันยิ่งทำให้ผมยั้วะเข้าไปใหญ่ ก็เลยเสยคางเข้าให้อีกหมัดหนึ่ง
      ปากกาที่อยู่ในมือหมอนั่นหล่นลงกับพื้น ตอนนี้มือข้างนั้นของหมอนั่นกำลังกำอากาศซะแน่น
      ดูท่าทางมันจะเอาคืน นั่นไงว่าแล้ว ขอบอกว่าหมอนั่นพุ่งเข้ามาอย่างไร้ทักษะมาก
      แน่นอน ผมหลบได้อยู่แล้ว แถมยังยิ่งใส่ที่ขมับมันอีกชุดแน่ะ

      ‘ตุบ’เสียงหมัดของผม . . . แล้วก็’ตุบ’ เสียงหมอนั้นล้มลงกับพื้น

      จบแล้ว สำหรับการต่อสู้
      ผมชนะ

      แต่. . . เธอกลับร้องไห้ เหมือนผมเป็นผู้แพ้

      “ทำไมถึงทำอย่างนี้” เธอถาม
      ผม. . . ก็ไม่รู้ ก็เลยเงียบ
      “ไม่เชื่อใจกันแล้วเหรอ?”เธอถามอีก
      เชื่อใจเหรอ ผมน่ะเชื่อใ. . .
      . . . อะไรที่ทำให้ผมพูดไม่ได้ หรือจริงๆแล้วผมไม่ได้เชื่อใจเธอ
      ถ้าไม่ได้เชื่อใจกัน ก็ไม่ใช่คู่รักกันน่ะสิ

      ผมยืนอึ้งอยู่พักหนึ่ง ส่วนเธอวิ่งหนีหายไปแล้ว
      จะหายไปตลอดกาลรึเปล่าก็ไม่รู้ แต่ตอนนี้ผมรู้สึกแย่มากๆ
      ผมจะทำยังไงกับร่างไอ้หน้าจืดนี่ดีล่ะเนี่ย ดูท่าทางแค่สลบไปเท่านั้น
      ฟ้าข้างนอกก็เริ่มทะมึน ฝนก็ใกล้จะตกแล้ว
      ผมตัดสินใจเดินออกจากห้องไป ทิ้งร่างของหมอนั่นให้นอนอยู่ตรงพื้นห้องเรียน
      เดี๋ยวฟื้นขึ้นมาก็คงกลับบ้านไปเองแหละ
      ส่วนผม. . . จะไปอยู่ไหนดีล่ะ

      เพราะทุกๆที่ๆเดินผ่านก็เคยเดินมากับเธอ
      รถเมล์สายที่นั่งอยู่ก็เคยนั่งกับเธอ
      บ้านที่ผมต้องกลับก็เคยกลับมาพร้อมกับเธอ
      สิ่งของภายในบ้านก็เคยถูกสัมผัสด้วยปลายนิ้วของเธอ

      ไม่ว่าผมจะทำอะไรก็พาลเอาแต่คิดถึงแต่เธอ
      อยากจะไปไหนสักที่ที่ไม่มีเธอ
      ผมลืมวิธีการดำรงชีวิตที่ปราศจากเธอไปซะแล้ว
      ตอนนี้เองก็เหมือนมีลางสังหรณ์ว่าเธอจะไม่กลับมาหาผมแน่นอน
      ผมไม่เชื่อใจเธอที่เห็นเธอไปเจ๊าะแจ๊ะกับผู้ชายคนอื่น
      อาจเป็นเพราะกลัวเธอจะเปลี่ยนใจไปจากผม. . .

      ผมชักงงกับนิยามของคู่รัก

      ‘ไม่ใช่ของกันและกัน. . .แต่อยู่ร่วมกันด้วยความเชื่อใจ’

      แต่ผมกลับมองเธอเป็นของๆผม และผมก็ไม่เชื่อใจเธอ

      หมดสิ้นกันชีวิต

      ผมทิ้งตัวลงบนลงโซฟาในห้องรับแขกที่บ้าน
      นอนคิดอะไรเรื่อยเปื่อย. . . สายลมพัดเอากลิ่นฝนโชยเข้าจมูกผม
      เป็นกลิ่นที่รู้สึกดีจริงๆ แล้วฝนก็เริ่มลงเม็ด. . . .
      จากเบาๆ. . . . เริ่มแรงขึ้น .. .. แรงขึ้น ……. แรงขึ้นเรื่อยๆ
      ผมไม่ได้สนใจเสียงฝนนักหรอกครับ แต่สายลมที่ผมมานี่มันเย็นสบายจนน่านอน
      ถ้ามันพัดเอาความเลวร้ายที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้หายไปได้ ก็คงจะดีไม่น้อย
      ดี ไม่น้อย. . . . . .
      ………………………………………

      ผมตื่นขึ้นด้วยเสียงกริ่งหน้าบ้าน ปรากฏว่ามันเช้าแล้ว
      ผมยังใส่ชุดเดิมของเมื่อวาน แล้วก็ยังนอนอยู่บนโซฟาเหมือนเดิม
      เมื่อวานนี้ พ่อแม่คงไม่ได้กลับเข้ามาในบ้านสินะ

      ผมลุกขึ้นไปดูหน้าบ้านว่าใครมา
      ตำรวจสองนายยืนอยู่หน้ารั้ว ผมงงมากว่าเค้ามาทำไม
      ทั้งสองพาผมไปที่โรงพัก ผมก็ตามเค้าไปอย่างว่าง่าย

      พอถึงที่โรงพัก ผมก็พึ่งรู้สึกตัวว่าผมเป็นผู้ต้องหาคดีฆ่าคนตาย
      ผมตกใจมาก. . .ผมฆ่าใคร? แล้วใครที่ถูกผมฆ่า? ผมถามตำรวจอย่างกระวนกระวายใจ

      ตำรวจนายหนึ่งยื่นรูปมาใบนึงแล้วก็พูดต่อว่า
      “นี่คือคนที่พยานชี้ตัวนายว่าเป็นคนฆ่า มีรอยนิ้วมือนายอยู่ตามร่างกายของเค้า แล้วทางเรา
      ได้สอบถามจากผู้หญิงที่อยู่ในเหตุการณ์นี้แล้ว เธอได้เล่าถึงรายละเอียดทั้งหมดให้เรารับทราบแล้ว
      เพราะฉะนั้นเรามีพยานว่านายเป็นคนลงมือฆ่าเค้า”
      ผมฟังก็ยังงง จนผมพลิกรูปดู
      ‘หมอนั่น’น่ะเอง
      ผมฆ่ามันเหรอ ผมเพียงแค่ต่อยจนสลบเท่านั้นเองไม่ใช่เหรอ

      ตำรวจก็ยังพูดต่อไปอีกว่า
      “เราพบศพอยู่ตรงถนนทางเดินที่โรงเรียนเธอ เค้านอนแน่นิ่งอยู่กับพื้น สันนิษฐานว่า น้ำคงจะท่วมพื้นถนน
      ตอนที่เค้าหมดสติ เธอก็น่าจะรู้ดีหนิ. . . เวลาน้ำท่วมบริเวณนั้น มันลึกขนาดไหน”

      รู้สิครับ ถึงเข่าเชียวแหละ. . . พื้นตรงนั้นมันต่ำมาก
      ตะ. . . แต่ว่า.

      “ทางเราคงจะต้องให้เธอไปอยู่สถานกักกัน”
      สถานกักกันงั้นเหรอ. . .

      “เธอจะยอมรับมั้ย ว่าเธอเป็นคนทำ”

      “ผม. . .” ผมเริ่มอ้าปากพูดหลังจากนั่งเงียบมานาน
      ‘สถานกักกัน’ ในหัวผมมีแต่คำๆนี้ ผมก็จินตนาการถึงสถานที่นั้น

      “ผมยอมรับครับ”
      ตำรวจมองหน้าผมอย่างตกใจที่เห็นผมยอมรับอย่างว่าง่าย โดยไม่มีการโต้แย้ง
      สถานกักกันคงเป็นสถานที่ที่ดี เหมาะสำหรับการลบเธอไปจากความทรงจำ
      เพราะเป็นที่ที่ไม่มีความทรงจำร่วมกับเธอ ดีแล้ว ดีแล้วแหละ. . .
      ผมจะไปเริ่มต้นใหม่ที่นั้น ที่ที่คนส่วนใหญ่เห็นมันเป็นจุดดับของอนาคต

      ผมถูกควบคุมตัวไว้ในเรือนจำ ป่านนี้พ่อแม่ของผมจะรู้เรื่องรึยังนะ
      ลูกชายเป็นฆาตกร. . . คงจะเสียใจน่าดู ผมอยากบอกว่า ขอโทษ ต่อพวกเค้าเสียเหลือเกิน

      รักครั้งแรก กับอกหักพร้อมกับความเลวร้ายครั้งแรก
      เปลี่ยนผันชีวิตผมได้ขนาดนี้เชียวหรือ เชื่อแล้วครับ ว่าความรักทำให้คนตาบอด
      กรณีผมน่ะ บอดสนิทเลย
      แย่ . . . แย่จริง. . . แย่มาก

      - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
      ผ่านจากเหตุการณ์นั้นมาได้ครึ่งปีแล้ว
      จนบัดนี้ ผมยังสงสัยว่าทำไมหมอนั่นถึงไปนอนอยู่บนพื้นถนนได้
      ผมทิ้งหมอนั่นไว้บนพื้นห้องเรียนไม่ใช่เหรอ คุณก็รู้นี่
      แต่ไม่ต้องมาเป็นพยานแก้ต่างให้ผมหรอกครับ
      ผมพอใจกับสภาพความเป็นอยู่ตอนนี้มาก
      เพื่อนก็มี อาหารฟรี แถมยังอร่อยอีกด้วย และตอนนี้ก็แทบไม่เหลือความทรงจำเกี่ยวกับเธอแล้ว

      แต่สิ่งที่ยังคาใจผมอยู่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
      . . . . . ทำไม ‘หมอนั่น’ถึงไปอยู่ที่ถนน . . . .
      คุณคงจะได้รู้ในเร็วๆนี้แหละครับ
      จาก
      ผม . . . ‘เขา’จากผู้ไร้เสียง

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×