คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : ๔
“คุณรามวันนี้ทานอะไรดีคะ” เสียงเจื้อยแจ้วแต่เช้าทำเอารามแทบสำลักเหล้าของตัวเองเข้าอย่างจัง เขารีบหันขวับไปยังทิศที่ธุวดารายืนกำตะหลิวอยู่ อีกมือหนึ่งโบกมือทักทายเขาอย่างกับอยู่ไกลกันเป็นโยชน์
“ฉันไม่ใช่เพื่อนเล่น อย่าให้มันมากนัก”
“โอเคค่ะ ฉันก็แค่ถามเฉยๆ ว่าวันนี้คุณจะทานอะไรไหมคะ”
“อะไรก็ทำมาเถอะ”
“รอสักครู่นะคะ ดาวเหนือโภชนาจะรีบจัดการให้เดี๋ยวนี้เลย” คนหน้าหวานยิ้มกว้างพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะเดินกลับเข้าห้องครัวไปจับกระทะจับตะหลิวทำอาหารอย่างรวดเร็วด้วยอารมณ์สุนทรีย์ร้องเพลงเต้นไปมาอย่างเพลิดเพลินระหว่างการทำอาหาร แม่สอนมาดีจนธุวดารามั่นหน้ามากว่าตัวเองทำอาหารเก่งพอๆ กับเชฟมิชลินสตาร์ ราวกับสืบสายเลือดมาจากชาววังก็ไม่ปาน
หญิงสาวไพล่คิดไปถึงอดีตคู่หมั้นที่นอกจากเธอจะไม่ได้เสียใจเท่าที่ควรแล้วยังรู้สึกโล่งใจแปลกๆ กับการได้เลิกกับเขา หรือว่าเธอจะไม่ได้รักเขาคนรักจริงๆ อย่างที่ดารกาบอกตอนที่ไปอาละวาดบอกเลิกก็เพราะแค่ผิดหวังว่าคนที่จะฝากชีวิตด้วยทำผิดลับหลังไม่ยอมบอกความจริงว่าเขายังรักสนุก เธอไม่ได้โกรธเขาเรื่องนอกใจด้วยซ้ำ
“เพราะหัวใจเธอมันขาดความรักที่มีให้ฉัน…” ขนาดร้องเพลงเศร้าเธอยังไม่อินเลย เริ่มรู้สึกผิดเองแล้วนะเนี่ยแต่ไม่เป็นไรเดี๋ยวยังไงฝึกไว้ไปรายการเพลงThe voices
“เธอช่วยหยุดแหกปากได้ไหม” หญิงสาวชะงักกึกตัวแข็งเมื่อได้ยินเสียงตะโกนมาจากด้านนอกก่อนจะแอบแง้มประตูออกไปดูรามที่นั่งขัดปืนอยู่ด้านนอก
“ห้องครัวไม่ได้เก็บเสียงหรอกเหรอคะ” เขาถอนหายใจอย่างเหลืออดก่อนจะปรายตามามองเธอเงียบๆ “ขอโทษค่ะเจ้านาย” โอเค ห้องครัวไม่ได้เก็บเสียง ธุวดาราคิดในใจก่อนจะยิ้มแหยๆ ให้เขาและกลับเข้ามายังห้องครัวเช่นเดิม
รามหันกลับมาหยิบปืนไปขัดต่ออย่างเงียบหากแต่มุมปากกลับยกขึ้นโดยไม่รู้ตัว คนอะไรมั่นใจว่าตัวเองเสียงดีขนาดนั้น ที่ร้องออกมานั้นมันเพี้ยนจนหูเขาแทบแตกเลย
“นาย” ทันใดนั้นพศินก็เดินเข้ามาหาหลังจากไปจัดการงานข้างนอกมา “วันนี้ผมไปอำเภอมาเขากำลังเตรียมจัดงานประจำอำเภออาทิตย์หน้าพอดี ปีนี้เห็นว่าจะจัดใหญ่ที่สุดเลย”
“ยังไงไร่ผลไม้กูก็ต้องได้รางวัลอยู่ดี”
“รางวัลผลไม้หวานดีเด่นก็ไม่เท่ารางวัลเทพีส้มเขียวหวานนะนาย” ใบหน้าหล่อเหลาเงยหน้ามองลูกน้องเล็กน้อยพลางเลิกคิ้ว
“ทำไม”
“ก็ปีนี้เขาให้คนเข้าประกวดได้ตั้งแต่อายุ 18 เห็นว่าคุณลุนตยาจะประกวดด้วย” เท่านั้นแหละรามก็วางปืนลงทันทีก่อนจะหันมาสนใจที่พศินพูดแทน
“เมยจะลงแข่งด้วยเหรอ”
“ครับนาย ปีนี้คนที่แต่งงานแล้วก็ประกวดได้ไม่ปิดกั้นครับ เห็นว่ารางวัลใหญ่กว่าทุกปี” ทันใดนั้นรอยยิ้มที่มีอยู่น้อยนิดอยู่แล้วก็หุบลงทั้งยังขบกรามด้วยความกรุ่นโกรธในใจ
“คอยดู งานนี้ไอ้แดนไทต้องโดนกูเหยียบจมดิน”
“นายแค่นี้เขาก็รู้ทั้งจังหวัดแล้วว่าจะนายจะไปแย่งเมียเขา เขาแต่งงานไปแล้วผมว่านายลองมองหาคนใหม่เถอะ”
เพล้ง!
แก้วเหล้าถูกขว้างลงพื้นต่อหน้าต่อตาเล่นเอาพศินแอบตกใจไม่น้อยและธุวดาราที่อยู่ในครัวต้องเปิดประตูออกมาดู
“มีอะไรกันเหรอคะ”
“มึงไม่ใช่พ่อกูไม่ต้องมาสอนกู” เขาชี้หน้าต่อว่าพศินเสียงดังลั่น “กูจะแย่งเมียมัน เมยควรจะเป็นของกูตั้งนานแล้วถ้าไม่มีไอ้แดนไทมายุ่ง”
“ครับนาย”
“หน้าด้านจัง” ธุวดาราพึมพำเบาๆ หากแต่รามกลับหูดีได้ยินก็ตวัดสายตาไปจ้องเธอบ้าง
“เมื่อกี้เธอพูดว่าอะไร”
“คุณพศินเขาพูดอะไรผิดเหรอคะทำไมถึงต้องว่าขนาดนั้นด้วย ฉันตกใจนะ” เธอเลี่ยงที่จะตอบรามไปเป็นพูดเรื่องอื่นแทน “ฉันว่าค่อยพูดค่อยจากันดีกว่า”
“ฉันเป็นนายใหญ่ที่นี่และฉันก็ทำได้ เธอมีหน้าที่แค่ดูแลบ้านไม่ใช่แม่ฉัน”
“ขอโทษครับนาย” พศินเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นเพื่อไม่ให้ธุวดาราต้องได้ประสบความเป็นสัตว์ร้ายในตัวของราม หากเธอได้เจอเกรงว่าคงจะเสียขวัญยิ่งกว่าเจอผีแน่ๆ “ต่อไปผมจะไม่พูดแบบนี้อีกแล้ว”
“ดี ถ้าอย่างนั้นมึงก็ไปสั่งดอกไม้ช่อที่สวยที่สุดดีที่สุดแพงที่สุดมาให้กู กูจะให้คนเอาไปให้เมยตัดหน้าไอ้แดนบนเวที” ยิ่งได้ยินพศินก็ยิ่งแอบหวั่นใจว่ารามจะผิดใจกับแดนไทและมีเรื่องต่อหน้าคนอื่น
“ฉันขอโทษนะคะที่มาขัด ฉันขอไปทำอาหารต่อ” เธอยิ้มแกนๆก่อนจะหมุนตัวเดินเข้าห้องครัวเช่นเดิม ยิ่งได้ยินสิ่งที่รามพูดเธอก็ยิ่งแอบรังเกียจการกระทำของเขา คนที่คอยแต่จะแย่งแฟนคนอื่นก็จะเอาอย่างเดียวโดยไม่นึกถึงใจคนที่โดนแย่งบ้าง ถึงวันนั้นถ้าคนที่ชื่อแดนไทไม่โกรธจนจะถล่มงานบ้างให้มันรู้ไป
“เตรียมพื้นที่ซุ้มของไร่เราให้ดีแล้วมึงก็ให้พวกหัวหน้าคนงานคอยประจำซุ้ม ยังไงไร่ของเราจะต้องได้ที่หนึ่งเหมือนเดิม”
“ปีนี้ซุ้มของไร่เราใหญ่มากกว่าปีที่แล้วแถมอยู่ข้างๆ กับไร่ไอ้ปราชญ์พอดีเลยครับ”
“กูไม่สนมันหรอก มันก็แค่วัชพืชต้นเดียวที่กูเหยียบมันได้เสมอ” เขาว่าพลางแสยะยิ้มนึกไปถึงคนอย่างปราชญ์ที่วันๆ ไม่ทำอะไรนอกจากกินบุญเก่าใต้เงาลุงตัวเองไปวันๆ
“แล้วเรื่องเทพีส้มเขียวหวานล่ะนาย ไร่เราจะส่งด้วยหรือเปล่า”
“ส่ง หาใครสักคนไปประกวดปีนี้ส้มเขียวหวานไร่เราผลผลิตดี”
“คนสวยๆ เหรอครับ แม่บ้านเมื่อกี้ไงนาย สวยอย่างกับนางฟ้า นายก็ส่งไปเลยสินาย”
“ไปหาคนอื่น เกิดส่งไปไร่กูได้อายเขาพอดี” เขากล่าวก่อนจะหยิบปืนขึ้นมาเดินออกไปด้านนอกด้วยอารมณ์สุนทรีย์ที่อยากจะฆ่าใครสักคน “ความสามารถไม่น่ารอด” แค่คิดถึงเสียงเพี้ยนๆ นั่นเขาก็ผวาแล้ว
“ขอโทษนะคะวันนี้จะมีใครไปตลาดไปในเมืองบ้าง” ทันใดนั้นธุวดาราก็เปิดประตูมาถามพศินที่ยืนคนเดียวในห้องโถงนั่งเล่น
“ในเมืองมันไกลจะไปก็นานๆ ทีแต่ช่วงนี้ก็ไปบ่อยหน่อยเพราะมีทำซุ้ม แต่ถ้าเธออยากไปเดี๋ยวฉันจะพาไปเพราะว่าฉันต้องไปเอาของในตัวอำเภอ”
“ถ้างั้นขอติดรถไปด้วยนะคะ พอดีฉันต้องไปซื้อโทรศัพ์ไว้โทรหาพ่อกับแม่แถมนุ่งผ้าซิ่นทำความสะอาดไม่ค่อยถนัดเลยอยากไปซื้อของด้วย”
“ได้สิ เดี๋ยวสักเที่ยงเธอก็มารอที่หน้าบ้านแล้วกันนะ”
“โอเค ขอบคุณนะคะ แล้วคุณมีโทรศัพท์ให้ยืมไหมคะ”
“ทำไมเหรอ”
“ว่าจะโทรไปหาอู่รถที่นั่งมาค่ะถ้าไปถึงอำเภอแล้ว พอดีกระเป๋าเสื้อผ้าข้าวของอยู่ในรถตู้โดยสารหมดเลย”
“ก็ไปที่ตัวอำเภอเลย เดี๋ยวพาไปไม่ต้องโทรหรอก”
“เอางั้นเหรอคะ ขอบคุณนะคะ” เพียงแค่ใบหน้าหวานแย้มยิ้มเบาๆ หัวใจของพศินก็มีอันเป็นต้องกระตุก คนอะไรทำไมน่ามองน่าดึงดูดตลอดเวลาขนาดนี้ อยู่ในบ้านกับนายตนจะไม่หวั่นไหวเลยเหรอ ถึงตอนนั้นรามก็คงล้มเลิกแผนการจะแย่งเมียชาวบ้านเสียที
เสียงเครื่องยนต์ซึ่งเป็นรถกระบะคันใหญ่ยกสูงดังลั่นมาจากนอกบ้าน ทำเอาธุวดาราที่กำลังหวีผมตัวเองต้องรีบทำเวลาให้เร็วขึ้น เธอใช้เวลาทั้งเช้าในการเช็ดถูบ้านของรามอย่างละเอียดจึงใช้เวลาไปมาก เวลาในการอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อใหม่จึงน้อยลงไป หญิงสาวส่องดูตัวเองในกระจกครู่หนึ่งก่อนจะรีบวิ่งลงไปด้านล่างโดยไม่ลืมหยิบกระเป๋าเงินของตัวเองที่มีติดตัวอยู่แค่อย่างเดียวลงไปด้วย
อย่างน้อยเรื่องดีๆ ของรามคือเขาให้เธอนอนที่ห้องชั้นบนเหมือนเดิม ทำงานเหมือนทาสแต่ได้นอนในห้องสวยๆ ดีๆ อ่างกับรีสอร์ตคืนละหลายพันเธอก็โอเคกับมันเหมือนกัน
“กว่าจะลงมาได้นะ” พศินแอบเหน็บเบาๆ หลังจากติดเครื่องรอธุวดาราคนเดียว
“ขอโทษพอดีทำงานกว่าจะเสร็จอ่ะ” เธอบอกอย่างรู้สึกผิดก่อนจะเลิกคิ้วสงสัยเมื่อพศินไม่ได้เดินไปนั่งที่คนขับรถกระบะคันใหญ่แต่เป็นรามที่เดินออกมาด้วยยืดสีขาวตัดกับผิวเข้มคร้ามแดด แอบเห็นอกแกร่งและกล้ามท้องนูนออกมาให้เห็นเล็กน้อย
โอ๊ย! น้ำลายจะไหล
“คุณไม่ได้จะมาขับรถคันนี้เหรอ”
“เปล่า ฉันต้องไปดูคนงานที่ไร่ คนที่ขับคือนายต่างหาก” ใบหน้าหวานกลืนน้ำลายทันทีที่ได้ยิน เขาไม่รู้จริงๆใช่ไหมว่าเธอแอบอ่านกินอยู่
“ทำไม ไปกับฉันแล้วมันจะตายเหรอ” เขาโพล่งขึ้นหลังจากเห็นสีหน้าคนตัวเล็ก ธุวดาราได้แต่ส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนจะช้อนตาขึ้นมองเขาอย่างหวาดๆก่อนจะเลื่อนลงมาจ้องกล้ามท้องใต้เนื้อผ้าอีกครั้ง
“ฉันว่าก็มีสิทธิ์” เขาเอียงคอขมวดคิ้วเข้มใส่เธอทันทีอย่างเอาเรื่องเมื่อได้ยิน แต่ดูไปดูมาธุวดาราก็น่าแกล้งไม่หยอก “ที่อำเภอมีเสื้อผ้าขายไหมคะ”
“เธอก็ไปเดินหาเองก็แล้วกัน ขึ้นรถ” เขาบอกปัดอย่างรำคาญก่อนจะเดินขึ้นรถไป ธุวดาราจึงไม่รอช้ารีบขึ้นรถตามอย่างรวดเร็วเดี๋ยวเขาไม่รอ
คราวนี้หากไม่มีกางเกงใส่คงต้องมีผ้าซิ่นหลุดให้อ่อยเขากันบ้างแล้วล่ะ
ธุวดาราคิดว่าบรรยากาศในรถมันชักจะเงียบมากเกินไปแล้ว ระหว่างทางไปตัวอำเภอซึ่งต้องใช้เวลาพอสมควรก็ไม่มีใครเริ่มพูดอะไรสักที มีแต่เธอที่สายตาล่อกแล่กไปหาคนข้างๆ ตลอดเวลา ทำท่าจะพูดก็ไม่กล้าจนต้องหุบปากกลางอากาศทุกที
“มีอะไรจะพูดก็พูดมา”
“เปล่าค่ะ”
“แล้วที่อ้าปากเมื่อกี้ เธออ้าไว้กินยุงหรือไง” อ้าวปากนี่นะ…
“ฉันก็แค่สงสัยว่าเมื่อวานก่อนที่คุณมาที่สระน้ำสีฟ้า คุณไม่ได้มาครั้งแรกใช่ไหม”
“…” รามเงียบไปไม่ยอมตอบทำเหมือนไม่ได้ยิน
“ปากคุณเวลาพูดมันจะมีดอกพิกุลร่วงเหรอ ทำไมต้องคีพลุคหน้าโหดไม่พูดไม่จาตลอดเวลาเลย” หญิงสาวถามหน้าซื่อตาใสขณะที่รามได้แต่โคลงศีรษะระอาใจเล็กน้อย “หน้าตาคุณก็หล่อขนาดนี้แต่คุณไม่ยิ้มเลย เสียดายจัง ถ้ายิ้มคงจะหล่อมากแต่หน้าปกติคุณก็หล่ออยู่แล้วนะ…”
“เธอเป็นใครถึงต้องมากะเกณฑ์ชีวิตฉัน” เขาตอกกลับมาเสียงเรียบทำเอาธุวดาราที่กำลังพูดอยู่เงิบเบาๆ
“ฉันขอโทษนะคะฉันแค่คิดในใจ”
“คิดในใจบ้านเธอสิดังขนาดนี้” คนหน้าหวานได้แต่ยิ้มแห้งๆ ก่อนจะหันไปเกาะกระจกมองทางที่รอบล้อมไปด้วยหุบเขาและป่าไม้ที่งดงามจนไม่อาจละสายตาไปได้ เมื่อถึงทางที่อยู่เลียบหุบเหวเมื่อมองออกไปยังภูเขาที่ไกลออกไปก็แอบเห็นน้ำตกไกลๆ อย่างงดงาม
“สวยจังเลยคุณ สวยแบบสวยอ่ะ”
“…” รามเงียบไปอีกครั้งและไม่ได้ตอบอะไรเธออีกเลยจนกระทั่งถึงที่หมายที่ตัวอำเภอ คนหน้าหวานมองไปทั่วตลอดทางก็เห็นว่าที่จริงนั้นตัวอำเภอดูไม่ได้ใหญ่มากแต่ก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันไม่น้อยแต่ที่ต่างออกไปคือที่นี่เหมือนกำลังจัดงานใหญ่แน่ๆ เพราะมีเค้าโครงซุ้มและเวทีต่างๆ อยู่กว้างทั่วทั้งตัวอำเภอ ตากลมหวานลุกวาวทันที
“เขาจะจัดงานอะไรคะคุณราม”
“ไม่เห็นชื่อบนป้ายหรือไง” จริงด้วย เหลียวมองป้ายงานหนึ่งในหลายใบก็เห็นชื่องานชัดเจน ธุวดาราเห็นแล้วก็แอบอยากเดินดู
เขาจอดรถบริเวณตลาดของอำเภอที่ไม่ค่อยมีของขายนักเพราะไม่ใช่เวลาเย็น ใบหน้าหล่อเหลาหันมาจ้องเธอเล็กน้อยก่อนจะเปิดปากพูด
“ให้เวลา 2 ชั่วโมงแล้วมาเจอกันที่นี่ อู่รถอยู่แถวนี้เดินตรงไปเลี้ยวซ้ายก็เจอ” ธุวดารายิ้มกว้างทันที
“โอเคค่ะ”
“เดี๋ยว!”
“คะ” หญิงสาวต้องชะงักลงเมื่อได้ยินเขาเรียกไว้พอหันกลับมาก็เห็นว่ารามยื่นเงินให้เธอ
“เอาไปซื้อของก่อนเถอะ มีแต่ตัวไม่ใช่หรือไง”
“ฉันก็พอมีเงินสดติดอยู่ค่ะ”
“เอาไปเถอะห้างเล็กๆ ที่นี่ทั้งของใช้เสื้อผ้าแพงกว่าข้างล่าง มันขนขึ้นมายากน่ะไหนจะโทรศัพท์ใหม่อีก” เขาบอกเสียงเรียบขณะที่ธุวดารายังคงลังเลไม่กล้ารับเงินนั้นมาเสียทีเดียวจนกระทั่งรามเป็นฝ่ายจับมือเธอไว้และวางปึกธนบัตรสีเทาให้แทน
“เอ่อ…ขอบคุณนะคะ” ว่าแล้วเธอก็ค่อยๆ เดินลงจากรถไปอย่างงงๆ อยู่ดีๆ เขาก็เป็นพ่อบุญทุ่มเสียอย่างนั้น รวยจริงๆ คนเช่นนี้เห็นว่าโหดร้ายน่ากลัวแต่ข้างในก็ดูมีน้ำใจไม่น้อย
แล้ววันหนึ่งเขาจะมีน้ำใจรักเธอบ้างไหมหนอก็ยากจะรู้
เมื่อธุวดารามองไปมารอบๆ ก็เห็นพวกชาวบ้านทำท่าหวาดกลัวอะไรสักอย่างและมองมาทางเธอเป็นตาเดียวกัน
เธอไม่ใช่ผีนะ ถ้าจะมาทำท่ากลัวแบบนี้ไม่ได้เดี๋ยวก็ไม่เข้าร้านไปอุดหนุนเสียหรอก แต่พอมองไปดีๆ นั้นพวกเขาไม่ได้กลัวเธอนี่นา ใบหน้าหวานจึงค่อยๆ หันไปมองตามชาวบ้านทีละน้อยก็พบว่าจุดรวมสายตาที่แท้จริงคือแผ่นหลังกว้างและความสูงใหญ่ของรามที่เดินเข้าไปในอาคารหลังหนึ่ง
แต่ก็ช่างเถอะตอนนี้เธอไม่มีเวลามาคิดมากนักนอกจากเดินหาร้านเสื้อผ้าของใช้สำหรับผู้หญิงในอำเภอสวยๆ บนเขาเช่นนี้
ธุวดาราตรงไปยังห้างเล็กในตัวอำเภอก่อนจะหยิบตะกร้าขึ้นมาหนึ่งใบและทำในสิ่งที่ตนเองถนัดมากพอๆ กับการร้องเพลงของตัวเองที่มั่นใจมากนั่นคือการช้อปปิ้งแบบสาวยุคใหม่ 2020
“สวัสดีค่ะคุณราม” เสียงหญิงสาวผู้หนึ่งที่ลุกพรึ่บก่อนจะยิ้มแกนๆ ถอยไปหาเพื่อนร่วมงานคนอื่นที่ถอยแหวกเป็นทางให้เขาเดินผ่านไปเช่นกัน
“ใครมาเหรอพี่ปุ๊ก” เสียงด้านในดังขึ้นมาทำเอาร่างสูงยิ้มมุมปากเล็กน้อยและผลักประตูเข้าไปอย่างรวดเร็วพร้อมดอกไม้สวยช่อใหญ่ช่อหนึ่ง
“เมย”
“คุณราม” ลุนตยา หญิงสาวหน้าสวยในชุดทำงานเรียบร้อยสะดุ้งโหยงทันทีที่เห็นใบหน้าอันแสนคุ้นเคย “คุณมาได้ยังไง”
“ก็ขับรถมาหาเมยไง”
“คุณออกไปเลยนะ ฉันไม่อยากให้มีเรื่องอีกเดี๋ยวสามีฉันก็จะกลับมาแล้ว”
“ทำไมเหรอก่อนหน้ามัน เราสองคนก็คุยกันดีไม่ใช่เหรอเมย” ใบหน้าสวยลอบถอนหายใจเล็กน้อยอย่างเหนื่อยใจ
“ก็เพราะว่าแกมันชั่วไงอีกอย่างฉันก็ไม่ได้รักแก ฉันรักสามีฉัน เลิกยุ่งกับฉันสักที” เขาส่ายหน้าช้าๆ พลางปรามให้เธอเงียบลงพลางเดินเข้าไปทำท่าเป็นห่วงเป็นใย
“ไม่เอาน่าเมย เมื่อไหร่เมยจะเลิกพูดแบบนี้สักที สำหรับเมยแล้วผมพร้อมจะปรับเปลี่ยนตัวเองทุกอย่างเลยนะ ผมรักเมย รักมากกว่าไอ้แดนไทซะอีกทำไมเมยถึงต้องปฏิเสธผมด้วย”
“เพราะฉันรักแดนไม่ใช่แก แกมันคนชั่วเทียบกับแดนแล้วแกไม่มีอะไรดีเท่าเขาเลย” ใบหน้าหล่อเหลาเริ่มขบกรามแน่น “คนอย่างแกมันก็แค่เดนมนุษย์ทำทุกอย่างเพื่อตัวแกเอง ออกไปซะ”
“เมยผมว่าเราเลิกพูดเรื่องนี้กันเถอะนะ ผมแค่อยากจะมาหาคุณเพราะผมคิดถึงคุณ”
“ฉันว่าแกออกไปดีกว่าไอ้ราม” ทันใดนั้นชายหนุ่มร่างสูงหน้าตาอ่อนโยนอีกคนก็ผลักประตูเข้ามาหน้าถมึงทึง “อย่ายุงกับเมียฉัน”
“เมียมึงเหรอ กูรักเมยมาก่อนมึงซะอีก มึงมันคือไอ้ขี้ขโมยต่างหาก” แดนไทได้ยินก็ถลึงตาย่างสามขุมเข้าไปหวังจะกระชากคอเสื้อรามแต่ช้ากว่าอีกฝ่ายที่หยิบปืนออกมาจ่อหน้าเสียก่อน
“หยุดนะ ออกไปอย่ามายุ่งกับเรา” ว่าแล้วลุนตยาก็วิ่งไปกอดแดนไทเสียแน่นเรียกความเกรี้ยวกราดในแววตาของรามได้ท่วมท้นจนเขาแทบจะลั่นไกปืนเสียตรงนั้น
“คุณราม” รามเก็บปืนทันทีเมื่อได้ยินเสียงเรียกแหลมจนบาดหู ไม่ต้องสืบเลยว่าใครมาสมทบ “มาอยู่นี่เอง ขอบคุณพี่ๆ นะคะ” ธุวดาราหันไปขอบคุณพนักงานด้านนอกที่แทบจะเปิดประตูให้เธอเข้ามาหาเขาอย่างราชินี
“เธอมาทำไม”
“ฉันมาตามคุณเพราะว่าที่นี่ไม่มีร้านเสื้อผ้าเยอะ ดีที่อู่รถเขาเก็บกระเป๋าไว้ ไม่รู้จะไปหาที่ไหนเลยได้แต่ของใช้ส่วนตัวแล้วก็โทรศัพท์ใหม่” ทุกคนเว้นรามที่ขมวดคิ้วฟังอยู่มองธุวดาราที่ยืนจูงกระเป๋าลากขนาดเล็กของตัวเองเป็นตาเดียวอย่างงุนงง “ขอโทษทุกคนจริงๆ นะคะที่รบกวน คือข้างนอกบอกว่าเข้ามาได้”
“เธอ…”
“คุณรามยังไม่เสร็จธุระเหรอคะ”
“เขาเสร็จแล้วค่ะ ขอร้องให้คุณช่วยพาเขาออกไปที” ลุนตยาชิงพูดขึ้นทำให้รามหันขวับไปมองอย่างเจ็บใจ
“แล้วผมจะมาหาเมยใหม่”
“ไม่จำเป็นค่ะ” ธุวดาราอดจะสะกิดแขนเสื้อเจ้านายตัวสูงใหญ่ของตนเองไม่ได้เมื่อเห็นเขายังยืนนิ่งเป็นเสาปูนไม่ไปไหน
“ไปกันเถอะคุณ เขาไล่แล้ว” ธุวดาราแอบกระซิบคำหลังเบาๆ จนชายหนุ่มต้องหันมามองเธออย่างขุ่นเคือง หญิงสาวจึงได้แต่งงที่ดูเหมือนว่าจะทำอะไรผู้ชายคนนี้ก็ดูเครียดกับทุกเรื่องไปซะหมด บั้นปลายชีวิตคงไม่ใกล้ไม่ไกลโรคเครียดแล้วล่ะ
“เธอนี่มันจริงๆ เลย” ว่าแล้วรามก็เดินจากไปราวกับพายุหน้าตาบึ้งตึงต่างกับธุวดาราที่ไล่ยิ้มไหว้ขอโทษให้ทุกคนจนผ่านพ้นสำนักงานไป
ความคิดเห็น