คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ๒
อีกฝั่งหนึ่งไม่ไกลนักจากป่าอันแสนงดงาม ความดิบเถื่อนโหดร้ายกลับปรากฏไปทั่วทั้งบริเวณ บรรยากาศตึงเครียดร้อนระอุราวกับไฟป่าที่โหมกระหน่ำ รอยต่อสองประเทศอันลึกลับซับซ้อนกองกำลังคนทั้งสองฝั่งร่วมร้อยกำลังยืนคุมเชิงกันไม่ลดละ รถฮัมวี่กันกระสุนก็พร้อมสรรพด้วยอาวุธร้ายแรงทั้งหลาย
“ราคานี้มันไม่สูงไปหน่อยเหรอครับ”
“มันก็เหมาะสมกับคุณภาพนี่ครับ มือหนึ่งไม่เคยมีตำหนิ แม่นยำมากถึง 99%” พศิน ชายหนุ่มวัยสามสิบต้นๆ เอ่ยตอบอย่างนิ่งสุขุมดูมีมารยาทผู้ดีผิดกับลูกน้องเล็กที่ยืนถือปืนคุมเชิงอยู่
“ถ้าอย่างนั้นผมก็ไม่ติด ในภาคพื้นนี้พวกเรารู้ดีว่าพวกคุณคืออันดับต้นๆ แต่ถ้ามีออพชั่นเสริม…”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงนะครับเพราะเราก็เป็นคู่ค้ากันมานาน นายใหญ่ก็อยากจะกระชับความสัมพันธ์ของเราด้วยของแถมที่มากมายจนคุณเองก็คงไม่อยากจะปฏิเสธ” ชายวัยกลางคนในชุดสูทดำสวมแว่นตาดำบอกพลางหันไปเรียกลูกน้องของตน
“เห้ย!”
“ครับนาย”
“เงิน”
ไม่นานนักกระเป๋าเงินใบใหญ่ก็ถูกยกออกมาอย่างช้าๆ ส่งให้คนของอีกฝ่ายเรียกรอยยิ้มมุมปากของพศินได้ดีนัก เขาก้าวเดินออกไปออกไปจับมือกับลูกค้าประจำอย่างสุภาพ
“ขอบคุณที่ร่วมธุรกิจกับเรา ไม่ต้องห่วงครับการจัดส่งจะถึงคุณอย่างรวดเร็วแน่นอน”
“ผมเชื่อมือพวกคุณ” ว่าแล้วทั้งหมดก็รีบแยกย้ายกันอย่างรวดเร็วโดยมีทางฝ่ายลูกค้าขนอาวุธเบาไปทั้งหมดจะเหลือก็เพียงอาวุธหนักที่รอให้ฝ่ายพ่อค้าส่งไปให้ภายหลัง
“ทุกอย่างเรียบร้อยดีใช่ไหม”
“ครับนาย” ทันทีที่ฝ่ายนั้นจากไป พศินก็รายงานผลการซื้อขายให้ผู้เป็นนายใหญ่ที่รออยู่อีกที่หนึ่งฟังทันที ทางอีกฝ่ายก็ดูจะพอใจไม่น้อยด้วยยกขวดบรั่นดีเพียวๆ ขึ้นมาดื่มจนเกือบหมด
“อืม พวกมึงไปก่อนเดี๋ยวกูจะตามไป” เขาบอกก่อนจะยื่นขวดเหล้าให้มือขวาของตน
“ทำไมครับนาย” พศินแอบสงสัยเมื่อได้ยินเช่นนั้น ดวงตาคมดุดันแววตาโหดร้ายฝังลึกค่อยๆ ปรายตามายังลูกน้องมือขวาอย่างช้าๆ เล่นเอาพศินรีบปิดปากตนเองแทบไม่ทัน
“มึงอยากรู้เหรอ”
“ไม่แล้วครับนาย ผมจะเงียบปากไว้ครับ ถ้าอย่างนั้นผมจะรีบพาพวกมันกลับเดี๋ยวนี้แหละครับ” ไม่นานนักฝ่ายของพ่อค้าเองก็รีบทยอยกันกลับไปอย่างรวดเร็วเหลือเพียงนายใหญ่กับรถมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์คันใหญ่สีดำทะมึนดูน่ากลัว
ราม สิงหราช
ชายหนุ่มวัยสามสิบกว่าที่ผ่านประสบการณ์ชีวิตมาอย่างโชกโชนโดยมีแววตาที่แสนเจ็บปวดเย็นชา ดุดัน และโหดร้ายฝังลึกจนอาจจะสามารถฆ่าคนได้แม้เพียงได้มองตา ร่างกายสูงใหญ่เต็มไปด้วยมัดกล้ามนั้นบ่งบอกถึงความน่าเกรงขามมักจะสวมเสื้อหนังสีดำเป็นประจำ หน้าตาที่หล่อเหลาดูร้ายกาจ คมเข้มดิบเถื่อนก็ยิ่งขับให้ดูน่ากลัวขึ้นไปอีก
เขาเห็นลูกน้องของตนออกไปหมดแล้ว รามก็ออกรถตามไปบ้างหากแต่จุดหมายเขาไม่ได้อยู่ที่เดียวกับคนอื่นๆ ชายหนุ่มพาบิ๊กไบค์ของตนเข้าไปในเขตทางเข้าป่าอาถรรพ์ที่ใครๆ ก็เล่าลือหนักหนาถึงความน่ากลัว
น่ากลัวสิดีเขาจะได้อยู่คนเดียวอย่างสงบ
เมื่อได้รู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้งธุวดาราก็เริ่มมีความหวาดกลัวถาโถมเข้ามาแทนที่ความตื่นตาตื่นใจ หญิงสาวค่อยๆ ลุกขึ้นมองดูเวลาเช้ามืดพลางแบมือดูก็เห็นนาฬิกาทรายในฝ่ามือและแหวนที่สวมอยู่ ถ้าเช่นนั้นเรื่องที่เจอก็ไม่ใช่ความฝัน หันไปทางใดก็ไร้เงาผู้หญิงที่ชื่ออัปสรสุดา เสียงกุกกักของพุ่มไม้และเสียงหวีดหวิวของลมทำเอาเธอกลัวจนตัวสั่นน้ำตาคลอหวาดผวาด้วยอยู่ตัวคนเดียวในป่าใหญ่
เสียงคำรามของบางสิ่งดังขึ้นจนธุวดาราสะดุ้งโหยงรีบวิ่งไปหลบในพุ่มไม้อย่างรวดเร็ว นั่งกอดเข่าพยายามทำตัวให้เงียบมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ไม่นานนักเธอก็ได้ยินเสียงเหยียบกิ่งไม้ย่ำเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ หนาวก็หนาวแต่ความกลัวสั่งให้เธอนิ่งมากที่สุด
แต่ร่างกายตอนนี้มันปฏิเสธไม่ได้ที่จะร้องหาความอบอุ่น ธุวดาราค่อยๆ ขยับร่างกายไปชิดพุ่มไม้ขึ้นเรื่อยๆ อย่างระมัดระวัง
รามมองสระน้ำในความมืดเงียบๆ ครู่หนึ่งก่อนทำท่าจะถอดเสื้อแจ็คเก็ตหนังของตนแต่ก็ต้องชะงักลงเมื่อได้ยินเสียงอะไรบางอย่างในพุ่มไม้ด้านหลังของตน ใบหน้าหล่อเหลาหันกลับมาดูพลางเลิกคิ้วมองอย่างระแวงเช่นกัน มือหนาค่อยๆ เอื้อมไปหยิบปืนของตนที่สอดไว้ด้านหลังขึ้นมาไว้ป้องกันตัวเอง เขาเดินเข้าไปเรื่อยๆ แต่พุ่มไม้ก็ยังคงขยับและมีเสียงอยู่
หวังว่าคงไม่ใช่สัตว์ประหลาด
พรึ่บ!
ทันใดนั้นสิ่งที่อยู่หลังพุ่มไม้ก็ปรากฏชัดต่อหน้าเขา ยิ่งดวงตะวันยามเช้าค่อยๆ เคลื่อนขึ้นมารูปร่างก็เริ่มแจ่มชัดมากขึ้น อีกฝ่ายดูจะตกใจหวาดผวาเมื่อได้เห็นเขาและพยายามขยับหนีแม้ว่าจะติดพุ่มไม้ก็ตาม
“เธอเป็นใคร!” คนตัวเล็กสะดุ้งโหยงอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงเข้มขึงดูน่ากลัวจากเขา
ไม่มีทาง! เขาคือผู้ชายคนแรกที่เธอเจอ
ทำไมถึงดูน่ากลัวขนาดนี้ ทันใดนั้นตากลมหวานไม่อาจหักห้ามใจตัวเองเลื่อนสายตาลงมามองวัตถุสีเงินที่อยู่ในมือของเขาได้ หัวใจด้วยน้อยก็ยิ่งหวาดกลัวจนน้ำตาแทบไหล
น่ากลัวมากแม่!
“ฉัน…ฉัน”
“ตอบ!”
“ฉันหลงมา อย่าทำอะไรฉันเลยนะ” ธุวดาราตอบเสียงสั่นสายตาจ้องระแวงที่ปืนนั้นไม่วางตา รามพินิจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยอมเก็บปืน หญิงสาวก็พลอยได้หายใจโล่งอกอยู่บ้าง
“ไปทำอะไรมาถึงได้มาอยู่ที่นี่”
“ถูกพวกวัยรุ่นที่ตีกันจะตามฆ่าฉันก็เลยหนีเข้ามาที่นี่ แล้วฉันก็เดินมาที่นี่แล้ว…แล้วก็หลงทางอยู่ที่นี่ ไปทางไหนก็วนไปมาป่าเหมือนกันไปหมดสุดท้ายก็มาติดอยู่…ที่นี่” เธอตอบไปพลางเช็ดน้ำตาไปพลาง “ช่วยฉันด้วยนะ ฉันไม่รู้จะออกไปจากที่นี่ได้ยังไง ฉันจำทางไม่ได้”
“เธอมีของมาแลกเปลี่ยนหรือเปล่า” น้ำเสียงของเขาดูเจ้าเล่ห์ขึ้นจนธุวดาราตกใจ
“ไม่มีหรอก ตอนนี้ฉันไม่มีอะไรสักอย่างเลย”
“กำไลที่สวมอยู่ก็น่าจะได้นะ”
“ไม่! เอ่อ ฉันถอดมันไม่ได้ กำไลนี้มันสำคัญกับฉันมาก” แววตาคมดุจ้องเธอไม่วางยิ่งแสงสว่างสาดส่องเข้ามา ใบหน้าของธุวดาราก็เริ่มชัดเจนมากขึ้นเผยให้เห็นความงดงามหวานและเย้ายวนโดยไม่ปรุงแต่งนั้นแม้จะอยู่ในสภาพเกินเยียวยาแล้วก็ตามที
“ถ้างั้นก็จบ”
“ขอร้อง บอกทางฉันก็ได้แค่ช่วยฉันหน่อยนะคุณ ช่วยคนแล้วได้บุญนะ” ชายหนุ่มเผลอแค่นหัวเราะขึ้นมาครั้งหนึ่งเมื่อได้ยินประโยคท้ายของผู้หญิงแปลกหน้า
“พอดีตอนนี้ไม่ได้ต้องการบุญขนาดนั้น”
“แต่ถ้ามีสะสมไว้สิคุณ ชีวิตคุณก็จะเจริญรุ่งเรืองนะ ฉันพูดจริง” อยากจะขำแต่ในแบบของรามคือแค่นยิ้มเพียงเท่านั้นซึ่งมันก็ทำให้เธอพลอยผ่อนคลายใจมากขึ้น “ถือว่าช่วยคนตาดำๆ ไม่ให้นอนตายในป่าเถอะ ถือว่าได้ช่วยมะ…” ไม่ดีๆ เปรียบตัวเองเป็นสุนัขไม่ได้ “ถือว่าช่วยนกน้อยน่าสงสารเถอะนะ”
หมดกันวันที่อยากนอนแช่น้ำคนเดียว
“พอแล้ว! ก็ได้ ฉันจะไปส่งเธอเห็นแก่บุญที่เธอเอามายัดเยียดให้ก็แล้วกัน”
“ถ้าอย่างนั้นก็ได้ทั้งนั้นแหละ โอเค ฉันขอ…” ว่าแล้วรามก็ถอยให้เธอลุกขึ้นมาอย่างทุลักทุเล ฝ่ายธุวดาราก็รีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็วแต่เพราะพิษไข้จากความหนาวเย็นทำเอาเธอทรุดดีที่รามประคองไว้ทัน เขามองใบหน้าหวานสวยที่สะลึมสะลือไร้เรี่ยวแรงนั้นอย่างรำคาญใจแต่ก็พยายามพยุงพาเธอเดินไปยังรถของตนอย่างช้าๆ และให้เธอนั่งพิงรถของเขาไว้ก่อนเพื่อจะถอดเสื้อแจ็คเก็ตให้สวม
“ขอบคุณ” หญิงสาวบอกเสียงแผ่วพลางยิ้มบางๆ เมื่อเห็นเขาเอาเสื้อหนาๆ มาคลุมตัวให้อย่างลวกราวกับคนดิบๆ ห่ามๆ ไม่เคยทำแบบนี้กับใคร น้ำเสียงก็ห้วนๆ เหมือนกับเคยชินกับการพูดแบบนี้ “ที่นี่อยู่ไกลจากตัวอำเภอไหมคะ”
“จากที่นี่ไปตัวอำเภอก็ไกลอยู่ยิ่งตัวจังหวัดไม่ต้องพูดถึงไกลมาก”
“อ่อ แถวนี้ไม่มีคลื่นโทรศัพท์เหรอคะ”
“นี่ 2019 คลื่นเขาไปทั่วประเทศแล้ว เอาไงจะให้ไปส่งที่ตัวอำเภอหรือตัวเมือง”
“ฉันคือว่า” ทันใดนั้นหญิงสาวก็ทรุดลงเล็กน้อยจนมือหนาเอื้อมไปจับไว้อย่างรวดเร็ว ขนาดป่วยไม่มีแรงจะเดินแต่มีแรงจะต่อปากต่อคำต่อรองไม่หยุด ถ้าไม่ได้ป่วยคงหนักกว่านี้
“เออ ช่างเถอะไปพักที่บ้านก่อนแล้วกัน” รามปรายตามองอย่างรำคาญก่อนจะให้เธอซ้อนรถของตนเข้าไปรักษาตัวก่อนแล้วอย่างอื่นค่อยว่ากัน เธอไม่อยากจะพูดอะไรมากเพราะแทบจะไร้เรี่ยวแรงรวมถึงขืนไปเรื่องมากตอนนี้คงได้นอนในป่าต่อไปอีกแน่ๆ ไม่ต้องตายเพราะนาฬิกาทรายหรอกแต่ตายเพราะพิษไข้ป่านั่นแหละ
ใช้เวลานานพอสมควร ราม สิงหราชก็พาตัวเองและตัวภาระมายังบ้านไม้สักอันลึกลับของเขาอย่างรำคาญใจ ธุวดาราเล่นหลับพิงหลังของเขามาตลอดทางพอได้แตะแขนดูแล้วกลับร้อนราวกับไฟ เธอไม่สบายจริงๆ หรอกหรือเนี่ย
“ยินดีต้อนรับนายกลับบ้านครับ”
“ไอ้สิน มาพายัยนี่ลงไปที กูจะบ้าตาย” เขาบอกเสียงห้วนจนพศินต้องรีบมาพยุงธุวดาราลงมาจากรถ เธอสะลึมสะลือเล็กน้อยแต่ก็ยอมลงจากรถแต่โดยดี
“ปล่อยฉันนะ แกเป็นใคร”
“อย่าเพิ่งดิ้นนะครับคุณผู้หญิง ผมจะพาไปนอนพัก”
“ไม่ อย่าทำร้ายฉันเลยนะ” ใครเขาจะไปทำร้ายเธอ สวยแต่ไม่เต็มเขาก็ขอบายเหมือนกัน รามคิดในใจก่อนจะพยักพเยิดให้พศินส่งธุวดารามาให้กลับคืน เขารับเธอมาก่อนจะช้อนคนตัวบางขึ้นมาไว้แนบอก สัมผัสถึงไอร้อนของร่างกายที่แผ่ออกมาก่อนจะพาเธอเดินเข้าบ้านอย่างช้าๆ ด้านพศินนั้นได้แต่มองตามอย่างงงๆ ว่านายของตนเป็นคนแบบนี้จริงๆ หรือ
หญิงสาวผู้นี้ก็เป็นภาระตั้งแต่ยังไม่รู้จักเลยทีเดียว ไอ้เขาก็พิเรนทร์ยอมช่วยเธอกลับมาจนได้ ไม่รู้ว่าตอนนี้จะมามีคุณธรรมอะไรในใจหนักหนา
รามพาเธอเดินเข้าไปนอนในห้องนอนที่ว่างและวางเธอลง ธุวดาราปรือตามองใบหน้าหล่อเหลาเล็กน้อยพยายามจะขอบคุณแต่ความนุ่มของเตียงและหมอนนั้นมันทำปฏิกิริยาแรงกว่าจนทำให้หลับลงไปอย่างรวดเร็ว
“นายชอบเธอเหรอครับ”
“กูไม่ได้ชอบ ยัยนั่นขอให้ช่วยเองต่างหาก” รามนั่งลงบนโซฟาใหญ่และตอบเสียงห้วนก่อนจะยกแก้ววิสกี้ดื่มอึกใหญ่แก้เซ็งที่ไม่ได้แช่น้ำเย็นๆ
“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”
“อย่าลืมให้คนไปตามแจงจิตมาหากูด้วย”
“ครับนาย เอ่อ นาย”
“อะไร” เขาวางแก้วลงพลางเหลือบมองคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าอย่างขัดใจเล็กๆ
“เด็กๆ มันจับคนที่ลอบมาสืบข่าวของเราได้แล้วครับ”
“มันเป็นใคร”
“ปิดปากเงียบเลย งานนี้มีแต่นายต้องไปเค้นเองแล้วแหละ”
“อืม เดี๋ยวกูเอง มึงไปซะ” มือขวาหนุ่มพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะเดินออกไปอย่างเงียบๆ นั่นจึงเป็นเวลาที่รามได้คิดอะไรหลายๆ อย่างคนเดียว เขาทำถูกแล้วหรือที่ยอมพาผู้หญิงแปลกหน้าที่ไม่ได้รู้จักกันเข้ามาในบ้าน บางทีผู้หญิงคนนี้อาจจะเป็นสายของศัตรูที่ไหนก็เป็นได้แต่คิดในแง่ดีอย่างน้อยก็แค่นักท่องเที่ยวธรรมดาที่หลงมาแถวนี้
“นายคะ” ครู่ใหญ่ๆ หญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งที่ทุกคนที่นี่เรียกว่าป้าแจงจิตก็เดินเข้ามาในบ้านทำให้รามหลุดออกจากภวังค์ตนเอง
“มาแล้วเหรอ”
“นายมีอะไรหรือเปล่าคะ”
“ข้างบนมีคนป่วยไปดูให้ที”
“ค่ะนาย” แจงจิตรับคำพลางก้มหน้าเดินขึ้นบันไดไปอย่างเงียบๆ หากแต่ในใจนั้นกลับตกใจระคนแปลกใจเอามากๆ ไม่เคยปรากฏมีว่าราม สิงหราชจะเป็นคนดีมีเมตตาที่ไหนเลยแต่คนคนนี้เป็นใครเขาถึงยอมพามาถึงบ้าน
พอเปิดประตูเข้าไปก็ต้องยกมือทาบอกทันทีเมื่อเห็นหญิงสาวนอนกระสับกระส่ายบนเตียงเม็ดเหงื่อผุดขึ้นตามกรอบหน้าอย่างน่าสงสาร แก้มใสๆ ก็แดงก่ำจากพิษไข้หมดเลย
“ตายแล้ว จะเป็นอะไรไหมเนี่ย” หญิงวัยกลางคนก็หยุดคิดเรื่องความดีในตัวของรามแล้วรีบปรี่ไปหาผ้าและน้ำอย่างรวดเร็วเพื่อมาเช็ดตัวเธอเสียก่อน หากปล่อยช้ากว่านี้คงอันตราย
ครืด!
เสียงโกดังแห่งหนึ่งขนาดใหญ่เปิดขึ้นทำให้แสงสว่างยามสายด้านนอกได้สาดส่องเข้าไปจนคนที่ถูกมัดข้างในต้องหรี่ตามองคนมาใหม่
“มึงเป็นใคร” ชายที่ถูกมัดตะโกนถามเสียงดังพลางแก้มัดตนเองอย่างบ้าคลั่ง เสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งคนคนนี้ต่างไปจากคนอื่น จู่ๆ เขาก็รู้สึกกลัวและขนลุกขึ้นมาโดยไม่รู้สาเหตุ
“ใครส่งมึง” เสียงเข้มใหญ่น่ากลัวถามด้วยความเย็นชา เมื่อเพ่งมองชัดๆ แล้วคนที่ถูกมัดอยู่ก็ต้องผงะเมื่อชายคนนั้นดูคล้ายกับหัวหน้าใหญ่ที่นี่ผู้แสนลึกลับไม่ค่อยจะเปิดเผยตัว นานๆ ทีจะมีคนได้เห็นหน้าเห็นตา
“กะ…กูไม่บอก” จู่ๆ ก็เริ่มพูดติดขัดเสียอย่างนั้น
“ได้ไม่บอกกูจะไม่เก็บไว้” เขาพูดออกมาอย่างง่ายดายก่อนจะหยิบปืนจากด้านหลังออกมาจ่อไกปืนด้านหน้าของคนถูกมัดอย่างรวดเร็ว
“เดี๋ยวๆ” รามชะงักเล็กน้อยเมื่ออีฝ่ายมีท่าทีหวาดกลัวร้องเสียงหลง “ถ้าบอกจะปล่อยกูใช่ไหม”
“บอกมา!”
“เฮียส่ง” ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่แค่นหัวเราะเบาๆ เมื่อได้ยินเช่นนั้น คนอย่างนั้นน่ะหรือจะส่งคนมาได้ให้มันหาทางเข้าให้เจอก่อนเถอะ
“มึงพูดถูก ถ้ามึงบอกกูจะปล่อย” เขาแสยะยิ้มเล็กน้อยโดยที่อีกฝั่งก็แอบโล่งใจแต่วินาทีต่อมารอยยิ้มก็ค่อยๆ จางลงเรื่อยๆ พร้อมกับหัวใจที่เต้นรัวอย่างหวาดกลัว
ปัง!
“ถ้าไม่บอกกูก็ไม่เก็บไว้” เขาพึมพำเบาเบื้องหน้าชายที่เพิ่งจะไร้ลมหายใจไปเมื่อครู่และมองด้วยแววตาเฉยชาราวกับว่ามันช่างดูปกติธรรมดากับเขามาก ใบหน้าของรามมักจะดูลึกลับไม่มีใครรู้จักมากนักนอกจากแถบนี้ส่วนชื่อเสียงดังโด่งดังมากไปทั่วทั้งแถบตะวันตก ธุรกิจก็โตวันโตคืนจนใครๆ ก็อยากรู้จัก
หากแต่เขามันชอบสันโดษจึงเกลียดความไม่เป็นส่วนตัวมากที่สุดและคนที่ลอบเข้ามามันก็ทำให้เขาสูญเสียความเป็นส่วนตัวเข้า รามจึงไม่ชอบปล่อยกลับเข้าป่าไปเท่าไหร่และนี่ก็ไม่ใช่รายแรกสำหรับเขา
ในช่วงเย็นของวันหลังจากการดูของแจงจิต ธุวดาราก็เริ่มดีขึ้นไม่ได้เป็นอะไรมากเหมือนอย่างตอนเช้าเธอลุกขึ้นมาด้วยความเหนียวตัวอย่างที่สุด
แม่สอนว่าให้อาบน้ำทุกวันแต่นี่เธอไม่ได้อาบไปหนึ่งวันเต็มๆ ให้มันได้แบบนี้สิ
“ทานข้าวต้มก่อนสิคะ”
“คุณเป็นใครคะ”
“ฉันชื่อแจงจิต คนที่นี่เรียกป้าแจง นายให้ฉันมาดูแลคุณเห็นว่าป่วยมา จะทานเลยไหมคะ” แจงจิตถามขณะที่ในมือยังถือถาดข้าวต้มอยู่
“ป้าแจง ขอบคุณมากๆ เลยนะคะ” หญิงสาวยกมือไหว้ด้วยรู้สึกผิดที่ต้องให้คนอื่นมาดูแลตัวเอง “เอ่อ คือขออาบน้ำหน่อยได้ไหมคะ”
“ได้สิคะ ข้าวของอะไรก็มีอยู่ข้างในห้องน้ำหมดแล้ว เสื้อผ้าก็เอาของป้าไปก่อนแล้วกันนุ่งซิ่นได้ไม่ติดอะไรใช่ไหม”
“ได้สิคะ หนูก็เคยนุ่งซิ่นบ่อยๆ เหมือนกันค่ะแต่เป็นซิ่นอีสานนะคะ คงนุ่งคล้ายๆ กัน” ยิ่งพูดคุยกันแจงจิตก็ยิ่งรู้สึกเอ็นดูแม่สาวหน้าหวานคนนี้ขึ้นเรื่อยๆ ดูจากแววตาคงจะเป็นคนน่ารักน่ามันเขี้ยวไม่หยอกถึงได้ทำให้รามยอมช่วยชีวิตพามาที่นี่
“ก็คล้ายๆ กันนั่นแหละ”
“เอ่อ ห้องน้ำใช่ประตูตรงนั้นใช่ไหมคะ” นิ้วเรียวชี้ไปยังประตูที่อยู่ไกลจากเตียงนอนออกไปอย่างซื่อๆ
“ใช่ค่ะ”
“ขอบคุณค่ะ” ว่าแล้วธุวดาราก็ไม่รอช้ารีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็วเท่าที่จะทำได้ทำเอาแจงจิตต้องอดจะยิ้มเอ็นดูกับความน่ารักโดยไม่ตั้งใจนั่นไม่ได้เลย หน้าก็หวาน เสียงก็เพราะแต่ท่าทางจะช่างพูดช่างคุยไม่น้อย ดูท่างานนี้นายของตนต้องมีไขว้เขวไม่พยายามไปแย่งภรรยาชาวบ้านแน่นอน
ความคิดเห็น