ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    มนต์กินรี

    ลำดับตอนที่ #2 : ๑

    • อัปเดตล่าสุด 16 เม.ย. 63



    หลังจากนั่งรถตรงมาที่ตัวเมืองจังหวัดตากได้ ธุวดาราก็ขึ้นรถตู้ต่อเพื่อไปยังอำเภออันไกลลิบโดยมีจุดหมายคือรีสอร์ตเล็กๆที่นั่น การนั่งรถมาที่อำเภอแถบชายแดนนั้นช่างยาวไกลจนธุวดาราเล่นหลับไปหลายตื่น ไม่นานนักรถตู้ก็เลี้ยวเข้าที่ปั๊มน้ำมันกลางขุนเขาเพื่อเติมน้ำมัน ตัวเธอจึงรีบออกจากรถวิ่งเข้าห้องน้ำอย่างรวดเร็ว

    เสียงเฮโลเอะอะโวยวายด้านนอกทำให้ธุวดาราที่เพิ่งล้างหน้าล้างตาต้องรีบเก็บของและชะโงกออกไปดู ทันใดนั้นมีดสปาร์ตาสีเงินพร้อมด้วยเลือดก็ลอยหวือผ่านหน้าไปเสียบเข้าที่ต้นไม้ข้างห้องน้ำ ทำเอาตากลมหวานเบิกกว้างสะดุ้งโหยงก่อนจะแอบชะโงกหน้าไปดูอย่างหวาดๆหัวใจก็เต้นแรงไม่หยุดด้วยตื่นกลัว

    พวกเด็กวัยรุ่นร่วมร้อยกำลังวิ่งไล่ตีกันป่วนปั๊มน้ำมันอย่างน่ากลัว รถตู้ก็หายไปด้วยแถมปั๊มนี้ยังอยู่กลางป่ากลางเขาเสียด้วย ผู้หญิงตัวคนเดียวก็ยิ่งกลัวหวาดระแวงมากยิ่งขึ้น พอนึกได้ว่าข้างกระเป๋ามีโทรศัพท์ติดตัวมาธุวดาราก็รีบกดโทรหาตำรวจทันทีแต่ไม่ทันที่จะกดโทรออก หนึ่งในนั้นก็เหลือบมาเห็นเธอพอดี

    “เห้ย! มีคนอยู่ห้องน้ำมันถ่ายคลิป” ตะโกนเสียงดังไม่พอยังพาพวกวิ่งมาหาเธออย่างกับซอมบี้อีก ธุวดารามองซ้ายขวาไปเห็นข้างปั๊มที่มีทางเข้าป่า สาวเจ้าไม่รอช้ารีบวิ่งหนีไปตามสัญชาตญาณจนมือถือหล่นลงพื้น จะกลับมาเก็บก็ไม่ได้เพราะมีคนวิ่งตามมา อย่างไรตอนนี้เธอก็ต้องรีบหนีไปก่อนเธอยังไม่อยากเป็นศพถูกหมกที่ห้องน้ำ

    ร่างบางวิ่งหน้าตั้งเข้าป่าไปอย่างไร้จุดหมายจนไม่ได้ยินเสียงของวัยรุ่นพวกนั้นอีกแล้วเธอจึงหยุดลงหันมองกลับไปก็ไม่พบใครตามมาแล้ว

    แต่ปัญหาคือเธอจำทางกลับไม่ได้อีกแล้ว โทรศัพท์ก็ตกหายไประหว่างวิ่งหนี กระเป๋าข้าวของก็อยู่บนรถตู้หมด ทั้งตัวเธอตอนนี้มีแค่กระเป๋าสตางค์เท่านั้นซึ่งไม่รู้ว่าตอนนี้มีประโยชน์อะไร

    ธุวดาราตัดสินใจเดินกลับทางเก่าหวังจะเจอทางแต่มองไปทางไหนก็มีแต่ป่าทึบเต็มไปหมด ทันใดนั้นหูของเธอก็ได้ยินเสียงหนึ่งเข้าคล้ายเสียงน้ำไหลแต่เป็นน้ำไหลที่แรงมากๆคล้ายน้ำตก หากว่าได้ยินเสียงน้ำก็ให้เดินไปตามลำน้ำ สิ่งนี้หญิงสาวมักจะได้ยินพ่อของเธอเล่าให้ฟังเป็นประจำ ตากลมหรี่ตาแหงนมองท้องฟ้าดูแสงจากดวงอาทิตย์ไม่นานนักก็เห็นว่าเวลานี้ดวงตะวันกำลังจะตกดิน

    ยิ่งลำบากไปใหญ่เลย

    ไม่รู้ว่ามีอะไรดลใจทำให้ธุวดาราก้าวเดินไปยังเสียงน้ำนั้น ยิ่งเดินเข้าไปก็ยิ่งได้ยินชัดไม่นานนักเธอก็ได้เห็นน้ำตกขนาดใหญ่ไหลลงผ่านต้นไม้อย่างตื่นตาตื่นใจเดินออกมาก็พบกับแอ่งน้ำตกใหญ่แถมละอองน้ำยังกระเซ็นเข้าร่างเธอตลอดเวลาอีกด้วย

    “สวยจังแต่เสียดายน่าจะเป็นน้ำตกลึกกลางป่าไม่มีใครมาสำรวจแน่เลย” มองย้อนขึ้นไปมันสูงมากน่าดูและมันก็ไม่เหมือนน้ำตกดังๆที่ไหนของจังหวัดที่เคยเลย น้ำตกนี้สวยงามมากจริงๆหลักๆนั้นเป็นเหวน้ำตกไหลลงมาแต่รอบๆเป็นน้ำตกเล็กลดหลั่นลงมาเป็นชั้น เหมือนกับเป็นธรรมชาติที่ซ่อนลึกไม่อยากให้ใครพบอย่างไรก็ไม่รู้แม้ว่าจะไม่ใหญ่เท่าทีลอซูแต่ถ้าเธอไปยืนที่ผาน้ำตกกระโดดลงไปกระดูกก็ไม่น่าจะเหลือเหมือนกัน สีน้ำยังเป็นสีฟ้าเทอร์คอยซ์อีกด้วย ฟ้ายิ่งกว่าน้ำตกเอราวัณเสียอีกพอๆกับน้ำทะเลเลยหรืออาจจะเป็นเพราะไม่มีใครหาเจอ ไม่มีมนุษย์เข้าถึง ธรรมชาติถึงยังได้สมบูรณ์งดงามมากขนาดนี้ คิดได้ดังนั้นธุวดาราก็อยากจะเก็บภาพไว้ในหัวให้เป็นที่ระลึกครู่หนึ่งเธอจึงค่อยๆเดินขึ้นไปตามลำน้ำนั้นอย่างระมัดระวัง ในใจแม้จะกลัวแต่ก็ต้องเดินไปไม่อย่างนั้นคงไม่รอดแน่ๆ

    “ลาก่อนนะจ๊ะคุณน้ำตก”

    ร่างบางเดินตามเลียบลำน้ำลงมาจนไม่รู้ตัวว่าตนเองมาโผล่อีกที่หนึ่งซึ่งมองไปเป็นแอ่งน้ำตกอีกแล้วแต่มันทำให้เธอต้องตกตะลึงอยู่ในภวังค์เสียนานสองนาน อย่างกับบลูลากูน แม้ว่าความมืดจะเข้าปกคลุมหมดแล้วหากแต่ก็มันก็ไม่ได้มีอิทธิพลเท่าความตื่นตาตื่นใจที่เธอได้พบเจอเลยสักนิด

    เธอค่อยเดินไปเข้าไปหาแอ่งน้ำนั้นอย่างช้าๆระมัดระวังขณะที่ตายังสอดส่องพื้นที่โดยรอบไม่หยุดจนพระจันทร์ขึ้นแล้วเธอก็เริ่มระแวดระวังตนเองมองซ้ายขวาก่อนจะมาหยุดที่แอ่งน้ำแห่งหนึ่ง




    “สวยเหลือเกิน ทำไมถึงสวยขนาดนี้ โอ้โห!

    สิบหมื่นป่าผืนใดจักยิ่งใหญ่งดงามเท่าป่าที่หลากหลายไปด้วยนานาพรรณแห่งรุกขชาติ บุปผชาติและสิ่งมีชีวิตที่หลากหลายล้วนวิจิตรพิสดารเกินมนุษย์จะจินตนาการได้ ไม่ว่าจะมองไปทางใดก็งดงามหาที่ใดจะเปรียบได้ ธุวดาราไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ใดที่เธอได้พบ หากเป็นฝันนี่คงเป็นฝันที่ไม่อยากตื่นเท่าใดนัก

    ตากลมหวานเพ่งมองไปยังสระน้ำสีฟ้าใสล้อมรอบด้วยแก่งหินเรียบมันวาวราวกับมีคนมาขัดไว้หลายพันปีและดอกไม้งดงามหลากสีอันไม่เคยเห็นมาก่อนในโลกมนุษย์ส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วทุกบริเวณ เหล่าผีเสื้อหลากสีสันพากันบินไปอย่างอิสระ ยามใดที่กระพือปีกงดงามก็จะมีแสงและเสียงระยิบระยับกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณดูมหัศจรรย์ตื่นตาตื่นใจ

    เมื่อมองแหงนหน้ามองไปเบื้องหน้าจะพบกับเพิงหินบางๆมีช่องปล่องอยู่เป็นวงกลมมนให้น้ำตกไหลลงมาสู่แอ่งน้ำเบื้องล่างเป็นวงกลมพอดีราวกับมีคนทำไว้ มันกว้างพอที่คนห้าคนจะสามารถยืนท่ามกลางสายน้ำที่ไหลลงมาเป็นวงกลมได้และยังมีเกาะหินเล็กๆอยู่ข้างใต้พอดิบพอดี ยิ่งตอนนี้แสงจันทร์สีนวลยิ่งด้วยดวงโตสีแดงเป็นพิเศษกำลังเคลื่อนคล้อยผ่านบนท้องฟ้ายิ่งเรียกร้องให้เธออยากจะไปยืน เหมือนมันเป็นสปอตไลท์จากธรรมชาติที่สรรค์สร้างอย่างแท้จริงๆ

    ริมฝีปากอิ่มบางแย้มยิ้มกว้างขึ้นพลางย่อตัวลงค่อยๆเอามือเรียวสวยแตะแผ่นน้ำสีฟ้ากระจ่าง หัวใจสั่นระรัวตื่นเต้นกับสิ่งที่ที่ได้กล้าทำ ธุวดาราไม่หยุดเพียงเท่านี้เธอค่อยก้าวขาลงไปยังสระน้ำงดงามนั้นอย่างกล้าๆกลัวๆใครจะรู้ว่ามันช่างเย็นสบายไม่รู้สึกหนาวเลยแม้แต่นิดก่อนจะปรับตัวได้ทีละน้อย รอยยิ้มหวานก็ค่อยๆกว้างขึ้นตามเวลาที่ได้แช่น้ำ คนร่างเพรียวบางเริ่มแหวกว่ายสายน้ำไปยังน้ำตกสวยนั้นอย่างระมัดระวัง แม้จะกลัวแต่ก็ขอลองสักครั้งหากไม่ได้สัมผัสคงได้เสียใจและเสียดายทีหลังเป็นแน่

    ทันทีที่เธอผ่านม่านน้ำตกเข้ามาเกาะยังเกาะกลางหินก่อนจะพยุงตัวเองขึ้นมาบนแก่งหินที่ไม่ได้หยาบทั้งยังดูละเอียดมืออย่างบอกไม่ถูก

    ใบหน้าหวานค่อยๆเงยขึ้นไปมองแสงดาวที่ระยิบระยับเหนือท้องฟ้าเฝ้ารอดวงจันทร์เคลื่อนคล้อยเข้ามาใจกลางอย่างจดจ่อ

    รอไม่นานจันทราสีเลือดดวงใหญ่พิเศษก็ค่อยๆเคลื่อนเข้ามาเรื่อย แสงสว่างจึงค่อยๆตกกระทบเรืองรองลงมาเรื่อยๆจนกระทั่งทั้งดวงได้ส่องเหนือใจกลางช่องว่างของน้ำตกพอดี แสงสว่างจึงส่องประกายลงมาที่ตัวของธุวดาราราวกับสปอตไลท์จริงๆ หญิงสาวยิ้มดีใจพลางหมุนตัวไปมาอย่างดีใจราวกับว่าเป็นนางเอกในละครเรื่องของตนเองไม่หยุด

    ไม่ทันหายตื่นตาตกใจดีฉับพลันนั้นร่างบางก็ค่อยมีแสงสว่างสีทองเรืองรองแล่นไปมารอบตัวระยิบระยับจนมือเรียวอดจะเอื้อมขึ้นไปแตะไม่ได้รวมถึงรอบๆ

    “เฮ้ย!” ชุดธรรมดาๆค่อยเลือนหายถูกแทนที่ด้วยผ้านุ่งสีชมพูกลีบบัวและลวดลายที่ถักทองดงามละเอียดด้วยเส้นใยสีเงินปล่อยสยายอย่างพลิ้วไหวไปตามลมอย่างงดงามและเปิดเผยเรียวขาสวยเนียนดูเย้ายวน มีเข็มขัดเงินประดับด้วยหัวเข็มขัดรูปปีกสีทองทั้งยังมีสองเส้นงามปล่อยตรงลงมารอบสายเข็มขัดรัดเอวคอดกิ่วงดงามอยู่ ยามตกต้องแสงจันทร์ก็เป็นเลื่อมแวววาวไม่สามารถบรรยายได้

    ท่อนบนถูกแทนที่ด้วยผ้าสีชมพูกลีบบัวเนื้อนวลที่เลื่อมแวววาวปกปิดประทุมถันเผยให้เห็นผิวนวลเนียนเหนือส่วนโค้งและทรวดทรงเอวบางคอดกิ่วดูเย้ายวนใจ

    ข้อมือทั้งสองข้างมีกำไลเงินผสมทองสวมอยู่ดังกระทบกันฟังดูแล้วไพเราะหูไม่น้อย เหนือขึ้นมาที่ลำคอระหงนั้นสวมทับทรวงประดับมรกตน้ำงามใสทับสังวาลเงินเส้นหนึ่ง ข้างหูทั้งสองมีกรรเจียกสีเงินระยิบระยับสวมทั้งสองข้างเหนือขึ้นไปบนเรือนผมสีเข้มเปิดหน้าผากมนสวยมีเกี้ยวยอดสีเงินประดับอัญมณีวิจิตรงดงามสวมอยู่โดยปล่อยให้ผมนุ่มสวยยาวสยายลงไปตามธรรมชาติ

    แต่ที่น่าตกใจไปกว่านั้นเธอมีปีกสีทองเหมือนนกดูนุ่มนวลราวกับแพรไหมอยู่ด้านหลังติดกับผ้ามันวาวของเธอขนาดพอดีตัวมีประกายยามขยับไปมา มือเรียวสวยรีบดึงมันออกอย่างรวดเร็วแต่ผลที่ได้คือสิ่งที่ไม่น่าเชื่อ

    “โอ๊ย!

    เจ็บเหมือนดึงอวัยวะตัวเองออกเลยทั้งที่มันไม่ได้ติดกับตัวเธอ ธุวดาราเริ่มตื่นตระหนกขึ้นเรื่อยๆในใจพลางถามคำถามกับตัวเองตลอดเวลาว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่

    “ออกซี” หญิงสาวยังคงไม่ยอมแพ้ดึงส่วนเกินออกแม้จะเจ็บจนน้ำตาไหลก็ตาม “ออกซี่! ฮึก--

    “ดึงแบบนั้นให้ตายมันก็ไม่ออกหรอก” เสียงหวานเสียงหนึ่งดังแว่วมาจากริมสระทำให้ธุวดาราหยุดชะงักทันทีก่อนจะหันไปทางต้นเสียง ด้วยม่านน้ำที่ปิดบังทำให้เธอมองคนคนนั้นได้ไม่ชัดเจนนัก

    “เธอเป็นใคร”

    “ข้าเป็นผู้ปกปักรักษาผืนป่าในรอยต่อนี้มาเนิ่นนานตั้งแต่กาลก่อนแล้ว” หญิงสาวได้ยินเช่นนั้นก็รีบพุ่งทำท่าจะกระโจนลงน้ำหากแต่ปีกสวยกลับสยายออกบินแทนจนคนร่างบางกรีดร้องด้วยความตกใจ หญิงสาวข้างสระน้ำที่นั่งแช่ขาลงน้ำอยู่ก็ได้แต่ส่ายหน้าเบาๆ

    ธุวดาราลอยอยู่เหนือผืนน้ำพยายามเอาตัวลงหัวใจเต้นไม่เป็นระส่ำกลัวตกลงไปตายเสียเดี๋ยวนั้น เธอมองเห็นหญิงสาวหน้าตางดงามเหนือบรรยายนั่งขำเล็กน้อยยามเห็นคนหน้าหวานติดอยู่บนอากาศ

    “ช่วยด้วย ช่วยฉันด้วย ฉันลงไปไม่ได้”

    “ก็แค่ร่อนลงมา ตัวเจ้าเองทำไมจะสั่งตัวเองไม่ได้เหมือนกับการเดินการบังคับทิศทางการวิ่ง ทำเหมือนตัวเองอยู่ในน้ำแค่เคลื่อนตัวไปมาตามที่ใจต้องการ ปล่อยใจสบายๆทำตามที่ใจต้องการ”

    “แต่ฉันไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อนเลยนะ”

    “ลองดู” ธุวดารายอมทำตามคำแนะนำก่อนจะลองทำใจให้สบายและค่อยๆร่อนลงมาอย่างช้าๆ จนกระทั่งเท้าสวยเปล่าเปลือยแตะแก่งหินข้างสระอย่างงดงามนุ่มนวล “สวยมาก หัวไวเหมือนกันนะ”

    “ช่วยฉันด้วย ฉันจะดึงปีกออกได้ยังไง เธอบอกว่าเธอเป็นคนปกปักรักษาป่านี้เธอต้องช่วยฉันได้สิ” ทันทีที่เท้าแตะพื้นปากก็เอ่ยขอร้องทันทีเล่นเอาเจ้าที่สาวได้แต่กอดอกกลอกตาไปมา

    “ข้าช่วยไม่ได้หรอก ธรรมชาติของกินรีก็ต้องมีปีกจะดึงออกไม่ถูกวิธีก็เหมือนแขนขาดขาขาดเลยนะ เจ็บปางตายเลยด้วย อ้อ ลืมแนะนำตัวข้าชื่ออัปสรสุดา”

    “กินรี! ฉันเป็นคนไม่ใช่กินรี”

    “แต่เจ้าเป็นไปแล้ว เปลี่ยนเป็นกินรีอย่างสมบูรณ์เลยด้วย” อัปสรสุดายังคงตั้งหน้าตั้งตาอธิบายมือไม้กรีดกรายไปมาอย่างอารมณ์ดีต่างจากธุวดาราที่ตอนนี้เหมือนโลกหยุดชะงักและพังทลายลงมาไม่เหลืออะไรอีกต่อไปแล้ว

    “กินรี? ฉันจะบ้าตาย”

    “เอาน่าก็ไม่ได้แตกต่างมากนี้ทุกอย่างก็ลักษณะเหมือนมนุษย์แค่มีปีกแล้วก็มีความงดงามเย้ายวนบุรุษกว่าคนทั่วไปก็เท่านั้นเรียกง่ายๆว่าเสน่ห์แรง เรื่องดีนะ

    “แล้วมันถอดไม่ได้เหรอ ต้องทำยังไง ฉันจะไปทั้งแบบนี้ได้ยังไง”

    “ที่จริงก็ถอดปีกเก็บไว้ได้ด้วยแต่ต้องรู้วิธีที่ถูกต้องโดยฝึกบำเพ็ญขอพรจากพระพุทธให้ท่านประทานความสามารถนี้ให้เหมือนพวกกินรีที่เขาไกรลาส พวกนั้นถอดปีกไปไหนได้สบายๆไม่เหมือนกินรีจบใหม่อย่างเจ้า ถ้าหากใช้ทางลัดมันไม่สวยแน่ๆ”

    “หา!” ตากลมหวานลุกวาว “ต้องทำยังไง” หญิงสาวรีบตรงเข้าไปเขย่ามือของอัปสรสุดาอย่างร้อนรนผลคือถูกปัดออกอย่างรวดเร็ว

    “ทางตรงคือเจ้าต้องบำเพ็ญเพียรหลายสิบปีหรืออาจจะไม่มากขนาดนั้นแต่การถอดปีกทางลัดน่ะ มันไม่ใช่ธรรมชาติของกินรามันอันตรายมากนะ กินราตนไหนพยายามฝ่าฝืนรับรองว่าจะมีจุดจบที่แย่ที่สุด อีกอย่างปีกของเจ้าก็มีความมหัศจรรย์อยู่มาก ถ้าไม่อยู่กับตัวก็เสี่ยงจะถูกคนอื่นเอาไปใช้ในทางที่ผิด”

    “เอาถอดเลย ถอดออกไปจากหลังของฉันเลย ฉันไม่สนอะไรทั้งนั้น” ใบหน้าหวานยังคงร้องขออย่างหนักแน่นไม่ไขว้เขวง่ายๆ อัปสรสุดาเห็นท่าทางเช่นนั้นก็อดจะสงสารไม่ได้ ฝ่ามือเรียวสวยของเจ้าแห่งพงไพรก็ปรากฏกำไลเงินเกลี้ยงเกลาสลักลวดลายเล็กๆแสนละเอียดน้ำงามบริสุทธิ์วงหนึ่งขึ้นมา “นี่อะไร”

    “สิ่งที่จะช่วยเก็บปีกของเจ้าได้”

    “ยังไง” อัปสรสุดาไม่ได้ตอบอะไรนอกจากกำกำไลขึ้นมาท่องคาถาบางอย่าง ภาษาที่ธุวดาราไม่มีวันเข้าใจได้เนิ่นนานครู่ใหญ่ๆก่อนจะจบลงและยื่นมันให้แก่ธุวดารา

    “รับไปแล้วสวมซะ” หญิงสาวรับมาอย่างงงๆก่อนจะสวมที่ข้อมือข้างขวาอย่างพอดิบพอดี ปีกแสนสวยสีขาวชมพูสะอาดตาก็อันตรธานไปอย่างรวดเร็วกลับกลายเป็นหญิงสาวในชุดเสื้อเชิ้ตกางขายาวธรรมดาเหมือนเดิมเท่านั้น “มันจะช่วยซ่อนปีกของเจ้า”

    “กลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว ขอบคุณมากๆเลยนะคะ ฉันเลยลืมกลัวคุณเลยเพราะเรื่องปีกนี่แท้ๆ” ร่างบางกระโดดโลดเต้นไปมาอย่างมีความสุขโดยไม่ได้สังเกตเลยว่าอัปสรสุดากำลังกังวลอะไรบางอย่าง “ฉันเป็นคนเหมือนเดิมแล้ว”

    “แค่กินรีที่ซ่อนปีกตัวเองต่างหากไม่ใช่คนแล้ว” ธุวดาราค่อยๆหุบยิ้มและหยุดชะงักหันมาจ้องเจ้าป่าสาว

    “แต่ถ้าสวมกำไลนี้ฉันก็เป็นแค่ฉันไม่ใช่เหรอ”

    “สิ่งที่ข้าช่วยเจ้ามันเป็นการฝ่าฝืนกฎธรรมชาติ มันจะไม่ยั่งยืน คาถามันจะต้องสูญสลายไปและจะลงเอยด้วยจุดจบที่ไม่โสภาเอาซะเลย”

    “หมายความว่าไง” ร่างบางเริ่มหน้าเสียขึ้นมาทีละน้อย

    “หมายความว่าภายในจันทรคราสเต็มดวงในครั้งต่อไป เจ้าจะต้องตายสูญสลายไปในอากาศ” สิ้นเสียงนั้นตากลมก็เบิกกว้างไม่อยากจะเชื่อหูหน้าซีดเผือด

    “ไม่มีทางออกเลยหรือไง มีทางไหนไหมที่ฉันจะไม่ต้องตาย ฉันยังไม่อยากตายนะ”

    “มีจุมพิตแห่งรักแท้เท่านั้นที่จะช่วยเจ้าได้ รักแท้เท่านั้นที่เอาชนะได้ทุกอย่างได้”

    “แล้วฉันจะไปหามาจากไหน มันมีแต่ในเทพนิยาย”

    “จากชายผู้เป็นพรหมลิขิตของเจ้า”

    “ไม่ๆๆ ฉันไม่ขอมีรักแท้กับคนเจ้าชู้มักมากแน่ๆ” หญิงสาวส่ายหน้าเป็นพัลวันแค่นึกถึงน้ำเสียงกรุ้มกริ่มของคณินตอนพูดกับพวกผู้หญิงทั้งหลายของเขายิ่งทำให้เธอส่ายหน้าเป็นพัลวัน

    “ไม่ ความรู้สึกจะบอกเจ้าเอง” ใบหน้างามเปี่ยมไปด้วยความเมตตายิ้มบางๆพลางกุมมือเป็นกำลังใจให้เธอ ธุวดาราเพียงแต่พยักหน้ารับหน้าตาเศร้า “ใบ้ให้ก็ได้ ผู้ชายคนแรกที่เจ้าจะได้เจอต่อจากนี้”

    ฉับพลันฝ่ามือของอัปสรสุดาก็ปรากฏสิ่งหนึ่งจนธุวดารางุนงง หญิงสาวจ้องมองดูก็เห็นเป็นนาฬิกาทรายเรียบๆที่เล็กกว่าฝ่ามือครึ่งหนึ่ง

    “อะไรคะ”

    “นาฬิกาชีวิตของเธอ มันเริ่มแล้วตั้งแต่ที่ข้าท่องมนต์และปีกของเธอได้หายไปมันจะไหลลงมาจนหมดภายในคืนจันทรคราส หากว่าทรายหมดก็เท่ากับชีวิตของเจ้าหมดไปด้วย” หญิงสาวรับมาด้วยแววตาวิตกกังวลที่ฉายชัดบนใบหน้าหวาน “ถอดกำไลเธอจะกลายกินรีเหมือนเมื่อกี้แต่มนต์อันนี้ก็ยังส่งผลเหมือนเดิม”

    “ทรายไหลลงมาหมด ชีวิตฉันก็ด้วยเหรอเนี่ย ฉันต้องทำให้เขารักเหรอ”

    “บอกไม่ได้ บางคนคบกันอยู่ด้วยกันมาหลายสิบปีก็ยังหมดรักกันง่ายๆ บางคนประกาศว่ารักคนหนึ่งแต่ใจกลับปันไปให้คนหนึ่ง น้อยมากที่จะเป็นรักแท้ แต่ถ้าผู้ชายคนนั้นมีความรักแท้ให้กับเธอจริงๆ เธอจะไม่ตายกินรีน้อย แล้วแต่ชะตารักจะลิขิต”

    คนแรกที่เจออย่างนั้นเหรอ ใครกันล่ะ?

    “รักแท้มันเป็นยังไง”

    “ตับไตใส้พุงล่ะมั้ง ข้าต้องไปแล้ว เจ้าควรจะพักผ่อนได้แล้วตกใจมาทั้งคืนแล้วนี่” อัปสรสุดาบอกเสียงนุ่มก่อนจะเอามือแตะที่แก้มเบาๆจนธุวดาราหมดสติลงไปนอนบนโขดหินคนเดียว “ข้าช่วยเจ้าได้แค่นี้แหละ”

     

    TBC

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×