ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เรียงความ...กลอน...เรื่องสั้น

    ลำดับตอนที่ #2 : [Essay]เรื่องเล่าประสบการณ์....ปัจฉิมนิเทศ ป.6 ปีการศึกษา 2546

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.9K
      6
      13 ก.ค. 50


    เรื่องเล่าวันปัจฉิมนิเทศ

     

                    เรื่องที่ข้าพเจ้าจะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตของข้าพเจ้า วันนั้นเป็นวันเสาร์ที่ ๔ ของเดือนกุมภาพันธ์ปี ๒๕๔๗ หรือหากจะเทียบเป็นปีการศึกษาก็คือ ปีการศึกษา ๒๕๔๖ ตอนนั้นข้าพเจ้ากำลังศึกษาอยู่ในระดับประถมศึกษาปีที่ ๖ ปีสุดท้ายสำหรับการใช้ชีวิตของนักเรียนประถม และวันนั้นก็เป็นวันสุดท้ายเช่นเดียวกันที่ข้าพเจ้าจะได้ชื่อว่าเป็นนักเรียนโรงเรียนอัสสัมชัญคอนแวนต์ สีลม

     

                    ความทรงจำที่ผ่านมาทั้งหมด ๖ ปี ทั้งความทุกข์ ความสุข ล้วนมารวมอยู่ ณ โรงเรียนในเวลานี้ ตอนช่วงเช้าของวันนั้น มิสได้ให้พวกเราเดินขึ้นไปที่ดาดฟ้าชั้นบน เมื่อพวกเราขึ้นไปถึงดาดฟ้าก็ต้องประหลาดใจไปตามๆกัน เนื่องจากเครื่องเล่นที่พวกเราเคยเล่นกันอยู่ ถูกแต่งเติมด้วยผ้าสีดำผืนใหญ่จนดูราวกับอุโมงค์เป็นทางยาวตามลักษณะของเครื่องเล่น ในตอนนั้นพวกเราทุกคนยังไม่ได้คิดอะไร แต่เมื่อมีคนเข้าไปแล้วมีเสียงร้องโวยวายออกมา คนที่อยู่ข้างหลังก็ตกใจไปตามๆกันต่างพากันถามว่า เกิดอะไรขึ้น หรือ ข้างในมันมีอะไรอยู่หรอ จนเมื่อต้นเสียงเดินออกมาภายนอก ทุกๆคนต่างหัวเราะกันใหญ่เพราะว่าคนที่เดินออกมา ทั้งใบหน้าและผมต่างเลอะไปด้วยแป้งราวกับตกทั้งแป้งมาเลยทีเดียว ซึ่งไม่ต้องสงสัยว่าจะเป็นฝีมือใคร นอกจากบรรดามิสที่วันนั้นดูมีความสุขเหลือเกิน เครื่องเล่นนั้นข้าพเจ้าและเพื่อนๆได้รวมกันตั้งชื่อให้เครื่องเล่นนี้ว่า เครื่องเล่นมหาภัย หลังจากนั้นนักเรียนทั้ง ๓๐๘ คนซึ่งในตอนนั้นก็ต่างเลอะแป้งไปตามๆกันก็ได้ลงมาที่สนามบาส อีกครั้งหนึ่ง สนามที่มีไว้เล่นสิ่งต่างๆตั้งแต่ทั้งเกมส์ กีฬาต่างๆจนกระทั่งถึงเกมส์ตามประสาเด็กๆเช่นกระโดดเชือก หรือ หมากเก็บ ฯลฯ ในสนามบาสตอนนั้นได้มีบุคคลหลายท่านมาบรรยายซึ่งตัวข้าพเจ้าก็ไม่สามารถจำได้แล้วว่าท่านเหล่านั้นเป็นใครกันบ้าง ข้าพเจ้าจำได้แต่เพียงดร.รสสุคนธ์ซึ่งบรรยายเรื่องการรักษาสุขภาพแบบชีวะจิต เช่นการดื่มน้ำบ่อยๆ หรือการหมักเปลือกผลไม้เพื่อให้เป็นน้ำชีวภาพแล้วนำไปรดน้ำต้นไม้ ซึ่งข้าพเจ้าได้ทดลองดูแล้ว พบว่าต้นไม้เติบโตได้ดีจริงๆ จนถึงในตอนเที่ยงทุกๆคนได้ไปที่โรงอาหารที่แม้จะเล็กแต่งก็อบอุ่น อบอวลไปด้วยความทรงจำต่างๆที่ผ่านมา วันนั้นหากข้าพเจ้าจำไม่ผิดกับข้าวในวันนั้นก็คือ ข้าวผัดแต่เป็นข้าวผัดอะไรข้าพเจ้าก็ไม่อาจจะจำได้แล้ว บ้างคนก็นำจานอาหารออกมานั่งล้อมวงทานกันที่สนามบาส เมื่อพวกเราทุกคนทานข้าวกันเสร็จแล้วก็นำจานข้าวไปเก็บแล้วจึงนำกลับมานั่งที่สนามบาสอีกครั้ง ในช่วงบ่ายมีการแสดงครั้งสุดท้ายที่นักเรียนชั้นประถามศึกษาปีที่ ๖ รุ่น๙๔ จะได้มอบให้แก่คุณครูทุกท่าน  เริ่มจากการแสดงของ และห้อง ๓ ห้อง ๕ ตามมาด้วยห้อง ๖ ซึ่งแสดงถึงตลอดเวลา๖ปีที่พวกเราได้ร่วมกันซน จนแทบจะระเบิดโรงเรียน หรือได้ทำให้มิสปวดหัวจนเอือมระอา และตามด้วยห้อง ๑ และห้อง ๔ สุดท้ายจึงปิดด้วยห้อง๒ ซึ่ง คุณครูประจำชั้นของห้องป.๖/๒ได้เสียชีวิตไปในเทอมต้นในปีนั้น ดังนั้นการแสดงชุดนี้ก็ถือได้ว่าเป็นการแสดงเพื่อไว้อาลัยให้แด่มิสด้วยเช่นกัน ตอนนั้นมีเพื่อนๆหลายต่อหลายคนที่เริ่มมีน้ำซึมออกมาจากดวงตา ต่างก็ตาแดง จมูกแดงไปตามๆกัน  จนเมื่อมาถึงกิจกรรมสุดท้ายที่พวกเราทั้ง ๓๐๘ ชีวิตจะมีโอกาสทำด้วยกันในฐานะนักเรียนของโรงเรียนอัสสัมชัญคอนแวนต์ สีลม ไม่ใช่ในฐานะอดีตนักเรียนของโรงเรียนอัสสัมชัญคอนแวนต์ สีลม ซึ่งถือว่ากิจกรรมนั้นเป็นกิจกรรมการอำลาโรงเรียนอย่างถาวร ในพิธีบายศรีสู่ขวัญ มิสหลายต่อหลายท่านได้เดินมาให้พรพวกข้าพเจ้า ในตอนนั้นขอบตาของข้าพเจ้าก็เริ่มร้อนผ่าว น้ำตาได้ปริ่มอยู่บริเวณขอบตาของข้าพเจ้าแล้ว และแล้วข้าพเจ้าก็ไม่สามารถที่กลั้นหยาดน้ำตาเอาไว้ได้ เมื่อข้าพเจ้าคิดว่าวาระสุดท้ายของการเป็นนักเรียนโรงเรียนอัสสัมชัญคอนแวนต์นั้น อยู่อีกไม่ไกลแล้ว คงจะเหลือเวลาอีกเพียงไม่ถึงชั่วโมงเท่านั้น เมื่อข้าพเจ้าเริ่มร้องไห้แล้ว เพื่อนๆหลายคนต่างก็เริ่มร้องออกมาบ้างเช่นเดียวกันเพราะแทบจะทุกคนต่างก็เริ่มเรียนมาพร้อมๆกันกับข้าพเจ้า นั่นก็คือชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ การที่จะต้องจากที่นี้ซึ่งเปรียบเสมือนบ้านหลังที่ ๒ ของพวกเราไปก็ย่อมจะรู้สึกใจหาย และผูกพันกับที่นี้มากทีเดียว ในตอนนั้น มิสได้ร้องเพลงซึ่งพวกข้าพเจ้าได้มารู้ในภายหลังว่าเป็นบทร้อยกรอง เพลงนั้นมีเนื้อความว่าอย่างไร ข้าพเจ้าเองก็จำไม่ค่อยได้ จำได้แต่เพียงวรรคหนึ่งเท่านั้น และวรรคนี้ก็เป็นวรรคที่ข้าพเจ้าชอบมากที่สุดอีกด้วย“ …ยามนี้พวกเจ้าต้องจากไกล ห้องเรียนที่เคยจะเงียบเหงา ไร้เสียงพวกเจ้า…”ห้องเรียนจะเงียบเหงา อย่างไรซะก็คงไม่มีเด็กรุ่นไหนที่จะแสบจะซนได้เท่ารุ่นพวกหนูอีกแล้วใช่มั้ยคะมิส  แต่ถึงแม้ห้องเรียนจะเงียบเหงาเพียงใดก็ตาม หากแต่ความทรงจำอันแสนสุขที่พวกเราทุกคนได้เรียน ได้ซน ได้เล่นด้วนกันจะยังคงอยู่กับพวกเราตลอดไป ไม่ว่าจะเป็นตอนนี้ หรือตอนไหนก็ตาม แม้ว่าพวกเราจะจบการศึกษาจากที่นี้ไปแล้ว แม้ว่าจะอยู่ที่ใดมุมใดของโลกก็ตาม แม้ว่าจะไม่ได้อยู่รวมกันดังเช่นเมื่อก่อน อย่างไรก็ตามหัวใจสีขาวแดงของชาวอัสสัมชัญคอนแวนต์รุ่น ๙๔ ทั้ง ๓๐๘ ดวงก็จะยังคิดถึงและผูกพันกันตลอดไป ไม่มีวันเสื่อมคลาย            


    ++++++++++++++++++++

    Love Assumption Convent Forever                                                                                                          

    สายสัมพันธ์ของเลือดแดงขาวทุกๆคน จะไม่มีวันเสื่อมคลาย

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×