ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [IRC Project 2.0 beta] Pumpkinz World

    ลำดับตอนที่ #24 : [Side Story Vol.4.2] Fall of Metropolis Part 2

    • อัปเดตล่าสุด 15 ก.ค. 57


    เปรียบดั่งเงามืดและแสงสว่าง โลกใบนี้ถูกสร้างขึ้นจากจิตวิญญาณสองขั้วที่จะขาดกันไม่ได้ หากไม่มีแสงก็คงจะไม่มีเงา จิตวิญญาณทั้งสองนี้แตกต่างกันสุดขั้ว แต่สามารถอยู่ร่วมกันได้เสมือนเหรียญสองด้าน จิตวิญญาณเหล่านั้นได้ก่อกำเนิดความรู้ พลังงานและ และชีวิตของสรรพสิ่งขึ้นมา

     

    ชาติกำเนิดและสายเลือดไม่มีผลต่อจิตวิญญาณเหล่านี้ พวกเขาถูกเลือกมาด้วยโลกที่พวกเขาอาศัยอยู่ เมื่อถึงเวลาจิตวิญญาณของพวกเขาจะเรียกร้องให้พวกเขาเหล่านั้นออกเดินตามหาจิตวิญญาณที่เหมือนกันและอยู่ร่วมกัน บางคนเรียกสิ่งนี้ว่าชะตากรรม บางคนเรียกมันว่าเส้นทางชีวิต แต่ไม่ว่าจะเรียกอย่างไร ไม่เคยมีใครขัดขืนมันได้

     

    เปรียบดั่งหนทางคับแคบบนขอบเหว พวกเขาหันหลังกลับไม่ได้ ได้แต่เพียงเดินหน้าเท่านั้น

     

    ฟังดูแล้วเหมือนดังโลกนี้กลั่นแกล้งผู้คน โหดร้ายทารุณหยอกล้อเล่นกับชะตากรรม เพียงแต่ไม่มีใครรู้ว่าโลกก็กำลังเติบโตเช่นกัน มันกำลังศึกษาและเฝ้าดูอยู่อย่างใจเย็นเพื่อรอวันที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่มันคาดไม่ถึง

     

    รอวันที่จิตวิญญาณทั้งสองจะอยู่ร่วมกันอย่างสันติ

     

    แต่เมื่อถึงวันหนึ่งวันในที่โลกของเรารอคอยอย่างเพียงพอแล้ว และเห็นว่าอย่างไรก็ไม่มีทางที่จิตวิญญาณทั้งสองจะอยู่ร่วมกัน ถึงเวลานั้นโลกก็คงต้องทำเรื่องประการหนึ่ง เพื่อผลักดันให้กงล้อแห่งชะตากรรมหมุนเดินเร็วขึ้นไปอีก

     

    ใจกลางหุบเขา Pumpkinz ความเกรี้ยวโกรธแห่งโลกทั้งใบถูกบรรจุไว้ในไข่สีม่วงฟองหนึ่ง ไข่ในนั้นดูยิ่งใหญ่และทรงพลังอำนาจ เปลือกไข่มีลักษณะคล้ายคริสตัลใสโดยมีสิ่งมีชีวิตบางอย่างนอนหลับอยู่ในนั้น

     

    รอบๆ ไข่สีม่วงนั้นต่างก็รายล้อมไปด้วยมอนสเตอร์เกล็ดสีม่วงมากมายไม่มีใครรู้่ามันมาจากไหนหรือใช้วิธีใดในการสืบพันธุ์ แต่ดูเหมือนมันจะเพิ่มจำนวนมากขึ้นจนน่าตกใจ พวกมันเหล่านั้นต่างก็รายล้อมไข่สีม่วงใบนั้นเหมือนเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องรักษาเอาไว้ด้วยชีวิต พวกมันนอบน้อมและเคารพต่อไข่ใบนั้นราวกับเป็นราชาของพวกมัน

     

    ไม่นานนักก็เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างแปลกประหลาด มอนสเตอร์เกล็ดสีม่วงทั้งหลายต่างก็รู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงนั้น พลังงานที่ห่อหุ้มไข่เอาไว้มีมหาศาลมากเกินว่าที่มนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตใดๆ บนโลกจะจินตนาการเอาไว้ได้ เปลือกไข่ค่อยๆ ปริแตกออกกลายเป็นเศษคริสตัลสีม่วงหลากหลายขนาดกองอยู่ที่พื้น

     

    ผลึกสีม่วงเหล่านี้เหมือนกับชิ้นที่มิรันด้าได้กลับไปให้เชสเซอร์ และเป็นชิ้นเดียวกันกับที่เชสเซอร์ใช้เร่งพลังเวทย์ของตนเองเพื่อฆ่าเวอกัส ดูเหมือนผลึกคริสตัลชิ้นนั้นจะเป็นเพียงส่วนหนึ่งของเปลือกใบนี้เท่านั้น

     

    รอยแตกของเปลือกไข่ส่องแสงสีม่วงลึกลับออกมา แสงนั้นเจิดจ้าราวกับภายในไข่กำลังมีพลังงานก่อตัวจนไม่สามารถปิดกันเอาไว้ได้อีกต่อไป ปีกปีศาจขนาดใหญ่เจาะเปลือกไข่ออกมา  พลังงานที่อัดอั้นอยู่ภายในระเบิดออกเกิดเป็นลมหมุนวนครั้งใหญ่ที่ทำเอามอนสเตอร์เกล็ดสีม่วงตัวอื่นๆ แทบจะยืนไม่ไหว

     

    สิ่งมีชีวิตที่อยู่ในไข่ ลอยตัวขึ้นกลางอากาศ ดูดซับพลังนั้นเหล่านั้นเอาไว้ทั้งหมด

     

    รูปร่างคล้ายมนุษย์เพศชายเพียงแต่เขามีผิวหนังสีม่วงเข้ม แต่งแต้มไปด้วยเกล็ดที่แข็งแกร่งยิ่งกว่ามังกร เส้นผมสีดำยาว เขาลืมตาขึ้นก่อนที่จะเผยให้เห็นดวงตาสีแดงประกายม่วง เป็นดวงตาที่จ้องจะกลืนกินทุกสิ่งให้หายไปจากโลกใบนี้

     

    เขาไม่ได้มาเพื่อทำลาย แต่โลกสร้างเขามาเพื่อจุดประสงค์เดียว

     

    เพื่อรวมทุกสิ่งให้เป็นหนึ่งเดียวกัน

     

    และเขาก็พร้อมแล้วสำหรับมัน

     

    ………………………………………………..

     

    แสงสีม่วงส่องขึ้นฟ้าเป็นครั้งที่สองในเวลา19.00 น. หลังจากสงครามวันแรก

     

    เวอกัสตัดสินใจเดินออกจากที่ประชุมหน่วยพิเศษทันที่เกิดเรื่องขึ้น เหมือนมีอะไรบางอย่างในตัวของเขากำลังดิ้นทุรนทุรายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

     

    นี่อาจจะเกี่ยวกับปีศาจที่อยู่ในตัวของเขา เวอกัสไม่มีความรู้ในเรื่องที่ไม่มีบันทึกเอาไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ปริศนาและความลึกลับบนโลกใบนี้ยังมีอยู่อีกมากมาย แต่เวอกัสรู้ว่าเขาจะหาคำตอบได้จากที่ไหน

     

    เวอกัสเดินออกมาจากยานบินที่เข้ามาจอดที่ดาดฟ้าในเขต 1 ของประเทศ Metropolis อาคารหลังนี้แม้จะไม่ใหญ่โตมากเท่าไหร่นัก แต่ก็ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์เดียวเท่านั้น

     

    กักขังเชสเซอร์

     

    ชายผู้เป็นเหมือนสัตว์ประหลาดไร้ผู้ต่อต้าน เขารอบรู้ทุกเรื่องบนโลก แน่นอนว่าถ้าพูดถึงคลังความรู้เวอกัสก็ไม่ได้น้อยหน้าไปกว่าเชสเซอร์เท่าไหร่ แต่เชสเซอร์นั้นต่างออกไป สิ่งที่เขารู้บางครั้งก็ไม่เคยมีการจดบันทึกมาก่อน ดูเหมือนว่าเขาจะรู้ในสิ่งที่โลกนี้ต้องการจะบอก และสิ่งนั้นทำให้เวอกัสตัดสินใจมาหาเขา

     

    ประตูทางเข้าเปิดออกปริภูมิเวอกัสและเอเลี่ยนเดินเข้าไปในอาคารแทบจะพร้อมกัน ดูเหมือนว่าเอเลี่ยนจะอยากติดตามมาด้วยเพราะเหตุผลบางประการ เวอกัสไม่ได้สนใจมากนัก เอเลี่ยนได้พิสูจน์ความภักดีของเขาให้เห็นแล้วในการต่อสู้ที่ผ่านมา

     

    อาคารไม่มีห้องอื่นใดให้เข้าไปนอกจากประตูบานใหญ่สุดทางเดิน ดูเหมือนว่าเชสเซอร์ จะถูกขังเอาไว้อยู่ในนั้น ปริภูมิพยายามเดินเร็วกว่าปรกติเล็กน้อยเพื่อนำอยู่ข้างหน้า เวอกัสเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยด้วยความสงสัย แต่ปริภูมิก็ไม่ได้ตอบอะไรเขาเดินนำข้างหน้าก่อนจะจุดบุหรี่ขึ้นสูบ รูปแบบการเดินกลายเป็นปริภูมิเดินนำหน้าโดยที่เวอกัสและเอเลี่ยนเดินไปด้วยกัน

     

    ทางเดินนั้นทอดยาวไกลกว่าทีคิด เวอกัสเหลือบมองเอเลี่ยนที่กำลังเดินมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย เขาไม่รู้ว่าชาวเซิร์กคิดอย่างไรกับเชสเซอร์ หรือแม้กระทั่งโลกใบนี้ เขารู้จักเซิร์กเพียงแค่ผิวเผินเท่านั้น ถึงอย่างไรก็ตามเทคโนโลยีของมนุษย์ตอนนี้ก็ยังไม่สามารถศึกษาค้นคว้าดาวเดวาฮาลได้มากเท่าไหร่นัก

     

    เอเลี่ยนนั้นไม่มีความคิดเห็นอื่นใดมากนอกจากทำตามคำสั่ง เวอกัสไม่เห็นว่าการซ่อมยานจะเป็นเรื่องสำคัญสำหรับเอเลี่ยนถึงขนาดที่ต้องยอมเสียชีวิตหรือเสียแขนไปข้างหนึ่งก็ตามที เขายอมรับว่าเขาแปลกใจในความภักดีที่เกินเหตุนี้อยู่บ้าง แต่อย่างไรก็ตามในตอนนี้เอเลี่ยนยังคงมีประโยชน์สำหรับเขา

     

    เวอกัสรู้ว่าเอเลี่ยนไม่เคยเจอเชสเซอร์มาก่อน เอเลี่ยนคงไม่เข้าใจถึงความน่ากลัวของเชสเซอร์และสาเหตุที่ต้องขังเขาเอาไว้ในที่ๆ แน่นหนาขนาดนี้เป็นแน่ เวอกัสหลับตาลงเขานึกย้อนถึงตอนเจอเชสเซอร์ครั้งแรก นั่นทำให้เขานึกถึงเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งขึ้นมา

     

    “ในโลกเราเคยมีตำนานอยู่เรื่องนึง” เวอกัสพูดขึ้นมาลอยๆ ให้เอเลี่ยนได้ยิน “มีสัตว์ร้ายตัวนึงโผล่ขึ้นมาจากทะเล มันมีเจ็ดหัวและสิบเขา บนเขาทั้งสิบของมันสวมไว้ด้วยมงกุฏที่มีถอยคำหยาบช้า ผู้คนต่างก็สรรเสริญบูชามันอย่างน่าประหลาดใจ”

     

    เอเลี่ยนขมวดคิ้วลงเล็กน้อย เขาไม่รู้ว่าทำไมอยู่ดีๆ เวอกัสถึงเล่าเรื่องนี้ขึ้นมา แต่เขาก็ไม่ถาม เวอกัสมองเห็นถึงความสงสัยของเอเลี่ยน แต่เขาไม่สนใจก่อนจะเริ่มเล่าต่

     

    “ผู้คนที่เดินตามและสรรเสริญมันนั้นต่างก็บอกว่า ใครจะเปรียบปรานสัตว์ตัวนี้ได้ ใครจะหาญสู้กับสัตว์ตัวนี้ได้” เวอกัสหยุดเล่าพร้อมกับหันมามองเอเลี่ยน “จนมีชายผู้หนึ่งบอกกับตนเองว่า หากเขาจะกำจัดสัตว์ร้ายตัวนี้ เขาต้องกลายเป็นสัตว์ร้ายเองเสียก่อน”

     

    ทั้งสามเดินมาถึงหน้าห้องที่ขังเชสเซอร์เอาไว้ ปริภูมิหันมามองเวอกัสเล็กน้อยเหมือนถามว่าพร้อมรึยัง เวอกัสไม่ตอบอะไรเขายังคงเล่าเรื่องตำนานต่อไป

     

    “ชายผู้นั้นได้กลายเป็นอสูรกายเพื่อปราบสัตว์ร้ายตัวเก่า แต่ก่อนที่เขาจะได้รู้ตัวเขาก็ได้กลายเป็นสัตว์ร้ายที่ผู้คนสรรเสริญไปเสียแล้ว” เวอกัสแสยะยิ้ม “นั่นเป็นเพราะเขาไม่รู้ ว่าสัตว์ประหลาดที่แท้จริงเป็นอย่างไร สัตว์ร้ายตัวนั้นแค่ภาพลวงตา แค่สิ่งที่ผู้คนสรรเสริญบูชา…”

     

    เวอกัสส่งสัญญาณให้ปริภูมิเปิดประตูออก ประตูเหล็กกล้าเคลือบด้วยบาเรียกันเวทย์และลงอักขระป้องกันเวทยฺเอาไว้หลายต่อหลายชั้นค่อยๆ เปิดออก เผยให้เห็นถึงห้องควบคุมที่มีกระจกหนาหลายพันชั้น ภายนอกห้องควบคุมเป็นห้องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่เชสเซอร์ถูกตรึงอยู่กับที่ด้วยประตูมิติหลายบานที่คอยดึงจิตวิญญาณของเขาออกไปจากโลกใบนี้

     

    “เพราะสัตว์ประหลาดแท้จริงนั้นอยู่ที่นี่” เวอกัสเงยหน้ามองเชสเซอร์

     

    พร้อมกับที่เชสเซอร์มองเห็นเวอกัสแม้จะมีกระจกป้องกันการมองเห็นอยู่ก็ตาม เขาแสยะยิ้มเย็นเยียบออกมา

     

    “สวัสดีเวอกัส”

     

    เวอกัสยิ้มเช่นกัน

     

    “สวัสดีสัตว์ร้าย”

     

    ปริภูมิขยับตัวเข้ามาบังหน้าเวอกัสเล็กน้อย ตอนนี้เวอกัสรู้แล้วว่าปริภูมิทำไมถึงได้เดินนำหน้าตลอดเวลา ดูเหมือนว่าคนที่ไม่เคยกลัวใครอย่างปริภูมิดูจะมีท่าทีหวาดระแวงในตัวเชสเซอร์อยู่ไม่น้อย เวอกัสไม่ได้ตำหนิปริภูมิเพราะถ้าเขาเคยตาย แล้วฟื้นกลับขึ้นมาใหม่ เขาก็คงจำคนที่ฆ่าเขาไปตลอดชีวิต ปริภูมิคงกลัวว่าประตูมิติจะไม่สามารถกักขังเชสเซอร์เอาไว้ได้จึงพยายามอยู่ข้างหน้าคนทั้งสองเผื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นมา

     

    เวอกัสเอื้อมมือไปเตะไหล่ปริภูมิเพื่อบอกว่าไม่เป็นไร ก่อนที่เขาจะเดินไปข้างหน้ากระจกใสเพื่อมองเชสเซอร์ให้ชัดเจน

     

    “ฉันไม่น่าเปลืองงบสร้างกำแพงกระจกขึ้นมาเลยแฮะ” เวอกัสพูดลอยๆ เขาไม่รู้ว่าเชสเซอร์สามารถมองทะลุผ่านกระจกหลายพันชั้นเข้ามาได้ หรือว่าแค่สัมผัสได้ว่าเขามากันแล้วเท่านั้น ทั้งสองสถานการณ์แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะหากเป็นอย่างแรกเท่ากับว่าเชสเซอร์จะมองเห็นถึงสิ่งที่อยู่ในหัวเวอกัสตลอดเวลา แต่ถ้าเป็นอย่างที่สองเวอกัสก็คงไม่ต้องกังวลมากเท่าไหร่นัก

     

    “มันใช้งานได้ดีเชียวล่ะ ฉันมองไม่เห็นนายหรอก แต่กลิ่นของความยโสมันโชยออกมาจากตัวของนายจนฉันรู้สึกได้เท่านั้นเอง” เชสเซอร์พูดตอบกลับไปในทันที แน่นอนว่าเขาถูกตรึงอยู่กับที่กลางอากาศ แรงจากประตูมิติดึงร่างกายเขาเอาไว้ทุกทิศทุกทาง

     

    “อย่างนายไม่มีสิทธิ์มาพูดว่าคนอื่นยโสหรอกนะ” เวอกัสเถียงกลับ เชสเซอร์เป็นคนที่มองคนอื่นต่ำต้อยกว่าตนเองเสมอ แม้ว่าเชสเซอร์จะมีสิทธิ์มองอย่างนั้นแต่เวอกัสก็ไม่ชอบสายตาแบบนั้นอยู่ดี โดยอย่างยิ่งเวลาที่อีกฝ่ายใช้เพื่อจ้องมองมาที่เขาเอง

    เชสเซอร์แสยะยิ้มเล็กน้อยก่อนที่เขาจะเริ่มพูดต่อ

     

    “เกิดอะไรขึ้นจนถึงกับต้องถ่อมาที่นี่ล่ะเวอกัส”

     

    “ฉันคงไม่ต้องบอกนายล่ะมั้ง” เวอกัสแสยะยิ้มขึ้นบ้าง

     

    “แสงสีม่วงนั่นสินะ”

     

    เวอกัสอืมรับคำ ก่อนจะเริ่มพูดต่อ

     

    “วินาทีที่นายใช้พลังจากผลึกสีม่วงนั่นฉันรู้สึกแปลกๆ เหมือนมีบางอย่างตื่นขึ้นมา”

     

    “ก็คงเป็นเช่นนั้น”

     

    “มันคืออะไร?”

     

    “ฉันล่ะสงสัยจริงๆ ว่านายจะอยากรู้เรื่องแบบนี้ไปทำไมกัน? ทำไปเพื่อประเทศ Metropolis หรือเพื่อความกระหายใคร่รู้ของตนเองกันแน่?”

     

    เวอกัสสะดุ้งตัวเล็กน้อย เขาไม่ปฏิเสธสิ่งที่เชสเซอร์พูด เพราะอันที่จริงแล้วการมาหาเชสเซอร์ครั้งนี้เป็นเพราะเขารู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างในตัวเปลี่ยนแปลงไป

     

    เชสเซอร์ยิ้มกว้างเหมือนรู้ทัน เขาเลิกคิ้วขึ้นก่อนจะเอ่ยคำพูดออกมา

     

    “ฉันกับนายมักจะรู้ทันกันเสมอ นั่นอาจเป็นเพราะเราคล้ายกันก็ได้ แต่แปลกที่ผู้คนต่างก็รังเกียจนาย ในขณะที่มีคนมากมายสรรเสริญบูชาฉัน”

     

    “นั่นไม่แปลกเลยเชสเซอร์ เพราะทุกคำที่นายพูดมันคือคำโกหกที่สวยงาม ส่วนฉันพูดแต่ความจริงที่เจ็บปวด” เวอกัสตอบกลับในทันที

     

    เชสเซอร์ชักสีหน้าก่อนจะแสยะยิ้ม เวอกัสมองเชสเซอร์ด้วยสายตาของความเป็นจริงมาโดยตลอด เขาไม่เคยประเมินเชสเซอร์สูงหรือต่ำไปมาก่อน

     

    “อย่ามัวเสียเวลากับการสนทนาไร้สาระอยู่เลย นายรีบบอกมาดีกว่าว่าแสงสีม่วงนั่นคืออะไร?”

     

    “มันเรียกว่า อีนิคม่า มันคือความต้องการของโลกใบนี้” เชสเซอร์พูดขึ้น

     

    “ความต้องการ? เจตจำนงน่ะเหรอ? นี่จะมีตัวแบบนายโผล่ขึ้นมาอีกคนรึไง?”

     

    เชสเซอร์หัวเราะเล็กน้อยให้กับคำพูดของเวอกัส

     

    “ก็ไม่เชิงซะทีเดียวหรอก เจตจำนงนี้แรงกล้ามากกว่าที่พวกเราเคยรู้จัก” เชสเซอร์หยุดเว้นช่วงเล็กน้อย “มันเกิดมาเพื่อรวมทุกอย่างให้เป็นหนึ่งเดียว พลังของมันสามารถกลืนสิ่งได้ทุกสิ่งและย่อยสลายพลังเหล่านั้นให้เป็นของตัวมันเองได้ พวกมันจะพัฒนาตนเองและแพร่พันธุ์ออกไปเรื่อยจนกว่าโลกทั้งโลกจะกลายเป็นหนึ่ง จากนั้นจึงดับสูญไป”

     

    “พูดยังกับว่ามันสามารถฆ่านายได้งั้นแหละ”

     

    “ใช่แล้ว...เจ้านั่นเป็นสิ่งเดียวบนโลกใบนี้ที่ฆ่าฉันได้”

     

    เวอกัสสะดุ้งตัวเล็กน้อย

     

    "ถ้าอย่างนั้นเราทั้งคู่ก็ตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายน่ะสินะ"

     

    "เปล่าเลยเวอกัส....แค่นายคนเดียว"

     

    เวอกัสแสดงสีหน้าสงสัยอีกครั้ง ดูเหมือนเชสเซอร์จะจับความสงสัยนั้นได้เขาจึงเริ่มพูดต่อทันที

     

    "ปีศาจที่อยู่ในตัวของนาย มันหายไปแล้วใช่ไหมล่ะ" เมื่อเริ่มพูดถึงเรื่องนี้สายตาของเชสเซอร์ก็เต็มไปด้วยความโกรธแค้น "เจ้าปีศาจนั่นก็เป็นเจตจำนงเหมือนกับฉัน...เป็นสิ่งที่มีตัวตนอยู่คนละภพ มันจะหาร่างที่เหมาะสมและเพาะเชื้อแห่งความพินาศเข้าไปในตัวของคนๆ นั้นจนสุดท้ายร่างกายของคนผู้นั้นก็จะกลายเป็นร่างของมันโดยสมบูรณ์"

     

    เมื่อได้รับคำอธิบายเรื่องปีศาจที่อยู่ในตัว เวอกัสก็รู้สึกใจหายไม่ได้ บางครั้งเขาก็รู้สึกเหมือนมีบางอย่างมาตัดสินใจแทนเขาเหมือนกัน

     

    "ในตอนแรกฉันคิดว่านายโดนควบคุมอยู่...แต่ใครจะไปนึกว่าตัวตนที่แท้จริงของนายก็สร้างความพินาศได้พอๆ กัน"

     

    "หมายความว่ายังไง?"

     

    "นายควบคุมมันได้เวอกัส นายเป็นคนเดียวในโลกใบนี้ที่สามารถกักขังปีศาจร้ายตนนี้ให้อยู่ในการควบคุมของนายได้" เชสเซอร์แสยะยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเริ่มพูดต่อ "แต่ไม่ต้องกังวลไปหรอก ต่อให้ไม่มีมัน นายก็ยังคงเป็นปีศาจด้วยตัวของนายเองอยู่ดี"

     

    เวอกัสนิ่งเงียบไปเขากำลังใช้ความคิดอยู่ หากปีศาจที่เชสเซอร์พูดถึงใช้รูปแบบการสิงสู่ล่ะก็ มันก็จำเป็นต้องมีร่างต้นตนใหม่ แล้วการที่เวอกัสนั้นรู้สึกแปลกไปหลังจากที่แสงสีม่วงส่องขึ้นฟ้า นั่นอาจจะเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงอะไรบางอย่าง ทันใดนั้นเวอกัสก็เข้าใจในเรื่องราวขึ้นมา

     

    "หรือว่า...."

     

    "ปีศาจในตัวของนายย้ายเข้าไปอยู่ในเจตจำนงค์ที่เกิดขึ้นมาใหม่ และมันก็คงจะหมายหัวนายไว้เป็นคนแรก เพราะนายเป็นคนเดียวในโลกที่ควบคุมมันได้” เชสเซอร์ต่อคำพูดที่เหลือของเวอกัสให้ในทันที

     

    "ฟังดูน่ากลัวพิลึก” เวอกัสทำสีหน้าแหยเก

     

    “น่าสยดสยองเชียวล่ะ”  เชสเซอร์ช่วยเสริมให้ทันที

     

    เวอกัสกำลังนึกภาพสัตว์ประหลาดที่มีพลังพอจะฆ่าเชสเซอร์ได้รวมกับปีศาจในตัวของเขากำลังไล่ล่าเขาอยู่ ซึ่งมันไม่น่าพิสมัยเลยสักนิด ปริภูมิและเอเลี่ยนที่อยู่ข้างๆยังคงไม่เข้าใจกับคำอธิบายของเชสเซอร์ อาจจะเป็นเพราะพวกเขาทั้งคู่ไม่เคยได้ยินเรื่องปีศาจในร่างกายของเวอกัสมาก่อน หรือแม้กระทั่งชาติกำเนิดที่แท้จริงของเชสเซอร์

     

    “ให้ฉันช่วยไหมล่ะ?” เชสเซอร์ยื่นข้อเสนอขึ้น

     

    ความสนใจของคนในห้องทั้งหมดหันไปอยู่ที่เชสเซอร์เพียงคนเดียว เอเลี่ยนเริ่มรู้สึกถึงแรงกดดันบางอย่างจนมือของเขาเอื้อมไปแตะที่ปืนอย่างไม่รู้ตัว เวอกัสรู้ดีกว่าทำไมเชสเซอร์ถึงได้ถึงได้เสนอตัวออกมาช่วยเขา เป็นเพราะสิ่งที่เชสเซอร์แค้นและต้องการทำลายไม่ใช่ร่างกายหรือจิตวิญญาณของเวอกัส แต่เป็นปีศาจที่อยู่ในตัวของเขาต่างหาก

     

    เมื่อเชสเซอร์รู้ว่าเวอกัสไม่ใช่ร่างกาฝากของปีศาจตนนั้นอีกต่อไป เขาก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องฆ่าเวอกัสให้ตายคามืออีก

     

    แต่สำหรับเวอกัส การกักขังเชสเซอร์เอาไว้มีประโยคสำหรับเขามากเหลือคณานับ

     

    “เอาสิ ฉันจะลองพิจารณาดูถ้านายออกไปจากที่นี่ได้ล่ะก็นะ” เวอกัสแสยะยิ้ม

     

    “โอ้เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงหรอก อีกไม่นานฉันก็หลุดออกไปจากที่นี่แล้ว”

     

    เวอกัสยิ้มกว้างขึ้นไปอีกเหมือนได้ฟังเรื่องตลกชวนหัว

     

    “ตอนนี้ขนาดขยับนิ้วสักข้างนายยังทำไม่ได้เลย แล้วนายจะไปทำอะไรได้เชสเซอร์”

     

    เชสเซอร์ไม่ตอบคำในทันที สายตาของเขาที่มองออกมาเต็มไปด้วยความสมเพชเวทนา ซึ่งเป็นเรื่องปรกติที่ผู้แข็งแกร่งจะใช้มองผู้ที่อ่อนแอกว่า แม้เวอกัสจะยอมรับว่าตัวตนของเขาเองยังคงสู้กับเชสเซอร์ไม่ได้ แต่เขาก็รังเกียจสายตาแบบนี้อยู่ดี เชสเซอร์ส่งยิ้มเย็นเยือกมาให้เวอกัสพอที่จะทำให้เขารู้สึกเสียวสันหลัง แน่นอนว่าเขาไม่เคยลืมว่าเชสเซอร์มีลางสังหรณ์ที่แม่นยำแค่ไหน หากเขาบอกว่าเขาจะได้ออกไปจากที่นี่เขาย่อมต้องสามารถหลบหนีออกไปจากที่นี่ได้

     

    เวอกัสหรี่ตาลง สิ่งที่เขาเป็นกังวลในตอนนี้ ไม่ใช่แค่เชสเซอร์อีกต่อไปแล้ว ยังมีกองกำลังฝ่ายใหม่โผล่ขึ้นมาท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างสองประเทศอีกต่างหาก  กองทัพหลักทั้งสามของ Metropolis อยู่ห่างจากตัวเมืองเกินไป เขาจำเป็นต้องเรียกพวกเขากลับมาป้องกันเขต 1 เอาไว้จากเหล่าอีนิคม่า ดูเหมือนว่าแสงสีม่วงนั่นจะเป็นเสียงระฆังบ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย

     

    เวอกัสปะติดปะต่อเรื่องราวเข้าเด้วยกันทั้งหมด แล้วเขาก็เริ่มเข้าใจและเห็นถึงเรื่องราวที่มันเป็นไป เขาเงยหน้ามองเชสเซอร์ที่อยู่ไกลออกไปผ่านกระจก ตาทั้งคู่ประสานกัน

     

    “ฉันไม่จำเป็นต้องทำอะไรเลยเวอกัส” เชสเซอร์ยิ้มออกมาเล็กน้อย เขาสัมผัสได้ถึงสิ่งที่อยู่ในหัวของเวอกัสแม้ว่าเขาจะไม่สามารถอ่านใจได้ในเวลานี้ก็ตาม

     

    ”...ฉันก็แค่รอ”

     

    ………………………………………………..

     

    เวอกัสไม่เสียเวลาอยู่คุยกับเชสเซอร์อีกต่อไป เขารีบมุ่งหน้าไปยังศูนย์บัญชาการใหญ่ทันที เอเลี่ยนเป็นผู้ขับยานไปส่งด้วยความเร็วที่น่าพอใจ ทำให้เวอกัสมาถึงที่ศูนย์บัญชาการในเวลาไม่นานนัก เขาบอกให้เอเลี่ยนไปรอรับคำสั่งที่ฐานของหน่วยพิเศษก่อนที่ตัวเองจะเดินเข้าศูนย์บัญชาการด้วยความรวดเร็วโดยมีปริภูมิตามเข้าไปติดๆ

     

    เวอกัสได้ส่งสัญญาณถอยทัพกระทันหันให้กับกองทัพทั้งหมดที่อยู่รอบนอก หน่วยทัพที่คาดว่าจะสามารถถอยทัพกลับมาได้รวดเร็วที่สุดเห็นจะเป็นทัพของสโนว์ที่ได้สร้างเสาสัญญาณการวาร์ปทิ้งเอาไว้ทุกระยะอย่างไม่ขาดตอน

     

    ส่วนทัพอื่นๆ ที่อยู่ด้านล่างและที่ทะเลนั้นให้ถอยกลับมาโดยเร็วที่สุด เวอกัสคำนวณจากเวลาการเดินทัพดูเหมือนว่าจะต้องใช้เวลายาวนานกว่าที่คิดเอาไว้ ซึ่งถ้าหากเหล่าอีนิคม่าทรงพลังอย่างที่เชสเซอร์ว่าจริงๆ ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังต้องเจอศึกหนัก

     

    เวอกัสคำนวณเวลาในหัวอย่างรวดเร็วก่อนจะได้รับรู้ในสิ่งที่เขาไม่อาจจะปฏิเสธได้ว่าเขาวางกองกำลังรักษาเขต 1 น้อยเกินไป เป็นเพราะเขาไม่ได้นึกว่าจะมีมือที่สามในสงครามโผล่ออกมาเร็วเช่นนี้ หากเขาต้องรับมือกับผู้ที่มีความสามารถเช่นเชสเซอร์อีกคนคงเป็นเรื่องที่ไม่น่าอภิรมณ์เท่าไหร่นัก

     

    เวลา 20.00 น. ทัพของสโนว์จำนวนหนึ่งได้เดินทางโดยใช้การวาร์ปกลับมาพร้อมกับยุทโธปกรอย่างครบถ้วน สโนว์บอกว่าอาจจะต้องใช้เวลามากกว่าที่คิดไว้ เนื่องจากเตาปฏิกรณ์ทำงานอย่างหนักในการกักขังเชสเซอร์ทำให้กองทัพของเธอเดินทางล่าช้ากว่าที่คิดเอาไว้

     

    ซึ่งเวอกัสก็คำนวณเอาไว้อยู่แล้ว แต่เวลาไม่เคยคอยใครมากนัก เวอกัสตัดสินใจโยกกองกำลังเกือบทั้งหมดให้ไปประจำการอยู่ที่รอยต่อเขต 1 กับ เขต 0 หากว่ากองทัพอีนิคม่าบุกเข้ามาจริงเขต 1 ทั้งหมดจะเป็นเครื่องถ่วงเวลาให้กับประชาชนชาวเมโทรโปลิส

     

    เวอกัสร่างแผนการถอยทัพให้กับกองทัพทั้งหมด โดยเขาวางกองกำลังทหารออกเป็นชั้นๆ ในเขต 1 ความวุ่นวายสับสนเกิดขึ้นอย่างกระทันหัน ทหารของฝ่าย Metropolis ที่เตรียมจะจัดงานเฉลิมฉลองเนื่องในชัยชนะวันแรกเป็นอันต้องงุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

     

    แต่พวกเขายังคงทำตามหน้าที่อย่างเคร่งครัด

    เวลา 0.00 น. กองทัพของสโนว์ทั้งหมดได้กลับมาประจำการณ์อยู่อย่างครบถ้วน ถนนทุกสายที่มุ่งตรงสู่เทือกเขา Pumpkinz ถูกปิดตายอย่างแทบจะเรียกได้ว่าถาวร มีการนำเครื่องกีดขวางมาวางเอาไว้มากมายเต็มไปหมด เหล่าทหารเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในกองทัพ แม้จะเป็นระเบียบภายใต้การนำของเวอกัสแต่พวกเขาก็อดกังวลไม่ได้ว่าศัตรูของพวกเขาจะน่ากลัวขนาดไหน

     

    เวอกัสทุ่มกองกำลังทั้งหมดที่ยังใช้ได้วางกองกำลังเป็นกำแพงสามชั้นก่อนจะเข้าถึงเตาปฏิกรณ์การวาร์ป โดยกำแพงชั้นในสุดจะเป็นเตาปฏิกรณ์พอดิบพอดี เวอกัสให้คริสที่ยังคงประจำการณ์อยู่ที่อ่าวสวิตซ์ส่งยานบินที่นอกชั้นบรรยากาศให้มาโคจรที่บริเวณเขต 1 แทน ดูเหมือนว่าคริสยังคงงุนงงอยู่บ้างในตอนแรก แต่เขาย่อมไม่สามารถขัดคำสั่งของผู้บังคับบัญชาได้

     

    ยานบินจะมาถึงในอีก 3 ชั่วโมง  หากมียานบินคอยยิงสกัดเหล่าอีนิคม่าเอาไว้ จะทำให้เวอกัสอุ่นใจมากขึ้นกว่าเดิมอีกเยอะ เขากำลังจัดกองกำลังใหญ่เตรียมเอาไว้อีกหนึ่งกองเพื่อเอาไว้ใช้ในการตีโต้ตอบเหล่าอีนิคม่ากลับไปหากอยู่ในสถานการณ์ที่ Metropolis ได้เปรียบ

     

    กองทัพที่กำลังถอยมาจาก Hexenberg ได้เดินทางข้ามชายแดนของ Fantasia กลับมาจนหมดแล้ว เวอกัสได้ออกคำสั่งให้ จัดตั้งค่ายป้องกันเอาไว้ที่ฐานในอ่าวสวิตซ์ก่อนจะให้แบ่งกองกำลังส่วนหนึ่งเดินทางเข้ามาสมทบกับเวอกัสที่อยู่ในเขต 0

     

    ประชาชนดูเหมือนจะยังคงเฉลิมฉลองกับชัยชนะในวันนี้อยู่ แสงสีเสียงในเขต0ยังคงไม่ดับลง เวอกัสตัดสินใจออกกฏอัยการศึกและประกาศใช้งานทันที เหล่าประชาชนต่างก็ไม่พอใจในการกระทำของเวอกัส พวกเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นด้านนอกนั่น

     

    เวอกัสวางแผนอพยพผู้คนเอาไว้เผื่อในกรณีฉุกเฉินซึ่งดูเหมือนว่าพวกเขาจะต้องใช้ได้มันในอีกไม่นานนี้

     

    เวลา 3.00 น. กองทัพอีนิคม่าประปรายได้เริ่มบุกเข้าโจมตีจากเทือกเข้า pumpkinz ในตอนแรกฝ่าย Metropolis สามารถต้านทานเอาไว้ได้อย่างสบาย เมื่อผ่านไประลอกแล้วระลอกเล่ากองทัพของอีนิคม่าดูเหมือนจะไม่ลดจำนวนลงแม้แต่น้อย อีกทั้งยังเพิ่มความหลากหลายทางสายพันธ์ออกมาเรื่อยๆ บ้างเริ่มบินได้ บ้างเริ่มโจมตีจากระยะไกลได้ บางตัวเริ่มมีการใช้กรด แก๊ซพิษ นานาๆ ชนิด

     

    ไม่นานนักกำแพงปราการแรกก็ล่มสลายลงในความเร็วที่แม้แต่เวอกัสก็ยังต้องแปลกใจ  เหล่าทหารหาญได้ถอยทัพตามแผนที่เวอกัสวางเอาไว้เพื่อมาสมทบกับกำแพงชั้นที่สอง ก่อนจะยันเหล่าอีนิคม่าที่เพิ่มจำนวนมากกว่าเดิมหลายเท่า

     

    กองทัพอีนิคม่าเคลื่อนที่เป็นระลอกคลื่นคล้ายทะเลแห่งความตาย เวอกัสคำนวณจากเวลาแล้วถ้าเดาไม่ผิดกำแพงเหล่านี้จะต้องล่มสลายในเวลาไม่นานเท่าไหร่นัก

     

    เวอกัสไม่ได้กังวลว่าเหล่าทหารของเขาจะตายหมดหรือไม่ เขาได้วางแผนการถอยทัพเป็นทอดๆ เอาไว้อยู่แล้ว หากถอยตามแผนที่เขาวางเอาไว้ กองกำลังในกำแพงสุดท้ายน่าจะสามารถต้านเหล่าอีนิคม่าเอาไว้ได้ยันสว่าง

     

    แต่สิ่งที่เขาห่วงคือเตาปฏิกรณ์การวาร์ปต่างหาก หากเหล่าอีนิคม่าเป็นอย่างที่เชสเซอร์ว่าจริงๆ ดูเหมือนว่าการปล่อยเตาปฏิกรณ์ที่กำลังทำงานอยู่เอาไว้กลางวงล้อมของศัตรูคงดูไม่ดีเท่าไหร่นัก

     

    “ท่านจอมทัพครับ!” รองแม่ทัพเดินเข้ามารายงานเวอกัสอย่างรวดเร็ว “ยานบินเข้าประจำที่ในวงโคจรแล้วครับ”

     

    เวอกัสเพียงแค่พยักหน้า เขาส่งสัญญาณขึ้นไปหายานบินบนชั้นอวกาศเพื่อยิงถล่มเหล่าอีนิคม่าเอาไว้

    ดูเหมือนจะได้ผล การโจมตีของเหล่าอีนิคม่าหยุดชะงักลงไปทันที เวอกัสออกคำสั่งให้กองกำลังในกำแพงที่สองถอยทัพกลับมารวมกลุ่มกับกำแพงถัดไป เพื่อเสริมการป้องกันเนื่องจากนี่เป็นกำแพงหน้าด่านสุดท้ายก่อนจะถึงเตาปฏิกรณ์การวาร์ป

     

    เวอกัสมองดูการเคลื่อนไหวของเหล่าอีนิคม่าผ่านจอโฮโลแกรม ดูเหมือนว่าเหล่าอีนิคม่าจะไม่สามารถต้านทานการโจมตีจากยานบินบนชั้นบรรยากาศได้

     

    แต่ก็ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้นไม่นานนัก อีนิคม่าตัวสูงเสียดฟ้าโผล่ออกมาให้เห็นในจอภาพ เวอกัสถึงกับต้องสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่เคยเห็นเจ้าตัวนี้มาก่อนเพราะขนาดตัวที่ใหญ่ของมันไม่น่าจะซ่อนตัวหรืออำพรางใดๆ ได้ในเทือกเขา pumpkinz แต่นี่ไม่ใช่เวลามานั่งหาสาเหตุในเรื่องนั้น

     

    การโจมตีของเหล่าอีนิคม่าเริ่มกลับมาอีกครั้ง หลังจากอีนิคม่าตัวใหญ่ยักษ์เริ่มเดินออกมาจากเงามืดก็มีอีนิคม่าขนาดใหญ่มากมายอีกนับไม่ถ้วนเดินตามออกมา แม้ว่าขนาดตัวจะเทียบไม่ได้กับอีนิคม่าตัวใหญ่ยักษ์นั่น แต่ขนาดของมันก็ใหญ่ยิ่งกว่าอีนิคม่าธรรมดาถึงร้อยเท่า

     

    ก่อนที่เวอกัสจะได้ออกคำสั่งอะไร จอภาพก็ปรากฏร่างของอีนิคม่าขนาดยักษ์ออกมาอีกตัว แล้วหลังจากนั้นไม่นานก็ตามมาอีกตัว เวอกัสเริ่มเห็นเค้าลางร้ายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน กำแพงชั้นที่สามดูเหมือนว่าจะต้านเอาไว้ได้ไม่นานอย่างที่คิดเอาไว้

     

    ยังไม่ทันที่เวอกัสจะได้ออกคำสั่งอะไรต่อ ดูเหมือนว่าจะเกิดแรงสั่นสะเทือนบางอย่างที่กำแพงชั้นที่สาม อีนิคม่าลำตัวยาวคล้ายหนอนขนาดใหญ่ก็พุ่งทะลุออกมาจากพื้นดิน มันกรีดร้องดังสนั่นเข้ามาโจมตีโดยอ้อมจากด้านหลัง  ปากของมันเปิดอ้าออกจนสุดก่อนที่จะมีเหล่าอีนิคหลายร้อยหลายพันตัววิ่งออกมาจากลำตัวของมัน

     

    “มันกำลังสร้างอุโมงค์” เวอกัสบ่นพึมพำ ดูเหมือนว่าการโจมตีครั้งนีจะเหนือความคาดหมายของเขากองทัพไม่สามารถต้านทานการบุกจากอีนิคม่าทั้งสองด้านได้อย่างแน่นอน

     

    ปริภูมิยืนดูเหตุการณ์ข้างๆ อย่างเงียบเชียบ เขาอยากไปร่วมรบในแนวหน้าใจจะขาด เขามองเห็นถึงความสามารถของเหล่าอีนิคม่าแล้วถึงกับต้องถอนหายใ

     

    “พวกตัวห่านี่ คงจะมีแต่สัตว์ประหลาดล่ะมั้งถึงจะเอาแม่งอยู่” ปริภูมิพูดลอยๆ

     

    แต่นั่นกลับไปจุดประกายความคิดของเวอกัส

     

    “นั่นสินะ..” สิ้นเสียงเวอกัสก็หันไปออกคำสั่งกับรองแม่ทัพทันที “สั่งให้กองกำลังที่ป้องกันกำแพงชั้นที่สามถอยร่นลงมาได้เลย”

     

    รองแม่ทัพสะดุ้งตัวเล็กน้อย

     

    “แต่ถ้าหากท่านทำแบบนั้น เตาปฏิกรณ์ก็จะ….”

     

    “ถ่ายทอดคำสั่งเถอะ แล้วเมื่อกองกำลังถอยกลับมาทั้งหมดแล้วให้ปิดการทำงานของเตาปฏิกรณ์ซะ” เวอกัสออกคำสั่งต่อ

     

    รองแม่ทัพไม่รู้ว่าเวอกัสคิดอะไรอยู่ เขาหันไปมองปริภูมิที่ตอนนี้ก็งงเป็นไก่ตาแตกเช่นเดียวกัน

     

    “ถ้าแกทำแบบนั้นเชสเซอร์ก็จะหลุดออกมาสิวะ!”

     

    เวอกัสหันไปมองหน้าปริภูมิพร้อมกับยิ้มเล็กน้อย เขายักไหล่แล้วพูดขึ้น

     

    “ก็นี่มันความคิดแกนี่หว่า”

     

    “ตูไปบอกตอนไหนฟระ ว่าให้ปิดเตาปฏิกรณ์น่ะ”

     

    “เปล่านี่”

     

    “แล้วเอ็งปิดทำไม? ถ้ากลัวกำแพงที่ป้องกันเตาปฏิกรณ์พังก็ส่งฉันไปร่วมทัพแนวหน้าด้วยสิวะ! กว่าจะจับไอ้สัตว์ประหลาดนั่นได้รู้ไหมว่าตูเหนื่อยแค่ไหน….”  ปริภูมิเงียบเสียงไปเหมือนคิดอะไรได้

     

    ปริภูมิไม่ใช่คนโง่ เพราะฉะนั้นในตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าเวอกัสต้องการจำทำอะไร

     

    “นายบอกเองว่ามีแต่สัตว์ประหลาดเท่านั้นที่สู้กับพวกมันได้ใช่ไหมล่ะ…” เวอกัสหันกลับไปมองที่จอของตัวเองอีกครั้ง “งั้นก็ให้มันสู้กันซะ”

     

    ………………………………………………..

     

    เตาปฏิกรณ์การวาร์ปปิดการทำงานลงพร้อมๆ กับประตูมิติรอบตัวของเชสเซอร์หายไป ร่างของเชสเซอร์ร่วงหล่นลงสู้พื้นห้องอย่างเชื่องช้า พลังเวทย์ในกายของเขากลับคืนมาอย่างรวดเร็ว เชสเซอร์บิดกระดูกทั่วร่างให้เข้าที่เข้าทาง เสียงกระดูกลั่นดังกรอบแกรบอยู่สักพักก่อนที่เชสเซอร์จะผ่อนลมหายใจออกมาจนสุด

     

    เขาลืมตาขึ้นมองกำแพงที่เคลือบเอาไว้ด้วยบาเรียและอักขระกันเวทย์

     

    “ให้รอซะนานเชียวนะเวอกัส” เชสเซอร์แสยะยิ้มออกมา ก่อนที่จะรวบรวมพลังเอาไว้ที่ฝ่ามือ

     

    อาคารที่กักขังเชสเซอร์ระเบิดเสียงดังสนั่น อานุภาพของเชสเซอร์กลับมาแล้ว กำแพงกันเวทย์หลายพันชั้นไม่สามารถกักขังเชสเซอร์เอาไว้ได้ ภายใต้แรงระเบิดและฝุ่นควัน ร่างของเชสเซอร์พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า เขามองหาหนทางที่จะกลับไป Fantasia อย่างรวดเร็ว

     

    แต่เหล่าอีนิคม่านับพันขวางทางเขาเอาไว้อยู่ เขาย่อมมองเห็นอีนิคม่ายักษ์ที่กำลังเดินหน้าเข้าไปยังฐานทัพของฝ่าย Fantasia  เชสเซอร์แสยะยิ้ม แม้กระทั่งเขาเองยังถูกเวอกัสหลอกใช้ เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเคลียร์เส้นทางกลับบ้านให้กับตัวเอง เชสเซอร์รวมพลังไว้ที่ฝ่ามืออีกครั้ง

     

    “นายเป็นหนี้ฉันล่ะนะทีนี้” เชสเซอร์ส่งกระแสจิตเข้าไปติดต่อกับเวอกัสก่อนจะฟาดพลังลงไปกลางฝูงอีนิคม่า

     

    ………………………………………………………………

     

    เวอกัสยิ้มด้วยความพอใจ กองทัพของอีนิคม่าจะไม่มาก่อกวนการตั้งทัพป้องกันของเขาไปอีกสักพัก แม้ว่าเขาจำเป็นต้องเสียสละผู้คนในกำแพงชั้นที่ 3 ไปบ้างแต่ดูเหมือนว่าเชสเซอร์จะซื้อเวลาให้เขาได้อีกมากโข

     

    ตอนนี้เป็นเวลา 5.00น.  เวอกัสเหลือบมองเวลาที่ฉายอยู่บนหน้าจอโฮโลแกรม เขาได้วางการป้องกันเอาไว้อีกชั้นที่รอยต่อระหว่างเขต 1 และ เขต0 แต่ไม่มีอะไรมาการันตีได้ว่าอีนิคม่าจะไม่บุกผ่านเข้ามาได้ง่ายๆ เหมือนอย่างเคย เวอกัสจ้องมองดูแผนผังบ้านเมืองของฝ่ายตนเองก่อนจะขีดเส้นร่างคร่าวๆ บนแผนที่ในโฮโลแกรม

     

    “เราสามารถสร้างกำแพงจากบ้านเรือนของผู้คนได้” เวอกัสพูดลอยๆ ขึ้นมา แต่ปริภูมิรู้ว่าเวอกัสกำลังคุยอยู่กับเขา “อพยพผู้คนออกจากที่นี่ให้หมด แล้วใช้ยานบินยิงถล่มตึกพวกนี้ซะ”

     

    ปริภูมิเหลือบมองภาพที่หน้าจอโฮโลแกรมก่อนจะยิ้มย่อง ในที่สุดเขาก็จะได้ออกไปสู้บ้างเสียที บ้านเรือนของประเทศ Metropolis มีลักษณะเป็นตึกสูงใหญ่ หากทำลายมันในทิศทางที่เหมาะสมแล้วทบกันหลายๆ ชั้นจะมาสามารถสร้างกำแพงที่มีความแข็งแกร่งได้มากถึงที่สุด

     

    “ฉันจะให้หน่วยพิเศษออกไปปฏิบัติการด้วย” เวอกัสพูดขึ้นก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองปริภูมิ “ดูแลพวกเขาด้วยล่ะ”

     

    “ไม่ต้องให้แกบอกหรอกน่า”ปริภูมิยิ้ม เขาโบกไม้โบกมือก่อนจะเดินออกไปจากห้อง

     

    เวอกัสหันกลับมามองจอโฮโลแกรมอีกครั้ง เพียงแต่คราวนี้เขาจ้องมองไปที่เทือกเขา Pumpkinz อย่างไม่วางตา ที่นั่นมีปีศาจที่เคยสิงสู่เขาสถิตอยู่ อีกไม่นานนักกงล้อแห่งชะตาก็จะเริ่มหมุน

     

    ถึงเวลานั้น เขาก็คงต้องกลับไปเผชิญหน้ากับมันอีกครั้ง

     

    ………………………………………………………………

     

    เชสเซอร์ร่อนลงที่หน้าของกองทัพของแฟนตาเซีย คาลกับซาฟาร์ออกมาทำท่าจะรายงานผลการรบแต่เชสเซอร์บอกปัดออกไปว่าไม่เป็นไร แล้วบอกให้ทหารเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อรับมือกับสงครามอีกครั้งหนึ่งที่กำลังตามมา

     

    เหล่าทหารของ Fantasia อยู่ในสภาวะตื่นตัวอย่างมาก พวกเขาตื่นเต้นที่เห็นเชสเซอร์กลับมาอีกครั้ง พวกเขาทำใจเชื่อได้ยากว่าคนอย่างเชสเซอร์จะถูกจับและการที่เชสเซอร์มาปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขาก็เป็นเครื่องยืนยันอย่างดีว่าข่าวพวกนั้นเป็นเพียงข่าวลือนั่นเอง

     

    เชสเซอร์ยิ้มรับกำลังใจทั้งหมดเอาไว้ก่อนจะเดินเข้าไปในกระโจมทัพ แดเนียลรอเขาอยู่ที่นั่นอยู่แล้

     

    “ยินดีต้อนรับกลับนะ” แดเนียลหันมายิ้มกว้างให้กับเชสเซอร์

     

    เชสเซอร์ยิ้มรับก่อนจะหันกลับไปจ้องมองแผนที่ที่วางอยู่บนโต๊ะกลางห้อง

     

    “ดูเหมือนว่าจะมีงานหนักรอเราอยู่แฮะ” เชสเซอร์พูดด้วยรอยยิ้ม เขารู้สึกกลับมาสนุกสนานอีกครั้งหลังจากที่โดนเวอกัสปั่นหัวมาทั้งวัน “ไปเรียกหน่วยพิเศษมาเถอะ”

     

    เชสเซอร์บอกกับแดเนียล นัยน์ตาสีแดงนั่นกำลังสั่นระริกด้วยความตื่นเต้น

     

    “บอกพวกเขาว่าได้เวลาปิดฉากเกมกระดานนี้เสียที”

     

    ………………………………………………………………

     

    ตอนหน้า  THE LAST EPISODE!!! “THE END.”


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×