ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [IRC Project 2.0 beta] Pumpkinz World

    ลำดับตอนที่ #23 : [Side Story Vol.4] Fall of Metropolis

    • อัปเดตล่าสุด 30 มิ.ย. 57


    แสงแดดยามบ่ายแผดเผาโครวให้รู้สึกร้อนยิ่งกว่าเดิม บาดแผลจากกระบี่สีแดงเล่มนั้นแสบร้อนจนบรรยายไม่ถูก และหากรอยแผลเดิมถูกกรีดซ้ำด้วยกระบี่สีฟ้า ความเจ็บปวดจะยิ่งทบทวีจนโครวพูดไม่ออก

     

    อันที่จริงเขาก็ไม่ได้พูดอะไรมาพักหนึ่งแล้ว เพราะกระบี่สีแดงที่กำลังพาดคอเขาอยู่บังคับให้เขาทำเช่นนั้น

     

    หลังจากที่ประมือกับแฝดนรกไปหลายร้อยกระบวนท่าโครวแม่ทัพคนใหม่แห่ง Metropolis ก็พ่ายแพ้ ถึงกระนั้นก็เป็นความพ่ายแพ้ที่ยอมรับได้ แฝดนรกประสานฝีมือกันอย่างลงตัวจนน่ากลัว อีกทั้งยังสามารถบัญชาการรบในขณะต่อสู้ได้อย่างไม่ติดขัด

     

    ในระหว่างการต่อสู้มีหลายครั้งที่โครวต้องเลือกระหว่างบัญชาการรบหรือรับมือกับแฝดนรกที่โจมตีมาอย่างไม่ขาดสาย

     

    และโครวเลือกที่จะบัญชาการรบเพื่อคงสถานการณ์ของสงครามเอาไว้ เพราะฉะนั้นในแง่ของผลลัพธ์สงครามฝ่าย Metropolis ไม่ได้เสียเปรียบมากนัก แต่สิ่งนี้ต้องแลกมาด้วยบาดแผลฉกรรจ์มากมายบนร่างของโคร

     

    “จับได้เสียที” คาลพูดพลางปาดเหงื่อ แม้ว่าร่างกายเขาจะไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย แต่ขีดจำกัดของมนุษย์ธรรมดาการต่อสู้ติดกันนานเป็นชั่วโมงก็ทำให้เขาเหนื่อยหอบได้เหมือนกัน

     

    ซาฟาร์ไม่พูดอะไร อาวุธของเขาใช้งานยากกว่าของคาลมาก ง้าวเล่มใหญ่ยักษ์นั้นต้องใช้สมาธิในการควบคุมพลังธาตุสูงอีกทั้งยังมีน้ำหนักมากพอสมควรอีกด้วย ทำให้ตัวเขานั้นเหนื่อยล้ายิ่งกว่าคาลเสียอีก

     

    “รีบๆ ทำให้มันจบเถอะ” ซาฟาร์บอกให้คาลลงมือปลิดชีวิตโครวซึ่งบัดนี้ร่างกายของเขากลับมาเป็นร่างมนุษย์เช่นเดิมแล้ว

     

    คาลก้อมมองศัตรูตัวฉกาจที่เขากับพี่ชายต้องร่วมมือกันต่อสู้ยาวงนานนับชั่วโมง และถึงแม้อีกฝ่ายจะพ่ายแพ้ แต่พลลัพธ์ของสงครามกลับสูสีจนน่าตกใจ

     

    สิ่งเหล่านี้ทำให้เขาอกนับถือศัตรูตรงหน้าไม่ได้

     

    “คิดจะพูดอะไรเป็นครั้งสุดท้ายไหม?” คาลถามเขากดกระบี่ลงหนักกว่าเดิม คมมีดของกระบี่เริ่มบาดเข้าไปที่คอของโครว

     

    โครวไม่ตอบคำ เขาเพียงหลับตาแล้วกำหนดลมหายใจ

     

    คาลมองศัตรูที่อยู่ตรงหน้าด้วยความเห็นใจ เมื่อความตายมาเยือนผู้มีสติมักจะสงบนิ่งเสมอ คาลไม่รอช้าอีกต่อไปเขาออกแรงส่งไปที่กระบี่ทันที

     

    แต่ยังไม่ทันที่กระบี่จะได้ปลิดชีวิตโครว ซาฟาร์ก็เดินเข้ามาหยุดเขาเอาไว้เสียก่อน

     

    “มีอะไรน่ะ?” คาลหันไปถามพี่ชาย ซาฟาร์ทำหน้าเครียดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน สายตาของเขาจับจ้องไปยังแนวปะทะของการรบ

     

    “กองทัพของเมโทรมันแปลกๆ..” ซาฟาร์เพ่งสายตาเข้าไปอีก “เหมือนมีใครอีกคนบัญชาการอยู่”

     

    คาลเงยหน้ามามองตามสายตาของซาฟาร์แล้วก็พบว่าเป็นเช่นนั้นจริง ฝ่าย Metropolis เริ่มกลับมาได้เปรียบในสงครามอีกครั้ง ต่างจากตอนแรกที่ยังขับเคี่ยวกันอย่างสูสี อีกทั้งทหารฝ่าย Metropolis ยังเพิ่มจำนวนขึ้นมาอีกด้วย

     

    “กองหนุน?” ซาฟาร์ถามขึ้นด้วยความสงสัย

     

    ทันใดนั้นก็มียานบินขนาดเล็กพุ่งตรงมายังแฝดนรกทั้งสอง ลักษณะยานบินเป็นเหมือนมอเตอร์ไซด์ที่ลอยขึ้นจากพื้น

     

    โครวแสยะยิ้ม การที่เขาหลับตาไปในครั้งก่อนไม่ใช่เพราะเขาปลงตก แต่เป็นเพราะเขาต้องตั้งใจฟังเสียงเครื่องยนต์ตัวนี้ต่างหาก

     

    กองหนุนมาแล้ว อีกทั้งยังนำทัพมาด้วยอดีตเพื่อนร่วมงานของเขา

     

    สโนว์

     

    สาวผมสีน้ำตาลสวยมัดอย่างเรียบร้อยไว้ที่ด้านหลังกำลังเร่งเครื่องยนต์ของมอเตอร์ไซด์สุดแรง เธอได้รับการไหว้วานมาจากเวอกัสเพื่อให้มาช่วยเหลือโครว เพียงแต่เธอไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องเป็นเวลานี้แป๊ะๆ

     

    ซาฟาร์เห็นผู้ที่ตรงเข้ามาเป็นผู้หญิง ปฏิกิริยาของเขาก็เชื่องช้าลงเล็กน้อย เขาไม่เคยประมือกับผู้หญิงมาก่อน ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ชอบผู้หญิงหรือไม่เคยทะเลาะด้วย แต่การที่ต้องสู้เพื่อเอาชีวิตอีกฝ่ายที่เป็นผู้หญิงนั้นเขานึกภาพไม่ออกจริงๆ

     

    สโนว์กลายร่างเป็นหมาป่าปราดเปรียวก่อนจะกระโจนออกจากมอไซด์ที่วิ่งอยู่ด้วยความเร็ว ร่างของเธอพุ่งผ่านแฝดนรกทั้งสองเข้าไปหาโครวพอดิบพอดี

     

    “หมาป่า?” คาลสะดุ้งสุดตัว เขาฟาดดาบออกตามสัญชาติญาณแต่นั่นไม่ได้ช่วยหยุดร่างของสโนว์ที่พุ่งมาด้วยความเร็วเอาไว้ได้ เธออ้าปากกัดเข้าไปที่กระบี่ก่อนจะหมุนตัวควงเพื่อลดความเร็วลง

     

    กระบี่ของคาลกระเด็นหลุดออกจามืออย่างช่วยไม่ได้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรวดเร็วเกินไปจนแฝดนรกตั้งตัวไม่ทัน

     

    “เธอมาช้า” โครวบ่นอุบ

     

    “เงียบไปเถอะน่า คิดว่าการเข้ามาร่วมสงครามกลางคันมันง่ายนักเหรอไง” สโนว์พูดพร้อมกับเปลี่ยนร่างเป็นหญิงสาวเหมือนเดิม

     

    ก่อนเข้ามาช่วยโครวเธอจำเป็นต้องบัญชาการกองหนุนและประสานหน่วยรบทั้งหมดให้เข้าขากันมากที่สุด โชคดีที่สิ่งนี้เป็นงานถนัดของเธอ กองทัพของฝ่าย Metropolis จึงพลิกกลับมาได้เปรียบอย่างไม่ยากเย็น

     

    โครวพยุงตัวเองลุกขึ้นพลางมองกระบี่ที่ตกลงบนพื้น เขาต่อสู้กับแฝดนรกมาร่วมชั่วโมงกว่าๆ แต่ไม่มีจังหวะไหนเลยที่เขาจะสามารถช่วงชิงอาวุธของทั้งคู่เอาไว้ได้ ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยคิด แต่มันทำไม่ได้จริงๆ

     

    ซาฟาร์และคาลจ้องไปที่สโนว์เขม็ง โครวมองเห็นถึงความเหนื่อยล้าของทั้งคู่ได้อย่างชัดเจน ตอนนี้โครวกำลังแปลกใจว่าทำแฝดนรกถึงได้ไม่เข้ามาจู่โจมทันทีเหมือนเคย แม้ว่าจะเสียกระบี่ไปเล่มหนึ่งแต่การสอดประสานของทั้งคู่น่าจะทำให้สโนว์พ่ายแพ้ได้ไม่ยาก

     

    แล้วทันใดนั้นโครวก็เข้าใจแผนของเวอกัสทั้งหมด เวอกัสตัดสินใจให้สโนว์มาช่วยโครวเป็นเพราะเธอเป็นผู้หญิง ชั่วพริบตาที่เธอปรากฏตัวจะเกิดช่องว่างระหว่างแฝดนรกขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ แต่นั่นไม่ใช่สาระสำคัญ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเรื่องเวลา เวอกัสเลือกที่จะให้โสนว์มาช่วยในตอนท้ายโดยการปล่อยให้โครวเป็นเหยื่อล่ออยู่อย่างยาวนาน ไม่ใช่เพราะเขาคิดว่าโครวจะสามารถชนะแฝดนรกทั้งสองได้ แต่นั่นเป็นแผนที่ทำให้ทั้งสองเหนื่อยล้า

     

    คาลกับซาฟาร์ไม่ได้อยู่ในสภาพที่พร้อมรบเหมือนตอนแรกอีกแล้ว การต่อสู้ติดต่อกันหลายชั่วโมงทำให้ร่างกายเรียกร้องการพักผ่อน หากไม่ใช่สโนว์แฝดนรกทั้งสองก็จะไม่เกิดช่องว่าง และหากไม่ใช่เวลาในตอนนี้ทั้งคู่ก็คงมีแรงเหลือเฟือที่จะจัดการเขาทั้งคู่ได้ไม่ยาก

     

    นับว่าแผนการนี้จำเป็นต้องเป็นสโนว์และต้องให้โผล่มาในช่วงเวลานี้เท่านั้น

     

    หากกะเวลาคลาดเคลื่อนไปแม้แต่นิดเดียว โครวก็คงตายอยู่ที่นี่แล้ว

     

    สโนว์ไม่เก่งเรื่องการต่อสู้เท่าไหร่นัก เธอไม่ใช่นักสู้สมบูรณ์แบบ ทักษะของเธอแสดงให้เห็นแล้วว่ายอดเยี่ยมในการบัญชาการ กองทัพของฝ่าย Metropolis กลับมาได้เปรียบจนพวกเขารู้สึกได้ไม่ยาก โครวจ้องมองคาลและซาฟาร์ ดวงตาของทั้งคู่เต็มไปด้วยความลังเล

     

    กองหนุนของฝ่ายแฟนตาเซียมาช้ากว่าที่คิด อาจจะเป็นเพราะเชสเซอร์ละทิ้งแถวหลังไปก็เป็นได้ การรบที่ต่อเนื่องยาวนาน สิ่งสำคัญที่สุดก็คือความต่อเนื่องของกำลังพล และบัดนี้ฝ่าย Fantasia เริ่มแสดงจุดอ่อนให้เห็นแล้ว

     

    คาลและซาฟาร์ไม่คาดคิดว่าเขาจะมาเจอกับสโนว์ หมาป่าสาวที่พวกเขาไม่รู้ถึงความสามารถของเธอ ซาฟาร์เหลือบไปมองการเคลื่อนไหวในกองทัพของตนเอง เขาเริ่มมองเห็นถึงความวุ่นวายที่ก่อตัวขึ้นเรื่อยๆ กองทัพของเขากำลังจะล่มสลายหากเขาไม่กลับไปบัญชาการเต็มรูปแบบ

     

    คาลไม่ได้เหลือบมองก็สัมผัสได้ จิตใจของพี่ชายของเขาไม่ได้จดจ่อกับการต่อสู้ตรงหน้าอีกแล้ว นั่นทำให้ความสามารถในการต่อสู้ของแฝดนรกลดลงอย่างมาก

     

    คาลถอนหายใจ ดูท่าคงต้องกลับไปตั้งหลักก่อน

     

    “กลับเถอะพี่” คาลพูดพร้อมกับพุ่งตัวไปหยิบกระบี่ขึ้นมาจากพื้นดิน การเคลื่อนไหวของเขายังคงรวดเร็วและรัดกุมอยู่

     

    สโนว์ไม่สามารถมองตามการเคลื่อนไหวของคาลได้ทัน เธอตกใจเล็กน้อยที่โครวสามารถต้านแฝดนรกทั้งสองมาได้นานขนาดนี้

     

    คาลหันมามองโครวและสโนว์ที่ยืนอยู่กับที่ ก่อนจะพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม

     

    “อย่าตามมาเชียวล่ะ ไม่งั้นฉันคงไม่มีทางเลือกอ่ะนะ

     

    สิ้นเสียงซาฟาร์ก็ผิวปากเสียงแหลมเล็กเสียดหู ม้าสีขาวดำที่หายไปในตัวแรกก็วิ่งมาด้วยความรวดเร็ว คาลและซาฟาร์ขึ้นควบม้าโดยไม่ต้องรอให้ม้าหยุดแล้วจากไปอย่างรวดเร็ว

     

    เมื่อเห็นศัตรูจากไปไกลแล้ว สโนว์ก็ทิ้งตัวนั่งลงกับพื้นด้วยความโล่งใจ

     

    “โอยย...นี่ถ้าพวกมันหันกลับมาสู้จะเป็นยังไงล่ะเนี่ย..” สโนว์ถอนหายใจ

     

    “ศพคงไม่สวยเท่าไหร่ล่ะนะ” โครวพูดพร้อมกับไอค่อกแค่ก สโนว์รีบลุกขึ้นมาดูบาดแผลของโครว ดูเมหือนว่าเขาจะบาดเจ็บสาหัสพอดู

     

    ทันใดนั้นเสียงของสงครามก็เริ่มเปลี่ยนไป Fantasia ถอยทัพกลับไปอย่างเป็นระเบียบ ไม่น่าเชื่อว่าเพียงแฝดนรกทั้งสองกลับไปบัญชาการ กองทัพของ Fantasia ก็สามารถถอยทัพกลับไปได้อย่างปลอดภัยและไม่เสียหายเท่าไหร่นัก

     

    สโนว์เบ้ปากเล็กน้อย แม้เวอกัสจะบอกเธอว่าจุดประสงค์ในสงครามตรงนี้มีเพียงปกป้องเตาปฏิกรณ์การวาร์ป แต่เธอมั่นใจในฝีมือการบัญชาการของเธอพอสมควร เพราะฉะนั้นเธอจึงไม่ค่อยพอใจเมื่อได้รู้ว่ากองทัพที่เธอออกคำสั่งไม่สามารถถล่มฝ่ายศัตรูให้ย่อยยับ

     

    โครวดูเหมือนจะจับความรู้สึกนี้ได้ เขาแสยะยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว

     

    “ได้แค่นี้ก็ดีแล้วน่า…” เขาตบไหล่สโนว์เบาๆ “กลับกันเถอะ”

     

    “อืม..” สโนว์รับคำด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มสั่งให้ทัพถอยออกจากจุดปะทะ

     

    กองทัพของฝ่าย Fantasia นำโดยแฝดนรกคาลและซาฟาร์ถอยทัพกลับไปประจำที่เมือง Roosendael ส่วนกองทัพของทางฝ่าย Metropolis โครวบาดเจ็บจนไม่สามารถต่อสู้ได้ เขาต้องได้รับการรักษาตัวอีกสักพัก ดูเหมือนว่าสโนว์จะต้องบัญชาการรบด้วยตนเอง

     

    เธอสั่งให้ทหารจัดตั้งค่ายชั่วคราวเพื่อยึดชัยภูมิสำคัญๆ ในการเข้าตีเมือง Roosendael เอาไว้ ในวันพรุ่งนี้เธอคงหาใครสักคนมารับมือกับแฝดนรกที่พักผ่อนมาอย่างเต็มเปี่ยม แต่เธอไม่ได้กลัวแฝดนรกนี่เท่าไหร่นัก เพราะถ้าหากเธอไม่ได้รับคำสั่งให้ไปช่วยโครวแล้วล่ะก็ เธอจะไม่มีวันเข้าสู่แถวหน้าในสนามรบอย่างแน่นอน

     

    เพราะฉะนั้นในวันพรุ่งนี้เธอจะบัญชาการการรบในค่ายจากระยะไกล และแม้ว่าแฝดนรกจะเก่งกาจแค่ไหน ขอเพียงแค่พวกเขาฝ่ามาไม่ถึงตัวสโนว์เธอก็ไม่ต้องกลัวแม้แต่น้อ

     

    ในวันแรกของการปะทะ สมรภูมิทางเหนือ

     

    Metropolis เป็นฝ่ายมีชัยชนะ

     

    ………………………………………………………………………………

     

    สุริยะเอี้ยวตัวหลบฝ่าของเพลกทันท่วงทีก่อนจะยิงสวนออกไปหนึ่งนัด แต่ปากกระบอกปืนไม่ได้กระทบถูกร่างกายของเขา  ทำให้กระสุนสลายกลายเป็นผงไป  เพลกกับสุริยะต่อสู้กันด้วยความคล่องแคล่วเมื่อปากกระบอกปืนกระทบถูกตัวเพลก เพลกจะเบี่ยงตัวหลบได้ทันเสมอ เช่นเดียวกับสุรินะที่ใช้ปืนกระแทกเปลี่ยนทิศทางของการโจมตีไปได้ทุกครั้ง

     

    แต่สุริยะเริ่มเสียเปรียบเล็กน้อย เป็นเพราะพลังของเพลกฆ่าได้แม้กระทั่งบรรยากาศรอบตัว การที่เพลกเข้ามาต่อสู้พัวพันกับเขาในระยะประชิดไม่ได้ส่งผลดีต่อเขาเท่าไหร่นัก ในตอนแรกเขาไม่คิดว่าชายตรงหน้าจะมีฝีมือการต่อสู้ระยะประชิดที่เก่งกาจขนาดนี้ อย่างไรก็ตามดูเหมือนเพลกจะมีความสามารถในการผ่อนแรงโอนอ่อนตามคู่ต่อสู้

     

    ด้วยลักษณะการต่อสู้แบบนี้ทำให้เพลกสามารถพัวพันสุริยะได้ไม่เลิกรา อาการหายใจติดขัด สะอิดสะเอียนเริ่มมีผลมากขึ้นเรื่อยๆ สุริยะไม่สามารถผละตัวเองให้หลุดออกมาจากการโจมตีของเพลกได้เลย

     

    เหมือนเขากำลังสู้อยู่ในใจกลางของพายุ

     

    เพลกก็ประหลาดใจไม่แพ้กัน เขาคาดการณ์ไว้อยู่แล้วว่าชายตรงหน้าต้องมีฝีมือไม่ใช่ชั่ว แต่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะสามารถถ่วงเวลาได้นานขนาดนี้ สุริยะจะยิงปืนในมือก็ต่อเมื่อมั่นใจว่าสามารถโดนเพลกได้เท่านั้น มีบางครั้งที่เขาเกือบจะยิงทะลุเพลกไปได้ แต่เพลกก็บิดตัวหลบเล็กน้อยก่อกระสุนจะทิ้งไว้แค่รอยถากไม่รุนแรงมากนัก

     

    แม้ว่าเขาจะได้เปรียบในการต่อสู้ แต่ดูเหมือนการต่อสู้ที่ยาวนานจะไม่เป็นผลดีต่อเขาเท่าไหร่นัก เสียงปืนของสุริยะน่าจะดังพอให้ทหารยามทั้งหลายได้ยิน หากอีกฝ่ายยกพวกมาปิดล้อมเขาเอาไว้ดูท่าจะไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่นัก

     

    สุดท้ายแล้วเพลกก็ตัดสินใจเสี่ยงตาย

     

    เพลกเปลี่ยนรูปแบบการโจมตีที่ดุดันมากขึ้นทันที สุริยะตกใจเล็กน้อย เขามองเห็นช่องโหว่ที่ไม่เคยเห็นมาก่อนของเพลกอย่างชัดเจน เป็นเพราะการจู่โจมอย่างดุดันนั้นทำให้เพลกไม่สามารถป้องกันตัวเองได้เต็มที่

     

    สุริยะไม่พลาดโอกาสในการโจมตีที่จุดอ่อนนั้น ปากกระบอกปืนนาบเข้ากับลำตัวของเพลกก่อนจะส่งกระสุนพุ่งทะลุร่างของเพลกไป แม้ว่าจะไม่โดนจุดสำคัญของร่างกาย แต่บาดแผลของเพลกตรงนี้ก็จะทำให้เขาลำบากในการต่อสู้มากขึ้น

     

    แต่นั่นเป็นเพราะเพลกตั้งใจเอาไว้อยู่แล้ว

     

    เพลกไม่สนใจเรื่องอาการบาดเจ็บของตนเอง เขาพุ่งเข้าจู่โจมไปที่ปืนในมือสุริยะแทนที่จะเป็นร่างกายของเขา ปืนในมือที่แนบชิดกับลำตัวของเพลกไม่สามารถดึงออกมาได้ทัน เพลกจับกระบอกปืนพร้อมกับบิดให้หลุดออกจากมือของสุริยะ สุริยะไม่ตกใจเขายังคงรับมือด้วยความใจเย็น ปืนอีกมือหนึ่งชักขึ้นมาโจมตีใส่เพลกทันที

     

    แต่เพลกไม่สนใจเขาเบี่ยงตัวเล็กน้อยเพื่อให้กระสุนพุ่งเข้าใส่ร่างเขาในจุดที่ไม่สำคัญ ก่อนจะกระชากปืนอีกกระบอกออกจากมือของสุริยะ

     

    ตอนนี้เพลกมีปืนของสุริยะทั้งสองกระบอกอยู่ในมือพร้อมกับรอยกระสุนอีกสองนัดเพิ่มขึ้นมา

     

    สุริยะไม่รอช้ารีบพุ่งตัวออกมาจากระยะคำสาปของเพลก เพลกไม่สามารถใช้พลังของเขาได้หากเขาถือปืนเอาไว้ในมืออย่างนี้

    “ถึงจะเสียดาย...แต่ก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ” เพลกยิ้มน้อยๆ ก่อนจะโยนปืนทั้งสองกระบอกทิ้งลงทะเล สุริยะขมวดคิ้วเล็กน้อย ดูท่าอีกฝ่ายจะมีเวลาจำกัดจึงต้องเลือกหนทางที่ยอมเสียสละตนเองขนาดนี้

     

    “ในข้อมูลบอกว่านายใช้เวทย์อื่นๆ ไม่ได้” สุริยะเริ่มบทสนทนาก่อนเป็นครั้งแรก

     

    “มีข้อมูลของฉันด้วยเหรอ?” เพลกกุมบาดแผลที่ท้องของเขาเอาไว้เพื่อห้ามเลือด เขาหวังว่าศัตรูต่อจากสุริยะจะไม่มีผลึกอูริออสเป็นอาวุธอีก “ให้ตายสิ...ทั้งๆ ที่ไม่ค่อยอยากดังเลยแท้ๆ”

     

    “นายเป็นคนฆ่าแม่ทัพปริภูมิไม่ใช่เหรอ” สุริยะยืดตัวยืนในท่าผ่อนคลาย ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ร้อนใจกับการเสียอาวุธไปเลยแม้แต่น้อย “ถ้าเป็นความจริงจะไม่ดังก็คงจะเป็นไปไม่ได้แล้วล่ะ”

     

    เพลกสะดุ้งตัวเล็กน้อย ความจริงข้อนี้ไม่มีใครรู้นอกจากตัวเขาและเชสเซอร์ เขาไม่เคยปริปากบอกใคร นอกเสียจากว่า Metropolis สามารถวิเคราะห์ความสามารถของเขาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง แน่นอนว่าคำสาปของเขาทำให้สิ่งมีชีวิตเสื่อมสลายหายไป แต่เชสเซอร์ใส่ลูกเล่นของมันไปเล็กน้อย ให้มันกลายเป็นเชื้อร้ายที่ฝังอยู่ในร่างของปริภูมิ

     

    และเมื่อเชสเซอร์ดีดนิ้ว คำสาปที่เป็นเชื้อร้ายก็จะถูกปลดปล่อยออกมาทำให้ปริภูมิเสียชีวิต เชสเซอร์ไม่ต้องการให้ปริภูมิย่อยสลายไปในทันที เพราะไม่เช่นนั้นจะดูเหมือนว่าเป็นฝีมือของฝ่ายแฟนตาเซียมากเกินไป

     

    เหตุการณ์ในวันนั้นจะต้องจับมือใครดมไม่ได้ เชสเซอร์ไม่ได้ร่ายเวทย์ใดๆ ด้วยซ้ำ เกราะบาเรียกันเวทย์ของปริภูมิก็ยังคงทำงานอยู่อย่างเต็มประสิทธิภาพ นี่เป็นแผนการฆ่าคนของเชสเซอร์ที่เพลกแน่ใจว่าจะไม่มีใครรู้

     

    แต่ดูเหมือนคนข้างหน้าจะรู้เรื่องมากกว่าที่เขาคิด

     

    เขาอยากจะถามคนตรงหน้าให้กระจ่าง แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่มีเวลาเหลืออยู่มากเท่าไหร่นัก อีกทั้งบาดแผลสองจุดของเขายังต้องการ การปฐมพยาบาลเบื้องต้นโดยเร็วอีกด้วย เพลกตัดสินใจเข้าจู่โจมสุริยะอย่างรวดเร็ว

     

    เมื่อไม่มีปืนสองกระบอก สุริยะไม่ต่างจากแพะรอให้หมาป่าอย่างเขาขย้ำ ใบหน้าของสุริยะเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำ ดูเหมือนเขาจะต่อสู้กับคำสาปของเพลกนานเกินไปจริงๆ แต่สุริยะไม่ขยับตัวหลบแม้แต่น้อย

     

    เพราะนี่เป็นจังหวะที่เขารอมานานแล้ว

     

    “คริส! เดี๋ยวนี้!” สิ้นเสียงเรือบินก็ปรับองศาการบินกระทันหัน  เนื่องจากเรือลอยอยู่เหนือน้ำคริสจึงสามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของตัวเรือได้อย่างอิสระในระกดับหนึ่ง

     

    เรือเอียงไปทางด้านซ้ายเกือบหกสิบองศา สุริยะยังคงยืนอยู่กับที่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เป็นเพราะเขาได้ใช้อุปกรณ์ล๊อคตัวเองไว้กับพื้นเรือเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

     

    เพลกที่กำลังพุ่งเข้ามาพลันรู้สึกพื้นหายไปในทันทีร่างของเขาลื่นไถลลงไปจนถึงขอบเรือ มือข้างหนึ่งคว้าเอาที่กั้นเอาไว้ได้ก่อนจะตกลงไป

     

    หลังจากที่สุริยะได้อ่านข้อมูลของเพลกแล้ว เขาได้เตรียมแผนสำรองเอาไว้เผื่อในกรณีที่เพลกมีความสามารถมากกว่าในข้อมูลที่ได้รับมา หากเขารู้ตัวว่าเสียเปรียบเขาจะพยายามบีบอีกฝ่ายให้เดินไปชิดที่กราบเรือโดยไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตั

     

    หลังจากนั้นเขาก็จะส่งสัญญาณให้คริสเอียงเรือตามองศาที่เขาได้เตรียมกันเอาไว้ ในจังหวะที่พอดิบพอดี เพลกแม้จะมีความสามารถในการทำลายอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ แต่เขาดันเป็นแฟนตาเซียที่ใช้เวทย์อย่างอื่นไม่ได้ และแน่นอนว่าบางทีเขาก็ควบคุมคำสาปของตนเองไม่ได้เช่นกัน

     

    ราวเหล็กที่เขาจับอยู่เริ่มผุกร่อน สนิมเริ่มรุกลามไปยังส่วนอื่นๆ เพลกรู้ตัวดีว่าเขาจะพึ่งเจ้าสิ่งนี้ไปได้อีกไม่นานเท่าไหร่นัก เขามองไปยังสุริยะที่กำลังทรงตัวอยู่บนพื้นลาดเอียง สายตาของสุริยะเปี่ยมไปด้วยความสงบนิ่งและมั่นใจในชัยชนะ

     

    ความพ่ายแพ้ครั้งนี้ของเขาถูกกำหนดมาเอาไว้ก่อนแล้ว ดูเหมือนว่า Metropolis จะรู้เรื่องราวของเขาดีกว่าที่เขาหรือเชสเซอร์จะคิดเอาไว้

     

    ดูเหมือนว่าเชสเซอร์จะเดินหมากพลาดไปแล้วในตานี้

     

    เพลกถอนหายใจ แล้วมองลงไปยังเบื้องล่าง เขาว่ายน้ำเป็นแน่นอน แต่สิ่งที่เขาไม่ชอบเลยก็คือเมื่อเขาว่ายน้ำเมื่อไหร่ นั่นหมายถึงเขาต้องว่ายไปในน้ำที่กำลังเน่าเสีย และกลิ่นของมันก็ไม่ได้น่าอภิรมณ์เท่าไหร่นัก

     

    ก่อนที่ราวเหล็กจะกลายเป็นฝุ่นผง เพลกก็ชิงปล่อยมือไปเสียก่อน ร่างของเขาร่วงลงไปยังพื้นน้ำเบื้องล่าง ก่อนจะจมหายไปอย่างไร้ร่องรอย

     

    ทันทีที่เพลกร่วงตกลงไป สุริยะก็สั่งให้คริสปรับองศาของเรือกลับมาตามเดิม ทันใดนั้นสุริยะก็ได้ยินเสียงโห่ร้องประกาศชัยชนะดังมาจากกองเรือของอาแปะ ดูท่าพวกเขาจะได้รับชัยชนะเช่นเดียวกัน กองเรือของฝ่าย Fantasia สร้างความเสียหายให้ฝ่าย Metropolis ได้ไม่มากเท่าไหร่นัก แต่ก็ต้องถือได้ว่าเรือรบในแนวหน้าของฝ่าย Fantasia เหนือกว่าจริงๆ

     

    เพียงแค่กองเรือด้านซ้ายเพียงน้อยนิดกลับต้านกองกำลังทัพหน้าทั้งหมดของอาแปะเอาไว้ได้นานหลายชั่วโมง นี่เป็นการต่อสู้ที่ยืดเยื้อกว่าที่สุริยะคาดคิดเอาไว้

     

    แต่ก่อนที่สุริยะจะได้คิดอะไรต่อ ดูเหมือนคำสาปร้ายของเพลกจะเริ่มแสดงผล ระบบการทำงานในร่างกายของสุริยะปิดการทำงาน สายตาของเขาเริ่มมองเห็นทุกอย่างเป็นสีเทา ก่อนที่เขาจะทรุดตัวลงนั่งกับพื้น

     

    เทคโนโลยีการรักษาของ Metropolis ยังไม่สามารถรักษาคำสาปของเพลกได้ในตอนนี้ ดูเหมือนว่าเขาอาจจะต้องมาจบชีวิตลงที่นี่ สุริยะหายใจเข้าออกช้าๆ แม้ว่าเขาจะเตรียมใจรับกับความตายตั้งแต่เข้าร่วมกับสงคราม แต่การที่เขาไม่สามารถรักษาสัญญากับมิคังได้ทำให้เขาเจ็บปวดอย่างถึงที่สุด

     

    สุริยะค่อยๆ ล้วงเอาแหวนแต่งงานออกมาจากกระเป๋าเสื้อด้านซ้าย เขาพกติดตัวเอาไว้เสมอเพื่อเตือนความจำว่ายังมีใครคนหนึ่งรอให้เขากลับไป รอให้เขาปกป้อง แม้ว่าคนๆ นั้นจะไม่ได้ร้องขอก็ตาม

     

    สุริยะหลับตาลง ร่างกายของเขาเริ่มไร้เรี่ยวแรง น้ำตาลูกผู้ชายค่อยๆ….

     

    “น้าถ่ายเอ็มวีอยู่เหรอครับ” เสียงเด็กชายดังขึ้นทำลายบรรยากาศทั้งหมดไปในทันที

     

    สุริยะเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียงพลันพบกวิ้นกำลังยืนมองตนเองอยู่ด้วยสายตาบ้องแบ๊ว

     

    ‘เอ่อ..ฉันกำลังจะตายน่ะ’ สุริยะอยากอธิบายให้กวิ้นฟัง แต่ในตอนนี้แม้แต่จะพูดเขายังไม่สามารถทำได้ ถึงกระนั้นเขาก็ยังรู้สึกดีใจที่กวิ้นไม่เป็นอะไรมากนัก

     

    “นี่ของน้ารึเปล่าครับ เห็นตกอยู่ในน้ำ” กวิ้นพูดพลางยื่นปืนสองกระบอกให้กับสุริยะ ทันทีที่กระบอกปืนสัมผัสกับตัวของสุริยะ ร่างกายของเขาก็เริ่มกลับมาทำงานเป็นปรกติที่ล่ะส่วน สติที่ตอนแรกใกล้จะดับลงกลับมาสดใสขึ้นอีกครั้ง

     

    “ขอบคุณครับกวิ้น” สุริยะเอ่ยขอบคุณกวิ้นทันทีที่เขาพูดได้ กวิ้นไม่ตอบอะไร เขาเอียงคอเล็กน้อยพร้อมกับทำหน้าสงสัย สุริยะยิ้มตอบ เขาไม่ชอบอธิบายอะไรให้มากความ การที่เขารอดมาได้ก็ถือเป็นเรื่องที่ดีแล้ว

     

    “แล้วเจ้าสัตว์ประหลาดยักษ์นั่นหายไปไหนแล้วล่ะ” สุริยะถามกวิ้นกลับไปบ้าง

     

    กวิ้นยิ้มกว้างก่อนจะตบเข้าไปที่ท้องตัวเองสองสามที

     

    “อยู่ในนี้ไงล่ะครับ”

     

    …………………………………………………………………….

     

    เสียงหมัดเหล็กฟาดเข้ากับกำแพงเวทย์ดังสนั่น เชสเชอร์แม้จะตกใจกับการที่ปริภูมิปรากฏตัวออกมา แต่เขาก็ไม่ได้ขาดสติถึงขนาดจะโดนโจมตีด้วยท่าทางง่ายๆ แบบนี้

     

    “คิดว่าจะเหมือนครั้งที่แล้วรึไงฟระ?” ปริภูมิแสยะยิ้ม ทันใดนั้นประตูมิติก็เปิดออก วัสดุต่างๆ พุ่งเข้ามาประกบกับหมัดเหล็กที่มีอยู่แล้ว ขนาดของมันใหญ่ขึ้นกว่าเดิมอีกทั้งระบบกาทำงานของหมัดก็เปลี่ยนไป ปริภูมิติดบาเรียกันเวทย์บางๆ เข้ากับตัวหมัด ทำให้หมัดของเขาทะลุเวทย์บาเรียได้

     

    แน่นอนว่าเชสเซอร์ย่อมไม่ร่ายกำแพงเวทย์ที่ไร้ประโยชน์ขึ้นมาแน่นอน กำแพงเวทย์ของเขาต่างก็ประกอบด้วยวงแหวนเวทย์นับร้อยวงอีกทั้งยังมีเวทย์สลายแรงกระแทกและอื่นๆ แฝงไว้อยู่อีกมากมาย ซึ่งหมัดของปริภูมิแม้จะติดบาเรียกันเวทย์เข้าไปแล้ว แต่ก็ไม่สามารถทำอันตรายกำแพงเวทย์ชิ้นนี้ได้ ปริภูมิรู้ดี….แต่เขาไม่สนใจ

     

    เศษวัสดุลอยขึ้นมากลางอากาศทันทีที่หมัดกระทบเข้ากับกำแพงเวทย์ กำแพงเวทย์ชั้นแรกสลายหายไปพร้อมๆ กับบาเรียกันเวทย์ของเขา ก่อนที่วัสดุที่ลอยอยู่กลางอากาศเหล่านั้นจะค่อยๆ อัพเกรดหมัดเหล็กต่อเข้าไปเรื่อยๆ หลายต่อหลายชั้น หมัดค่อยๆ ทลายกำแพงเวทย์ไปทีล่ะชั้นอย่างรวดเร็ว ความเร็วในการอัพเกรดของปริภูมิเข้าขั้นน่าตื่นตระหนก

     

    เพียงพริบตาเดียว กำแพงเวทย์ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกก็ถูกทำลายลง

     

    “เก่งนักใช่ไหมมึงอ่ะ” ปริภูมิสลายโครงสร้างของหมัดเหล็กทิ้งไปเพราะขนาดของมันเริ่มใหญ่เกินกว่าเขาจะเหวี่ยงไหว แต่นั่นเป็นเหตุผลรอง เหตุผลหลักของเขาคือความสะใจที่ได้ตั๊นหน้าเชสเซอร์ด้วยหมัดลุ่นๆ สักหนึ่งที

     

    แล้วเขาก็ทำสำเร็จ

     

    หน้าเชสเซอร์หันไปตามแรงหมัดอย่างช่วยไม่ได้ นับเวลารวมตั้งแต่ปริภูมิโผล่ออกมาจากประตูมิติ ยังไม่ถึงสิบวินาทีดีเลยด้วยซ้ำ แต่เขากลับโจมตีใส่เชสเซอร์ได้อย่างง่ายดาย อาจจะเป็นเพราะเชสเซอร์มั่นใจในกำแพงเวทย์ของตนเองมากเกินไป หรืออาจจะเป็นเพราะปริภูมิโผล่ออกมาในจังหวะที่เขาตั้งตัวไม่ทัน หรืออาจจะเป็นเพราะความเร็วในการสร้างของปริภูมิเพิ่มขึ้นกว่าเมื่อก่อน แต่ไม่ว่าด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม

     

    ปริภูมิสามารถยัดหมัดลุ่นๆ เข้าใส่ใบหน้าของเชสเซอร์เต็มแรง ด้วยท่าทางที่สมบูรณ์พร้อม

     

    “กากสัส” ปริภูมิเยาะเย้ยตามแบบฉบับของเขา แต่เชสเซอร์ไม่ได้ยินคำเยาะเย้ยคำนี้ เพราะเขาได้ยินเสียงของใครบางคนพุ่งผ่านเขาไปด้วยความเร็วเกินที่มนุษย์จะทำได้

     

    แดเนียลตื่นขึ้นแล้ว

     

    ดวงตาของยมทูตกลับมามีชีวิตชีวากว่าที่เคย ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มที่หาได้ยากยิ่งจากยมทูตตนนี้ เขากำลังหัวเราะอย่างมีความสุขและบ้าคลั่ง เคียวเกี่ยววิญญาณกรีดร้องตามอารมณ์ของผู้ใช้ มันแผ่รังสีแห่งความตายออกมาจนน่ากลัว แต่ปริภูมิไม่ตื่นตระหนก

     

    “ไอ้ยมทูตขี้เสือกเอ้ย” ปริภูมิกวาดมือขึ้นเพื่อสร้างประตูมิติขึ้นในอากาศอย่างรวดเร็วขวางกั้นเคียวเกี่ยววิญญาณเอาไว้ รูปแบบเวทย์ที่ลึกลับของประตูมิติสามารถสกัดกั้นพลังงานจากเคียวของแดเนียลเอาไว้ได้ แต่การจะสร้างประตูมิติที่แข็งแกร่งพอจะต้านทานเคียวของแดเนียลได้นานๆ นั้นกินแรงเกินไป ปริภูมิจึงใช้ประตูที่สามารถถ่วงเวลาได้เพียงเล็กน้อยก็พอ

     

    เคียวของแดเนียลฟาดลงมากระทบกับประตูมิติ ความรุนแรงของเคียวหายไปเล็กน้อย ก่อนที่ประตูมิติจะแตกสลายไป ปริูมิฉีกตัวหลบรัศมีของเคียวก่อนที่จะ สร้างอาวุธปืนขึ้นมาจากชิ้นส่วนที่แยกสลายเอาไว้ในตอนแรก กระสุนหลายสิบนัดถูกยิงส่งออกไปด้วยความรวดเร็ว แดเนียลไม่แม้แต่จะหลบกระสุนเขาปล่อยให้กระสุนทะลุร่างของเขาไปอย่างง่ายดาย แน่นอนว่าเขาเจ็บ แต่กระสุนเพียงเท่านี้ทำให้เขาหยุดไม่ได้ เขาพุ่งตัวเข้าใส่ปริภูมิด้วยความเร็วที่ไม่ลดลงแม้แต่น้อยพร้อมกับเสียงหัวเราะสะใจอย่างถึงที่สุด

     

    ปริภูมิแสยะยิ้มเขาสร้างเครื่องไอพ่นติดเข้าไปที่ฝ่าเท้าพร้อมกับบังคับมันให้พุ่งหลบร่างแดเนียลที่พุ่งเข้าใส่ พร้อมกับสร้างประตูมิติขึ้นมารับเคียวของแดเนียลก่อนที่จะแยกส่วนปืนของเขาแล้วประกอบขึ้นใหม่เป็นดาบทันที เขาใช้ช่วงเวลาที่เคียวของแดเนียลยังไม่สามารถทะลวงประตูมิติเข้ามาได้ แทงเข้าใส่ทีท้องของแดเนียลที่เปิดโล่ง

     

    ดาบแทงทะลุตัวแดเนียลไปแล้ว แต่แดเนียลไม่มีวันตาย และบาดแผลแค่นี้ก็ทำได้แค่ส่งความรู้สึกเจ็บปวดที่เขาเท่านั้น สายตาของแดเนียลสบเข้ากับดวงตาของปริภูมิ ดูเหมือนว่าปริภูมิก็กำลังสนุกอยู่กับการต่อสู้เช่นเดียวกัน

     

    “ตายยากตายเย็นจริงนะเอ็ง” ปริภูมิแสยะยิ้ม แดเนียลก็ยิ้มรับ แดเนียลดันตัวเองเข้าใกล้ปริภูมิมากขึ้นโดยไม่สนดาบที่แทงทะลุท้องของเขา ดาบถูกกดเข้าไปลึกกว่าเดิม แดเนียลโยกหัวเข้าโขกกับปริภูมิสุดแรง ปริภูมิยอมปล่อยดาบออก ก่อนจะใช้ไอพ่นพุ่งตัวหลบลูกโหม่งของแดเนียลออกมา

     

    เชสเซอร์กุมใบหน้าตัวเองที่ถูกต่อยด้วยความงุนงง ลางสังหรณ์ของขาไม่ได้บ่งบอกเรื่องนี้ล่วงหน้า ในหัวของเขาเกิดคำถามขึ้นมากมายว่าเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร

     

    แต่เขาก็ไม่ได้มีเวลาคิดมากนัก ขณะที่ปริภูมิพุ่งตัวถอยออกมาเขาก็สร้างเครื่องส่งสัญญาณการวาร์ปร้อยกว่าตัวพร้อมทั้งอัพเกรดระบบนำวิถีและไอพ่นให้เรียบร้อย เป้าหมายของทั้งหมดถูกเล็งไว้ที่เชสเซอร์

     

    แต่เครื่องส่งสัญญาณเหล่านั้นเข้ามาไม่ถึงตัวของเชสเซอร์อย่างแน่นอน เพียงแค่เชสเซอร์สะบัดมือวูบเดียว เครื่องส่งสัญญาณเหล่านั้นก็ระเบิดกลางอากาศทันที แต่ว่าปริภูมิไม่สนใจ เชสเซอร์พังไปร้อยกว่าตัว เขาก็สร้างมาอีกสองร้อยตัว ประตูมิติถูกเปิดออกกว้างกว่าที่เคยปริภูมิแยกประสาทออกมาเพื่อสร้างเครื่องส่งสัญญาณอย่างรวดเร็ว เขารับมือแดเนียลไปพร้อมๆ กับสร้างเครื่องส่งสัญญาณไปด้วย คราวนี้เครื่องส่งสัญญาณทุกตัวได้รับการอัพเกรดบาเรียกันเวทย์เสริมเข้าไปอีกชั้น

     

    เชสเซอร์จำเป็นต้องร่ายกำแพงเวทย์ขึ้นมากันอย่างช่วยไม่ได้

     

    แต่ปริภูมิก็รอจังหวะนี้อยู่แล้ว เขาเร่งไอพ่นอย่างรวดเร็วเพื่อพุ่งเข้าหาเชสเซอร์ หมัดเหล็กถูกสร้างขึ้นมาอีกครั้ง เชสเซอร์เบิกตาโผล่ง เขารีบร่ายเวทย์สลายแรงกระแทกเพื่อหยุดหมัดเหล็กก่อนจะพุ่งเข้าชนกับกำแพงเวทย์ ร่างของปริภูมิถูกหยุดกลางอากาศ ด้านหลังของเขาพุ่งตามมาด้วยแดเนียลที่กำลังง้างเคียวออกสุดแรงเกิด

     

    “ยินดีต้อนรับสู่ทุ่งหญ้าหนึ่งล้านเอเคอร์” ปริภูมิหัวเราะก๊าก ก่อนจะปลดล๊อตตัวเองให้ออกมาจากหมัดเหล็กขนาดใหญ่ชิ้นนั้น แดเนียลที่พุ่งมาเร็วเกินไปเปลี่ยนท่าทางไม่ทัน เขาต้องฟาดเคียวออกอย่างช่วยไม่ได้ โดยที่เขาไม่รู้ตัวเลยว่าเบื้องหลังหมัดเหล็กเปล่าๆ ที่ปริภูมิสร้างเอาไว้นั้นคือกำแพงเวทย์ของเชสเซอร์

     

    เสียงกัมปนาทตังขึ้นทันทีที่เคียวปะทะเข้ากับกำแพงเวทย์  กำแพงเวทย์ไม่สามารถต้านทานเคียววิญญาณของแดเนียลได้  ยังไม่ทันที่เชสเซอร์จะได้ตั้งตัวหรือรับรู้อะไร เครื่องส่งสัญญาณสองร้อยกว่าตัวก็พุ่งเข้าติดตัวเชสเซอร์จนเต็มไปหมด  แดเนียลยังไม่ทันตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นร่างของเชสเซอร์ก็หายวับไปกับตาเสียแล้ว

     

    “ควายจริงๆ วุ้ย” ปริภูมิทิ้งตัวลงสู่พื้นดินประจันหน้ากับแดเนียล แดเนียลยังคงงุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่ เขามองไปที่ปริภูมิเหมือนจะหาคำตอบ ปริภูมิจุดบุหรี่ขึ้นสูบก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “งงอะไรวะ มึงโดนดักควายไง”

     

    แดเนียลกระโจนตัวเข้าใส่ปริภูมิทันที ครั้งนี้การต่อสู้ของเขาไม่ใช่เรื่องของความสะใจส่วนตัวอีกต่อไปแล้ว เขาต้องการให้ปริภูมินำเชสเซอร์กลับมา

     

    แต่ยังไม่ทันที่เคียวจะกระทบถูตัวปริภูมิ เสียงๆ หนึ่งก็ดังขึ้นเรียกแดเนียลขึ้นมาเสียก่อน

     

    “ท่านแม่ทัพ! รอก่อนครับ!” แมกนัสตะโกนก้องขึ้นมาจากสมรภูมิที่ด้านหลัง เสียงนั้นเรียกให้แดเนียลหยุดชะงักทันที แม้ว่าแดเนียลจะไม่เคยเอ่ยปาก แต่เขาไว้ใจในตัวแมกนัสมาโดยตลอด แดเนียลหันกลับไปมองแมกนัสที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยบาดแผลจากการต่อสู้

     

    “ได้โปรดออกคำสั่งถอยทัพเถอะครับ” แมกนัสพูดพร้อมกับผายมือออกให้แดเนียลเห็นถึงสภาพโดยรวมของสงคราม

     

    จังหวะที่ปริภูมิปะทะกับเชสเซอร์และแดเนียล ชายผู้ที่ถูกทิ้งอยู่เบื้องหลังอย่างเวอกัสก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เขาใช้เวลาอันแสนมีค่าบัญชาการกองทัพดุจดั่งแขนขาของตนเอง กองทัพของฝ่าย Metropolis เข้าจู่โจมกองหนุนของฝ่าย Fantasia อย่างต่อเนื่องจนไม่สามารถเข้ามาช่วยสนับสนุนทัพหน้าของแมกนัสได้

     

    แต่แม้ว่าจะถูกโจมตีอย่างหนัก แต่ดูเหมือนว่าเวอกัสก็ยังไม่สามารถทำให้กองหนุนแตกพ่ายไปได้ พวกเขายังคงยืนหยัด ฝ่าเส้นทางถอยทัพให้กับทัพหน้า

     

    แมกนัสรู้ดีว่านี่อาจจะเป็นโอกาสเดียวที่เหลืออยู่ในการถอยทัพ ไม่เช่นนั้นเมื่อใดก็ตามที่เส้นทางโลหิตสายนี้ปิดลง เมื่อนั้นทัพหน้าของเขาจะหมดทางถอยในทันที แดเนียลคงสามารถรอดชีวิตกลับไปได้อย่างไม่ยากเย็น แต่เขาและเหล่าสหายร่วมรบคงต้องสละชีพพลีกายอยู่ตรงนี้ อีกทั้งยังทำให้กองทัพของฝ่าย Fantasia ล่มสลายอีกด้วย

     

    แมกนัสจำเป็นต้องร้องขอสิ่งที่เห็นแก่ตัวต่อแดเนียล เพราะเขาไม่ต้องการให้เพื่อนร่วมรบของเขาตายไปมากกว่านี้อีกแล้

     

    แดเนียลเห็นถึงภาพรวมก็ต้องลดเคียวที่ถืออยู่ลง เขาไม่ใช่คนโง่ อย่างน้อยแดเนียลก็เคยผ่านสมรภูมิมาแล้วยาวนานตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ หลายต่อหลายครั้งเขาเป็นเพียงผู้รับชมเท่านั้น เพราะเหตุนี้เขาจึงสามารถมองภาพรวมของสงครามได้

     

    กองทัพของๅ Fantasia ต้านเอาไว้ได้อีกไม่นานแล้ว… หากเขาไม่ตัดสินใจถอยทัพในตอนนี้จะไม่มีโอกาสอีกต่อไป

     

    ปริภูมิไม่ได้เข้าไปขัดขวางความของแดเนียล อันที่จริงต้องบอกว่าเขายืนนิ่งอย่างน่าประหลาดใจ แดเนียลหันกลับมามองปริภูมิ แดเนียลครุ่นคิดว่านี่เป็นแผนการของชายตรงหน้ารึเปล่า

     

    “รีบกลับไปเหอะ” ปริภูมิอัดควันเข้าเต็มปอดก่อนจะเริ่มพูดต่อ “ถือซะว่าตอบแทนที่แกไม่ได้เกี่ยววิญญาณไปในวันนั้น”

     

    ปริภูมิพูดถึงตอนที่แดเนียลมาที่งานศพของเขา หากวันนั้นแดเนียลตัดสินใจนำดวงวิญญาณของปริภูมิไป เขาก็จะไม่มีทางฟื้นขึ้นมาได้อย่างแน่นอน

     

    แดเนียลถอนหายใจ ก่อนจะหันกลับไปหาแมกนัสแล้วสั่งให้กองทัพถอยทัพ กองทัพของ Fantasia เริ่มล่าถอยอย่างเป็นระเบียบ เวอกัสจ้องมองการจัดกระบวนล่าถอยของ Fantasia แล้วเขาก็รู้ว่าไม่สามารถรุกไล่ให้อีกฝ่ายเสียกำลังพลไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว เวอกัสจึงสั่งให้กองทัพของตนเองชะลอการโจมตีลงจนยุติในที่สุด

     

    สมรภูมิกลับมาเงียบสงบเช่นเดิม

     

    ปริภูมิถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาไม่ได้ใช้งานตัวเองหนักแบบนี้มาประมาณสามสี่วันแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เขาต่อสู้อย่างเต็มที่หลังจากฟื้นขึ้นมา

     

    เวอกัสเดินตรงเข้าไปหาปริภูมิช้าๆ ปริภูมิได้ยินเสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามาจึงหันไปมอง เขาดูจะแปลกใจกับสภาพของเวอกัสจอมเผด็จการอยู่บ้าง หนุ่มรูปงามร่างสูงโปร่งแต่งกายสุภาพเรียบร้อยกลับกลายมาเป็นสภาพเหมือนคนติดยาได้อย่างไรกัน

     

    “ไงเพื่อน ไม่ได้เจอกันนานนะ..” ยังไม่ทันที่ปริภูมิจะพูดจบประโยค หมัดลุ่นๆ ของเวอกัสก็พุ่งเข้าต่อยที่ใบหน้าของเขา ปริภูมิสะบัดหน้าไปตามแรงหมัด มีรอยหมัดจางๆ เกิดขึ้นที่ใบหน้า

     

    เวอกัสไม่พูดอะไร อารมณ์ของเขากำลังพลุ่งพล่านอย่างบอกไม่ถูก แม้ว่าเขาจะดีใจที่ปริภูมิยังไม่ตาย แต่ตอนนี้เขารู้สึกโกรธมากกว่าที่ปริภูมิปิดเรื่องนี้เอาไว้ไม่ให้เขารู้

     

    "นี่เอ็งต่อยกูทำไมฟระ..." ปริภูมิจ้องหน้าเวอกัสด้วยความงุนงง

     

    เวอกัสหลับตาพร้อมถอนหายใจ เขาได้ระบายอารมณ์โกรธของเขาออกไปหมดแล้ว ที่ผ่านมาตั้งแต่เขาคิดว้าปริภูมิตายไปเขาก็ได้วางแผนที่จะเอาชนะฝ่าย Fantasia แต่ไม่ว่าจะขบคิดเท่าไหร่ วิธีที่จะชนะ Fantasia ได้เขาจำเป็นต้องสละชีวิตตัวเอง

     

    นั่นทำให้เขาเปลี่ยนไปพอสมควร แต่ตอนนี้ได้เวลาที่จะต้องกลับมาเป็นท่านจอมพลเวอกัสคนเดิมอีกครั้ง

     

    "จะให้บอกจริงเรอะ?” เวอกัสเลิกคิ้วถามปริภูมิ ปริภูมิเบะปากพร้อมกับทำหน้าเศร้า “แล้วนี่ทำไมแกเพิ่งจะมา”

    “นี่ตูต้องไปช่วยหน่วยพิเศษที่เอ็งส่งไปตายตั้งสองคนเลยนะ” ปริภูมิบ่นอุบ

     

    “พวกนั้นไม่ตายง่ายๆ หรอก”

     

    “หรา”

     

    “แกเงียบไปเลย เตรียมตัวกลับไปรับโทษข้อหาหนีสงครามด้วย”

     

    “ห๊ะ!! กูหนีตรงไหนฟระ ก็มาแล้วนี่ไง” ปริภูมิร้องเสียงหลง

     

    “อันนี้ไม่นับ” เวอกัสพูดตัดบท ก่อนจะเดินนำปริภูมิเข้าไปสะสางสมรภูมิที่เหลือ

     

    ………………………………………………………………………..

     

    สงครามในวันแรกเกิดเหตุการณ์พลิกผันขึ้นเป็นจำนวนมาก แต่โดยภาพรวมแล้ว Metropolis กำลังได้เปรียบ กองทัพของสโนว์กำลังเคลื่อนที่ไปตั้งค่ายประชิดเมืองของฝ่าย Fantasia เธอเป็นคนรอบคอบจึงไม่ได้เคลื่อนทัพด้วยความเร็วเท่าไหร่นัก เธอตัดสินใจให้ทางกองทัพส่งเสาสัญญาณการวาร์ปติดตั้งเอาไว้ตลอดทาง พร้อมทั้งส่งกองกำลังบางส่วนให้กลับไปกันเตาปฏิกรณ์เผื่อเหตุการณ์ฉุกเฉิน

     

    หลังจากเดินทัพไปได้ไม่ไกลเท่าไหร่นักเธอก็เลือกชัยภูมิที่จะตั้งทัพต่อไป กองทัพ Metropolis ที่อยู่ทางด้านเหนือจึงไม่ได้รุกคืบหน้าไปมากเท่าไหร่ แต่การวางจุดยุทธศาสตร์ของสโนว์ทำได้อย่างดีเยี่ยม หากกองทัพ Fantasia กลับมาอีกครั้งเธอคิดว่าเธอสามารถรับมือกับกองทัพเหล่านั้นได้อย่างไม่ยากเย็น

     

    ส่วนกองทัพที่เวอกัสคุมอยู่รุกคืบหน้าข้ามเขตชายแดนเกือบจะเข้าไปประชิดกับเมือง Hexenberg อยู่รอมร่อ จากการวางกองกำลังที่ทำให้เคลื่อนที่ได้อย่างว่องไว จึงสามารถยึดจุดล้อมเมืองเอาไว้ได้เกือบทั้งหมด เวอกัสออกคำสั่งให้ตั้งค่ายปิดล้อมเมืองเอาไว้เพื่อถ่วงเวลาในการรักษาทัพส่วนที่เสียหายของตนเอง เสาสัญญาณที่เรเว่นและโกสต์ปกป้องเอาไว้ใช้การได้อย่างเต็มที่

     

    ภายในวันเดียวเวอกัสนำกองทัพของฝ่าย Metropolis ข้ามเขตชายแดนไปได้ไกลกว่าช่วงเวลาที่เชสเซอร์เตรียมการเอาบุก Metropolis เอาไว้เสียอีก

     

    ส่วนคริสและสุริยะหลังจากที่สงครามทางทะเลจบลงก็รีบลงเรือเล็กเพื่อล่องกลับเข้าฐานที่อ่าวสวิตซ์ทันที อาแปะกลายมาเป็นผู้บัญชาการรบแทน ซึ่งอาแปะได้ติดตามกองเรือของฝ่าย Fantasia เพื่อไล่ตามไปสร้างความเสียหายแก่ท่าเรือ Standport แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นไปไม่ได้เพราะท่าเรือ Standport ได้ถูกห้อมล้อมเอาไว้ด้วยกำแพงธาตุขนาดมหึมา ครอบคลุมฐานเอาไว้หลายร้อยกิโลเมตร อาแปะลองสั่งการให้ยานบินที่บินอยู่บนชั้นบรรยากาศยิงกระสุนจู่โจมลงมาแล้ว แต่ไม่ระแคะระคายผิวของเกราะกำบังนี้เลยแม้แต่น้อย เขาจึงตัดสินใจล่าถอยทัพออกมาทอดสมอเอาไว้ที่กลางทะเลห่างจากท่าเรือ Standport ไปไม่ไกลเท่าไหร่นัก

     

    อาแปะได้รับข้อความจากเวอกัสว่าในวันรุ่งขึ้นเขาจะเข้าไปจัดการต้นกำเนิดบาเรียในเมือง hexenberg เอง เพื่อเปิดทางให้ทัพเรือนำกำลังเข้ายึดเมืองและท่าเรือเอาไว้ให้ได้

     

    คาลและซาฟาร์เป็นทัพที่เสียหายน้อยที่สุดในสงครามครั้งนี้ หลังจากที่ถอยทัพกลับมาที่เมือง Rossendael ก็จัดวางกำลังป้องกันอย่างขันแข็ง อีกทั้งยังวางกับดักเอาไว้รอรับการโจมตีของฝ่าย Metropolis ในวันรุ่งขึ้นระหว่างถอยทัพอีกด้วย คาลและซาฟาร์ให้กองทัพตัวเองพักผ่อนอย่างเต็มที่เพื่อรับมือกับศึกวันพรุ่งนี้ เขาปรับเปลี่ยนแผนการบินของกองทัพมังกรเล็กน้อย และเสริมเกราะให้กับกองทัพสัตว์อสูร เพราะพรุ่งนี้เขาต้องสู้ในศึกที่เน้นการป้องกันมากกว่าบุกจึงไม่จำเป็นต้องใช้ความรวดเร็วมากนั

     

    แดเนียลและแมกนัสนับว่าเสียหายค่อนข้างหนัก แต่ก็ยังถือว่าถอยทัพได้ทันการณ์ กองกำลังผสมในหน่วยทัพดราก้อนสเลเยอร์เสียหายพอสมควร แต่ที่เสียหายหนักที่สุดเลยเห็นจะเป็นทหารราบ ในวันพรุ่งนี้เขาจะเป็นต้องใช้เครื่องมือทดแทนเพื่อต้านชะลอทัพหน้าของฝ่ายตรงข้ามไว้ เมื่อกลับมาถึงเมือง แมกนัสและแดเนียลก็สั่งการให้ทหารทุกคนสร้างเครื่องกีดขวางเพื่อชะลอทัพอีกฝ่ายในทันที แมกนัสตรวจนับความเสียหายของทัพอื่นๆ แล้วพบว่ายังสามารถสู้รบต่อได้

     

    แต่สิ่งที่ทำให้แมกนัสมั่นใจในศึกวันพรุ่งนี้มากยิ่งขึ้นคือเหล่าสภาสูงได้เดินทางมาประจำการที่เมือง Hexenberg เรียบร้อยแล้ว หลังจากที่สร้างบาเรียธาตุสำเร็จจากการร่วมมือของนีวาร์

     

    ทัพเรือของ Fantasia เสียหายย่อยยับที่สุด แต่ด้วยเรือที่สามารถซ่อมแซมได้อย่างว่องไวทำให้เมอร์ทักไม่ได้ตื่นตระหนกมากนัก กำแพงธาตุนี้คงจะอยู่ได้อีกสองถึงสามวัน ซึ่งนั่นหมายถึงทัพเรือของเขาจะฟื้นคืนชีพกลับมาใหม่แบบร้อยเปอเซ็นต์ ระหว่างนี้เขาจำเป็นต้องเล่นบทรับไปก่อน

     

    สงครามในวันแรกจบลงด้วยบรรยากาศเช่นนี้ กลิ่นคาวเลือดและกลิ่นดินระเบิดตลบอบอวลไปทุกที่ ในศึกสงครามน้อยคนนักที่จะมองเห็นถึงเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป

     

    สงครามในวันแรกจบลงอย่างเป็นทางการ ณ เวลา 18.00 น. กองทัพทั้งสองฝั่งต่างก็เตรียมการเพื่อรับมือกับศึกในวันพรุ่งนี้

     

    เพียงแต่พวกเขายังไม่รู้หรอกว่า แผนการรับมือที่พวกเขาได้คิดกันเอาไว้

     

    จะได้นำมาใช้รวดเร็วกว่าที่คิด




    To be continued... 
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×