คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #21 : [Side story Vol.3.3] Battle Field Part 2
………………………………………………………………….
“กองเรือทางซ้ายเดินหน้าเต็มกำลัง!” เมอร์ทักสั่งการเสียงดัง รองแม่ทัพที่อยู่ด้านข้างถ่ายทอดคำสั่งออกไปทางกระแสจิตทันที ระยะทางระหว่างทั้งสองทัพเรือต่างก็เหลือไม่มากแล้ว
เมอร์ทักมองเห็นได้ถึงป้อมปราการขนาดใหญ่ของฝ่าย เขารู้สึกได้ถึงกระบอกปืนหลากหลายขนาดกำลังเล็งมาที่กองเรือของเขา แน่นอนว่าเขาได้ระดมจอมเวทย์เกือบทั้งหมดเพื่อสร้าเกราะกำบังบาเรียขึ้นมาแล้ว อีกทัง้ยังมีเกราะสลายแรงระเบิดติดอยู่ที่เรือทุกลำอีกด้วย แต่สิ่งที่ทำให้เขาเกรงกลัวคือเทคโนโลยีที่หลากหลายของฝั่ง Metropolis เสียมากกว่า
เมอทักห์สั่งการกับรองแม่ทัพอีกสองสามคำก่อนจะหันไปถามทหารที่อยู่ข้างกาย
“เจ้าหนุ่มคนนั้นยังอยู่ไหม?”
นายทหารหนุ่ม สะดุ้งตัวเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับไป
“ผมเห็นเขาลงเรือลำเล็กล่องออกไปพร้อมกับกองเรือด้านซ้ายแล้วล่ะครับ”
เมอร์ทักขมวดคิ้ว นี่อาจจะเป็นคำสั่งพิเศษของเชสเซอร์ก็เป็นได้ เขาเหนื่อยที่จะไปคาดเดาความคิดของเชสเซอร์ หากว่าชายหนุ่มผู้นั้นไม่ก่อให้เกิดความเสียหายกับกองเรือของเขานั่นก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดีพอแล้ว เมื่อคิดได้เสร็จสรรพเขาก็ออกไปยืนที่หัวเรือก่อนจะเพ่งสมาธิบังคับคลื่นน้ำนิดหน่อยเพื่อเร่งความเร็วให้กับทัพด้านซ้ายของเขา
แสงแดดจ้าส่องลงมาทำให้เพลกที่นอนอยู่บนเรือเล็กต้องหยีตา เขาพยายามลุกขึ้นยืนแต่ดูเหมือนอาการเมาคลื่นจะยังไม่หายดี เขาหวังว่าบนเรือธงของฝ่าย Metropolis ลำนั้นจะไม่โคลงเคลงเหมือนกับเรือของเมอร์ทัก เพราะถ้าหากเป็นเช่นนั้นเขาคงลำบากแย่
เพลกป้องมือบังแสงแดดที่ส่องลงมาพลางจ้องมองไปยังเกาะเคลื่อนที่ได้แห่ง Metropolis แม้เขาจะไม่มีลางสังหรณ์อย่างเชสเซอร์ แต่เขาก็รู้สึกได้ว่ามีใครบางคนกำลังรอเขาอยู่บนนั้น
………………………………………………………………….
“ข้าศึกกำลังจะเข้ามาในระยะยิงอีกสิบนาทีครับ” นายทหารคุมจอเรดาห์ หันมาบอกคริส แววตาของเขาในตอนนี้มีแต่ความมุ่งมั่นแฝงอยู่เท่านั้น คริสพยักหน้ารับเล็กน้อยก่อนจะเริ่มออกคำสั่งให้หันหัวเรือไปทางด้านซ้า เรือธงของ Metropolis ค่อยๆ ขยับช้าๆ เขาหันกราบเรือเข้าประจันกับทัพหน้าของฝ่ายศัตรู
"บอกคุณอาสเปให้ออกจู่โจมได้" คริสบอกทหารหน่วยสื่อสารให้ติดต่อกับอาแปะที่กำลังนำทัพหน้าอยู่
เรือจู่โจมเคลื่อนที่เร็วที่อยู่ด้านข้าง เริ่มเร่งความเร็วทันที แม้ขนาดของมันจะไม่ใหญ่โตเท่าเรือธงแต่อานุภาพการทำลายล้างของมันก็ไม่ได้น้อยกว่าเท่าไหร่นัก
คริสหันไปสั่งให้อาวุธทุกอย่างเตรียมพร้อม สายตาของเขาจับจ้องที่กองเรือของศัตรูมากกว่าที่จะมองในเรดาห์ มันสมองของเขากำลังคำนวณผลจากระยะสายตา หากกองเรือของฝ่าย Fantasia เข้ามาถึงระยะเมื่อใด สงครามที่เขารังเกียจนักหนา ก็คงจะเริ่มต้นขึ้น
ด้วยมือของเขาเอง…
อาแปะสั่งให้กองเรือรบด้านหน้าเข้าประจำที่ ระยะการยิงหวังผลของกองเรือนี้น้อยกว่าเรือธงและเรือยิงสนับสนุนที่ด้านหลัง แต่สิ่งสำคัญของกองเรือนี้คือมีเกราะที่หนาเป็นพิเศษ ทุกวัสดุถูกเคลือบด้วยสารต่อต้านเวทมนตร์ การเอากองเรือนี้เข้าประจันหน้ากับศัตรูจึงเป็นทางเลือกที่ถูกต้องที่สุดแล้ว
ก่อนหน้านี้อาแปะห่วงความสามารถในการบัญชาการของคริส แต่ตอนนี้เขาไม่สงสัยอีกต่อไปแล้ว ดูเหมือนว่าคริสจะมีสายเลือดแห่งความเป็นผู้นำในตัว และแม้จะเพียงน้อยนิด…. อาแปะสัมผัสได้ถึงความฉลาดล้ำเหมือนเวอกัสในตัวของคริสอยู่นิดหน่อย
แตกต่างกันตรงอีกที่อีกคนเปรียบเสมือนดั่งงูพิษอันตรายและน่าขยะแขยง
อาแปะไม่ได้ยินดีกับการที่เวอกัสจมดิ่งอยู่กับความโศกเศร้าเท่าไหร่นัก แต่การที่อาแปะไม่ได้แสดงความเห็นอะไรออกมา เป็นเพราะเขารู้ดีว่าเวอกัสมีแผนของตัวเขาเองเสมอ ไม่จำเป็นต้องไปเป็นห่วงหรือกังวล
เพราะหากเวอกัสเลือกที่จะตาย….
ต่อให้เป็นพระเจ้าก็ฉุดเขาเอาไว้ไม่ได้
………………………………………………………………….
“พวกมันส่งพลปืนใหญ่เข้ามาด้านหน้าครับ!” รองแม่ทัพหันมารายงานกับแดเนียลที่อยู่ด้านข้าง
สายตาของยมทูตเหม่อลอยจนน่าตกใจ รองแม่ทัพเคยร่วมออกปฏิบัตภารกิจกับแม่ทัพคนนี้อยู่บ้าง และแม้ว่าทุกครั้งแดเนียลจะไม่แสดงอารมณ์มากนัก แต่นัยน์ตาของเขาก็ไม่เคยไร้ชีวิตเช่นนี้มาก่อน
แดเนียลหันมารับคำรองแม่ทัพอย่างเชื่องช้า
“อืมห์..” หลังจากนั้นก็เกิดความเงียบอย่างยาวนาน
นานพอที่จะทำให้ชายผู้หนึ่งขี่ม้าเข้ามาอยู่ด้านข้าง
“ถ้าไม่รังเกียจ จะบอกให้ผมรับรู้แทนก็ได้ครับ” แม็กนัส เจสเตอร์ ดราก้อนสเลเยอร์เพียงหนึ่งเดียวแห่ง Fantasia กล่าวขึ้นอย่างช้าๆ
รอยแผลเป็นยาวตั้งแต่เปลือกตาข้างซ้ายลากยาวมาจนถึงแก้ม บวกกับนัยตาสีเทาและผมสีขาวดอกเลา ขับเน้นความน่าเกรงขามของเขามากยิ่งขึ้น ผิวสีน้ำผึ้งสะท้อนกับแสงแดด พอจะเห็นเงาแวววาวของมัดกล้ามเนื้อได้
ดราก้อนสเลเยอร์ เป็นหน่วยที่ขึ้นตรงกับแดเนียลเท่านั้น เชสเซอร์สร้างขึ้นเมื่อนานมาแล้วหลังจากที่เขารับรู้ได้ว่าแดเนียลไม่สนใจเรื่องราวทางโลกมากเท่าไหร่นัก แน่นอนว่าในยามที่แดเนียลเป็นยมทูต ความน่ากลัวของเขาสมคำล่ำลือ แต่เมื่อยามปฏิบัติภารกิจที่ไร้ความตื่นเต้น แดเนียลมักจะเหม่อลอย หรือไม่ก็ไม่สนใจสิ่งรอบข้างเท่าไหร่นัก
เพราะเหตุนี้แม็กนัสจึงได้ถูกแต่งตั้งขึ้นมาอยู่ข้างกายเขา ยุคสมัยนี้เเป็นยุคแห่งคนหนุ่มสาวแล้วการพัฒนาของคนรุ่นใหม่กลบความสามารถของคนรุ่นเก่าอย่างรวดเร็ว ดูอย่างเวอกัส ปริภูมิเป็นตัวอย่างก็ได้
แม็กนัสไม่เคยกังขาในความสามารถของตัวเอง แม้เขาจะเป็นคนธรรมดาคนหนึ่งที่มาจากหมู่บ้านแอร์ลูมก็ตาม ความสามารถในการต่อสู้เขาอาจจะเทียบเคียงกับแฝดนรกไม่ได้ แต่ความสามารถในการบัญชากองทัพ เขาไม่ด้อยกว่าอย่างแน่นอน
รองแม่ทัพเห็นหน้าคนมาเยือนแล้วก็ต้องสะดุ้งตัวเล็กน้อย เขาโค้งคำนับก่อนจะเล่าถึงการเปลี่ยนแปลงในขบวนทัพของเวอกัส
“ขอบคุณมากครับ จากนี้ไปผมอยากให้กองทัพฟังคำสั่งของผมชั่วคราว นี่คือใบคำสั่งของเชสเซอร์ครับ” แม็กนัสยื่นใบที่มีคำสั่งของเชสเซอร์ไปให้รองแม่ทัพ แน่นอนว่าเขาไม่ได้มีมันมาก่อนหน้านี้
แต่เมื่อสักครู่เชสเซอร์ได้ส่งกระแสจิตมาให้เขาเป็นผู้บัญชาการทัพด้วยตนเอง โดยเชสเซอร์บอกว่าตนเองกำลังเคลื่อนทัพสนับสนุนลงมาช่วยเหลือ
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเร่งด่วนแบบไหน แต่คำของเชสเซอร์คือคำขาด อย่างน้อยในตอนนี้แม็กนัสก็ไว้ใจเชสเซอร์มากกว่าแดเนียลตรงหน้า
ยมทูต..ที่มีดวงตาที่ไร้ชีวิต…
“ท่านแดเนียล เช่นนั้นผมขอออกไปบัญชาการทัพด้วยตนเองนะครับ” แม็กนัสโค้งคำนับให้แดเนียล
แม้ว่าเขาจะไม่ไว้ใจแดเนียลในยามนี้เท่าไหร่ แต่ยมทูตตรงหน้าก็เคยช่วยชีวิตเขามานับครั้งไม่ถ้วน
“อืมห์..”
สิ้นคำตอบรับของแดเนียล แม็กนัสก็โค้งคำนับอีกครั้งก่อนจะเร่งฝีเท้าของชาร์ลอต ม้าสีน้ำตาลคู่ใจของเขาออกไป
เมื่อถึงสมรภูมิรบเขาก็เห็นภาพชัดตา กองทัพของ Metropolis อยู่ในชัยภูมิที่ต่ำกว่า ความได้เปรียบทางการรบแทบจะไม่มีเหลือ แม่ทัพของข้าศึกต้องเป็นคนบ้าไม่ก็สติไม่สมประกอบเท่านั้นที่ให้พลปืนใหญ่ออกมานำทัพหน้า
“ถ่ายทอดคำสั่ง หน่วยสัตว์อสูรกระจายวงล้อมออกลดแรงปะทะของพลปืนใหญ่” แม็กนัสชูมือสั่งให้นายทหารผู้คุมระดับกองพันสองกองแยกกันออกไปคนละทาง “หน่วยจอมเวทย์หยุดอยู่ที่สันเขา ไม่ต้องตามลงมา ทิ้งระยะให้ห่างกับแนวหน้าศัตรูสองกิโลเมตร หน่วยนักรบมังกรเล็งที่หน่วยยิงของฆ่าศึกกระจายวงออกโจมตีเป็นแนวกว้างอย่างได้กระจุกตัวรวมกัน
สุดท้ายหน่วยทหารราบ เคลื่อนขบวนเป็นหน้ากระดาน ตามข้าพเจ้ามา!”
แมกนัสชักดาบออกมาจากฝัก เสียงของตัวดาบดังสนั่นเรียกขวัญกำลังใจให้กับเหล่าหทารได้เป็นอย่างดี
“เหล่านักเวทย์ทั้งหลาย ได้โปรดประทานพรแห่งความรวดเร็วให้พวกเราด้วย”
สิ้นเสียง แสงแห่งเวทย์ก็กระจายอยู่เต็มพื้นที่เสียงโห่ร้องดังกึกก้องราวกับจะข่มขวัญศัตรูให้จมดิน ทหารราบของ Fantasia รู้สึกมีกำลังวังชาขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก แม็กนัสรอให้ความฮึกเหิมนั้นก่อตัวจนถึงที่สุด ก่อนจะกดดาบลงชี้ตรงไปด้านหน้า
ดั่งลูกเกาทัณฑ์หลุดออกจากเล่ง กองทัพของ Fantasia เคลื่อนที่เป็นระเบียบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ผลจากการผ่านสงคราามน้อยใหญ่กับมอนสเตอร์มานับครั้งไม่ถ้วน ทำให้แม็กนัสรู้สึกได้ถึงชีพจรแห่งสงคราม เขารู้ว่าควรกระตุ้นทหารตอนไหน ควรออกคำสั่งอย่างไร
เสียงกลองรบดังกึกก้องกลบเสียงฝีเท้าอันว่องไวของหน่วยทหารราบ ไม่นานเท่าไหร่นักทั้งสองกองทัพก็จะเข้าสู่จุดปะทะ เป็นเพราะชัยภูมิของฝ่าย Fantasia อยู่ในที่ราบสูง การบุกโจมตีลงมาจึงช่วยหนุนส่งความรวดเร็วและความรุนแรงจนเหลือคณานับ
เลือดในกายของแม็กนัสเดือดพล่านดวงตาของเขาเป็นประกาย เขาเอื้อมมือไปหยิบหมวกประจำตัวขึ้นมาสวมหลักจากเห็นพลปืนใหญ่ของฝ่ายตรงข้ามปรับองศากระบอกปืน
แต่มันสายไปเสียแล้ว
กระสุนระเบิดลูกแรกถูกยิงออกมาพร้อมกัน เสียงหวีดหวิวดังพอจะให้แม็กนัสรู้ว่ากระสุนระเบิดยักษ์นั้นจะตกลงมาที่ตัวเขา
แต่เขาไม่สนใจ เขายังคงมุ่งหน้าต่อไป เพราะชาร์ลอตมาคู่ใจของเขาไม่เคยทำให้ผิดหวังมาก่อน
เสียงระเบิดดังสนั่นไปทั่วอานาบริเวณ ฝุ่นควันคละคลุ้งจนแทบมองไม่เห็นทางข้างหน้า เหล่าพลผืนใหญ่ของ Motropolis ต่างก็๋ภาวนาให้ทัพหน้าของศัตรูโดนระเบิดราบคาบ
แต่หลังจากเสียงระเบิดสงบลง แสงสีทองสว่างสดใสก็ส่องออกมาจากฝุ่งควัน พลันปรากฏร่างของเพกาซัสสีทองสวยงามบินออกมา บนหลังของมันมีนักรบเกราะเงินท่าทางสูงสง่าราวกับเทพแห่งสงครามขี่มันอยู่ ยังไม่ทันที่ทหารฝ่ายเมโทรโปลิสจะได้คิดอะไร ดาบเซเบอร์โค้งสวยงามก็ชี้มาที่พวกเขา
ทัพหน้าแห่ง Fantasia โผล่พรวดออกมาจากฝุ่นควันราวกับน้ำหลาก เสียงโห่ร้องดังกึกก้องไปทั่วอานาบริเวณ เลือดเนื้อถูกแยกออกจากกันอย่างรวดเร็วจนฝ่าย Metropolis ตั้งตัวไม่ทัน การบุกครั้งนี้นับว่าโจมตีได้อย่างหนักหน่วง แทบจะทำให้ Metropolis ล่มสลายทั้งกองทัพ
แม็กนัสโบกมือสั่งทัพนักรบมังกรให้เขาโจมตีจุดอ่อนของฝ่ายศัตรู ก่อนที่ตนเองจะกุมบังเหียนชาร์ลอตให้พุ่งตรงเข้าสู่แนวหน้าของสงคราม
เกราะสีเงินส่องประกายเจิดจ้าขับรับกับแสงสีทองของชาร์ลอต
เทพแห่งสงครามได้จุติแล้ว….
………………………………………………………………….
“ยิง!!!” คริสตะโกนก้องบอกสัญญาณให้ฝ่ายควบคุมอาวุธสั่งการ ปืนใหญ่นับพันถูกยิงออกในเวลาแทบจะพร้อมๆ กัน
กระสุนระเบิดลอยหวีวหวิวในอากาศดังพอจะให้เมอร์ทักได้ยิน
“บาเรีย!” เมอทักร์หันไปสั่งเหล่านักเวทย์ที่อยู่บนเรือทุกลำให้เตรียมตัว นักเวทย์ไม่รอช้าร่ายเวทมนตร์อย่างรวดเร็วป้องกันแรงระเบิดเอาไว้ได้ เรือบางลำกางบาเรียไม่ทันก็ตกเป็นเหยื่อของแรงระเบิดไปโดยปริยาย เมอร์ทักคาดระยะการยิงหวังผลผิดไปเล็กน้อย ไม่น่าเชื่อว่าผู้บัญชาการทัพเรือของอีกฝ่ายจะมีสายตาที่สามารถกะระยะได้แม่นยำขนาดนี้
นี่แสดงว่าเขาต้องคำนวณถึงแรงลมและสภาพความชื้นอากาศในหัวไปด้วยในตัว แต่เมอร์ทักก็ไม่ได้หนักใจอะไรนัก เกราะกำบังหนากูเปิดขึ้นมาเพื่อปกคลุมเรือเอาไว้ เปรียบเสมือนโล่ใบใหญ่ที่คอยรับแรงกระแทก
กระสุนนัดที่สองพุ่งตามติดมาด้วยความเร็วแบบไม่ให้หยุดพัก แต่แน่นอนว่าคราวนี้เมอร์ทักรู้ตัวอยู่ก่อนแล้ว เขาหันไปให้สัญญาณกับเหล่านักเวทย์สายน้ำที่อยู่บนเรือ เพื่อก่อคลื่นยักษ์ขึ้นมาเป็นกำแพงกันแรงระเบิดจากกระสุน ก่อนจะผลักมันออกไปในทิศทางที่กองทัพ Metropolis ตั้งอยู่
กำแพงน้ำสุงได้รวบเอากระสุนปืนใหญ่ทั้งหมดให้ตกลงสู่ผืนน้ำ ไม่มีกระสุนใดที่ลอดผ่านความหนาของกำแพงคลื่นยักษ์นี้ไปได้เลย
คริสสั่งให้ปืนใหญ่หยุดยิง ก่อนจะแปรขบวนทัพให้ให้หันหน้าเข้ากระจันกับตัวคลื่น คลื่นกำลังเคลื่อนที่เข้ามาอย่างช้าๆ คริสกดปุ่มส่งข้อความไปยังหน่วยพิเศษที่เขาเตรียมเอาไว้รับมือกับเหตุการณ์นี้โดยเฉพาะ
“กวิ้น! ตอนนี้เลย!!” คลื่นสัญญาณถูกส่งต่อไปยังกวิ้นที่อยู่ใต้ทะเลลึก เขากำลังว่ายน้ำอยู่ข้างๆ กองทัพเรือดำน้ำหลายร้อยลำ
ตอปิโดถูกยิงออกจากมุมที่ฝ่าย Fantasia คาดการไม่ถึง เมอร์ทักเห็นเพียงเส้นสีขาวบางๆ บนพื้นน้ำเล็กน้อย ก่อนที่ทัพเรือด้านหน้าของเขาจะถูกถุล่มด้วยตอปิโดหลายร้อยลูกจนพินาศย่อยยับ
เมอร์ทักกัดฟันกรอด เขาประมาทผู้บัญชาการอีกฝ่ายมากเกินไป ไม่คิดว่าฝ่าย Metropolis จะมาไม้นี้ เขาหันไปให้สัญญาณกับแนวหลัง เรือขนาดใหญ่สองสามลำที่บรรทุกสัตว์อสูรใต้น้ำเอาไว้จำนวนมาก ปลดปล่อยสัตว์ร้ายออกจากกรงขัง
สัตว์อสูรนานาชนิดพุ่งตรงไปยังที่ตั้งของเรือดำน้ำ กวิ้นสังเกตุเห็นได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของน่านน้ำตรงหน้าก็รับรู้ได้ถึงมีอะไรบางอย่างกำลังว่ายน้ำเข้ามา
เรือดำน้ำของฝ่าย Metropolis เป็นเรือดำน้ำที่เคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ มันขยับเปลี่ยนรูปร่างได้มากมายหลายรูปแบบ โดยที่สามารถปรับให้เข้ากับสถานการณ์นั้นๆ ได้
กองทัพเรือดำน้ำกระจายตัวออกไปด้านข้างเป็นหน้ากระดาน เพื่อรอรับการโจมตีของสัตว์อสูร กวิ้นแสยะยิ้มเล็กน้อยดูท่าเขาจะต้องสั่งสอนให้รู้เสียหน่อยแล้วว่าใครกันแน่ที่เป็นเจ้าแห่งท้องทะเล
สัตว์อสูรหน้าตาน่าเกลียดมหึมาตัวหนึ่งพุ่งพรวดเข้ามาจู่โจมที่กวิ้น กวิ้นที่อยู่ในร่างเพนกวิ้นว่ายน้ำด้วยความเร็วหลบกรงเล็บมหาปะลัยนั้นไปได้อย่างเฉียดฉิว สัตว์ประหลาดตัวนั้นงุนงงเล็กน้อยที่อยู่ดีๆ เพนกวิ้นตัวน้อยก็หลบการโจมตีของมันไปได้ ก่อนที่จะหันกลับมาไล่ตามเพนกวินที่ว่ายหนีไป
แต่เพนกวินไม่หันกลับไปมองสัตว์อสูรตัวนั้นด้วยซ้ำ
เพราะมันได้ตายไปแล้ว
เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วอณาบริเวณ พริบตาที่กวิ้นว่ายน้ำหลบหนีออกมาเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เขาโยนระเบิดสวนกลับเข้าไปในปากของสัตว์อสูร
เพนกวิ้นไม่รอช้า เขารีบว่ายตรงไปยังเรือธงของฝ่ายตรงข้าม หากเขาสามารถเข้าไปละเลงเลือดบนเรือลำนั้นได้ล่ะก็ สงครามนี้ก็คงจะจบลงอย่างรวดเร็ว
แต่ยังไม่ทันที่เขาจะว่ายไปถึงเรือลำนั้น เขาก็เห็นเงาสีดำขนาดมหึมาโผล่ขึ้นมาเสียก่อน ดูจากโซ่ตรวนที่ใช้ล่ามมันเอาไว้แล้ว คาดว่าต้องใช้เรือของทางฝ่าย Fantasia มากกว่าพันลำ
กวิ้นไม่เห็นทางในการว่ายหลบหลีกเจ้าสัตว์ประหลาดยักษ์ตัวนี้ไปแม้แต่น้อย เขาเคยได้ยินมาว่าเมื่อไม่กี่อาทิตย์ก่อนมีมอนสเตอร์ที่ชื่อว่าอูริออสบุกเข้ามาในเขตเมือง เขาสงสัยว่าเจ้าตัวที่อยู่ตรงหน้าเขาจะมีขนาดเท่ามันรึเปล่า
แต่ที่แน่ๆ คือต้องไม่เล็กกว่าเท่าไหร่นัก สัตว์ประหลาดใต้น้ำค่อยขยับตัว โซ่ตรวนที่ล่ามมันเอาไว้พันกว่าเส้นถูกปลดพันธนาการออก
เสียงคำรามในลำคอของมันเบาๆ ก็พอจะทำให้กวิ้นเริ่มทรงตัวในน้ำไม่ได้
ในที่สุดสัตว์ประหลาดตัวนี้ก็ปรากฏให้เห็นชัดตำตา ร่างกายอันใหญ่โตของมันทำให้แม้กระทั่งมันยืนในท้องทะเลลึก ตัวของมันก็โผล่พ้นน้ำมาครึ่งตัว
เพนกวิ้นจ้องมองสัตว์ประหลากยักษ์ตัวนี้อย่างไม่เชื่อสายตา ถึงกับอุทานออกมาอย่างไม่รู้ตัวว่า
…..ก๊อตซิล่า
………………………………………………………………….
คลื่นยักษ์สูงเสียดฟ้าถูกรูปทรงแหลมของหัวเรือฝ่าย Metropolis แหวกออกมาได้อย่างทันท่วงที เมื่อคลื่นยักษ์พัดผ่านไป สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าของคริสคือกองทัพเรือปีกซ้ายของฝ่าย Fantasia
ทัพเรือที่ขึ้นชื่อเรื่องรบระยะประชิด กองเรือนี้เคลื่อนที่โดยอาศัยแรงของคลื่นยักษ์เพื่อเร่งความเร็วจนบัดนี้มันเข้ามาเกินระยะยิงของทางฝ่าย Metropolis แล้ว แต่คริสก็ได้คาดการณ์ไว้ก่อนตั้งแต่เห็นคลื่นยักษ์แล้วเช่นกัน
สัญญาณฉุกเฉินถูกส่งต่อไปให้อาแปะที่อยู่ด้านหน้า เรือของพวกเขาไม่ได้ปรับระยะการยิงแบบไกลเอาไว้เผื่อเหตุฉุกเฉิน ทำให้การปะทะครั้งนี้เป็นไประหว่างทัพเรือของอาแปะและทัพเรือปีกซ้ายของฝ่าย Fantasia
การตะลุมบอนระหว่างเรือเริ่มขึ้นทันทีเมื่อฝ่าย Fantasia เข้ามาประชิดทัพหน้าได้ ทหารเรือหลายร้อยกระโดดโหนตัวขึ้นโจมตีเรืออีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว
คริสมองเหตุการณ์ตรงหน้าพร้อมกับขมวดคิ้ว สิ่งที่ทำให้เขาขมวดคิ้วไม่ใช่การตะลุมบอนของอาแปะในแนวหน้า แต่เป็นเจ้าสัตว์ประหลาดยักษ์ที่เขามองเห็นด้วยตาเปล่าทั้งๆ ที่อยู่ไกลเกือบสิบกิโลเนี่ยแหละ
หวังว่ากวิ้นคงจะปลอดภัย…
ปลอดภัยยังกับผีน่ะสิ กวิ้นสบถในใจหลังจากที่เขารู้สึกเหมือนมีใครสักคนเอาใจช่วยเขาอยู่ อันที่จริงเขาหงุดหงิดกับการดำน้ำนานๆ อยู่แล้ว เพนกวิ้นจักพรรดิอย่างเขาควรจะได้อยู่บนบกอวดลวดลายอันสวยงามให้โลกได้เห็นสิถึงจะถูก เพราะเหตุนี้เขาจึงเร่งความเร็วเพื่อขึ้นไปอวดรูปโฉมอันงดงามบนเรือธงของศัตรู
แต่ไอ้เจ้าก๊อตซิล่าที่อยู่ตรงหน้าที่ถือเป็นอุปสรรคที่ใหญ่มาก...มาก….มาก สำหรับเขา
‘สงสัยต้องให้มันรู้ซะบ้าง ว่าใครกันแน่ที่อยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหาร’
รวดเร็วเท่าความคิดกวิ้นก็คำรามเสียงดัง……..แก๊วกๆ
ก่อนจะว่ายตรงดิ่งเข้าไปหาก๊อตซิล่าด้วยความรวดเร็ว…
………………………………………………………………….
“ทัพหน้าของเราล่มสลายแล้วครับ” รองแม่ทัพที่อยู่ข้างกายเวอกัสเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ แม็กนัสบุกจู่มโจมด้วยความกราดเกรี้ยวเสียจนเขามองไม่เห็นหนทางชนะได้เลย
“ให้หน่วยยิงสนับสนุนถอยทัพ” เวอกัสสั่งการอีกครั้ง เขาจิ้มนิ้วลงบนภาพโฮโลแกรมขณะสั่งการไปด้วย
รองแม่ทัพทำหน้างุนงง หน่วยยิงสนับสนุนที่เวอกัสสั่งการยังไม่ได้เคลื่อนพลเข้าสู่สนามรบเลยแม้แต่น้อย เขากลับให้หน่วยยิงสนับสนุนถอยทัพทั้งๆ ที่ยังไม่ได้รบ
“ให้กองหนุนตรงนี้เคลื่อนพล”
“แต่นั้นมันกองหนุน…”
“ทำตามที่ฉันบอกเถอะ” เวอกัสพูดตัดบท เขาอัดควันบุหรี่เข้าไปเต็มปอดก่อนจะโค้งตัวลงไอเล็กอย่างรุนแรง “ให้พลฟืนใหญ่ที่เหลือเคลื่อนเข้าไปกลางทัพ หน่วยทหารราบที่ถอยร่นออกมาให้โยกไปทางซ้าย”
เวอกัสยังออกคำสั่งต่อไปเรื่อยๆ ไม่หยุดยั้ง ขบวนทัพทั้งหมดแปรปรวนจนไม่เหลือชิ้นดีรองแม่ทัพกัดฟันกรอด เขาไม่ต้องการส่งสหายร่วมรบไปตายอีกต่อไปแล้ว แต่เพราะด้วยตำแหน่งของเขาก็ไม่มีสิทธิ์ขัดคำสั่งของเวอกัสอยู่ดี
อันที่จริงแล้วเวอกัสไม่จำเป็นต้องถ่ายทอดคำสั่งให้กับรองแม่ทัพทุกครั้งก็ได้ เขามีอำนาจในการบัญชาการกองทัพทั้งหมดด้วยตัวเองอยู่แล้ว แต่การที่เขาทำแบบนี้เพียงเพราะต้องการให้รองแม่ทัพได้รับรู้ว่าการตัดสินใจทั้งหมดนี้มาจากตัวของเขาเอง บทสนทนารวมไปถึงคำสั่งที่ถุกถ่ายทอดออกมาจะถูกบันทึกเอาไว้
และอาจนำมาใช้เป็นหลักฐานเพื่อเอาผิดเวอกัส ได้ในภายหลัง รองแม่ทัพรู้ข้อนี้ดี เขาจึงเลือกที่จะไม่ขัดขืนคำสั่งของเวอกัสอีก
แนวหน้าล่มสลายลงแล้วตามคำบอกเล่าของรองแม่ทัพ เวอกัสหลับตาลงเล็กน้อย นั่นเพื่อไว้อาลัยให้กับผู้ที่เสียสละชีวิตเพื่อแผนการของเขา
“ให้แนวหน้าทั้งหมดถอยทัพ”
………………………………………………………………….
แม็กนัสมองเห็นแต่จุดอ่อนของศัตรูเต็มไปหมด เขาสามารถบุกเข้าทะลวงทัพฝ่าย Metropolis ให้ล่มสลายทางใดก็ได้ ไม่มีแผนลวงใดๆ ทั้งสิ้นเพราะขบวนทัพของฝ่าย Metropolis ล้มเหลวไม่เป็นท่า
แม็กนัสเงยหน้าขึ้นมองเหล่าจอมเวทย์ที่ประจำการอยู่บนแนวสันเขา หน่วยยิงสนับสนุนของฝ่าย Metropolis ไม่สามารถยิงทำร้ายพวกนักเวทย์เหล่านั้นได้ แม็กนัสตัดสินใจส่งสัญญาณมือให้กองทัพสัตว์อสูรและกองทัพนักรบมังกร เข้าตีโอบล้อมสู่จุดศูนย์กลาง
เขารู้ว่าผู้บัญชาการของฝ่ายตรงข้ามอยู่อีกไม่ไกลนัก เวอกัส ปีศาจร้ายผู้เป็นตำนานกำลังจะถูกลบชื่อออกจากประวัติศาสตร์ด้วยน้ำมือของเขา แม็กนัสเร่งความเร็วให้กับทัพของเขา เหล่านักเวทย์ร่ายมนตร์สนับสนุน และโจมตีได้อย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย เป็นเพราะชัยภูมิได้เปรียบกว่ามาก
เขาพุ่งตรงไปยังพลปืนใหญ่อีกหน่วยนึงที่เพิ่งเคลื่อนพลขึ้นมาด้านหน้า
ปืนใหญ่ที่อยู่ในแนวหน้าแบบนี้ย่อมไร้ประโยชน์จนใช้การไม่ได้ แม็กนัสไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเหตุใดเวอกัสถึงได้บัญชาการรบแบบนี้
แต่แล้วคำตอบก็มาเยือนเร็วกว่าที่แม็กนัสคาดการณ์ไว้ ปืนใหญ่ทั้งหมดถูกยิงออกมาแทบจะในเวลาใกล้เคียงกัน แต่เป้าหมายไม่ใช่แม็กนัส หรือหน่วยทัพใดๆ ทั้งสิ้น
เป้าหมายของกระสุนปืนใหญ่ คือเนินเขาที่โอบล้อมทัพพวกเขาอยู่นั่นเอง
เสียงกัมปนาทดังสนั่นขึ้น พร้อมๆ กับแนวสันเขาที่ถล่มลงมาอย่างรวดเร็ว จอมเวทย์หลายพันคนตกอยู่ในอันตราย เวอกัสใช้การโจมตีเพียงครั้งเดียวสร้างความเสียหายให้กับทัพจอมเวทย์ของเขาไปมากกว่าครึ่ง แต่ยังไม่ทันที่แม็กนัสจะได้ตั้งตัว
แรงสั่นสะเทือนจากระเบิดก็ทำให้เกิดหินถล่มลงมาอย่างรวดเร็ว ปิดทางถอยและเส้นทางหลักที่เชื่อมทัพหน้าของเขากับทัพหนุนขาดออกจากกันอย่างสิ้นเชิง กว่าแม็กนัสจะรู้สึกตัวว่าเขานำทัพหน้าเข้ามาไกลมากเกินไปทุกอย่างก็สายเสียแล้ว
แม็กนัสออกคำสั่งให้ถอนทัพกลับไปทันที อย่างน้อยการรวมกลุ่มกันต้านจนกว่าทัพหนุนจะบุกฝ่าเข้ามาได้น่าจะเป็นเรื่องดีกว่า แต่สิ่งที่ทำให้เขาต้องหนักใจกลับเป็นพลปืนใหญ่พลแรกที่เข้ามาสังเวยในสงคราม
เศษซากปืนใหญ่ที่พวกเขาได้เผาทำลาย กลายเป็นปราการขนาดย่อมบดบังวิศัยทัศน์และการถอยของพวกเขาจนหมด
แม็กนัสเข้าใจแผนการของเวอกัสแล้ว
บัดนี้หน่วยทหารราบของฝ่าย Metropolis ที่ควรจะอยู่แนวหน้าเป็นปราการสำคัญ อ้อมย้อนเข้ามาตีพวกเขาทางซ้ายมือ ทหารเหล่านั้นต่างก็เปี่ยมไปด้วยกำลังวังชา และอีกทั้งเป็นแนวหน้าหน่วยกล้าตายของฝ่าย Metropolis เปรียบกับฝ่ายของแมกนัสที่ทหารได้สญเสียความฮึกเหิมในการบุกเข้าตีหมดแล้วหลังจากเข้าทำลายพลปืนใหญ่ และกองหนุนของฝ่าย Metropolis ไป
พลยิงสนับสนุนที่ยังไม่ได้ใช้กระสุนเลยสักนัดเคลื่อนพลเข้ามาประจำตำแหน่ง กองนุนที่เหลืออยู่เริ่มจัดขบวนทัพใหม่อีกครั้ง
จุดอ่อนในทัพของศัตรูที่เมื่อครู่มีอยู่นับไม่ถ้วน กลับกลายว่าหายไปอย่างไม่น่าเชื่อ เวอกัสรอให้แม็กนัสนำทัพหน้าทั้งหมดล่วงเข้ามาในพื้นที่เขาเตรียมเอาไว้แล้ว โดยการเสียสละพลปืนใหญ่และกองหนุนเล้กน้อย เพื่อเป็นเป้าล่อให้แม็กนัสล้วงลึกเข้ามามากกว่าเดิม
เมื่อทัพหน้าของฝ่ายแม็กนัสนำทัพออกมาไกลจากกองหนุน เวอกัสจึงเริ่มดำเนินการตามแผนเดิมที่วางเอาไว้
กระสุนเพียงไม่กี่นัดจากพลปืนใหญ่กลับพลิกสถานการณ์ในสงครามไปทั้งหมดอย่างรวดเร็ว กองทัพนักรบมังกรเป็นหน่วยที่ได้รับความเสียหายน้อยที่สุด พยายามเข้าจู่โจมทหารราบแนวหน้าของฝ่าย Metropolis เพื่อชะลอความเร็วในการเข้าโจมตี
แต่หน่วยยิงสนับสนุนของฝ่าย Metropolis ได้ถูกโยกกองกำลังเอามารอไว้ก่อนแล้ว ไวเวิร์นหลายร้อยตัวถูกยิงร่วงหล่นลงจากฟากฟ้า แม็กนัสรู้ดีว่าทัพหน้าของเขากำลังจะล่มสลาย ความตายกำลังจะเข้ามาเยือนเขาอย่างที่เขาปฏิเสธไม่ได้
ทัพของ Metropolis โจมตีสวนกลับอย่างหนักหน่วง กลยุทธ์นี้แปลกพิศดารจนเรียกได้ยากว่าเป็นกลยุทธ์ในการสงคราม แม็กนัสสั่งการให้ทหารตนเองจัดขบวนป้องกันอย่างแน่นหนา
เขาต้องถ่วงเวลาจนกว่ากองหนุนจะมา หรืออย่างน้อยเขาก็ต้องรักษาชีวิตของเพื่อนพ้องเอาไว้ให้ได้มากที่สุด
แต่กองหนุนมาเร็วกว่าที่เขาคาดไว้
แม้จะเป็นกองหนุนที่มีเพียงคนเดียวก็ตาม
มัจจุราชปรากฏกายแล้ว
………………………………………………………………….
เวอกัสลุกขึ้นยืนพลางเดินออกจากห้องบัญชาการในยานบินเคลื่อนที่ รองแม่ทัพที่กำลังงุนงงในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรีบลุกตามออกไปอย่างรวดเร็ว
“ถ้าท่านออกไปจากที่นี่ กองทัพของพวกเราก็จะขาดคนบัญชากะ…”
“ไม่ต้องเป็นห่วง” เวอกัสพูดตัดบทอีกครั้ง เขามักจะคาดเดาเรื่องที่อีกฝ่ายจะพูดได้อยู่เสมอ “ต่อจากนี้จะเป็นการตะลุมบอนเพียงอย่างเดียวแล้ว การสู้รบที่อิสระแบบนั้นไม่จำเป็นต้องมีผู้บัญชาการหรอก”
เวอกัสพูดพร้อมกับเดินออกไปนอกยานทันที ยานบินจอดอยู่ไม่ไกลจากสนามรบมากนัก ยานบัญชาการของเขามีขนาดไม่ใหญ่โต อันที่จริงแล้วมันมีลักษณะเหมือนยานบินทั่วไปจนแยกยาก เป็นเพราะเวอกัสไม่ต้องการเป็นเป้าหมายสำคัญให้ศัตรูเพ่งเล็งมากนัก
เวอกัสเดินเข้าสู่สนามรบอย่างเชื่องช้า ข้างกายเขามีองครักษ์ประจำตัวอยู่ประมาณสิบนาย แต่ล่ะคนมีความสามารถในการรบสูงส่ง หลายคนเคยร่วมงานกับปริภูมิที่หมู่บ้าน Ether hill มาแล้ว นี่เป็นแผนสุดท้ายที่เขาวางเอาไว้
เวอกัสมุ่งหน้าตรงไปหามัจจุราชในสนามรบ เสียงกรีดร้องของเหล่าชายฉกรรจ์ที่ถูกกระชากวิญญาณทั้งเป็นดังออกมาไม่ขาดสาย
เวอกัสไม่กลัวเกรงเสียงเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย
สิ่งที่เขากลัวมีเพียงอย่างเดียว…
กลัวว่าเชสเซอร์จะมาไม่ตรงเวลา
………………………………………………………………….
ความคิดเห็น