คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #20 : [Side story Vol.3.3] Battle Field Part 1
[Side story Vol.3.3] Battle Field Part 1
โครวยิ้มแล้ว เขาเงยหน้ามองพระอาทิตย์ที่กำลังขึ้นสู่ขอบฟ้า แสงสีทองส่องประกายงามตา แต่สิ่งที่ทำให้เขายิ้มไม่ใช่ความสวยงาม แต่กลับเป็นแผนการของเวอกัสที่แม้แต่เขาเองก็นึกไม่ถึง
เวอกัสออกมาจากห้องทำงานแล้วตั้งแต่เมื่อวานช่วงเย็น เขามาพบโครวก่อนจะบอกถึงแผนการบางอย่าง แม้ว่าน้ำเสียงของเวอกัสจะดูอ่อนแรงและอมโรค แต่ถึงกระนั้นความหมายในคำพูดก็ยังคงหนักแน่นเช่นเดิม เขาหันไปสั่งการกองทัพที่กำลังจัดกองกำลังอยู่ด้านหลัง เมื่อคืนนี้กองทัพของเขาได้พักผ่อนอย่างเต็มอิ่ม
หทารของ Metropolis นั้นถูกฝึกภายใต้สภาวะสงครามอย่างหนักหน่วงตลอดเวลา เพื่อให้ร่างกายเคยชินกับแรงกดดันต่างๆ ในสงคราม พวกเขาสามารถหลับสนิทได้ แม้รู้ว่าในวันพรุ่งนี้ตนเองจะต้องเจอศึกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของโลก ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังเป็นมนุษย์อยู่ พวกเขายังมีความรู้สึกหวาดกลัวและสิ้นหวังเป็นธรรมดา
เพราะแม่ทัพผู้ที่เคยเป็นศูนย์รวมจิตใจของเขาได้จากไปแล้ว โครวรู้เรื่องนี้ดีเขาย่อมต้องสร้างความเชื่อมั่นเหล่านั้นกลับมา
“ฉันจะนำทัพหน้าให้เอง” โครวพูดกับรองแม่ทัพที่อยู่ด้านช้าง รองแม่ทัพเงยหน้าขึ้นมามองโครวด้วยความประหลาดใจ
“แต่ท่านไม่จำเป็นต้อง….”
โครวส่ายหน้าพร้อมกับโบกมือไปมา
“ท่านเทิ่นอะไรกัน เรียกฉันว่าโครวก็พอ” โครวเงยหน้ามองไปยังขอบฟ้าทางที่พระอาทิตย์กำลังขึ้น “ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก ฉันถนัดการบัญชาการขณะต่อสู้ไปด้วยอยู่แล้ว”
เขาเริ่มจะมองเห็นกองทัพแห่ง Fantasia โผล่มาเป็นเงาสีดำเป็นจุดเล็กๆ ขึ้นที่ขอบฟ้า แรงสั่นสะเทือนจากีเท้าจำนวนหลายหมื่นคนกำลังเคลื่อนใกล้เข้ามา จำนวนทหารที่แน่นอนของ Fantasia นั้นมีน้อยกว่าของ Metropolis มาก เรียกได้ว่าเกือบเท่าหนึ่งเลยทีเดียวแต่สิ่งสำคัญไม่ใช่เรื่องจำนวน แต่เป็นความสามารถในการรบของแต่ละฝ่ายมากกว่า Fantasia ทหารของพวกเขาต่างก็มีความสามารถที่คาดเดาไม่ได้ ทหารแต่ละนายต่างมีความถนัดกันไปคนละแบบ ทำให้ไม่สามารถหาทางรับมือได้
“มากันแล้วสินะ” โครวพูดขึ้น ก่อนจะสั่งให้ทัพหน้าเริ่มเคลื่อนกำลังพลเข้าสู่สงคราม
เขาอดยิ้มระหว่างการสั่งการไม่ได้ แน่นอนว่าส่วนลึกในจิตใจของเขากระหายสงคราม แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เขามอบรอยยิ้มให้
ที่เขายิ้มเป็นเพราะเขาพอจะนึกสีหน้าของเชสเซอร์ออกหลังจากที่เจอเข้ากับแผนของเวอกัส
แผนที่พอจะทำให้โครวอารมณ์ดีไปอีกนาน
………………………………………………………………….
เสียงฝีเท้าของสัตว์อสูรรูปร่างมหึมาดังสนั่นไปทั่วอาณาบริเวณ แต่นั่นกลับสร้างความฮึกเหิมให้กับกองทัพแห่ง Fantasia เชสเซอร์บุรุษหนุ่มผู้มีบุคลิกสูงสง่านั่งอยู่บนซุ้มบัญชาการเคลื่อนที่บนหลังของสัตว์อสูรตนนี้ เชสเซอร์ไม่เคยปิดบังที่ตั้งของตนเองในสนามรบ แต่ไหนแต่ไรมา หากเกิดการต่อสู้ขึ้นที่ไหน เขามักจะทำให้ตัวเองเป็นจุดสนใจอยู่เสมอ ด้วยเหตุนี้ ทำให้สัตว์อสูรของเขาดูยิ่งใหญ่หว่าตนอื่นอย่างเห็นได้ชัด
แน่นอนว่านิสัยส่วนนี้แตกต่างจากเวอกัส เชสเซอร์กวาดสายตามองไปด้านหน้าเขาเห็นเพียงกองทัพแห่ง Metropolis เท่านั้น เมื่อดูการเคลื่อนทัพชองฝ่าย Metropolis แล้วเขาก็อดที่จะยอมรับไม่ได้จริงๆ ว่า กองทัพ Fantasia ของเขายังอ่อนด้อยกว่าเล็กน้อย
กองทัพของ Metropolis เปรียบเสมือนร่างกายของคนๆ หนึ่ง แต่สำหรับ Fantasia กองทัพของเขาเปรียบเสมือนผู้คนที่หลากหลาย เรื่องนี้เชสเซอร์ไม่สามารถควบคุมอะไรมันได้ เป็นเพราะทั้งสองประเทศต่างมีรากฐานที่แตกต่างกันอยู่แล้วตั้งแต่ต้น
ผู้คนของ Fantasia ต่างมีความรู้ความสนใจที่เป็นเอกเทศ เป็นเพราะเวทมนตร์แต่ละประเภทหรือศาสตร์แขนงต่างๆ ของ Fantasia นั้นมีมากมายหลากหลาย เพื่อให้ความสามารถแสดงผลออกมาได้สูงสุด ผู้ใช้จำเป็นต้องต้องเลือกศาสตร์ที่เหมาะสมกับตนเอง เพราะฉะนั้นการที่จะให้ผู้คนที่มีนิสัยต่างกัน ศึกษาเรื่องราวที่ต่างกันมาอยู่ร่วมกันอย่างไม่มีข้อขัดแย้งเป็นเรื่องยากมาก การฝึกทหารของฝ่าย Fantasia จึงไม่เข้มงวดเท่าไหร่นัก
ต่างจากฝ่าย Metropolis ทหารทุกนายของฝ่ายนั้นเปรียบเสมือนบุคคลเดียวกัน พวกเขาเคลื่อนไหวราวกับเป็นอวัยวะของอีกคนก็ปาน ด้วยความพร้อมเพรียงกันรวมเข้ากับจำนวนที่มากกว่า ทำให้ฝ่าย Metropolis ไม่เคยกลัวการพ่ายแพ้ เพราะพวกเขารู้เสมอ ว่าหากแขนขาขาดไปข้างหนึ่ง แขนข้างนั้นก็พร้อมจะงอกขึ้นมาใหม่ในทันที
เชสเซอร์กวาดสายตามองหาเวอกัสในกองทัพของอีกฝ่าย เขาไม่ประหลาดใจเท่าไหร่นักที่ไม่เห็นเวอกัส เพราะเวอกัสไม่เคยปรากฏอยู่ในแนวหน้าของสนามรบมาก่อน หากเขาต้องการเข้าไปให้ถึงตัวเวอกัสเขาจำเป็นต้องทำลายทัพหน้านี้ให้ย่อยยับ
เขสเซอร์กำลังอารมณ์ดี แม้ว่าแอร์เชเบตจะทำภารกิจไม่สำเร็จตามที่เขาคาดหวังไว้ แต่เขาก็รู้ดีว่าการส่งเธอไปทำเรื่องแบบนั้นมันไม่ง่ายดายอย่างที่คิด แต่อย่างไรซะเธอก็เป็นเพียงหมากตัวหนึ่ง ของเล่นที่เขาเลือกมักจะมีความพิเศษในตัวมันเสมอ เขาไม่จำเป็นต้องปลอบใจเธอ เพราะเขาไม่ได้คาดหวังชัยชนะอื่นใดจากตัวเธอไปมากกว่าการถ่วงเวลาไม่ให้หน่วยพิเศษของอีกฝ่ายเข้ามายุ่มย่ามในสงคราม
แค่กองทัพของ Metropolis กับแม่ทัพคนใหม่ก็ทำให้เขาวุ่นวายมากพออยู่แล้ว ถ้าเพิ่มหน่วยพิเศษที่มีความสามารถแปลกประหลาดเข้าไปอีกสักหลายคน เขาคงจะเริ่มกลับมาปวดหัวอีกครั้ง เขาสัมผัสได้ถึงจิตของแอร์เชเบตเมื่อตอนเช้าแสดงว่าเธอยังมีชีวิตอยู่ เพราะฉะนั้นเขาไม่จำเป็นต้องไปเป็นห่วงเธอ ปีศาจในร่างกายของเธอสังเวยทหารแห่ง Metropolis ไปเกือบครึ่งร้อย หากเธอจะมาตายเพราะอาการบาดเจ็บเล็กน้อย เขาก็คงผิดหวังน่าดู
เชสเซอร์หลับตาลงเล็กน้อย เขาต้องการสมาธิเพื่อค้นหาเวอกัสในสงคราม แน่นอนว่าของเล่นชิ้นใหญ่ชิ้นนีเขาต้องจัดการด้วยน้ำมือของตัวเอง เขาตัดกระแสจิตที่ติดต่อกับหน่วยพิเศษทุกคน ณ เวลานี้ภารกิจที่ส่งพวกเขาไปทำนั้นไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว สิ่งที่เขาสนใจคือสงครามตรงหน้า
เชสเซอร์สั่งให้ทหารคนสนิทเป่าหลอดเขา เสียงปลุกใจดังกระหึ่มไปทั่วด้วยการเสริมพลังของเวทมนตร์ ทหารทุกนายแห่ง Fantasia ฮึกเหิมขึ้นทันที พวกเขาเร่งฝีเท้าเพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัว
และสงครามที่ก่อตัวมาเป็นเวลานาน ก็ได้เริ่มขึ้นแล้ว
………………………………………………………………….
“เด็กคนนั้นไปไหนแล้วนะ” สุริยะเอ่ยขึ้นอย่างลอยๆ หลังจากที่เขาหาตัวกวิ้นไม่เจอ สงครามกำลังจะเริ่มในไม่ช้า แต่ทหารนายสำคัญกลับหายไปในช่วงเวลานี้ซะได้ แม้เขาจะไม่ได้สนิทกับกวิ้นสักเท่าไหร่นัก แต่สำหรับเขากวิ้นเปรียบเสมือนเด็กคนหนึ่งเท่านั้น แม้เขาจะรู้ดีว่ากวิ้นก็เป็นหนึ่งในหน่วยเอลฟซีโร่อันเลื่องชื่อก็ตาม
ยานบินของ Metro นั้นใช้เทคโนโลยีการลอยตัวขึ้นจากผิวน้ำเล็กน้อยเพื่อการทรงตัวและการควบคุมที่ดีขึ้น แน่นอนว่าเรือลำนี้ไม่สามารถบินขึ้นสูงไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว เพราะจำเป็นต้องใช้แรงตึงผิวของน้ำช่วยในการพยุงยานบินทั้งลำเอาไว้ ยานบินลำที่สุริยะยืนอยู่ถือเป็นเรือธงของกองทัพเมโทรโปลิส ขนาดอันใหญ่โตของมัน มากพอจะสะกดทุกสายตาที่มองเห็นแม้ว่าจะอยู่จากระยะไกล เพราะเหตุนั้นยานบินลำนี้จึงเปรียบเสมือนเกาะเคลื่อนที่แห่งหนึ่งนั่นเอง การที่จะเดินหาคนที่หายตัวไปในยานลำนี้จึงเป็นไปไม่ได้เลย
สุริยะตัดสินใจเดินไปยังห้องควบคุม เพื่อดูภาพจากกล้องวงจรปิดแทน เมื่อถึงหน้าห้องควบคุมประตูก็เลื่อนออกให้อัตโนมัติหลังผ่านการสแกนชิพบนข้อมือซ้ายเรียบร้อย ภายในห้องประกอบไปด้วยนายทหารยศสูงมากมายกำลังทำงานกันอย่างขะมักเขม้น
อาแปะกำลังยืนสั่งการอยู่บนแท่นบัญชาการกลางห้อง เขามีชายผู้หนึ่งยืนอยู่ข้างกาย ยูนิฟอร์มทหารดูใหม่และเพิ่งได้รับการใช้งาน ดูเหมือนว่าจะเป็นนายทหารคนใหม่ แต่สุริยะไม่เข้าใจว่าเหตุใดทหารใหม่คนนั้นถึงได้มียศที่สูงถึงขนาดยืนสั่งการอยู่ข้างๆ อาแปะได้
ทหารใหม่มีผมสีทองและในตาสีฟ้าทะเล โครงหน้าได้รูป หากเขาไม่ขมวดคิ้วเอาไว้ตลอดเวลา เขาอาจจะดูดีกว่านี้ก็เป็นได้
“ฉันไม่คิดว่าเธอจะมาปรากฏตัวที่นี่” อาแปะพูดขึ้นกับชายหนุ่มด้านข้าง
“ผมก็ไม่คิดแบบนั้นเหมือนกัน”
“พ่อหนุ่มเธอเกลียดสงครามไม่ใช่รึ? แล้วเพชรล้ำค่าอย่างเธอจะมาลำบากในแนวหน้าของสงครามทำไมกัน ด้วยอำนาจของตระกูล…”
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตระกูลของผมครับคุณอาสเป” ชายหนุ่มตัดบททันควัน
อาแปะเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเหลือบไปเห็นสุริยะที่กำลังเดินขึ้นมาบนแท่นบัญชาการ
“ฉันว่ากำลังจะตามนายมาพอดี” อาแปะหันมาคุยกับสุริยะก่อนจะผายมือออกแนะนำชายหนุ่มด้านข้าง “นี่คือคริสเขาจะมาช่วยเราบัญชาการกองเรือในครั้งนี้ อย่างน้อยก็ช่วยเบาแรงนายได้อีกเยอะแหละนะ”
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมชื่อสุริยะ” สุรินะโค้งตัวคำนับเช่นเดิม คริสสะดุ้งตัวเล็กน้อย ก่อนจะคำนับกลับ นี่เป็นการทักทายที่เขาไม่คุ้นชินเท่าไหร่นัก
“ผมชื่อคริสครับ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับคุณสุริยะ” คริสกล่าวอย่างนอบน้อม กับคนที่แสดงต่อเขาด้วยความเคารพเขาก็ไม่จำเป็นต้องไปเป็นศัตรูด้วย คริสรู้สึกดีกับกองทัพของ Metropolis ขึ้นมาเล็กน้อย หลังจากที่ครั้งแรกเขาพบคนจากหน่วยพิเศษ
หน่วยเดียวกับคาร์เดีย…
สุริยะสังเกตุเห็นได้ถึงแววตาของคริสที่เปลี่ยนไป เขาจำแววตานั้นได้ดี เพราะมันเป็นแววตาเดียวกันกับเขาในตอนที่ตัดสินใจเข้าร่วมในสงครามครั้งนี้
ไม่จำเป็นต้องมีคำพูดเวิ่นเว้อ เขาเดินเข้าไปบีบไหล่คริสด้วยความเข้าใจ คริสเงยหน้าขึ้นมองสุริยะเล็กน้อย แม้ว่าเขาจะเจอกับชายตรงหน้าได้ไม่นาน แต่เหมือนเขามีพลังอะไรบางอย่างที่แผ่ออกมาให้เขารับรู้ว่านี่จะเป็นคนที่เขาพึ่งพาได้ในยามคับขัน
“ผมมาตามหากวิ้นน่ะครับ หลังจากทานอาหารเสร็จเขาก็หายตัวไป” สุริยะหันไปถามอาแปะข้างๆ ที่กำลังมองท่าทางของทั้งสองอย่างยิ้มๆ
“อ่อ เจ้ากวิ้นน่ะเหรอ ไม่ต้องเป็นห่วงไป เขาก็มีสิ่งที่เขาต้องรับผิดชอบเช่นเดียวกัน” อาแปะหันหน้ามองไปยังทิศทางที่เรือกำลังมุ่งตรงไป กระจกใสที่สร้างขึ้นด้วยวัสดุอย่างดีกำลังเผยให้เห็นภาพท้องฟ้าสีสดใส หลังจากที่ผ่านช่วงพายุมา เมื่อเพ่งสายตาดีๆ เขาเริ่มจะมองเห็นเงาสีดำเม็ดถั่วอยู่ไกลๆ แล้ว “พวกเจ้ามาเป็นกังวลกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเราจะดีกว่า”
อาแปะชี้นิ้วไปยังเงาเม็ดถั่วนั้น ก่อนภาพโฮโลแกรมจะขยายขึ้นมาให้เห็นถึงกองเรือขนาดใหญ่โตมโหฬารของฝ่าย Fantasia
“เอาล่ะทุกคน ฉันขอแนะนำให้รู้จักนายพลเมอร์ทัก ผู้ซึ่ง…..แหวกน้ำทะเลได้”
………………………………………………………………….
“ให้พลปืนใหญ่นำหน้า” เวอกัสเอ่ยเสียงเรียบ เบาพอจะเป็นเสียงกระซิบ
รองแม่ทัพทำสีหน้างุนงงทันที พลปืนใหญ่นั้นเคลื่อนที่ได้ค่อนข้างช้าแต่มีระยะยิงที่ไกลมากการเอาพลปืนใหญ่นำหน้าในสงครามก็เหมือนการฆ่าตัวตายดีๆ นี่เอง
“แต่..ท่าน”
“ให้หน่วยทหารราบทั้งหมดถอยร่นออกมา” เวอกัสออกคำสั่งต่อไปทันที ก่อนจะก้มตัวลงไอไม่หยุด เขาไอจนตัวงอก่อนจะยืดตัวขึ้นแล้วควานหาบุหรี่มวนต่อไปสูบขึ้น
ควันบุหรี่ทำให้จิตใจของเขาสงบลง
เขายื่นมือไปแตะบนบ่าของรองแม่ทัพพร้อมกับแสยะยิ้มเล็กน้อย
“กระจายคำสั่งเถอะ” เวอกัสมองเข้าไปในดวงตาของรองแม่ทัพ
แม้ว่าสภาพร่างกายภายนอกของเวอกัสจะเปลี่ยนไป แต่ภายในดวงตานั้นกลับวาวโรจน์อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทำให้รองแม่ทัพปราศจากข้อกังขาทันที เขาหันไปถ่ายทอดคำสั่งอย่างรวดเร็ว เขาไม่รู้ว่าทำไมเวอกัสถึงได้ออกคำสั่งไปเช่นนั้น แต่เขามั่นใจได้แล้วว่าคนที่อยู่ข้างๆ เขาจะไม่พาเขาไปสู่ความล่มสลาย
แต่สิ่งที่เขาขบคิดไม่เข้าใจ คือทำไมเวอกัสถึงได้เลือกที่จะมาที่นี่…
ศัตรูที่น่ากลัวที่สุดของ Metropolis คือเชสเซอร์แห่งสภาสูง ใครๆ ก็ต่างรู้ว่าคนที่พอจะรับมือกับเชสเซอร์ได้นั้นมีแต่เวอกัสเท่านั้น
แต่เขากลับเลือกที่จะมาประมือกับมัจจุราชแห่งความตาย
แดเนียล
“บุก” เวอกัสออกคำสั่งต่อไปทันทีโดยไม่ให้รองแม่ทัพตั้งตัว
แม้ว่าเสียงนั้นจะเบาราวเสียงกระซิบก็ตาม
………………………………………………………………….
เวอกัสไม่ได้อยู่ที่นี่…. เชสเซอร์รู้ได้ทันทีตั้งแต่เสียงกระสุนปืนนัดแรกดังขึ้น บาเรียเวทย์ทำหน้าที่ป้องกันแรงระเบิดได้เป็นอย่างดี ส่วนพวกกระสุนเวทย์นั้น โล่ธาตุที่แจกจ่ายให้ทหารทุกนายก็สามารถป้องกันมันเอาไว้ได้
แม้ว่าเสียงของสงครามจะดังกึกก้องถึงเพียงไหน แต่เชสเซอร์ก็มองเห็นถึงการป้องกันของฝ่าย Metropolis แน่นอนว่านี่เป็นรูปแบบการป้องกันที่รัดกุมที่สุดเท่าที่เชสเซอร์จะนึกได้
แต่ตรงนี้แหละที่ทำให้เขายิ่งมั่นใจว่าเวอกัสไม่ได้อยู่ที่นี่ เพราะหากว่าเวอกัสกำลังต่อกรกับเขาอยู่ การวางแนวป้องกันตรงหน้าจะต้องเป็นไปในรูปแบบที่เขาคาดไม่ถึงแน่นอน
ยังไม่ทันที่เขาจะได้คิดอะไรต่อ กองทัพสีดำทมิฬแนวหน้าของฝ่าย Metropolis ก็ปรากฏสู่สายตา
“โฮ่… หน่วยทะลวงฟันงั้นเหรอ” เชสเซอร์เอ่ยขึ้นเบาๆ หลังจากที่ได้เห็นหน่วยทะลวงฟันอันเลื่องชื่อของฝ่าย Metropolis มนุษย์เหล่านั้นเหมือนถูกสร้างมาเพื่อเบิกทางและทำลายเพียงเท่านั้น น้อยครั้งที่จะได้เอาออกมาใช้ เพราะทหารราบส่วนใหญ่ของ Metropolis มักจะมีอาวุธเป็นปืนเสียมากกว่า
หน่วยทะลวงฟันใช้ดาบพลาสม่าเข้าต่อสู้ในสนามรบ คนเหล่านี้ถูกฝึกมาอย่างเข้มงวดเพราะหากใช้ดาบผิดวิธีอาจจะเป็นการทำร้ายตัวองและฝ่ายเดียวกันได้
เชสเซอร์โบกมือส่งกองทัพนักรบมังกรให้ออกจู่โจมทันที นักรบที่อยู่บนหลังไวเวิร์นหลายพันตัวบินขึ้นสู่ท้องฟ้า เสียงกระพือปีกดังกระหึ่มไปทั่วอานาบริเวณ เมื่อกองทัพนักรบมังกรบินขึ้นสู่ท้องฟ้า ทางฝ่าย Metropolis ก็ปรากฏยานรบบินขึ้นมาเช่นเดียวกัน
ถือเป็นการตัดสินใจที่เร็วเกินคาด กองทัพของ Fantasia กำลังจะทำการเข้าประชิดกับหน่วยทหารราบแห่ง Metropolis แต่การเคลื่อนที่ของกองทัพนักรบมังกรไวกว่า เสียงกระพือดังกระหึ่มไม่ขาดสาย แน่นอนว่าจะเข้าถล่มแนวหน้าในไม่ช้า นายหทารยศ Harbringer ผู้นำทัพเหล่าไวเวิร์นบินนำหน้าเหล่าทหารในสังกัด สร้างความฮึกเหิมให้กับกองทัพอย่างยิ่ง
แต่ทันใดนั้นไวเวิร์นทั้งหลายต่างก็ตื่นตระหนก หลังจากที่มีสัตว์ประหลาดสีดำตัวหนึ่งพุ่งขึ้นมาโจมตีจากพื้นดิน การโจมตีที่รุนแรงและเด็ดขาดนั้นทำให้แม้กระทั่งผู้นำทัพไวเวิร์นที่อยู่บนหลังยังไม่ทันได้ตอบโต้
ครึ่งคนครึ่งอีกาตัวสำดำสนิทกระพือปีกข่มขวัญเหล่าไวเวิร์นทั้งหลายเอาไว้ กรงเล็บจิกเข้าไปที่หัวของไวเวิร์นตัวหนึ่งจนสิ้นลม แม้ว่ามันจะแบกรับน้ำหนักของไวเวิร์นตัวหนึ่งเอาไว้แต่ดูไม่มีทีท่าลำบากในการรักษาระดับการบินแต่อย่างใด
เสียงคำร้ามของอีกาแสบแก้วหูดังกึกก้อง กลบเสียงกลองและเสียงกระพือปีกไปสิ้น หรือแม้แต่เสียงของยานบินที่เคลื่อนที่มาถึงแล้ว…
การโจมตีที่ไม่คาดฝันทำให้ทัพนักรบมังกรชะงักไปชั่ววูบ การถ่วงเวลาแม้เพียงเล็กน้อยทำให้อำนาจการโจมตีของฝ่าย Fantasia ลดลงไปอย่างมาก กองยานบินของฝ่าย Metropolis เข้าสู่สมรภูมิเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยไม่ต้องรอคำสั่งใดๆ สงครามน่านฟ้าก็ได้เปิดฉากขึ้นทันที
โครวเหวี่ยงไวเวิร์นที่ตัวเองเพิ่งปลิดชีพไปโยนเข้าใส่ไวเวิร์นอีกตัวจนเสียหลัก ก่อนที่เขาจะร่อนลงมาสุ่พื้นดิน
เชสเซอร์รู้ได้ทันทีว่านั่นคือแม่ทัพคนใหม่แห่ง Metropolis
โครวเมื่อลงมาถึงพื้นก็กลับร่างเป็นคนธรรมดาอีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะมองตรงไปที่ซุ้มบัญชาการบนหลังของสัตว์อสูรยักษ์ที่อยู่ห่างไกลออกไป เขารู้ดีว่าเชสเซอร์กำลังจับจ้องเขาอยู่เช่นกัน
แม้ว่าระยะทางระหว่างทั้งสองจะห่างไกลกันพอสมควร แต่ดวงตาสีแดงสดของเชสเซอร์ก็สามารถมองเห็นได้ถึงแผนการอันน่ารังเกียจในหัวของโครว
เวอกัสรู้ดีว่าเชสเซอร์อยากฆ่าเขาด้วยมือของตัวเองจนตัวสั่น ซึ่งแน่นอนว่าเขาย่อมไม่รอรับความตายที่หลีกหนีไม่ได้อยู่แล้ว การปกป้องเตาปฏิกรณ์การวาร์ปสำคัญก็จริง หากไม่มีใครมาหยุดเชสเซอร์ไว้เทคโนโลยีการวาร์ปอาจจะใช้ไม่ได้อีกตลอดกาล และแม้เวอกัสจะขึ้นมาบัญชาการรบด้วยตนเอง ก็ไม่แน่เสมอไปว่าเชสเซอร์จะต้องพ่ายแพ้
แต่ถ้าหากจะล่อให้เชสเซอร์ออกไปไกลจากเตาปฏิกรณ์ล่ะก็เป็นเรื่องง่ายนิดเดียว
แดเนียลย่อมได้รับคำสั่งให้ฆ่าทุกคนที่ขวางหน้าอยู่แล้ว การที่เวอกัสอยู่ในสนามรบและกำลังเผชิญหน้ากับแดเนียลจึงเป็นเรื่องที่เชสเซอร์ไม่ต้องการให้เกิดขึ้นเป็นที่สุด เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นความต้องการในตัวของเชสเซอร์คงไม่มีวันถูกชดเชยอย่างแน่นอน
เชสเซอร์ต้องเลือกว่าจะทำเพื่อประเทศ Fantasia โดยการทำลายเตาปฏิกรณ์ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลเท่าไหร่นัก หรือเลือกที่จะเดินทางลงไปทางใต้เพื่อตอบสนองความต้องการของตนเอง
ภาพในหัวของโครวประดังเข้ามาอย่างไม่หยุดยั้ง… เชสเซอร์เห็นถึงแววตาของเวอกัส แววตาที่วาวโรจน์อยู่นั่นไม่ใช่สายตาของคนที่ไม่ยอมแพ้ แต่เป็นของคนที่พร้อมจะตายอยู่ทุกเมื่อต่างหาก! เขามั่นใจเกินร้อยว่าเวอกัสที่กำลังนำทัพอยู่จะต้องวางแผนการให้ตนเองเสียชีวิตอย่างสมเกียรติภายใต้เงื้อมมือของแดเนียลอย่างแน่นอน
ไม่ว่าเขาจะสั่งแดเนียลว่าอะไรก็ตาม หากเวอกัสต้องการจะตายด้วยน้ำมือของแดเนียล เขาย่อมมีข้อเสนอที่ปฏิเสธไม่ได้อย่างแน่นอน
“บัดซบ…” เชสเซอร์ปลดปล่อยความเกรี้ยวโกรธออกมาเป็นพลังกดดันเสียจนสัตว์อสูรรอบๆ แตกตื่น เชสเซอร์หายใจเข้าลึกๆ เพื่อสะกดอารมณ์ของตนไว้ก่อนจะออกคำสั่งให้รองแม่ทัพ
“เรียกตัวคาลกับซาฟาร์มาหน่อย”
………………………………………………………………….
โครวขยับท่าทางเพื่อให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายหลังจากบินขึ้นไปโจมตีไวเวิร์นบนท้องฟ้า เขาร่อนลงที่แนวหน้าของกองทัพ สงครามบนฟากฟ้าเปิดฉากก่อนเสมอขณะที่กองทัพทางฝ่าย Fantasia ด้านหน้ายังคงกำลังเร่งทัพเพื่อเข้ามาโจมตี
ขบวนทัพของฝ่าย Fantasia ดูค่อนข้างยุ่งเหยิง แต่แน่นอนว่าเขารู้ถึงความน่ากลัวของมันดี ความไม่มีแบบแผนเป็นจุดเด่นของ Fantasia และเขาจะไม่มีวันประมาทมันอย่างเด็ดขาด
โครวชื่นชอบการบัญชาการระหว่างสู้รบอย่างมาก เขาเชื่อว่าการเข้ามาบัญชาการทัพในแนวหน้าขณะต่อสู้ไปด้วย ทำให้เขาสามารถมองเห็นได้ถึงจุดอ่อนในสงครามและสามารถป้องกันมันได้อย่างทันท่วงที อีกทั้งยังคอยสั่งทัพสนับสนุนให้เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วทันใจทุกๆ ครั้งที่สถานการณ์เปลี่ยนแปลง
กองทัพฝ่ายแฟนตาเซียกำลังใกล้เข้ามา โครวเดินนำหน้าเหล่าหน่วยทะลวงฟัน ก่อนจะโบกมือเล็กน้อยเพื่อให้หน่วยยิงสนับสนุนเข้าประจำที่
ทันทีที่ถึงระยะยิงเสียงปืนนัดแรกก็ดังขึ้นทันทีโดยไม่ต้องรอให้โครวออกคำสั่ง พร้อมๆ กับแนวหน้าของฝ่าย Fantasia ที่ดูเหมือนจะใช้พลังเวทมนตร์อะไรบางอย่างเพิ่มความเร็วจนพุ่งเข้ามาในระยะประชิด
โครวล้วงอาวุธคู่ใจที่เป็นมีดสั้นขึ้นมาทันที เขาตัดสินใจเรียกปีกในร่างอีกาออกมใช้ แต่ยังคงความเป็นมนุษย์ในส่วนอื่นๆ เอาไว้ แนวหน้าของ Fantasia แม้จะรวดเร็วด้วยอำนาจเวทมนตร์ แต่การตอบสนองของพวกเขาเหล่านั้นยังสู้กับโครวไม่ได้ มีดสั้นปาดเข้าไปที่คอหอยของเหยื่อรายแรก โครวไม่รอช้าเขาพุ่งพร้อมกับพลิกตัวกลางอากาศก่อนจะสะบัดมีดออกไปด้านหน้า มีดปักเข้าที่หัวของศัตรูอีกคนก่อนที่เขาจะพุ่งทะยานไปกระชากมีดออกตามด้วยม้วนตัวกลางอากาศเพื่อฟันเข้าไปคอของทหารอีกนาย
ชั่วพริบตาเดียวโครวฆ่าทหารของ Fantasia ไปสามนายโดยที่พวกเขายังไม่ได้ทันตอบโต้ เรียกได้ว่าต่อให้มีพลังเวทมนตร์เปี่ยมล้นแค่ไหนแต่ก็ไม่มีโอกาสได้ใช้ โครวใช้ปีกพยุงเล็กน้อยเพื่อเปลี่ยนแปลงท่าทางของตนเองเมื่อต้องพุ่งตัวไปมาในอากาศ การโจมตีของเขายากจะคาดเดาได้ ขณะที่โครวโจมตี เขาก็ได้บัญชาการทัพไปด้วย
หน่วยปืนใหญ่ที่อยู่ด้านหลังเริ่มระดมยิงไม่ขาดสาย แนวหน้าของสงครามกลายเป็นสุสานของฝ่าย Fantasia ด้วยระยะหวังผลได้แบบนี้ บาเรียเวทมนตร์ไม่ได้ช่วยอะไรเท่าไหร่นัก
แต่ยังไม่ทันที่โครวจะได้ดีใจ แนวหน้าของฝ่าย Fantasia ก็เกิดการเปลี่ยนแปลง เหล่าทหารแหวกออกเปิดทางให้ทัพสัตว์อสูรเกราะหนาวิ่งฝ่าเข้ามา ด้านหน้านำโดยชายหนุ่มสองคนบนหลังม้าสีขาวดำคู่หนึ่ง
คาล และ ซาฟาร์
แฝดนรกปรากฏตัวแล้ว โครวได้ยินกิตติศัพท์ของสองพี่น้องคู่นี้มาบ้าง ว่ากันว่าถ้าพวกเขาร่วมมือกัน แม้แต่ฝีมือระดับปริภูมิก็ยังต้องหวั่นเกรง ดูท่าการปรากฏตัวของคาลและซาฟาร์จะเรียกขวัญกำลังใจของทหารฝ่านนั้นอย่างมาก เสียงตะโกนเรียกชื่อแฝดนรกดังไม่ขาดสาย และดูเหมือนพลังอำนาจการบุกทำลายที่ขาดหายไปเมื่อสักครู่จะกลับมาอีกครั้ง
เห็นทีว่าจะต้องฆ่าสองคนนี้ก่อน…
รวดเร็วเท่าความคิด โครวเปลี่ยนร่างเป็นอีกาขนาดยักษ์ทันที เมื่อเห็นดังนั้นคาลกับซาฟาร์ก็แสยะยิ้ม ทั้งคู่หันมามองหน้ากันเล็กน้อย
“วันนี้ฉันอยากกินนกย่าง” คาลพูดขึ้นระหว่างเร่งความเร็วของม้าสีดำทมิฬไปด้วย เขาหยิบกระบี่คู่ที่ถูกเก็บไว้ในกระเป๋ามิติออกมาอย่างรวดเร็ว
ดาบทั้งสองมีสีฟ้ากับสีแดง ถูกตีขึ้นมาจากแร่ธาตุธรรมชาติดูเหมือนว่าจะมีพลังแห่งธาตุครอบคลุมอยู่ตลอดเวลา ส่วนซาฟาร์ก็ไม่น้อยหน้า เขาหยิบง้าวที่ยาวกว่าตัวของเขาเกือบครึ่งเมตรออกมาจากกระเป๋ามิติเช่นเดียวกัน ง้าวสีเขียวมีลายสลักเป็นรูปเทพมังกรโบราณลักษณะคล้ายงูพันตามด้ามจับ มีพลังธาตุลมหมุนวนอยู่รอบๆ
“เนื้ออีกาไม่อร่อยหรอกน่า” ซาฟาร์ตอบกลับ เขาเร่งความเร็วตามคาลอย่างทันท่วงที ม้าของทั้งคู่แปลกประหลาดเหมือนคนทั้งสอง แม้ว่ามันจะเป็นสีขาวและดำแต่ม้าทั้งสองนี้เป็นแฝดกัน
โครวได้ยินเสียงบทสนทนาตั้งแต่ระยะไกลก็อดที่จะยิ้มขึ้นมาไม่ได้ เขาพุ่งตัวเข้าไปหาคาลกับซาฟาร์ด้วยความรวดเร็วเกินกว่าใครจะตามทัน ลมกรรโชกพัดเอาม้าทั้งสองตัวต้องยกขาคู่หน้าด้วยความตกใจ
แต่ร่างของแฝดนรกทั้งสองได้หายไปจากหลังม้าแล้ว
ซ้ายหนึ่ง ขวาหนึ่ง คาลกับซาฟาร์กระโดดขึ้นจากหลังมาพร้อมกับลอยตัวอยู่กลางอากาศ โครวแหงนหน้ามองตามพร้อมกับส่งเสียงร้องแหลมบาดหู สมรภูมิทางอากาศเป็นของเขาตลอดกาล
โครวไม่รอช้า พุ่งเข้าหาคาลก่อนทันที กรงเล็บที่แหลมคมล๊อคตรงเข้าสู่เป้าหมาย
แต่ก่อนจะถึงตัวคาลโครวก็ได้ยินเสียงหนึ่งเรียกความสนใจไปเสียก่อน
“โดน!!” ซาฟาร์ตะโกนเสียงดังกึกก้อง
ง้าวใหญ่ยักษ์ฟาดมาด้วยกำลังสูงสุด โครวแปลกใจที่ซาฟาร์เปลี่ยนทิศทางกลางอากาศได้เหมือนเขา แต่เมื่อเขาสังเกตุเห็นถึงพลังธาตุลมที่แฝงอยู่ในง้าวนั้นแล้วเขาก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่ การพลิกตัวหลบสำหรับโครวไม่ใช่เรื่องยากเย็นเลย อย่างที่บอกไปแล้วว่าสมรภูมิกลางอากาศเป็นของเขาอย่างแน่นอน
ฉึก..
ความเจ็บปวดแล่นขึ้นมาจากด้านข้าง ง้าวของซาฟาร์พลาดเป้าหมายเพราะง้าวที่ใหญ่ขนาดนั้นย่อมตามคามเร็วของเขาไม่ทัน แต่ไม่ใช่กระบี่คู่ของคาลที่เจ้าตัวเพิ่งรอดพ้นจากกรงเล็บของโครวไปหมาดๆ
“ก็บอกแล้วไงว่าโดน” คาลยิ้มย่อง ก่อนจะโดนโครวเอาปีกสะบัดตบคาลกระเด็นออกไป คาลไม่มีทางเลือกนอกจากถอนกระบี่คู่ที่ปักเข้าไปในกล้ามเนื้อของโครวออกมาป้องกันเอาไว้ เพราะเป็นการสะบัดอย่างกระทันหัน ทำให้พลังในการโจมตีมีไม่เยอะมากพอจะทำให้คาลบาดเจ็บ
ร่างของคาลถูกพัดออกไป แต่ใบหน้าของเขากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้มแสนเจ้าเล่ห์ คาลสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอดก่อนจะตะโกนเสียงดังกึกก้อง
“โดน!!!”
โครวหันหัวกลับไปหาซาฟาร์ที่อยู่อีกข้างทันที ด้วยความระแวงเขาเริ่มรู้แล้วว่าการตะโกนแบบนี้เป็นสัญญาณให้อีกฝ่ายโจมตีเขาจากด้านหลัง แต่ซาฟาร์ไม่ได้อยู่ตรงนั้นอีกต่อไปแล้ว หลังจากที่ซาฟาร์ฟันง้าวพลาดเป้าหมาย เขาก็ทิ้งร่างลงตามแรงโน้มถ่วงพร้อมกับควบคุมธาตุลมในอาวุธให้เคลื่อนตัวไปด้านหนัาเล็กน้อย
บัดนี้ซาฟาร์เคลื่อนที่มาอยู่ด้านหลังของคาลพอดิบพอดีเหมือนวางแผนกันเอาไว้แต่แรก คาลงอตัวก่อนจะถีบเข้าไปที่ง้าวของซาฟาร์เต็มแรง ธาตุลมหนุนส่งเสริมให้คาลพุ่งกลับไปหาโครวด้วยความเร็วยากจะหยั่งถึง
กระบี่สีแดงเฉือนเข้าที่ไหล่ของโครวไปเล็กน้อย แม้บาดแผลจะไม่ลึกมาก แต่โครวกลับรู้สึกแสบร้อนอย่างรุนแรง
“ฉันเป็นคนตะโกนบอกแท้ๆ นายหันไปมองทางไหนกัน หืม?” คาลพูดเยาะเย้ย
โครวสติขาดผึง เขาเร่งสัญชาติญาณดิบของสัตว์ออกมาจนสูงสุด ร่างกายของเขาพุ่งเป็นเงาสีดำตรงเข้าหาคาลทันที
“โดน!!” คาลตะโกนก้องอีกครั้ง แต่ครั้งนี้โครวไม่สนใจอะไรอีกต่อไปแล้ว หากเขาฆ่าคาลที่อยู่ตรงหน้าได้ก่อน อานุภาพของแฝดนรกก็จะไม่มีเหลืออีกต่อไป
แต่ทันใดนั้นเสืยงง้าวที่กรีดกับสายลมก็ดังขึ้นที่ด้านหลังของโครว หลังจากที่คาลดีดตัวกระโดดออกไป ซาฟาร์ก็เขวี้ยงง้าวตามออกมาในทันที แม้ว่าโครวจะรวดเร็วสักเพียงไหน แต่ง้าวที่ถูกเร่งด้วยธาตุลมย่อมพุ่งมาเร็วยิ่งกว่า โครวจำเป็นต้องโยกตัวหลับง้าวนั่นทันที ความเร็วของเขาตกลงไปบ้าง แต่นั่นไม่ได้ทำให้เขาตั้งใจเปลี่ยนเป้าหมาย โครวยังคงพุ่งตรงไปที่คาล
จนกระทั่งเขาสังเกตุเห็นว่า คาลไม่มีกระบี่อยู่ในมือแล้ว
คาลที่ปราศจากอาวุธ เอื้อมมือไปรับง้าวที่พุ่งตรงเข้ามาอย่างเหมาะเจาะ ก่อนจะหยิบขึ้นมาป้องกันกรงเล็บของโครวอย่างทันท่วงที นี่แสดงว่าซาฟาร์ตั้งใจโยนง้าวให้คาลตั้งแต่แรก ไม่ใช่เพื่อโจมตีเขา เพราะคาลรู้ดีว่าลำพังแค่กระบี่สองเล่มไม่สามารถต้านรับการโจมตีอันหนักหน่วงขนาดฆ่าไวเวิร์นในทีเดียวได้อย่างแน่นอน
แล้วกระบี่ของคาลหายไปไหน?
คำตอบนั้นตามมาด้วยเสียงกระบี่ที่แทงลึกเข้ามาที่แผ่นหลังของโครว
กระบี่อยู่ในมือของซาฟาร์ เขาพุ่งขึ้นมารับกระบี่ที่คาลทิ้งมาให้ในจังหวะที่เขาปาง้าวขึ้นไปพร้อมๆ กัน
“ก็บอกแล้วว่าโดน” ซาฟาร์แสยะยิ้ม ก่อนจะกดกระบี่ลึกเข้าไปอีก
โครวกรีดร้องลั่น เขาตัดสินใจบิดตัวอย่างรวดเร็วเพื่อดีดกระบี่ออก พร้อมกับออกแรงถีบคาลให้กระเด็นออกไป โครวร่อนลงไปที่พื้นก่อนจะพยายามใช้เทคโนโลยีรักษาบาลแผลอย่างรวดเร็ว กล้ามเนื้อของเขาเริ่มสมานตัว แต่อาการบาดเจ็บจากพลังธาตุนั้นไม่ได้ทุเลาลงเท่าไหร่เลย
โครวสังเกตไปที่สถานการณ์รอบตัว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่กินเวลาไม่ถึงห้านาที แต่โฉมหน้าของสงครามได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว พลปืนใหญ่ที่ระดมยิงเข้าใส่แนวหน้าของ Fantasia ยังไม่หยุดยิงก็จริง แต่เหล่าสัตว์อสูรเกราะเหล็กได้เข้ามาต้านรับเอาแรงระเบิดทั้งหมดเอาไว้ พวกมันวิ่งเข้ามาถึงทัพหน้าเป็นรูปขบวนหน้ากระดาน พร้อมกับมีโล่เหล็กขนาดยักษ์ติดมาด้วย บนโล่มีอักขระบางอย่างที่สมารถลดทอนแรงระเบิดจนไม่มีเหลือ
สิ่งที่โครวแปลกใจไม่ใช่เรื่องที่สัตว์อสูรเข้ามาสู่แนวหน้า แต่เขากำลังงุนงงว่าใครเป็นคนสั่งการแปรขบวนทัพให้สัตว์อสูรเหล่านี้ขณะที่เขากำลังสู้กับคาลและซาฟาร์อยู่
แต่ไม่นานเขาก็คิดได้คาลกับซาฟาร์ ถนัดเหมือนกันกับเขา นั่นคือการบัญชาการรบในแนวหน้าเช่นเดียวกัน กระแสจิตที่ถูกส่งต่อไปยังรองแม่ทัพและภาษามือที่ใช้สั่งการทหารราบ ยังคงเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่เริ่มสู้ ในขณะที่โครวไม่สามารถทำเช่นนั้นได้เพราะแค่รับมือกับแฝดนรกก็ตึงมือสุดๆ แล้ว
รวดเร็วเท่าความคิด คาลกับ ซาฟาร์ที่โดนสะบัดออก ก็ทิ้งตัวลงมาตามแรงโน้มถ่วงจากสองข้าง ซ้ายหนึ่ง ขวาหนึ่ง ทั้งคู่โยนอาวุธคืนให้กันกลางอากาศอีกครั้ง ก่อนจะตะโกนเสียงดังกึกก้องพร้อมๆ กัน
“โดน!!”
ตวัดซ้ายป่ายขวาอันยอดเยี่ยม…
แล้ววันนั้นโครวก็เข้าใจว่าทำไมพวกเขาถึงได้ฉายาว่าแฝดนรก
แต่อย่างน้อยโครวก็ยังพอมีโชคอยู่บ้าง เพราะเวอกัสคาดการณ์ไม่ผิด
เชสเซอร์ได้จากไปจากสนามรบนี้แล้ว…
………………………………………………………………….
ความคิดเห็น