คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #19 : [Side story Vol.3.2] Whisper of Death
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
[Side story Vol.3.2] Whisper of Death
หลังจากผ่านพ้นไปหนึ่งวัน สายฝนที่โปรยปรายลงมาก็ลดจำนวนลง ท้องฟ้าเปิดกว้างมากขึ้น ถึงกระนั้นสภาพอากาศก็ยังไม่เหมาะกับการทำสงครามอยู่ดี
โครวแม่ทัพคนใหม่แห่ง Metropolis เดินลงมาจากยานบินความเร็วสูง เขาหลีกเลี่ยงที่จะไม่ใช้เทคโลโนยีการวาร์ปเพราะเขาไม่ชอบมันเป็นการส่วนตัว หรืออันที่จริงจะบอกว่าเขาไม่ไว้ใจกับสิ่งของที่เวอกัสสร้างขึ้นหลังจากวันที่เขาได้เห็นสภาพของเวอกัสในห้องทำงาน
อ่าวสวิตช์ถูกเปลี่ยนโฉมครั้งยิ่งใหญ่อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเพื่อรองรับสงครามทางน่านน้ำ นี่เป็นแผนของเวอกัสที่ได้วางแผนปรับปรุงเอาไว้ตั้งแต่ก่อนประกาศสงครามแล้ว โครวมองแผนผังการปรับปรุงอย่างละเอียดก็พอเข้าใจได้ถึงภาพรวมต่างๆ ในแผนของเวอกัส
บางทีเขาอาจจะต้องยอมรับ ว่าเมื่อก่อนเวอกัสเคยเป็นชายที่น่ากลัวใช่ย่อย
สาเหตุที่โครวเกลียดเวอกัส เพราะเขารู้ดีว่าเวอกัสใช้เทสล่าเป็นเครื่องมือมาเป็นเวลานาน แม้ว่าจะไม่มีใครบอกเขา แต่เขาก็คาดเดาได้จากการที่เวอกัสไต่เต้าขึ้นมาเป็นผุ้บัญชาการณ์ได้ในระยะเวลาอันสั้น และเมื่อโครวได้เห็นเวอกัสตัวจริง ก็ยิ่งทำให้เขาเกลียดเวอกัสเข้าไปใหญ่ เขาค่อนข้างผิดหวังเพราะคนที่เทสล่าหนุนให้ขึ้นมาเป็นผู้บัญชาการสูงสุดดูเหมือนจะพังทลายง่ายเสียเหลือเกิน
โครวเดินตรวจตราการปรับสภาพอ่าวสวิตช์อย่างคร่าวๆ ทหารทุกคนดูเหมือนจะเสียขวัญที่ปริภูมิเสียชีวิตลงอย่างกระทันหัน และเวอกัสเอาแต่เก็บตัวไม่ออกมาบัญชาการเหมือนอย่างเคย แต่ก็ไม่มีใครละเลยหน้าที่ของตนเองทุกคนยังคงทำงานหนักในสภาวะที่จิตใจหนักอึ้ง
“ดูเหมือนจะเจอศึกหนักนะโครว” เสียงที่คุ้นหูดังขึ้นที่ด้านหลัง โครวไม่จำเป็นต้องหันกลับไปมองเขาก็เดาได้ว่าผู้พูดเป็นใคร
อาสเป ยีน คาฟก้า หรือที่ทุกคนรู้จักในชื่อของ อาแปะ นั่นเอง
ตั้งแต่ที่เวอกัสเอาแต่หมกตัวอยู่ในห้อง อาแปะก็ได้รับมอบหมายจากเทสล่าให้เข้ามาดูแลการก่อสร้างเพื่อเปลี่ยนแปลงโฉมของอ่าวสวิตช์ได้สักพักหนึ่งแล้ว การที่เทสล่าให้เขาเป็นผู้บัญชาการทำให้ไม่สามารถปกปิดฐานะที่แท้จริงได้อีกต่อไป แต่อย่างไรก็ตาม นายทหารทั่วไปยังคงคิดว่าเขาเป็นแค่คนขายกาแฟแก่ๆ คนนึงเท่านั้น เพราะคนที่รู้ว่าจริงๆ แล้วอาแปะอยู่ในฐานะอะไรก็มีแต่พวกตำแหน่งบัญชาการสูงๆ ขึ้นไป
“ก็เพราะไอ้เวรเวอกัสนั่นแหละ ถ้ามันไม่ทิ้งงานไปแบบนี้ผมก็คงไม่ต้องมาเหนื่อยมากนักหรอก” โครวพูดบางถ่มน้ำลายลงบนพื้น สายฝนที่ตกลงมาทำให้เสื้อผ้าของเขาเปียกชื้น เผยให้เห็นรูปร่างอันแข็งแกร่งที่ซ่อนอยู่ภายใน
“ได้ข่าวว่านายกังวลเรื่องการรบทางทะเล?” อาแปะเอ่ยถามขึ้น
ทั้งสองเดินคู่กันไปตามอ่าว สิ่งก่อสร้างขนาดมหึมากำลังเสร็จสิ้นลงตามกำหนดเวลา เพราะเวอกัสคำนวณไว้ก่อนหน้านี้ว่าฝ่ายเชสเซอร์คงต้องรีบเป็นฝ่ายเปิดสงครามก่อนในทันที จึงได้เร่งระยะเวลาการสร้างฐานทัพอย่างรวดเร็ว
“ดูเหมือนว่าจะเป็นแบบนั้นนั่นแหละครับ เพราะแผนของไอ้เวอกัสดันไม่ได้พูดถึงการรบทางทะเลสักเท่าไหร่ ทั้งๆ ที่เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญแท้ๆ” โครวบ่นอุบ แม้ร่างกายของเขาจะดูแข็งแรงมาก แต่ฝีเท้าของเขากลับเบาอย่างไม่น่าเชื่อ การก้าวเดินแต่ล่ะก้าวของเขาไม่ทำให้น้ำกระเซ็นขึ้นมาแม้แต่น้อย
“งั้นเหรอ” อาแปะพูดด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ “อย่างนี้นี่เองสินะ”
โครวขมวดคิ้ว ดูเหมือนว่าอาแปะจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“มีอะไรรึเปล่าครับ?”
อาแปะถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะเริ่มพุดขึ้น
“ก่อนหน้าที่จะประกาศสงคราม เวอกัสส่งคนมาหาฉัน บอกให้ส่งข้อมูลบางอย่างไปให้เทสล่า”
“ข้อมูล? ข้อมูลอะไรเหรอครับ” โครวถามกลับทันที
อาแปะเงยหน้าขึ้นมองโครวช้าๆ เขายิ้มอย่างเหนื่อยใจเล็กน้อยก่อนจะเริ่มพูดต่อ
“นายก็รู้นี่ว่าฉันแอบดูข้อมูลของเทสล่าไม่ได้ ทุกครั้งที่เทสล่าตัดสินใจอะไร ฉันเชื่อว่านั้นเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้วสำหรับพวกเรา“
โครวเงียบไม่ตอบคำ เขาเข้าใจถึงเหตุผลข้อนี้ดี เพราะถ้าเป็นเขาเขาก็คงแบบเดียวกับอาแปะเช่นเดียวกัน
“ดูเหมือนว่าในข้อมุลชิ้นนั้นจะมีแผนการเสริมกำลังรบทางทะเลอยู่นิดหน่อยล่ะนะ” อาแปะหยุดเดินอยู่ที่หน้าค่ายพักทหาร เต๊นท์สีน้ำเงินเข้มกางอยู่เต็มพื้นที่ ดูเหมือนว่านี่จะเป็นแคมป์ชั่วคราวเพราะหลังจากที่ฐานทัพสร้างเสร็จแล้ว กำลังพลเกือบทั้งหมดจะย้ายเข้าไปในอู่ต่อยาน
“เพราะหลังจากที่เทสล่าได้รับข้อมูลก็มีคำสั่งตรงมาที่ฉันทันที”
“เป็นหน่วยสนับสนุนเหรอครับ?” โครวคิดเล็กน้อยก่อนจะถามขึ้น อย่างน้อยเขาก็พอจะคาดเดาเรื่องราวได้อยู่บ้าง อาแปะนิ่งเงียบไม่ตอบคำ เขาเอียงหัวเล็กน้อยก่อนจะเริ่มตอบคำ
“เอ….จะว่าแบบนั้นก็ได้นา…. แต่ดูเหมือนเจ้าสองคนที่เทสล่าตามตัวมาดูจะสนับสนุนใครไม่ได้เท่าไหร่น่ะสิ”
เมื่ออาแปะพูดจบ ก็ปรากฏร่างของคนสองคนเดินออกมาจากค่ายทหารชั่วคราว คนแรกเป็นชายสูงใหญ่ ผมสีดำสนิท มีเคราซึ่งถุกตกแต่งอย่างเป็นระเบียบเรียงตัวอยู่บนใบหน้าอันคมคาย ลักษณะของเขาดูเป็นคนอ่อนโยน แต่ในตอนนี้สายตาสีน้ำตาลเข้มแฝงไปด้วยความไม่พอใจอยู่เล็กน้อย
อีกคนเป็นเด็กหนุ่มอายุไม่น่าเกิน 16 ปี ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มตลอดเวลา บนหัวของเขามีหูฟังที่เปิดเพลงดังมากจนคนรอบข้างได้ยิน นี่อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ชายข้างๆ ไม่พอใจก็ได้
“ไอ้กวิ้น!!” โครวร้องโพล่งขึ้นมาอย่างตกใจ
เด็กหนุ่มใบหน้ายิ้มแย้มถอดหูฟังออกก่อนจะแลบลิ้นใส่โครว เขาเป็นหนึ่งในหน่วยของเอลฟซีโร่เช่นเดียวกันกับแพะและโครว แต่ภารกิจส่วนใหญ่ของเขาอยู่ทางน่านน้ำ แน่นอนล่ะก็เขาเป็นเพนกวินนี่นา กวิ้นสามารถเปลี่ยนร่างเป็นเพนกวินได้ เขามักมีนิสัยน่ารักน่าชังร่าเริงอยู่เสมอ แต่นี่เป็นเพียงด้านนึงของเขาเท่านั้น
กวิ้นเป็นโรคไบโพลาร์แต่กำเนิด ทำให้เขาเป็นเด็กน้อยที่มีสองบุคคลิคอยู่ในคนๆ เดียว ซึ่งเมื่อเขาเปลี่ยนไปเป็นอีกคน ความโหดร้ายของเขาจะมากจนไม่สามารถจินตนาการได้ แต่ด้วยรุปลักษณ์ที่น่ารักน่าชังของเขาทำให้ศัตรูมักประมาทเขาอยู่เสมอ
“สวัสดีครับคุณอีกา” กวิ้นยิ้มแป้น
โครวรีบพุ่งเข้ามาขยี้หัวกวิ้นอย่างไม่เกรงใจด้วยความเร็วที่ไม่น่าเชื่อ แม้แต่อาแปะยังมองตามแทบไม่ทันด้วยซ้ำ
“บอกตั้งหลายครั้งแล้วว่าให้เรียกโครวไงล่ะฟระเจ้าบื้อเอ้ย!”
หลังจากทักทายกวิ้นเสร็จ โครวก็เหลือบไปมองชายหนุ่มอีคนที่ไม่คุ้นหน้านัก อาแปะเห็นดังนั้นจึงกระแอมเล็กน้อยก่อนจะเริ่มแนะนำทันที
“โครว นี่คือคนที่เทสล่าตามตัวให้มาช่วยพวกเราอีกแรง เขาคืออดีตนักลอบสังหารที่มีความรู้ความสามารถเกี่ยวกับน่านน้ำเป็นอย่างดี อีกทั้งยังเคยร่วมงานกับองกรณ์ T.E.E.M.O เราหลายต่อหลายครั้ง”
ชายหนุ่มคนนั้นพยักหน้ารับก่อนจะโค้งคำนับทั้งสามด้วยท่าทางที่โครวไม่เคยเห็นมาก่อน ถึงแม้ว่าชายตรงหน้าจะโค้งคำนับพวกเขาด้วยความนอบน้อม แต่โครวกลับสัมผัสได้ถึงพลังกดดันบางอย่างที่ทำให้เขาไม่สามารถละความสนใจไปจากชายตรงหน้าได้
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมชื่อ สุริยะ”
…………………………………………………………………
“ตอนนี้การเตรียมพร้อมของเราในสงครามค่อนข้างเป็นไปได้ด้วยดีครับ เพียงแต่ว่าอาจจะมีปัญหาต้องรบกวนพวกท่านอยู่บ้างเล็กน้อย” เชสเซอร์พูดขึ้นในซุ้มประชุมสภาสูงชั่วคราวที่ตั้งอยู่นอกเมือง roosendael เชสเซอร์คาดการณ์ว่าจุดยุทธศาสตร์สำคัญในครั้งนี้คือเตาปฏิกรณ์การวาร์ป ซึ่งต่อให้เวอกัสอยู่ในสภาพที่ไม่พร้อมรบมากแค่ไหน เขาย่อมต้องไม่ยอมปล่อยให้ใครมาดูแลเตาปฏิกรณ์นี้แทนเขาอย่างแน่นอน เชสเซอร์อดกลั้นความดีใจเอาไว้ไม่อยู่เมื่อนึกถึงภาพของเวอกัสที่ถูกฉีกกระชากเป็นชิ้นๆ ด้วยมือของเขาเอง
เหล่าสภาสูงงุนงงเล็กน้อยที่อยู่ๆ เชสเซอร์ก็เงียบไป
“เช่นนั้นเจ้าอยากให้พวกเราสนับสนุนเจ้าอย่างไร?” เหล่าสภาสูงเอ่ยถามขึ้นทันที เชสเซอร์สะดุ้งตัวเล็กน้อยก่อนจะตอบด้วยรอยยิ้มที่แสนเป็นมิตร เขาชี้ไปที่แผนที่เวทมนตร์ด้านบริเวณท่าเรือ
“ผมอยากให้พวกท่านเข้าไปสร้างเกราะคุ้มกันจากมหาธาตุขึ้นที่ท่าเรือน่ะครับ เนื่องจากผมคาดว่าอีกฝ่ายมีเครื่องมือบางอย่างที่ใช้สลายเกราะเวทมนตร์ได้”
เกิดเสียงฮือฮาขึ้นในที่ประชุมทันที่ ทุกคนต่างรู้ว่าเวทย์จากมหาธาตุนั้นใช้งานยากเย็นเพียงใด หากไม่รู้แจ้งในมหาเวทย์ทุกแขนงแล้วล่ะก็ การร่ายอาจจะใช้เวลามากกว่าหนึ่งเดือนเลยทีเดียว
“แต่เวทย์นั่นใช้เวลานานโขเลยนะ” สภาสูงผู้หนึ่งแย้งขึ้น
เชสเซอร์ยิ้มตอบ เขาพลิกมือเล็กน้อยเพื่อขยายแผนที่ก่อนจะเริ่มพูดต่อ
“แน่นอนครับ ผมจึงต้องรบกวนพวกท่านทั้งหมดไปเพื่อผสานพลังเวทย์กัน” เชสเซอร์ใช้เวทมนตร์แสดงจุดเชื่อมประสานวงแหวนเวทย์เอาไว้อย่างละเอียด ซึ่งจำนวนของจุดประสานมีสี่จุดเท่ากับจำนวนคนของสภาสูงที่เหลือ “ท่าเรือแห่งนี้เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญของการรบทางน่านน้ำของเราครับ แต่ทางด้านสงครามทางน่านน้ำเราไม่จำเป็นต้องกังวลมากไปนัก”
เหล่าสภาสูงได้ยินดังนั้นก็หันไปปรึกษากันและกันสักพักหนึ่งก่อนจะมีคนเอ่ยถามขึ้น
“เจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าสงครามทางน่านน้ำเราไม่จำเป็นต้องกังวล?”
“เพราะทางฝ่ายเรามีอาวุธลับอยู่น่ะสิครับ” เชสเซอร์ตอบทันที
“อาวุธลับ?”
“ใช่ครับ อาวุธลับที่ทำให้ถึงตายได้เลยทีเดียว”
เชสเซอร์แสยะยิ้มอย่างเคย เขาเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะก่อนจะฉายแววตาแดงก่ำที่กำลังส่องประกายความเจ้าเล่ห์อยู่เต็มเปี่ยม
…………………………………………………………………
“เอ้า! เร่งมือหน่อย!” นายพลเมอร์ทักห์ ดิลเลนตะโกนเสียงดังกึกก้อง
เขาเป็นผู้รักษาการณ์ที่อ่าวส้มนั่งยองเป็นระยะเวลานาน แต่คราครั้งนี้เขาต้องมาร่วมกับกองทัพเพื่อต่อสู้กับฝ่าย Metropolis เชสเวอร์ออกคำสั่งเคลื่อนย้ายกำลังพลมาตั้งแต่เมื่อวาน ทำให้เขาต้องรีบเร่งเดินทางแม้ในยามที่ฟ้าฝนยังไม่สงบดี
แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขา ท้องทะเลที่บ้าคลั่งกว่านี้เขาก็ยังเคยรับมือมาแล้ว เขาคิดพลางนึกถึงหญิงผู้หนึ่ง เธอนับเป็นบุคคลแปลกประหลาดที่สุดเท่าที่เขาเคยพบเจอในหลายๆ ความหมาย ทั้งนิสัย ความสามารถ หรือแม้กระทั่งผมสีแดงเลือดนั่น แต่จะอย่างไรก็ตาม เธอช่วยชีวิตชาวเมือง และรวมถึงตัวเขาเองเอาไว้ได้
เมอร์ทักห์เหลือบมองไปยังใต้ท้องเรือ เขาเกิดความรู้สึกแปลกประหลาดกับชายหนุ่มที่เชสเซอร์ส่งมาขึ้นเรือเมื่อวานนี้ แม้ความรู้สึกนั้นจะไม่ชัดเจนเท่าไหร่นัก แต่เขาก็แทบจะมั่นใจว่านั่นเป็นความรู้สึกแบบเดียวกันกับตอนที่เขาพบเจอหญิงสาวคนนั้น
“เขาเป็นอย่างไรบ้าง” เมอทักถามนายทหารคนข้างๆ ที่เพิ่งขึ้นมาจากใต้ท้องเรือ
นายทหารทำสีหน้าลำบากใจ เพราะในความเป็นจริงตั้งแต่เรือแล่นออกมาจากฝั่ง พวกเขาก็พยายามจะไม่เฉียดเข้าไปใกล้ห้องๆ นั้นอีกเลย มันเหมือนมีบรรยากาศบางอย่างที่ทำให้พวกเขากระอั่กกระอวนอย่างบอกไม่ถูก
“เราไม่ได้เข้าไปดูเขาเลยครับท่าน แต่ดูเหมือนว่าเขาจะอาเจียนมาได้สักพักแล้วล่ะครับ”
เมอร์ทักห์ถอนหายใจเล็กน้อยเมื่อได้รับคำตอบ แม้เขาจะไม่แน่ใจเท่าไหร่นักว่าทำไมเชสเซอร์ถึงได้ส่งคนเมาเรือขึ้นมาขณะที่ท้องทะเลกำลังบ้าคลั่ง แต่ไม่ว่าจะเด้วยเหตุผลใดก็ตาม เขาคร้านที่จะไปเดาใจสัตว์ประหลาดอย่างเชสเซอร์
และแน่นอนว่าเขาจะไม่ปล่อยให้ชายหนุ่มผู้นั้นตายอยู่ใต้ท้องเรือแน่นอน
“เอายาไปให้เขาสิ” เมอร์ทักห์สั่งนายทหารทันที นายทหารทำท่าเหมือนไม่เต็มใจเล็กน้อย ก่อนจะยอมลงไปใต้ท้องเรือแต่โดยดี
ภายในห้องใต้ท้องเรือ ชายหนุ่มนั่งหอบหายใจหลังจากที่เขาขย้อนของกินทั้งหมดออกมา เขารู้สึกเวียนหัวจนไม่อยากจะลุกไปไหน อย่าว่าแต่ลุกเลย แรงกระทั่งขยับมือยังไม่มีด้วยซ้ำ เขาเริ่มสงสัยว่าตอนนี้ด้านไหนเป็นท้องฟ้า หรือด้านไหนเป็นพื้นดิน ความมึนเมาระดับนี้ เขาแทบไม่ได้ลิ้มรสมันมานานแล้ว นับตั้งแต่คราวก่อนที่เขาเมาค้างเพราะฤทธิ์เหล้าเถื่อน
“เจ้าบ้านั่น...”เขาสบถออกมาอย่างช่วยไม่ได้ เขารู้ดีว่าเชสเซอร์ส่งเขามาด้วยความเร่งรีบเพื่อย้ำเตือนอะไรบางอย่างถึงของล้ำค่าที่อยู่ในมือของเชสเซอร์ จริงอยู่ที่สิ่งนั้นเป็นของล้ำค่าของเขา...แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะสามารถปกป้องรักษามันได้
เขาสะบัดหัวก่อนจะคืบคลานกลับเข้าไปหาฟูกที่อยู่ตรงมุมห้อง พร้อมกับหวังว่าพายุที่อยู่ด้านนอกจะเบาบางลงบ้าง แววตาสีเข้มสะท้อนแสงจากสายฟ้าที่ลอดผ่านช่องไม้เข้ามา ผมสีดำสนิทของเขายังคงเปล่งประกายแห่งความตายไม่หยุดยั้ง
เชสเซอร์ส่งเขามาทำเรื่องบางประการที่เขาปฏิเสธไม่ได้อีกเช่นเคย ที่เขายอมมาเพราะเขารู้สึกว่านี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายก็ได้ เขารุ้ดีว่าเชสเซอร์เบื่อของเล่นที่ชื่อว่าเวอกัสแล้ว โลกกำลังจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างที่เขาไม่เคยนึกถึงมาก่อน
เพลกยิ้มแล้ว อาจจะเป็นเพราะเขารู้ว่าอีกไม่นานเขาจะได้ปลดปล่อยอารมณ์ที่อดกลั้นเอาไว้ แม้สิ่งที่เขาเกลียดพอๆ กับตัวเองนั้นคือความตาย แต่เขากลับไม่ได้รังเกียจสงครามสักเท่าไหร่
ที่ผ่านมาเขาจำเป็นต้องสะกดตัวเองเอาไว้ แต่การเดินทางครั้งนี้จุดหมายที่อยู่อีกไม่ไกลอาจจะนำพาจิตวิญญาณของเขาลอยละล่องออกไปสู่ห้วงแห่งความบ้าคลั่งจนเขาไม่อาจจะควบคุมได้อีกต่อไป
… หรือบางที
เขาอาจจะไม่จำเป็นต้องควบคุมมันก็ได้
…………………………………………………………
“แต่สายข่าวของเราบอกว่าทางฝ่าย Metropolis ส่งแม่ทัพคนใหม่เข้ามาประจำการแล้วไม่ใช่หรือ?” สภาสูงผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเป็นกังวลหลังจากที่ได้รู้ว่า Metropolis แต่งตั้งแม่ทัพขึ้นมาใหม่ได้รวดเร็วเหลือเกิน
“ผมก็ได้ยินมาแบบนั้นเช่นกันครับ” เชสเซอร์เอ่ยขึ้น เขาทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้อย่างช้าๆ และเปี่ยมไปด้วยมารยาทที่สง่างาม “ซึ่งผมคาดว่าเขาจะควบคุมกองกำลังเอาไว้ที่เมือง Outpost ด้านล่างแน่นอน”
“แล้วทางเรา…”
“ผมได้บอกแก่แดเนียลไปแล้วครับ ว่าให้เข้าโจมตีทางด้านนั้น” เชสเซอร์กล่าวเสียงเรียบ
เมื่อได้ฟังคำกล่าวของเชสเซอร์ เหล่าสภาสูงก็เริ่มส่งเสียงพึมพำขึ้นอีกครั้ง เป็นเพราะช่วงนี้พวกเขาสังเกตุเห็นได้ว่าแดเนียลมีท่าทางที่เปลี่ยนไป ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่ต้องการเข้าร่วมสงครามเท่าไหร่นัก
อีกทั้งที่ผ่านมา ฝีมือของแดเนียลที่เก่งกาจไร้เทียมทานโดยส่วนมากก็เป็นเพราะเขาได้รับการบัญชาจากเชสเซอร์มาอีกที หากสงครามในครั้งนี้จะให้แดเนียลเป็นผู้ควบคุมกองกำลัง ดูเหมือนว่านี่อาจจะเป็นงานที่หนักไปสำหรับเขา
เชสเซอร์มองเห็นถึงความกังวลที่อยู่ในสีหน้าของเหล่าสภาสูงทุกคน เขานึกขำเล็กน้อย เหล่าสภาสูงเหล่านี้ต่างก็ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ทรงพลังที่สุดในเวทย์แต่ล่ะแขนงอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ส่วนใหญ่มักฝักใฝ่ในพลังธรรมชาติ และรักสงบจนบางครั้งตัวเชสเซอร์เองก็หมั่นไส้
ซึ่งแน่นอนว่าในสถานการณ์สงครามเช่นนี้ ไม่แปลกที่เชสเซอร์จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำอย่างไม่ต้องสงสัย
“ไม่ต้องกังวลไปหรอกครับ ผมได้เรียกกำลังสนับสนุนมาทางด้านนี้เอาไว้แล้ว เมื่อถึงเวลาตามที่ผมได้บอกเอาไว้ ผมจะเป็นคนเคลื่อนกองกำลังลงไปช่วยทางฝั่งแดเนียลด้วยตัวเอง ” เมื่อเชสเซอร์พูดจบ เสียงฮือฮาของเหล่าทหารนอกซุ้มประชุมก็ดังขึ้นเรื่อยขึ้นเรื่อยๆ พร้อมๆ กับเสียงเป่าปากโห่ร้องดีใจ จนเหล่าสภาสูงต้องหันหน้าออกไปมอง
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ?” สภาสูงผู้หนึ่งถามขึ้น
“พวกเขาคงจะมาถึงแล้วน่ะครับ” เชสเซอร์ยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะเดินไปออกไปยืนอยู่หน้าเหล่าทหารที่เริ่มจะแหวกออกเป็นทางให้กับผู้ที่เข้ามาใหม่
ชายหนุ่มสองคนเดินตรงเข้ามาช้าๆ ทั้งสองมีรูปร่างที่สูงไล่เลี่ยกันคนเตี้ยกว่ามีผมสั้นสีน้ำตาลแดงเข้ม หน้าตาคมคาย นัยตาสีเขียวน้ำทะเล อีกผู้หนึ่งมีผมสั้นประคอสีน้ำตาล แต่ตาสีฟ้า
แม้ว่าทั้งสองจะมีรูปลักษณ์ที่แตกต่างกันอยู่บ้าง แต่เมื่อทั้งสองเดินมาด้วยกันแล้ว คนทั่วต่างก็ยากที่จะแยกเยะความแตกต่างได้ เหมือนทั้งสองเป็นคนเดียวกันและไม่ใช่คนเดียวกัน
การก้าวเดินของทั้งสองเรียกความสนใจของผู้คนรอบข้างได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าใครก็ตามบนโลกใบนี้ หากเดินเคียงไปพร้อมๆ กันจังหวะการก้าวเดินจะต้องก้าวออกพร้อมกัน แต่ทั้งสองคนกลับก้าวเท้าในจังหวะที่แปลกประหลาด เหมือนก้าวไม่พร้อมกัน จังหวะแตกต่างกัน แต่ทั้งสองก็ยังคงเดินเคียงข้างกันโดยที่ไม่มีใครแซงหน้าใคร สังเกตุแค่จากฝีเท้าเหล่าสภาสูงก็พอจะเดาได้ว่า หากทั้งสองร่วมมือกันสู้ ดูท่าน้อยคนนักที่จะรับมือกับการสอดประสานของพวกเขาได้
เมื่อเหล่าสภาสูงเห็นหน้าของคนทั้งสอง พวกเขาต่างก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เพราะเหล่าสภาสูงรู้จักทั้งสองดี พวกเขามีชื่อเสียงในกองทัพพอสมควร อีกทั้งยังได้รับความไว้วางใจจากกองทัพแห่ง Fantasia เป็นระยะเวลานานตั้งแต่สมัยรุ่นพ่อของพวกเขา
คาล และ ซาฟาร์ แมคคาร์ธี่
แฝดนรกแห่ง Fantasia
………………………………………………………
แดเนียลนั่งพักอยู่ที่ริมโขดหินติดกับชายแดนทางตอนใต้ เขานำทัพเข้ามาถึงตั้งแต่เมื่อค่ำวาน หลังจากทีให้รองแม่ทัพสำรวจสถานที่ตั้งของกองทัพคร่าวๆ แล้วเขาตัดสินใจตั้งกองทัพอยู่บนที่ราบติดกับเนินเขาแห่งนี้
แดเนียลไม่เคยสนใจเรื่องการศึกมาก่อน แม้ว่าเขาจะได้รับการแต่งตั้งเป็นแม่ทัพแห่งแฟนตาเซียก็ตาม แต่นั่นไม่ใช่เพราะเขาเก่งด้านการศึกสงคราม แต่เพราะเขาเป็นมัจจุราชในสนามรบต่างหาก
แดเนียลเพียงคาดหวังว่าอย่างน้อยเขาจะได้เจอคู่มือที่เหมาะสมในวันพรุ่งนี้ ตรงส่วนนี้เขาอาจจะมีส่วนเหมือนกับเชสเซอร์อยู่บ้าง เมื่อปราศจากคู่มือที่เหมาะสม การต่อสู้ที่ไร้ความหมายก็เริ่มทำให้เขารู้สึกเบื่อหน่าย
ฝนหยุดตกลงแล้ว พระอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า แสงสีส้มตัดเข้ากับทองฟ้าจนเกิดเป็นภาพสวยงามตระการตา น่าเสียดายที่ท้องฟ้าในวันพรุ่งนี้คงถูกย้อมเป็นสีแดงสดจากเปลวเพลิงแห่งสงคราม
เชสเซฮร์เลือกที่จะเปิดสงครามสามจุดพร้อมกัน เรียกได้ว่าเป็นการบุกเต็มอัตราศึก ซึ่งแดเนียลไม่รู้ว่าทางฝ่าย Metropolis จะรับมือกับสงครามนี้อย่างไร
ที่เขามั่นใจมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้นคือพรุ่งนี้โลกจะเปลี่ยนไป
อย่างที่เขาไม่เคยนึกถึงมาก่อน
…………………………………………………………
ท่ามกลางบรรยากาศยามเย็นที่สาดส่องเข้ามาในศูนย์บัญชาการแห่ง Metropolis เวอกัสเดินออกมาจากห้องของเขาเป็นครั้งแรกในรอบหลายวัน
เขาเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ต้องก้มตัวลงก่อนจะไอออกมาอย่างรุนแรง เขาไอรุนแรงเสียจนตัวคดงอไม่เป็นรูป หลังจากที่เขาหยุดไอแล้ว เขาก็ยืดตัวตรงขึ้น ก่อนจะหยิบบุหรี่อีกมวนขึ้นมาจุดสูบ ควันที่แสบร้อนเข้าไปทำลายปอดของเขาเช่นเคย
เขามองลอดหน้าต่างออกไปเห็นถึงแสงสุดท้ายของวัน เขาล้วงเม็ดยาหลากหลายสีขึ้นมาก่อนจะกระดกมันทั้งหมดเข้าไปในปากอย่างไม่ไยดี ผมของเขาไม่ได้รับการจัดทรงมาเป็นเวลาหลายวัน มันยุ่งเหยิงอย่างมาก แต่เขาก็พอใจให้เป็นเช่นนั้น เพราะมันเป็นเครื่องมือปกปิดร่องรอยเข็มฉีดยาที่อยู่รอบคอของเขาได้เป็นอย่างดี
เวอกัสรู้ดีว่าสงครามมาเยือนแล้ว เชสเซอร์ไม่เคยทำให้เขาต้องรอมาก่อน ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน แม้ว่าเขาจะรู้ดีว่าสงครามในครั้งนี้ยากที่จะชนะได้ แต่ด้วยความรับผิดชอบต่อชีวิตผู้คนของ Metropolis ที่เขาต้องแบกรับเอาไว้ ทำให้เขายังยอมแพ้ไม่ได้
สิ่งที่เขาทำได้ มีเพียงเดินไปตามเส้นทางที่วางเอาไว้อย่างสุดกำลัง และภาวนาให้จุดสิ้นสุดเป็นวาระสุดท้ายของเขา
เขาหรี่ตามองท้องฟ้าที่กำลังมืดลงเรื่อยๆ ก่อนจะที่จะเริ่มเดินออกไปตามทางเดินที่แสนมืดมิด ที่ไร้ซึ่งเสียงใดๆ
มีเพียงแต่เสียงกระซิบแห่งความตายเท่านั้น
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ความคิดเห็น