คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #17 : [Side story Vol.3] WAR!!!
ข่าวฉบับที่ 3 วันที่ 20 / 5 / 57
ลิ้งค์รูป
http://db.thaianime.net/images/dojinsama/pumpkinznewsvol3_1.jpg
[Side story Vol.3] WAR!!!
“พ่อคะ แพะที่มันเคยอยู่แถวนี้เยอะๆ ไปไหนหมดแล้วอ่ะคะ” หญิงสาวรูปร่างหน้าตาน่ารักกล่าวขึ้นขณะช่วยพ่อเธอถือฟืนเข้าไปในบ้าน
“ไม่รู้สิลูกนี่อาจจะเป็นช่วงฤดูจำศีลของมันก็ได้นะลูก”
“แพะมีช่วงฤดูจำศีลด้วยเหรอคะ?” เด็กหญิงถามด้วยความสงสัย
“มีสิจ๊ะ ก็เหมือนตอนนี้ที่อากาศเริ่มหนาว มันก็คงต้องหาที่อุ่นๆ อยู่เหมือนกันแหละลูก” ชายวัยกลางคนตอบ เขาอมยิ้มเล็กน้อยให้กับความไร้เดียงสา
“อย่าไปหลอกลูกสิคะคุณ” ภรรยาของเขาที่อยู่ข้างในบ้านออกมาดูเพราะได้ยินเสียงคุยกันดังมาจากข้างนอก เธอรู้ดีว่าในสถานที่แบบนี้ ย่อมไม่มีผู้คนเดินผ่านไปผ่านมามากมายนัก “เข้าบ้านเร็วๆ สิจ๊ะ เดี๋ยวก็เป็นหวัดกันหมดหรอก”
หญิงสาวเห็นแม่ตนเองก็ยิ้มร่า เธอวิ่งแบกเชื้อเพลิงเข้าไปในบ้านอย่างเร่งรีบ ผู้เป็นพ่อเห็นแบบนั้นก็ไม่ได้ห้ามอะไร เขายิ้มอย่างมีความสุขก่อนจะเร่งฝีเท้าตามลูกสาวของเขาไป
ท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว หลังจากเหตุการณ์แสงสีม่วงส่องขึ้นฟ้าก็ไม่เกิดอะไรแปลกๆ เกิดขึ้นอีกเลยในแถบนี้ จะมีก็เพียงแต่สัตว์ป่ารอบๆ หมู่บ้านหายไปหมด กับพระอาทิตย์ที่เวลาตกดินจะตัดกับสีของทองฟ้าทอประกายออกมาเป็นสีม่วงก็เท่านั้น
หมู่บ้าน Ether Hills เป็นหมู่บ้านที่ยังคงสงบสุขที่สุดในเมือง Metropolis ด้วยสภาพแวดล้อมที่ทุรกันดานทำให้ทางการไม่สนใจที่นี่เท่าไหร่นัก ผู้คนที่อยู่บนนี้ต่างก็เป็นชาวบ้านธรรมดาที่ต้องการความสงบสุขและชีวิตในแบบที่เคลื่อนที่ไปช้าๆ แน่นอนว่าทางการไม่ได้ปล่อยปละละเลยชีวิตของหมู่บ้านนี้ ทางการเข้ามาสร้างระบบชลประทานและระบบขนส่งให้ อีกทั้งยังคอยดูแลเรื่องความหนาวเย็นเมื่อฤดูหนาวมาถึงอีกด้วย
คนในหมู่บ้านรู้ดีว่าสงครามกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว แต่พวกเขาไม่ได้หวั่นวิตกอะไรมากนัก เป็นเพราะที่ตั้งของหมู่บ้านยากจะเข้าถึง อีกทั้งยังไม่ใช่สมรภูมิรบ จริงๆ เสียด้วย ไม่มีเส้นทางไหนจาก Fantasia ที่จะขึ้นมายังหมู่บ้านได้โดยไม่ผ่านความยากลำบาก ต่อให้เชสเซอร์ใจกล้าบ้าบิ่นขนาดไหน เขาก็ไม่มีทางที่จะส่งกำลังทหารขึ้นมาทางนี้อย่างแน่นอน ด้วยเหตุนี้ทำให้หมู่บ้านที่อยู่ติดกับชายแดนมากที่สุด กลายเป็นหมู่บ้านที่ปลอดภัยที่สุดไปโดยปริยาย
“เอ๋ นั่นเสียงอะไรเหรอคะคุณ” ภรรยาสาวหันมามองหน้าชายวัยกลางคน
เขาไม่ได้ยินอะไร จึงทำหน้าสงสัยเล็กน้อย ก่อนที่เสียงนั้นจะค่อยๆ ดังขึ้นเรื่อยๆ ชายวัยกลางคนเริ่มมีสีหน้าที่เปลี่ยนไป สัญชาติญาณของผู้คนในหมู่บ้านนี้รุนแรงมาก ต้องบอกว่าเพราะสภาพอากาศและพื้นที่แถบนี้อยู่ในความเสี่ยงของภยธรรมชาติมาตลอดเวลา จึงไม่แปลกใจที่พวกเขาจะต้องตื่นตัวและระวังกับเสียงที่ไม่พึงประสงค์อยู่แล้ว
ภรรยาสาวเห็นสามีตนเองทำหน้าเครียด เธอก็ไม่รอช้ารีบวิ่งออกมาอุ้มลูกเข้าไปในบ้านทันที
เสียงที่ว่าดังขึ้นเรื่อยๆ เหมือนเสียงฝีเท้าของอะไรสักอย่าง… แต่แถบนี้ไม่น่ามีมอนสเตอร์นี่?
มอนสเตอร์ที่ทนกับความหนาวเย็นและสภาพอากาศอันโหดร้ายได้แทบไม่เหลืออยู่อีกต่อไปแล้ว ถึงมีเหลืออยู่ทางการก็ไม่น่าปล่อยปละละเลยกับมอนสเตอร์เหล่านี้ ชายวัยกลางคนเพ่งสายตามองไปยังต้นกำเนิดเสียง ขณะนี้บ้านหลังอื่นๆ เริ่มรู้สึกตัวพร้อมกับจุดคบเพลิงขึ้นส่องเพื่อต่อสู้กับความมืดที่กำลังย่างกรายเข้ามา
แสงสีม่วงตัดเข้ากับขอบฟ้า เปล่งประกายงดงามกว่าทุกวัน แต่ชายวัยกลางคนไม่มีเวลามาชื่นชมกับสิ่งสวยงามเหล่านี้ เขากังวลเสียงฝีเท้าเหล่านั้นต่างหาก
แต่ทันใดนั้นเองเขาก็เข้าใจ
แสงของท้องฟ้าวันนี้เป็นสีม่วงก็จริง แต่แสงที่เปล่งประกายสวยงามออกมานั้นไม่ใช่แสงจากท้องฟ้า
แต่เป็นเกล็ดสีม่วง….ของมอนสเตอร์นับพัน
มันมาจากไหน มาได้อย่างไร ไม่มีใครหาคำตอบได้
เขาก็หาไม่ได้เช่นเดียวกัน
เเสงจันทร์สาดส่องเหนือท้องฟ้า หมู่ดาวสาดแสงลงมายังหมู่บ้านให้ความงดงามจนยากจะลืมเลือน แต่ไม่มีใครจ้องมองมันอีกต่อไปแล้ว เพราะทั้งหมู่บ้านเหลือเพียงเลือดสีแดงสดเจิ่งนอง
……………………………………………………………………………………………
ก่อนหน้า The pumpkinz news ออกสองวัน
“หมู่บ้าน Ether Hills โดนโจมตี?” เวอกัสถามขึ้นอีกครั้ง
“ใช่…ไม่มีผุ้รอดชีวิต อันที่จริงไม่เหลือแม้แต่ศพด้วยซ้ำ….” ปริภูมิพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง มือของเขาบีบแน่นกว่าที่เคย นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นอีกต่อไปแล้ว ถ้าเขารู้ว่านี่เป็นฝีมือของใคร เขาคงไปถล่มมันให้ย่อยยับอย่างไร้ความปราณีเหมือนกัน
เวอกัสเพียงใช้สายตาเหลือบมองดูก็รู้ว่าเพื่อนของเขาโกรธมากแค่ไหน
“ศพก็หายไป?” เวอกัสถามขึ้น ปริภูมิพยักหน้าเป็นคำตอบ “พวกเขาอาจจะมีชีวิตอยู่ก็ได้นี่ อาจจะแค่โดนจับตัวไปรึเปล่า? ยังไง Fantasia ก็ไม่เคยฆ่าเชลยศึกอยู่แล้ว”
ปริภูมิส่ายหน้าอีกครั้ง เขาล้วงชิปขนาดเล็กออกมาวางบนโต๊ะของเวอกัส ชิปนั้นเริ่มทำงาน มันฉายภาพขึ้นมาเป็นโฮโลแกรมผ่านโต๊ะ เวอกัสกวาดสายตามองภาพทั้งหมดก็เข้าใจได้ทันที
นี่ไม่ใช่ฝีมือจากทางฝ่าย Fantasia แน่นอน พวกนั้นไม่เคยทำอะไรโหดร้ายขนาดนี้ สิ่งที่เขาเห็นตรงหน้าเรียกว่าโศกนาฏกรรมยังน้อยไปด้วยซ้ำ เขาไม่จำเป็นต้องเห็นถึงสภาพศพ ก็พอรู้ได้ว่าพวกเขาตายกันอย่างโหดร้ายเพียงไหน เพราะเลือดสีแดงสดกระจายเต็มอยู่ทุกที พวกเขาเหล่านั้นเหมือนโดนรีดเลือดออกมาสาดกระเซ็นไปทั่วหมู่บ้าน นี่ไม่ใช่การลงมือของมนุษย์แน่นอน เพราะเวอกัสรู้ได้ทันที่ว่าศพที่หายไปไม่ใช่เพราะโดนจับตัว
แต่พวกเขาถูกกินทั้งเป็นต่างหาก
เวอกัสหน้าเครียดลง แม้การสูญเสียหมู่บ้านเล็กๆ หมู่บ้านนึงจะเป็นสิ่งที่เขาเตรียมใจเอาไว้แล้วสำหรับสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม นี่มันโหดร้ายเกินไป
“ฉันเริ่มไม่แน่ใจแล้วสิ ว่านี่ฉันจะต้องรับมือกับตัวอะไรกันแน่” เวอกัสกล่าวขึ้นช้าๆ แต่สายตาไม่ได้ละออกจากภาพที่เห็นเลยแม้แต่น้อย เขาไม่ชอบเลือด หรือภาพบาดตาเพราะเขาจะจำภาพเหล่านั้นได้จนวันตาย แต่เขาจำเป็นต้องเพ่งสมาธิ เพราะอย่างน้อยเขาอาจจะเข้าใจได้ว่าเขากำลังจะพบกับตัวอะไร
“เป็นไปได้รึเปล่าว่านี่เป็นฝีมือของ Fantasia จริงๆ?” ปริภูมิเอ่ยขึ้น “แกก็รู้นี่ว่า Fantasia มีกองทัพสัตว์อสูร...ตัวพวกนั้นอาจจะ”
เวอกัสส่ายหัว
“เชสเซอร์ไม่มีทางปล่อยพวกนั้นให้ทำเรื่องแบบนี้ได้แน่ๆ..” เวอกัสพูดพร้อมกับหันมามองปริภูมิ “ที่นั่นหลงเหลือหลักฐานอะไรบ้างไหม?”
“ไม่...นอกจากบ้านแล้วก็ข้าวของที่กระจัดกระจายแล้วทุกอย่างโดน...กินหมด”
“อืม…มีใครรู้เรื่องนี้อีกบ้าง นอกจากนาย”
“ก็หน่วยที่ไปสำรวจกับฉันนั่นแหละ… ประมาณสองสามคนล่ะมั้ง” ปริภูมิพูดขึ้น เขาก้มหน้าลงพยายามเก็บกดอาการโกรธเอาไว้ “นายคิดว่าฝ่ายนั้นมีเอี่ยวด้วยรึเปล่า” ปริภูมิถามย้ำขึ้นอีกครั้ง เหมือนเขาไม่ได้ฟังคำตอบจากครั้งแรกเลยแม้แต่น้อย
เวอกัสชำเลืองมองปริภูมิ เขารู้แน่แก่ใจว่าเชสเซอร์ไม่มีส่วนเกี่ยวของกับเรื่องนี้แน่นอน แต่ถึงเขาจะพูดไปเท่าไหร่ก็คงไม่มีใครเชื่ออยู่ดี….
ถ้าอย่างนั้น…
ก็ไม่จำเป็นต้องพูดสินะ...
“เรียกหน่วยสำรวจเข้ามา ฉันมีเรื่องจะพูดคุยกับพวกเขาหน่อย” เวอกัสบอกกับปริภูมิ
ปริภูมิพยักหน้ารับช้าๆ ก่อนจะเดินออกจากห้องไป แน่นอนว่าความโกรธของเขามากพอๆ จะระเบิดเมืองของ Fantasia ให้เละเป็นจุล ทำให้ขณะที่เขากำลังเดินออกไปไม่ทันสังเกตุเห็นสีหน้าของเวอกัส
เวอกัสไม่ได้เศร้า ไม่ได้โกรธ
เขากำลังแสยะยิ้มอย่างน่ากลัวและโหดร้าย หัวใจของเขาดำมืดมานานพอที่จะใช้งานปีศาจที่อยู่ในตัวดุจดั่งฝ่ามือของเขาเอง ที่ผ่านมาเขาเลือกที่จะไม่เตะต้องมัน เพราะความเป็นมนุษย์ที่อยู่ในตัวของเขายังคอยห้ามเอาไว้
แต่บัดนี้ปีศาจในร่างกายของเขา ปีศาจที่เขาจำต้องกักเอาไว้อยู่ภายใน
กำลังจะตื่นขึ้นแล้ว
“สงครามสินะ...”
……………………………………………………………………………………………
“หลวงพ่อครับ! หลวงพ่อ! มีแขกมาหาครับ” จอนร้องเรียกสาธุคุณคลอเทียส ที่กำลังหลับอยู่ในห้อง มือของเขากอดขวดเหล้าเอาไว้แน่น แม้วันเวลาที่รีน่าออกไปปฏิบัติการในฐานะหน่วยพิเศษแห่งเมโทรโปลิส จะผ่านมาได้สักพักหนึ่งแล้ว แต่บาทหลวงคลอเทียสก็ไม่ได้มีอาการดีขึ้นแต่อย่างใด
คลอเทียสลืมตามองจอนที่ดูท่าทางรีบร้อน เหมือนวันนั้นที่เด็กหนุ่มผมสีขาวเข้ามาหาและพรากลูกแสนรักของเขาจากไป…
“ใครกันมาเวลาแบบนี้” คลอเทียสลุกขึ้นด้วยความงัวเงีย เขาพยายามปลุกตัวเองให้ตื่นเต็มที่ แต่ด้วยฤทธิ์เหล้าทำให้เขาไม่สามารถทำอย่างนั้นได้
จอนยิ้มแหยๆ ก่อนจะพูดขึ้น “ตอนนี้ก็บ่ายโมงแล้วนะครับท่าน”
คลอเทียสสะดุ้งตัวเล็กน้อย เขามองไปที่นาฬิกาไขลานแบบเก่าก่อนจะถอนหายใจออกมา อาจจะเป็นเพราะวันนี้ฟ้ามืดครึ้มผิดปรกติ เขาจึงคิดว่านี่ยังเป็นช่วงเช้าตรู่ เขาจัดแจงเสื้อผ้าที่ยับยู่ยี่ให้พอดูได้ก่อนจะเดินออกไปรับแขก
สถานที่นี้ไม่มีแขกมาหานานแล้ว ผู้คนต่างก็ไม่นับถือศาสนาใดๆ อีกต่อไป
ประตูโบสถ์เปิดออก ปรากฏร่างสูงโปร่งร่างหนึ่งรออยู่ด้านนอก ผมสีทองพลิ้วไหวตามสายลมที่โบกพัดนำพากลิ่นดินเข้ามาสู่ภายในโบสถ์ ความเย็นย่างกรายเข้ามาพอให้รู้สึกสบาย ฝนกำลังจะตก...แต่คลอเทียสไม่ได้สนใจเรื่องนั้นเลยแม้แต่น้อย
“สวัสดีพี่ชาย”
ดวงตาสีเขียวมรกตเศร้าสร้อยกว่าที่เคย ลมหนาวที่พัดพาอยู่ด้านหลังของเขาดูเหมือนจะพัดเขาให้ปลิวไปไกลได้ทุกเมื่อ ภาพดูแปลกตาเมื่อบุคคลตรงหน้าไม่มีผู้ใดรายล้อมอย่างที่เคย
นานแล้วที่คลอเทียสไม่ได้พบกับเขา นานพอที่จะทำให้คลอเทียสลืมเลือนไปว่าเมื่อก่อนเขาเคยเป็นใคร...
“สวัสดีเวอกัส….”
……………………………………………………………………………………………
“เอาล่ะเร่งมือหน่อยเว้ยยย!” ปริภูมิตะโกนขึ้นท่ามกลางสายลมที่พัดรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ พายุฝนกำลังจะเข้ามา อาจจะต้องใช้เวลาอีกหลายวันกว่ามันจะพัดผ่านพ้นไป
ตอนนี้ปริภูมิอยู่ที่สถานที่เกิดหตุ เขากำลังทำตามคำสั่งลับของเวอกัสอยู่
ยานบินสองลำร่อนลงช้าๆ ภายในบรรจุผู้คนเอาไว้ไม่มากนัก อย่างมากก็เพียงลำล่ะ 10 คน แต่พวกเขาเหล่านั้นต่างก็เป็นหัวกะทิสุดยอดของสุดยอดทหารในกองทัพ ที่พวกเขาเหล่านี้ได้มารวมตัวกันก็เพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้น ไม่ใช่จากมอนสเตอร์ที่พวกเขาไม่รู้จัก แต่จากนักเวทย์ที่ถูกมัดตรึงอยู่กับที่นั่งบนเก้าอี้เวลานี้
หน้ากากพ่นยากล่อมประสาทเอาไว้ตลอดเวลา แขนขาถูกมัดแน่นหนา พอที่จะทำให้นักเวทย์ขยับนิ้วไม่ได้ แน่นอนว่าฝ่ามือทั้งสองถูกมัดในสภาพที่หันเข้าหาตัวเอง ร่างกายโดยรอบถูกหุ้มด้วยฉนวนกันเวทมนตร์อีกต่อหนึ่ง ไม่ว่านักเวทย์ผู้นี้จะทรงพลังแค่ไหนก็ตาม การพันธนาการที่แน่นหนาขนาดนนี้ทำให้เขากลายเป็นเพียงก้อนเนื้อโง่ๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น
เมื่อประตูหลังของยานเปิดออก ที่นั่งก็เลื่อนออกมาพร้อมกับล้อบังคับ พวกเหล่าหทารต้องไม่เตะต้องตัวนักเวทย์เด็ดขาด นี่คือคำสั่ง ไม่ว่าใครก็ไม่อยากตายฟรีแน่นอนอยู่แล้วเพราะทุกคนต่างรู้ดีว่านักเวทย์ที่ถูกมัดอยู่เป็นใคร
อดีตสภาสูงแห่ง Fantasia
“พัสดุอันตรายวางอยู่ในตำแหน่งแล้วครับท่าน” ทหารผู้หนึ่งเดินออกมารายงานแก่ปริภูมิ เขามีหน้ากากกันก๊าซสวมอยู่จึงทำให้ปริภูมิได้ยินไม่ค่อยชัดเท่าไหร่นัก แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาอะไร
ปริภูมิส่งสัญญาณมือให้ทุกคนถอยไปด้านหลัง เขาขยับมือเล็กน้อยก่อนเครื่องสร้างบาเรียขนาดจิ๋วจะโผล่ออกมาจากมือของเขา เขานำไปตั้งอยู่ตรงกลางของยานทั้งสองก่อนจะเดินเข้ามาในรัศมีของบาเรีย
“ได้เวลาล่ะ ลงมือเลย” ปริภูมิพูดขึ้นพร้อมกับทหารผู้ถือรีโมตควบคุมกดไปที่ปุ่มสีแดง ก๊าซกล่อมประสาทที่ถุกฉีดอยู่เปลี่ยนกลายเป็นยาสีแดงสีแปลกประหลาดตา ส่วนผสมของยานี้ได้ข่าวว่าเวอกัสได้มาจากนักเล่นยาชื่อดังฉายาเรเว่น ยานี้ทำให้เกิดอาการบ้าคลั่งขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ และที่สำคัญมันทำให้เหล่านักเวทย์ที่ต้องการสมาธิในการควบคุมพลัง กลายเป็นสัตว์ร้ายที่ควบคุมไม่ได้
ดวงตาของนักเวทย์เบิกโพล่ง นัยตาของพวกเขาเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงเลือดอย่างรวดเร็ว กล้ามเนื้อในร่างกายสั่นกระตุกมากพอที่จะทำให้ปริภูมิที่สังเกตุการณ์จากระยะไกลมองเห็นได้
ปริภูมิสั่งให้ปิดการทำงานของฉนวนกันเวทย์ออก พริบตาเดียว สถานที่แห่งนี้ก็ถูกทำลายลงอีกครั้ง ด้วยฝีมือของนักเวทย์ผู้มีพลังมหาศาล แน่นอนว่าเขาไม่รู้ว่าตนเองทำอะไรอยู่ ลำแสงเวทย์มนตร์สาดกระจายไปทุกทิศทุกทางสร้างความเสียหายมากพอจะถล่มได้ทั้งภูเขา เครื่องมือเก็บเสียงที่ปริภูมิสร้าเอาไว้กันเสียงได้ไกลมากพอสมควร ทำให้หมู่บ้านที่อยู่ไกลออกไปจะไม่รู้เห็นกับเหตุการณ์ในครั้งนี้
ปริภูมิสร้างเครื่องเสริมพลังงานให้กับบาเรียอีกเล็กน้อย เขาจ้องมองเหตการณ์ที่อยู่ตรงหน้าอย่างเงียบงัน ยาสีแดงที่ทำให้บ้าคลั่งนั้นมีผลข้างเคียงมหาศาล ผู้ใช้จะต้องตายลงทันทีที่ยาหมดฤทธิ์ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เขากำลังจ้องมองอยุ่นี่คือวาระสุดท้ายของนักเวทย์อาวุโส
เวอกัสได้บอกกับเขาว่าเราไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะบอกว่านี่เป็นฝีมือของฝ่าย Fantasia เวอกัสไม่มีทางเลือกนอกจากจะต้องใช้นักเวทย์ที่จับตัวไว้เป็นเครื่องมือ อีกทั้งยังต้องเป็นนักเวทย์ที่มีพลังรุนแรงพอจะให้เครื่องเก็บข้อมูลบันทึกได้ถึงความเสียหายที่เกิดขึ้น
เวอกัสคาดการณ์ไม่ผิด เครื่องมือวัดค่าต่างๆ ที่อยู่ในมือของเหล่าทหารได้บันทึกค่าเอาไว้เรียบร้อย สิ่งที่ปริภูมิต้องรอเหลือเพียงให้ชีวิตอันแสนเศร้าของชายชราตรงหน้าหมดไป
บางครั้งเขาก็ไม่เข้าใจเวอกัสมากเท่าไหร่นัก ซึ่งอันที่จริงแล้วเขาไม่จำเป็นต้องเข้าใจมันก็ได้ เวอกัสย่อมมีความคิดในแนวทางของเขาเอง เวอกัสไม่เกลียดคำถาม แต่เบื่อที่จะตอบ เพราะฉะนั้นบางครั้งเขาจะปัดคำถามที่ไร้สาระหรือไม่จำเป็นไปง่ายๆ โดยไม่สนใจคู่สนทนาเลย
แผนการรับมือกับฝ่าย Fantasia ของเวอกัสเตรียมพร้อมเอาไว้แล้ว… ถ้าไม่เป็นเช่นนั้นเขาคงไม่ลงมือทำแบบนี้แน่นอน
แสงประกายจากเวทย์มนตร์ค่อยๆ ลดลง ร่างของชายชราสั่นกระตุกอย่างควบคุมไม่ได้ ก่อนล้มลงนิ่งสนิทอยู่ที่พื้น
ปริภูมิกดปิดบาเรียพร้อมกับสั่งให้ทหารเข้าไปจัดการกับหลักฐานที่เหลือ เม็ดฝนเริ่มโปรยปรายลงมา กลิ่นดินที่ลอยขึ้นมาผสมปนเปกับกลิ่นอายของเวทมนตร์ กลิ่นดูลึกลับแปลกประหลาด
ปริภูมิหลับตาลงเล็กน้อย ไว้อาลัยให้กับนักเวทย์ผู้เสียสละให้กับ Metropolis ที่จะใช้เป็นข้ออ้างสำคัญในการก่อสงครามอย่างชอบธรรม
ลาก่อน…
……………………………………………………………………………………………
หลังจากจบคำทักทายคลอเทียสก็ปล่อยหมัดฮุคเข้าใส่หน้าของเวอกัสอย่างจัง เวอกัสไม่ได้หลบเลี่ยง เขาถูกต่อยจนหน้าหันไปตามแรงหมัด เลือดค่อยๆ ไหลออกมาตามมุมปาก
จอนที่อยู่ด้านหลังตกใจสุดขีด เขาแน่ใจว่าผู้ที่ยืนอยู่ด้านหน้าสาธุคุณคลอเทียสคือเวอกัสจอมพลแห่ง Metropolis เขาไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองเป็นอย่างไร แต่การที่สาธุคุณคลอเทียสต่อยหน้าของเวอกัสแบบนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ เขาตัดสินใจวิ่งหนีออกไปทางด้านหลังอย่างรวดเร็ว
“นี่สำหรับรีน่า” คลอเทียสพูดขึ้น เขากำหมัดแน่นเตรียมจะต่อยเวอกัสอีกหมัด แน่นอนว่าเมื่อสักครู่เขาออมแรงไว้ ไม่อย่างนั้นเวอกัสได้กรามหลุดออกไปแล้ว
ที่เขาออมแรงไว้เพราะเวอกัสคือผู้ที่เปรียบเสมือนน้องชายแท้ๆ ของเขา
“ยังไม่หายโกรธอีกเหรอ?”
“ไม่หายเว้ย! แกเล่นเอาใครที่ไหนไม่รู้มารับตัวรีน่าไป แถมยังเอาเธอเข้าไปเกี่ยวข้องกับสงครามไร้สาระบ้าบอคอแตกของแกอีก!”
เวอกัสแสยะยิ้มเล็กน้อย
“ก็เพราะรู้ว่าพี่จะต้องเป็นแบบนี้ไงล่ะ...ผมถึงไม่ได้มาเอง” เวอกัสเดินเข้าไปในโบสถ์ทันที คลอเทียสเกาหัวเล็กน้อยก่อนจะเดินตามเข้าไป “ที่นี่ยังเหมือนเดิมเลยนะ”
“ก็ไม่ได้เปลี่ยนไปตั้งแต่รับนายเข้ามาอยู่ที่นี่ล่ะนะ” คลอเทียสเอ่ยขึ้นพร้อมกับนึกถึงอดีตที่ผ่านมา
เวอกัสเป็นเด็กกรำพร้าที่ถูกทารุณทางร่างกายอย่างแสนสาหัส สภาพสุดท้ายของเขาคือกลายเป็นเศษเนื้อที่ยังมีลมหายใจรวยรินอยู่ข้างทางที่เขตศูนย์ พ่อของคลอเทียสรับร่างกายอันแหลกเหลวของเวอกัสมารักษาและเลี้ยงดูราวกับเป็นลุกแท้ๆ ของตนเอง คลอเทียสรับเวอกัสเป็นน้องชายแท้ๆ เขาไม่แน่ใจว่าพ่อของเขามองเวอกัสเป็นคนในครอบครัวเดียวกันเพราะผมสีทองของเวอกัสรึเปล่า
แต่สุดท้ายแล้วทั้งสองก็รับเลี้ยงดูเวอกัสอย่างดี แต่ด้วยสภาวะขาดแคลนทางการเงินทำให้พ่อของเขาต้องทำงานอย่างหนักเพื่อเลี้ยงดูคนในครอบครัว โบสถ์ที่ดูเหมือนจะเคยรุ่งโรจน์ก็ซบเซาลง ผู้คนหันไปเป็นผู้ไม่นับถือศาสนากันมากขึ้น ในที่สุดพ่อของเขาก็ล้มป่วยลงและจากไปอย่างสงบ ตอนนั้นเวอกัสอายุเพียง 6 ปี เขาตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวและแน่วแน่ว่าจะต้องช่วยเหลือครอบครัวของคลอเทียสให้ได้
เขาเข้าไปสมัครเป็นทหารทันที ทางMetropolisได้มีนโยบายรับฝึกทหารตั้งแต่ยังเด็กอยู่แล้ว เขาจึงได้เข้าไปฝึกอย่างหนัก ในปีถัดมาคลอเทียสได้เจอกับรีน่าและรับเธอมาเป็นลูก บางครั้งเขายังคงนึกถึงเวอกัสบ้าง แต่เวอกัสก็ยังคงส่งจดหมายมาถามไถ่ถึงสุขภาพของเขาเสมอ
เงินที่ทางโบสถ์อาศัยอยู่รอดไปได้ล้วนมาจากเวอกัสทั้งสิ้น คลอเทียสได้ยินข่าวลือต่างๆ นาๆ ว่าเวอกัสใช้เส้นสายอำนาจบางอย่างในทางที่ชั่วร้ายทำให้คลอเทียสไม่กล้าที่จะใช้เงินที่เวอกัสให้มามากนัก เขานำมาใช้เพียงเพื่อบูรณะรักษาโบสถ์หลังนี้เอาไว้เท่านั้น ส่วนค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เขาพอจะหาเองได้ก็ไม่ได้พึ่งเวอกัสเลย
ถึงกระนั้นเวอกัสก็ยังส่งเงินมาให้เขาทุกเดือนโดยไม่ขาดเป็นระยะเวลา 16 ปี
“ช่วงนี้ไม่ได้ติดต่อมาเลยนี่...เกิดอะไรขึ้นรึเปล่า?” คลอเทียสเอ่ยถามขึ้น
“ไม่มีอะไรหรอก...ฉันแค่ไม่อยากถูกพี่บ่นเรื่องรีน่าน่ะ” เวอกัสเดินมานั่งลงตรงที่นั่งหน้ารูปปั้นเยซูคริสต์ เขาชำเมืองมองรปปั้นนั้นอย่างเหม่อลอย
คอลเทียสสังเกตุเห็นได้ถึงความผิดปรกติของน้องชายตัวเอง แม้ว่าเวอกัสจะเข้ามาอยู่กับเขาเป็นระยะเวลาสั้นๆ ประมานสองสามปี แต่คลอเทียสก็ยังคงจำเด็กน้อยผมทองที่มีนิสัยเย่อหยิ่งคนนั้นได้
เพียงแต่ในตอนนี้สายตาของชายหนุ่มมีแต่ความเศร้าสร้อย
"อยากจะสารภาพบาปรึไง?" คลอเทียสถามขึ้น
เวอกัสนิ่งเงียบไม่ตอบคำถาม เขาหลับตาลงพักหนึ่งก่อนจะหันไปมองคลอเทียส
"พี่ก็รู้นี่ว่าขนาดพระเจ้ายังไม่สามารถไถ่บาปของฉันได้เลย"เวอกัสแสยะยิ้ม "แถมยังมาสารภาพกับโลลิค่อนอย่างพี่ด้วยยิ่งแล้วใหญ่"
"ฉันไม่ได้โลิค่อนเว้ย!!! แกอย่ามากล่าวหาบุรุษผู้ใจดีอย่างฉันได้ไหมเนี่ย" คลอเทียสปฏิเสธพร้อมทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ เวอกัส "แล้วมาที่นี่ทำไมล่ะ?"
"แค่คิดถึงบ้านนิดหน่อย"
แล้วความเงียบก้เข้าปกคลุมทั้งคู่ เสียงฝนเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ จนทำลายความเงียบทิ้งไป แม้ว่าภายในตัวโบสถ์จะไม่มีความเงียบเหลืออยู่อีกต่อไปแล้วแต่บรรยากาศที่อึมครึมของเวอกัสก็ทำให้คลอเทียสไม่สบายใจเท่าไหร่นัก
“อันที่จริงฉันมีธุระแถวนี้น่ะ…”
“หืม? ใช่เรื่องที่หมู่บ้าน Ether hill รึเปล่า?”
เวอกัสหันไปมองคลอเทียสด้วยความรวดเร็ว เขาไม่คิดว่าเรื่องที่เขาวางแผนเอาไว้จะมีคนรู้เรื่องได้
“พี่รู้?”
“ถ้านายหมายถึงข่าวลือนั่นน่ะนะ…”
“ข่าวลือ?”
“ก็ดูเหมือนว่าทางบ้านของลุงแซมแกน่ะสิ ที่อยู่ใต้ตีนเขาน่ะ ได้ยินเสียงกรี๊ดร้องสับสนวุ้นวายกันดังสนั่น แต่เพราะแกกลัวก็เลยไม่ได้ขึ้นไปสำรวจอะไรเพิ่มเติม ได้แต่เอามาเล่าให้ชาวบ้านฟังเนี่ยแหละ แต่ก็เพราะวันนั้นไม่มีใครได้ยินเสียงอะไรเลย คนก็เลยว่าแกโม้น่ะ”
“ลุงแซม? ย้ายไปอยู่ตีนเขาตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“แกเปลี่ยนอาชีพน่ะ เหมือนจะไปหาแร่พิเศษอะไรสักอย่าง แกยังจำเขาได้ใช่ไหมล่ะ คนที่เคยให้แกกินขนมบ่อยๆ ไง” คลอเทียสย้ำเตือนความจำของเวอกัส
เวอกัสจำได้แน่นอนอยู่แล้ว เขามีความสามารถในการจดจำที่เหนือมนุษย์ เขาไม่มีทางลืมใบหน้าที่อ่อนโยนแสนใจดีของลุงแซมได้ ขนมปังและคุกกี้อบใหม่ๆ ร้อนกรุ่นออกมาจากเตาทุกเช้า เวอกัสจะไปวิ่งเล่นแถวบ้านเขาก่อนที่ลุงแซมจะเอาขนมออกมาเลี้ยงเด็กๆ ใบหน้าของลุงแซมมักประดับเอาไว้ด้วยรอยยิ้มเสมอ
เวอกัสกำหมัดแน่น… เขาหลับตาลงพยายามไม่ให้คลอเทียสเห็นถึงน้ำตาที่ไหลรินออกมา
“เป็นอะไรไปเวอกัส” คลอเทียสถามด้วยความป็นห่วง
เวอกัสส่ายหัว เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ อย่างมั่นคง… เขาไม่มีทางให้ถอยหลังอีกต่อไปแล้ว การตัดสินใจของเขาเปรียบเสมือนมีดที่วิ่งเข้ามากรีดเข้าสู่หัวใจของเขาทีล่ะน้อย
ปีศาจในร่างของเขาไม่รู้ว่าเขาจะควบคุมมันได้นานแค่ไหน
แสงไฟที่ข้อมือแสดงให้เห็นถึงสัญญาณเรียกจากปริภูมิ แสดงว่าทางปริภูมิทำภารกิจสำเร็จเรียบร้อยแล้ว เวอกัสเงยหน้าหลบเข้าไปในเงามืดก่อนจะลุกขึ้นยืน
“ผมต้องไปแล้ว” เวอกัสพยายามพูดให้เสียงสั่นน้อยที่สุด
คลอเทียสมองเห็นหยาดน้ำหยดลงมาเป็นประกายที่ใบหน้าของเวอกัสเล็กน้อย เขาไม่คิดจะถามอะไรต่อ เวอกัสเป็นผู้ที่ต่อสู้กับความยากลำบากและการตัดสินใจของตัวเองโดยลำพังมาตั้งแต่เกิด...และครั้งนี้ก็เช่นกัน
“รักษาตัวดีๆ ล่ะ ฝากดูแลหลานแกด้วย อย่าให้สนิมมาเกาะนะ!” คลอเทียสตะโกนไล่หลังเวอกัสที่เดินออกไปจากโบสถ์อย่างรวดเร็ว
เสียงยานบินดังขึ้นเรื่อยๆ จนกลบเสียงฝนไปจนหมด เวอกัสเดินขึ้นยานทันทีที่ยานมาถึง ปริภูมิรออยู่ด้านบน เขาเหลือบมองเวอกัสครู่เดียวก็รู้ได้ว่าเวอกัสผิดปรกติไปจากเดิม เขาตัดสินใจไม่พูดอะไรเพราะทหารคนอื่นนั่งอยู่เต็มยานบิน
“เฮ้ย...เอ็งร้องไห้เหรอวะ?” ปริภูมิพิมพ์ข้อความผ่านทางกำไลข้อมือ เวอกัสอ่านข้อความขณะที่กำลังดึงสายรัดตัวให้เข้าที่ เขาเงยหน้ามองปริภูมิก่อนจะส่ายหน้าเล็กน้อย
เขาไม่ได้ร้องไห้หรอก
ปีศาจไม่มีน้ำตา
“นักบิน เปลี่ยนเส้นทางไปยังพิกัด 203,-134 ก่อน” เวอกัสพูดด้วยเสียงปรกติ
ปริภูมิเลิกคิ้วขึ้นถามทันที เพราะพิกัดที่เวอกัสบอกออกมาเป็นภูเขาลูกเดียวกับที่พวกเขาเพิ่งไปปฏิบัติภารกิจมา
“ไหนว่าแกจะต้องไปแถลงการณ์เพื่อนัดประชุมห่าเหวอะไรนั่นไม่ใช่เรอะ ไหงเปลี่ยนเส้นทางวะ…”
“พวกเรามีเรื่องที่จะต้องไปทำก่อนน่ะ”
“เรื่องอะไรวะ?”
“เรื่อง...แถวๆ ตีนเขา”
ปริภูมิสังเกตุเห็นได้ถึงแววตาอันแสนเศร้าของเวอกัส แต่ก็เพียงแว่บเดียวเท่านั้น...เพียงแว่บเดียวจริงๆ…
เช้าวันต่อมามีคนพบศพลุงแซมอยู่ใต้ตีนเขา จากสภาพศพของเขานั้นระบุได้ว่าหัวใจวายตายเฉียบพลัน ร่างกายไม่มีบาดแผลอะไร และครอบครัวของลุงก็หายสาญสูญไปอย่างไร้ร่องรอย ในบ้านของลุงไม่มีอะไรที่บ่งบอกได้ว่านี่เป็นฝีมือของใคร
แต่มีอยู่สิ่งนึงที่ต่างออกไปจากปรกติ แต่แน่นอนว่าไม่มีใครรู้...
บนโต๊ะทำงานของเขามีดอกไม้ลิลลี่สีขาววางอยู่ช่อหนึ่ง
……………………………………………………………………………………………
“เชสเซอร์เจ้ามีความคิดเห็นอย่างไรบ้าง” เสียงทุ้มต่ำเสียงหนึ่งดังขึ้นในห้องประชุมสภากลางแห่ง Fantasia
เชสเซอร์นั่งอยู่หัวโต๊ะรายล้อมไปด้วยเหล่าผู้ทรงพลังเวทย์มากมาย เชสเซอร์กำลังจ้องมองภาพจากควันของเวทมนตร์ที่แสดงภาพเวอกัสออกมากล่าวโจมตีฝั่งแฟนตาเซียถึงเหตุการณ์ที่หมู่บ้าน Ether hill หลักฐานแต่ล่ะชิ้นที่เขาแสดงออกมานั้นบ่งบอกได้ว่านักเวทย์เป็นผู้เข้าไปทำลายหมู่บ้านจริงดังว่า
เวอกัสได้กล่าวประณามและเรียกร้องให้ทางฝ่าย Fantasia ออกมารับผิดชอบ โดยการมอบพื้นที่ส่วนหนึ่งให้อยู่ในการดูแลของฝ่าย Metropolis แน่นอนว่าสิ่งที่เวอกัสร้องขอเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว แต่เวอกัสก็ยังยืนกรานให้มีข้อตกลงนี้ขึ้น โดยการเจรจาหาข้อยุติในครั้งนี้ เวอกัสเสนอให้เชสเซอร์เป็นผู้เลือกสถานที่ได้เองตามสะดวกเพื่อแสดงถึงความบริสุทธิ์ใจ
เชสเซอร์ปั้นสีหน้าเคร่งเครียด แต่ในใจของเขากำลังลิงโลดยินดี ในที่ประชุมไม่มีใครจับอารมณ์ของเชสเซอร์ได้แม้แต่คนเดียว
ที่เชสเซอร์ยินดีเป็นเพราะเขารู้ดีว่าปีศาจร้ายที่สิงสู่เวอกัสได้ตื่นขึ้นเต็มตัวแล้ว การฆ่าคนเพื่อใช้เป็นเครื่องมือก่อสงครามโดยชอบธรรมเป็นแผนที่เรียบง่ายที่สุด แต่โหดเหี้ยมที่สุด นอกจากจะต้องปฏิบัติการณ์ด้วยความรอบคอบแล้ว ยังต้องเลือดเย็นหาที่เปรียบมิได้
เพียงเชสเซอร์นึกภาพที่ตัวเองกำลังบดขยี้เวอกัสในสภาพที่ปีศาจของมันตื่นเต็มที่เขาก็รู้สึกมีความสุขจนเกือบจะอดกลั้นเอาไว้ไม่อยู่
“ผมเห็นว่าเราควรจัดประชุมกันที่สภากลางของฝ่ายเราครับ โดยให้อีกฝ่ายนึงเตรียมบุคคลเพื่อมาเป็นสักขีพยานด้วย”
เหล่าสภาสูงเห็นว่าเชสเซอร์ไม่มีท่าทีคัดค้านกับการเจรจาที่ล่อแหลมครั้งนี้ก็อดลำบากใจเล็กน้อยไม่ได้ ทุกคนต่างรู้ดีว่าเชสเซอร์เป็นผู้วางรากฐานให้กับแฟนตาเซียมาตั้งแต่ห้าร้อยปีก่อน เขาปรากฏตัวขึ้นอย่างไรไม่มีใครเคยล่วงรู้ พลังอำนาจของเขามหาศาลมากพอจะถล่มโลกได้ทั้งใบ แน่นอนว่าการที่เชสเซอร์ตัดสินใจพำนักอยู่ในตำแหน่งสภาสูงแห่ง Fantasia ก็ถือว่าดีมากสำหรับพวกเขาแล้ว
พวกเขานึกภาพว่าเชสเซอร์เป็นศัตรูกับตนเองไม่ออกจริงๆ
“ไม่ต้องกังวลไปครับ ทางผมได้วางแผนรับมือกับสถานการณ์ที่น่าจะเกิดขึ้นเอาไว้หมดแล้ว” เชสเซอร์กล่าวย้ำอีกครั้งหลังจากจ้องมองเข้าไปในดวงตาของเหล่าสมาชิกสภาสูง
“แต่ถ้าหาก...มีสงคราม…” สมาชิกคนนึงเอ่ยขึ้นอย่างช้าๆ
“เรื่องนั้นถือเป็นเรื่องที่ทางเราได้เตรียมตัวรับมือเอาไว้เป็นอย่างดีที่สุดเลยล่ะครับ” เชสเซอร์พูดปลอบใจสมาชิกสภาสูงคนนั้น ก่อนจะพูดต่อ “พวกเราต่างก็รู้ดีแก่ใจว่าเหตุการณ์ที่ Ether hill ไม่ได้เกิดจากฝีมือของพวกเรา คำโกหกอันโสมมที่พวกมันเหล่านั้นปรุงแต่งขึ้นมาต่างก็ได้สร้างความไม่พอใจแก่ชาว Fantasia เป็นอย่างมาก ข้อเรียกร้องที่มากเกินไปสะท้อนให้เห็นถึงเจตนารมณ์ที่แท้จริงของพวกมัน”
“...หรือว่าพวกมันจะต้องการ..”
“ใช่ครับ…” เชสเซอร์ตอบคำทันที “พวกมันต้องการสงคราม”
เสียงฮือฮาดังขึ้นในที่ประชุม สมาชิกสภาสูงคุ้นเคยดีกับความสงบสุข นี่อาจจะเป็นพิษร้ายอย่างนึงในประเทศ Fantasia ทุกคนอยู่กับธรรมชาติมากเกินไป สงบสุขเกินไป แม้ว่าบางครั้งจะมีเหตุการณ์เลวร้ายบ้าง แต่เชสเซอร์กล้าพูดได้เต็มปากเลยว่าไม่ถึงครึ่งหนึ่งของประเทศ Metropolis ด้วยซ้ำ
สิ่งเหล่านี้ทำให้ประเทศ Fantasia ยากลำบากในการเตรียมตัวรับมือกับสงคราม
แต่ไม่ใช่สำหรับเชสเซอร์
“แล้วพวกเราควรจะทำอย่างไรดี…ข้าได้ข่าวว่าทางฝั่ง Metropolis สร้างขุมกำลังเพิ่มขึ้นทุกวัน เครื่องจักรไม่เคยหยุดทำงาน พวกมันหามรุ่งหามค่ำเพื่อผลิตสิ่งเลวร้ายที่ใช้คร่าชีวิต” สภาสูงผู้นึงกล่าวขึ้น
“สิ่งที่พวกท่านควรกังวลมากกว่าสงครามที่จะเกิดขึ้นคือสิ่งนี้มากกว่าครับ” เชสเซอร์พูดพลางล้วงหยิบเอาผลึกสีม่วงออกมาจากผ้าคุลม เขาวางมันกลางโต๊ะ แรงกดดันอันน่ากลัวแผ่ขยายออกมาจากผลึกนี้ไม่หยุดหย่อน สมาชิกสภาสูงบางท่านถึงกับนั่งไม่ติดที่
“นั่นมัน…”
“เป็นผลึกสีม่วงที่หน่วยพิเศษของเราเก็บได้เมื่อหลายวันก่อน ดูเหมือนว่าทางฝ่าย Metropolis จะต้องการที่จะได้มันไปเหมือนกันแต่ทางหน่วยพิเศษของเราได้ยับยั้งเอาไว้และนำกลับมาที่อาณาจักรของเราได้” เชสเซอร์กล่าวตอบทันที
ทั้งห้องประชุมจ้องมองผลึกสีม่วงตาไม่กระพริบ พวกเขาต่างรู้ดีว่าด้วยพลังของตนเองไม่สามารถใช้พลังของผลึกนี้ได้อย่างแน่นอน มันรุนแรงเกินไป หากใช้มันกายเนื้อของพวกเขาจะรับเอาไว้ไม่ไหว หรือบางที...อาจจะรวมถึงวิญญาณของพวกเขาด้วย
“สิ่งนี้ปรากฏตัวขึ้นอย่างปริศนาที่เทือกเขา Pumpkinz ผมแน่ใจว่านี่อาจจะเป็นลางบอกเหตุร้ายบางอย่างที่เราไม่ควรมองข้าม” เชสเซอร์หยุดพูดครู่นึงก่อนจะเอ่ยต่อ “แต่ถึงกระนั้น สงครามที่รออยู่ข้างหน้าเราทำให้เราไม่สามารถแบ่งกองกำลังออกไปเพื่อสำรวจหรือตรวจตราแถวบริเวณชายแดนได้”
“หรือเจ้ากำลังจะบอกว่า เพื่อเตรียมตัวรับมือกับที่มาของผลึกสีม่วงนี้ พวกเราจำเป็นต้องรีบยุติสงครามให้เร็วที่สุด?”
“ใช่แล้วครับ ณ ตอนนี้ Metropolis ต่างก็ยังไม่รู้สึกถึงอันตรายที่รออยู่หลังจากสงครามในครั้งนี้ ทางที่ดีเราควรรีบจบสงครามให้เร็วที่สุด เพื่อที่จะได้เข้าไปสำรวจหาสาเหตุที่แท้จริงของผลึกก้อนนี้” เชสเซอร์พูดด้วยความแน่วแน่
“แต่เรายังไม่รู้เลยว่าเราจะชนะแน่รึเปล่า…” สมาชิกสภาสูงท่านนึงกล่าวออกมากลางที่ประชุม
คำถามนี้สร้างความเงียบในใจของทุกคนอย่างยาวนาน
ถ้าให้พูดกันตามตรงด้านกองกำลังทหารนั้น Fantasia ค่อนข้างจะด้อยกว่าอยู่บ้าง ทั้งด้านความสามารถและยุทโธปกรณ์ แต่แน่นอนว่าสิ่งที่พวกเขาจะได้เปรียบในสงครามคือความสามารถเฉพาะตัว เหล่าลูกหลานแห่ง Fantasia ต่างกำเนิดมาด้วยพลังเวทมนตร์เสียส่วนใหญ่ การต่อสู้ในรูปแบบสงครามจึงเรียกได้ว่าไม่สามารถคาดเดาผลได้
ส่วนทางฝ่าย Metropolis เน้นไปที่ความพร้อมเพรียงและกำลังทหารที่มากกว่า เพราะหทารแต่ล่ะนายของฝ่ายนั้นไม่ได้มีความสามารถเฉพาะตัว พวกเขาถูกฝึกมาเหมือนกัน ทำอย่างเดียวกัน และเชื่อฟังคำสั่งด้วยความเคร่งครัดเหมือนกัน
หากเกิดการตะลุมบอนกันขึ้น แม้แต่เชสเซอร์ยังพูดได้ยากว่าใครจะเหนือกว่าใคร
แต่ไม่ใช่ในตอนนี้ แผนที่เขาวางเอาไว้เมื่อหลายวันก่อนกำลังจะประสบผลแล้ว และมันจะเปลี่ยนโฉมหน้าของสงครามไปง่ายๆ เหมือนพลิกฝ่ามือ
“ไม่ต้องกังวลไปครับ” เชสเซอร์กล่าวขึ้นในความเงียบ เขายื่นมือไปหยิบผลึกสีม่วงพร้อมกับนำเข้ามาเก็บไว้กับตัว “ทางเราจะต้องเป็นผู้ชนะอย่างแน่นอน”
เชสเซอร์ยิ้มแล้ว
ยิ้มด้วยความสำราญ
……………………………………………………………………………………………
ฟ้ามืดครึ้มบดบังแสงอาทิตย์ตั้งแต่เช้า จนล่วงไปยามบ่ายก็ไม่มีทีท่าว่าจะหลีกให้แสงส่องลงมา เหล่าสภาสูงและเชสเซอร์ได้นั่งรออยู่ในห้องประชุม เมื่อวานตอนช่วงหัวค่ำเชสเซอร์ได้ส่งสารไปเจรจากับเวอกัสเพื่อนัดสถานที่ประชุม โดยเชสเซอร์ได้มอบให้เวอกัสเป็นผู้บอกวันเวลาในการประชุมเองตามแต่สะดวก
ไม่ถึงสองนาทีสารตัวนั้นก็ส่งกลับมา วันเวลาบอกเอาไว้อย่างชัดเจนว่าเป็นบ่ายโมงตรงวันนี้
ดูท่าจะรีบร้อนเหลือเกินนะ…
เชสเซอร์คิดในใจเขากระตุกยิ้มที่มุมปากขึ้นก่อนจะเหลือบมองไปที่นาฬิกาเวทมนตร์ที่มุมห้อง เหลืออีก 1 นาทีก็จะบ่ายโมงตรงแล้ว เชสเซอร์แปลกใจเล็กน้อย...เวอกัสไม่เคยสายมาก่อน
“นี่ก็จะถึงเวลาแล้วนะ ทำไมเจ้านั่นยังไม่มาอีก” สมาชิกสภาสูงคนหนึ่งพูดขึ้น เขากำลังเงี่ยหูฟังเสียงยานบินที่ปรกติจะดังขึ้นทุกครั้งก่อนที่เวอกัสจะปรากฏตัว “มันหายไปไหนของ…”
“กล่าวถึงจอมปีศาจสิ แล้วเขาจะปรากฏกาย”
สิ้นเสียงคนทุกคนในห้องต่างก็ตื่นตกใจ ไม่รู้ว่าเวอกัสเข้ามาในห้องประชุมได้อย่างไร เชสเซอร์เป็นเพียงคนเดียวที่รู้ว่าเทคโนโลยีการวาร์ปของฝ่าย Metropolis นันสำเร็จแล้ว เพียงแต่คราวก่อนดูเหมือนว่าการใช้งานจะทำให้เกิดเสียงที่ดังมากกว่านี้
ดูท่าเทคโนโลยีการวาร์ปของฝ่าย Metropolis จะพัฒนาจนเสร็จสมบูรณ์แล้ว
“ยินดีต้อนรับจอมปีศาจ” เชสเซอร์กล่าวอย่างยิ้มแย้ม
เวอกัสปัดมือปฏิเสธก่อนจะพูดขึ้น
“ฉันไม่บังอาจหาญกล้าให้คนอย่างนายเรียกฉันว่าปีศาจหรอกนะ” เขาเดินลงนั่งเก้าอี้ตัวที่ว่างอยู่ทันที ปริภูมิเดินตามมายืนอยู่ที่ด้านหลังของเวอกัส เขาหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบโดยไม่สนใจสีหน้ารังเกียจของเหล่าสภาสูงเลยแม้แต่น้อย
เชสเซอร์ยิ้มให้กับปริภูมิอย่างเป็นมิตรพร้อมๆ กับที่ปริภูมิชูนิ้วกลางใส่เชสเซอร์ทันที
เมื่อปริภูมิเข้ามาในห้องเป็นที่เรียบร้อย แดเนียลก็ปลดปล่อยเรงกดดันอันมหาศาลออกมาจนน่าอึดอัด เชสเซอร์จำเป็นต้องสะกิดเตือนแดเนียลเอาไว้แล้วบอกให้เขาใจเย็นๆ ปริภูมิเป็นหมากตัวสำคัญตัวหนึ่งของเขา เขาย่อมต้องการให้หมากของเขาตายในเวลาที่เขาต้องการเท่านั้น
“เอาล่ะ...มาเริ่มกันเลยไหม?” เชสเซอร์เป็นคนพูดขึ้น
“ทางเราได้ยื่นข้อเสนอทั้งหมดออกไปแล้วตามที่เห็นได้ในข่าว ถ้าพวกคุณไม่สนใจทางเราก็ไม่มีอะไรจะพูด” เวอกัสพูดขึ้นทันทีที่เริ่มการประชุม
“ข้อเรียกร้องของทางฝ่ายคุณนั้นมากเกินไป” เชสเซอร์กล่าวสวนขึ้นทันที “ทางเราไม่สามารถปฏิบัติตามได้ แต่เราขอเสนอหนทางเลือกอื่นเผื่อทางฝ่ายของคุณจะสนใจ”
‘ปฏิเสธสิ...ปฏิเสธสิ...ปฏิเสธสิ...ปฏิเสธสิ..ปฏิเสธสิ..’ เชสเซอร์คิดในใจ
เขาพยายามจ้องเขม็งเข้าไปในดวงตาของเวอกัส แน่นอนว่าเวอกัสไม่ได้สบสายตาเขาแม้แต่น้อย เขารู้ดีว่าควรหลบตาจังหวะไหน กระพริบตาจังหวะไหน หลับตาจังหวะไหน เชสเซอร์ไม่สามารถอ่านความคิดที่อยู่ในหัวของเวอกัสได้เลย
“ทางฝ่ายเราขอปฏิเสธ” เวอกัสตอบเชสเซอร์ด้วยเสียงราบเรียบ “พวกเราไม่มีความจำเป็นจะต้องมาต่อรองกับพวกฆาตกรเลือดเย็น”
เชสเซอร์กระตุกยิ้มขึ้น
เวอกัสโยนแฟ้มที่มีรูปภาพและหลักฐานทางวิทยาศาสตร์และเวทมนตร์อย่างครบถ้วนลงบนโต๊ะ เหล่าสภาสูงต่างส่งเสียงร้องฮือฮาเมื่อเห็นภาพหลักฐานตรงหน้า
“เห็นได้ชัดเจนว่าเป็นฝีมือของพวกนักเวทย์ หรือพวกคุณมีอะไรจะแก้ตัว?” เวอกัสถามย้ำอีกครั้ง คราวนี้เขาจ้องล้วงเข้าไปในสายตาของเชสเซอร์เองด้วยความเต็มใจ
เชสเซอร์เห็นภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไหลย้อนเข้ามาในหัว
เขาอยากจะหัวเราะให้สุดเสียง แต่แน่นอนว่าทำไม่ได้ เขารู้ได้ในทันทีว่าเวอกัสทำอะไรลงไปบ้าง และเสียสละมากเพียงไหนเพื่อก่อสงครามที่เขาต้องการ
สมกับเป็นเจตจำนงแห่งความพินาศย่อยยับจริงๆ
“แล้วพวกคุณจะให้พวกเราทำอย่างไร?” เชสเซอร์กล่าวขึ้นอีกครั้ง เขาเริ่มที่จะหุบยิ้มไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว
“ถ้าพวกคุณไม่รับข้อเสนอของเรา สงครามเท่านั้นที่เป็นคำตอบ” เวอกัสเอ่ยขึ้น
เชสเซอร์ดีใจจนลิ้งโลด เขาหุบยิ้มเอาไว้ไม่ได้อีกต่อไป รอยยิ้มกว้างบนใบหน้าของเขาเพิ่มความลึกลับน่าเกรงขามให้กับเชสเซอร์ขึ้นอีกขั้น ดวงตาสีแดงที่บัดนี้เปล่งประกายสดใสราวกับได้เจอของเล่นถูกใจ
“พวกเราไม่ต้องการสงคราม”
‘อย่ามาตอแหลน่า!...แค่เห็นหน้าแกตอนนี้ใครๆ เขาก็รู้หมดล่ะว่าแกอยากจะขยี้ฉันมากขนาดไหน’ เวอกัสคิดในใจ แน่นอนว่าเชสเซอร์ย่อมรู้ว่าเวอกัสคิดอะไรอยู่
เชสเซอร์ขยับฮู้ดขึ้นเพื่อบดบังหน้าตาของเขาจากเหล่าสภาสูง เงาอันดำมืดนั้นส่งให้เห็นเพียงแต่ดวงตาสีแดงที่เปล่งประกายเท่านั้น
“สงครามไม่ใช่ทางออกของพวกเรา ความเสียหายที่จะเกิดขึ้นนั้นเราไม่สามารถคำนวณได้ อีกทั้งด้วยเกียรติแห่ง Fantasia เราย่อมไม่ทำอะไรที่รุนแรงแบบนั้นแน่” เชสเซอร์กล่าวขึ้น
เหล่าสภาสูงในที่ประชุมต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย เวอกัสยักคิ้วขึ้นเล็กน้อย เขาถอนหายใจก่อนจะจ้องเข้าไปที่ดวงตาของเชสเซอร์
‘พูดออกมาสิเวอกัส...พูดมันออกมา’
เวอกัสไม่ต้องอ่านใจเชสเซอร์ได้เขาก็รู้ดีว่าเชสเซอร์ต้องการอะไร การแสแสร้งหน้าตายแบบนี้เขาไม่ได้เพิ่งเห็นเป็นครั้งแรก
“พวกคุณอย่าทำเป็นพวกรักสันติไปหน่อยเลย เราชาวมนุษย์ต่างก็เป็นสัตว์สังคมที่ชอบความรุนแรง และมีความสะใจเล็กๆ เมื่อได้ทำลายฝ่ายตรงข้ามอยู่แล้ว” เวอกัสพูดขึ้น
‘เยี่ยมมาก’ เชสเซอร์ยิ้มกว้างด้วยความสำราญใจ
‘ด้วยความยินดี’ เวอกัสแสยะยิ้มตอบกลับไป
ไม่มีใครรู้ว่าทั้งสองคนนี้คิดอะไรอยู่ คำพูดที่ดูสวยหรูเป็นเพียงแค่เปลือกนอกของการประชุมครั้งนี้เท่านั้น
“งั้นทางเราคงไม่มีทางเลือก” เชสเซอร์ปลมผ้าคลุมลงอีกครั้ง เขากลับมาตีสีหน้าเคร่งเครียด สายตาของเขาเหลือบไปมองเหล่าสภาสูงที่อยู่รายล้อม เหล่าสภาสูงดุเหมือนจะทนรับคำถากถางของเวอกัสไม่ไหว
พวกเขาพยักหน้าเพื่อให้เชสเซอร์พูดคำประกาศออกไป เชสเซอร์ลุกขึ้นยืน เขาร่ายเวทย์ที่จะส่งต่อข้อความนี้ไปถึงหูของชาวแฟนตาเซียทุกคน
“พวกเราเหล่าผู้ศรัทธาในความงดงามของธรรมชาติจะไม่ยอมให้โลกที่เราสร้างขึ้นมาถูกย่ำยีด้วยฝีมือของพวกไร้ยางอาย ฝ่าย Metropolis จะต้องเป็นผู้ชดใช้ให้กับการกระทำในครั้งนี้!!” เชสเซอร์ประกาศออกไปพร้อมๆ กับที่ปริภูมิสร้างเครื่องส่งสัญญาณภาพไปสู่มหานคร Metropolis
“พวกเราก็จะไม่ยอมตกเป็นเบี้ยล่างของพวกคลั่งไสยศาสตร์อีกต่อไป! ฝ่าย Fantasia ต้องเป็นผู้รับผิดชอบกับความรุนแรงที่เกิดขึ้น!” เวอกัสลุกขึ้นมาตบโต๊ะบ้างเช่นเดียวกัน สีหน้าของเขาเคร่งเครียดผิดกับใบหน้าที่ประดับด้วยรอยยิ้มเมื่อครู่
“ทางเราฝ่าย Metropolis ขอประกาศอย่างเป็นทางการว่า!”
“ด้วยจิตวิญญาณของเทพเจ้าทั้งปวง ทางเราฝ่าย Fantasia ขอกล่าวว่า!”
“ตั้งแต่วันนี้ไป! / ตั้งแต่บัดนี้ไป!”
“ประเทศของเรา! / อาณาจักรของเรา!”
“จะเข้าสู่!! / จะก้าวสู่!!”
“สงคราม!!!”
ณ วันที่ 19 พฤษภาคม เวลาบ่ายสองโมงตรง สนธิสัญญาสงบศึกได้ถูกลงอย่างเป็นทางการ
ฝนโปรยปรายลงมาแล้ว เวอกัสหันหลังให้กับเชสเซอร์พร้อมกับเดินออกจากสภาสูงด้วยความรวดเร็ว เชสเซอร์เดินตามมาส่งถึงหน้าประตูตามธรรมเนียมปฏิบัติ
เชสเซอร์นึกย้อนถึงตอนที่เขาอ่านใจเวอกัสได้ เขารู้ดีว่าเวอกัสเสียสละอย่างมากมายเพื่อจะมายืนตรงจุดนี้ แผ่นหลังของเวอกัสกำลังเดินออกไปจากอาคารสภาสูงอย่างแน่วแน่และมั่นคง
เวอกัสต่างก็รู้อยู่ในใจดีว่าเขาไม่มีทางถอยอีกต่อไปแล้ว สิ่งที่เขาต้องทำมีเพียงชนะในสงครามเท่านั้น ฝนโปรยปรายลงมาชะล้างสิ่งที่อยู่ในใจของเวอกัสออกไป แม้ว่าการตัดสินใจของเขาบางครั้งแม้จะผิดพลาด แต่สิ่งเหล่านั้นย่อมมีทางออกเสมอหากเขาไม่ยอมแพ้
ปริภูมิเดินตามหลังเวอกัสมา เขาตบไหล่เวอกัสทีหนึ่งเบาๆ เวอกัสยิ้มเล็กน้อย อย่างน้อยเขาก็รู้ดีว่าจะมีคนที่ต่อสู้ไปด้วยกันกับเขา
เชสเซอร์ก็ยิ้มเช่นเดียวกัน
แต่เป็นรอยยิ้มที่ชั่วร้ายที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา…
‘นายยังเสียสละไม่พอหรอกเวอกัส…ยังไม่พอ’
เชสเซอร์ดีดนิ้ว
สิ้นเสียงที่เบาจนแทบจะเป็นเสียงกระซิบ ร่างกายของปริภูมิก็สั่นกระตุก เขาเลื่อนมือไปเชคสถานะของบาเรียกันเวทย์ที่มีอยู่ก่อนจะรับรู้ว่ามันกำลังทำงานเต็มประสิทธิภาพ… สิ่งที่เขากำลังเผชิญอยู่ไม่ใช่เวทมนตร์
แต่มันคืออะไรกัน?
น้ำหนักฝ่ามือที่เเตะไหล่ของเวอกัสหนักขึ้นเรื่อยๆ เวอกัสเหลือบสายตามองปริภูมิด้วยความสงสัยอย่างที่เขาเคยทำเป็นประจำ
แต่ภาพที่เขาเห็นทำให้หัวสมองของเวอกัสขาวโพลน
บุหรี่ยี่ห้อสายฝนค่อยๆ ตกลงบนพื้น มันไม่ได้หายไปในประตูมิติอย่างที่มันเคยเป็น ร่างกายของปริภูมิไร้ความรู้สึกเฉียบพลัน โลกทั้งโลกกลายเป็นสีเทา ก่อนสติของปริภูมิจะดับวูบลง เขาก็นึกถึงคำพูดของคนๆ หนึ่งขึ้นมาได้
“เพราะตอนที่เจอหน้าฉัน นายก็ตายไปแล้ว” ชายหนุ่มผมดำคนนั้นพูดขึ้น…
‘ไอ้เวรเอ้ย..’
แล้วสติของเขาก็ดับวูบลง
ชั่วพริบตาที่ร่างของปริภูมิล้มลง รอยยิ้มของเวอกัสก็สลายหายไป เขาเอื้อมมือไปรับร่างของปริภูมิเอาไว้ ก่อนที่จะภาวนาให้สิ่งที่เขาสัมผัสได้เป็นเพียงหุ่นยนต์ตายตัวแทนที่ปริภูมิชอบใช้ประจำ
แต่กายเนื้อที่เย็นเฉียบบ่งบอกกับเขาว่านี่คือความจริง ไม่มีลมหายใจที่เหลืออยู่แม้แต่น้อย เวอกัสไม่เชื่อสายตาตนเอง เขาหันไปมองเชสเซอร์ที่กำลังแสยะยิ้มก่อนจะระลึกขึ้นมาได้ว่าเหตุใดเชสเซอร์ถึงได้เล่นตามเกมส์ของเขามาตลอด
แดเนียลกำลังเบิกตาโพล่งด้วยความตกใจ แต่สิ่งที่เขาจ้องไม่ใช่ร่างของปริภูมิ แต่เป็นจุดที่ปริภูมิเคยยืนมาก่อน เวอกัสรู้ดีว่าแดเนียลเห็นอะไร
ยมทูตย่อมเห็นวิญญาณของคนตายเสมอ
แม้ในใจของเขาจะไม่อยากเชื่อเพียงไหน แต่สายฝนที่โปรยลงมาสาดให้เวอกัสยังคงมีสติรับรู้อยู่เต็มเปี่ยม
ว่าเพื่อนของเขา...
ได้จากไปแล้ว....
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ความคิดเห็น