คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #16 : [Side story Vol.2] Checkmate
ข่าวฉบับที่ 2 วันที่ 5 / 5 / 57
ลิ้งค์รูป
http://db.thaianime.net/images/dojinsama/pumpkinznewsvol2.jpg
.....................................................................................................
[Side story Vol.2] Checkmate
กึก..
เสียงวางหมากอยากแผ่วเบาดังขึ้นในห้องทรงกลมขนาดใหญ่ ผนังถูกปูด้วยวัสดุสีขาวไข่มุก พื้นทำจากหินอ่อนแบบพิเศษดูหรูหราตระการตา
เวอกัสกำลังนั่งเล่นหมากรุกอยู่เพียงคนเดียวภายในห้อง แน่นอนว่าเขาชื่นชอบหมากล้อมมากกว่า แต่สิ่งนั้นใช้เวลามากเกินไป พลิกแพลงได้มากเกินไป จนบางครั้งเขาอาจจะต้องสละเวลาเกือบทั้งวัน หรือแม้กระทั้งเป็นอาทิตย์ เพื่อเล่นให้จบหนึ่งกระดาน
และในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกระหว่างสองประเทศเช่นนี้ คงไม่ใช่การดีนักหากเขาหันไปนั่งเล่นเกมส์กระดานที่กินเวลาขนาดนั้น หมากรุกจึงเป็นตัวเลือกที่ลงตัวที่สุด การถล่มกันอย่างดุดัน ชัยชนะมีเพียงหนึ่งคือการเข่นฆ่า ทำให้เกมส์ของหมากรุกรวดเร็วพอที่เขาจะสนุกกับมันได้
เหตุผลที่เขามานั่งเล่นคนเดียว เพราะไม่มีใครในเมโทรโปลิสนั่งเล่นหมากรุกอีกแล้ว ถ้าจะมีนั่นก็คงเป็นคู่ต่อสู้ที่อ่อนแอเกินไปสำหรับเขา ศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดที่เขาเคยเจอมาในการเล่นหมากกระดานทุกชนิดก็คือ...ตัวเขาเอง
นั่นทำให้เขาใช้เวลาในการเดินแต่ล่ะครั้งมากกว่าครึ่งชั่วโมง
จะขยับควีนเลยดีไหมน้อ….
เสียงประตูเลื่อนเปิดดังขึ้นขัดจังหวะความคิดของเวอกัส เขาไม่สนใจกับผู้ที่เข้ามาในห้องมากนัก เพราะเสียงผีเท้าที่หนักหน่วงและมารยาทในการไม่ขออนุญาตก่อนจะเข้าห้องคงเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก
“เฮ้ แกเห็นข่าวรึยังฟระ” ปริภูมิพูดพร้อมกับนั่งลงที่เบาะตรงข้ามเวอกัสทันที
เวอกัสเหลือบสายตาขึ้นมามองเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหน้าช้าๆ สมาธิของเขายังอยู่ที่ควีนตัวนั้น…
“ทำไมยังไม่อ่านฟระ!!” ปริภูมิไม่พูดเปล่า เขาปาดมืออย่างรวดเร็วไปที่โต๊ะก่อนจะป้อนคำสั่งให้แสดงข่าวล่าสุดของ The pumkinz news ขึ้นมาบดบังหมากบนกระดาษไปจนหมด “เอ้า อ่านซะ!”
เวอกัสถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย เขากวาดมองข่าวผ่านๆ ก่อนจะพูดขึ้น
“ก็ไม่เห็นมีอะไรนี่”
“จะไม่มีอะไรได้ไงล่ะโว้ย!!” ปริภูมิดิ้นพล่านไปมา เขาจิ้มนิ้วไปที่พากหัวข่าวใหญ่ที่สุด “เห็นไหมว่าไอ้ขี้เก๊กตาเดียวนั่นมันเลียนแบบความคิดของเราชัดๆ!!”
เวอกัสแสยะยิ้มออกเล็กน้อยก่อนจะปาดมือเบาๆ บนโต๊ะเพื่อให้หน้าหนังสือพิมพ์หายไป
“ฉันไม่คิดว่าแบบนั้นหรอกนะ แต่ก็ช่างเหอะข่าวที่นายควรจะระวังเอาไว้มันคือข่าวด้านขวาสุดต่างหาก”
“หืม? มอนสเตอร์ในตำนานพวกนี้อ่ะนะ?” ปริภูมิเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย
ถ้าจะให้พูดกันตรงๆ มอนสเตอร์ในตำนานแทบจะไม่ปรากฏตัวให้เห็นอีกแล้ว จากความจริงกลายเป็นเรื่องเล่า จากเรื่องเล่ากลายเป็นตำนาน จากตำนานกลายเป็นเพียงนิทานก่อนนอน ไม่มีใครสนว่าสัตว์วิเศษเหล่านั้นจะอยู่อย่างไร ขอแค่ไม่มายุ่งกับชีวิตของพวกเขาก็พอ
ซึ่งความจริงสัตว์ในตำนานเหล่านั้นก็ค่อนข้างรักสงบ และไม่ก่อให้เกิดผลร้ายอะไรกับประชาชน ปริภูมิจึงไม่เห็นว่าสิ่งที่อยู่ในข่าวจะเป็นที่น่าวิตกกังวลตรงไหน
“ไม่เห็นจะน่าวิตกตรงไหนเลยนี่หว่า สัตว์ประหลาดพวกนียังไงมันก็ไม่ย่งกับพวกเราอยู่แล้วไม่ใช่เรอะ?”
“ถ้าเป็นเมื่อก่อนล่ะก็นะ….” เวอกัสพูดพร้อมกับก้มลงมาจดจ่อที่กระดานหมากรุกต่อ
“เมื่อก่อน?”
“ก็ข่าวฉบับที่แล้วพูดถึงมอนสเตอร์เกิดอาการบ้าคลั่งอย่างไร้สาเหตุใช่ไหมล่ะ ถ้าฉันเดาไม่ผิด การที่มอนสเตอร์ระดับนี้ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งอาจจะเกี่ยวข้องกันก็ได้”
“งั้นเหรอ…”
ปริภูมิค่อยๆ เรียบเรียงความคิดในหัว แน่นอนว่าเขาไม่ใช่คนโง่ พอเวอกัสทักถึงความผิดปรกติตรงส่วนนี้ขึ้นเขาก็พอจะคิดเองได้
“ว่าแต่เรื่องหน่วยพิเศษเป็นยังไงบ้าง” เวอกัสถามขึ้นโดยไม่ละสายตาออกจากกระดาน
“ก็อย่างที่นายเห็นนั่นแหละ….”
เวอกัสยิ้มให้กับน้ำเสียงของปริภูมิเล็กน้อย เขาเข้าใจดีว่าปริภูมิรู้สึกยังไง การที่หน่วยพิเศษนี้ถูกตั้งขึ้นมาใหม่โดยไม่ผ่านการฝึกฝนมาก่อน ทำให้ยากที่จะเกิดความเป็นหนึ่งเดียวกัน พูดง่ายๆ ก็คือแต่ล่ะคนล้วนอันตรายพอๆ กับหายนะขนาดย่อม ถ้าพวกเขาเหล่านั้นตบตีกันเองนั่นคงหมายถึงเมโทรโปลิสอาจจะต้องยอมเสียเขตสักเขตเพื่อสังเวยการต่อสู้ของพวกเขา
“วางใจเถอะ T.E.E.M.O คงไม่ยอมให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นแน่ๆ” เวอกัสพูดเหมือนอ่านใจปริภูมิได้
ปริภูมิแค่ยักไหล่ตอบกลับไป
“แกคิดว่าหน้าตาหน่วยพิเศษของฝ่าย fantasia จะออกมาเป็นยังไงวะ?” ปริภูมิถามเวอกัส
ไร้ซึ่งคำตอบ เวอกัสใช้สมาธิทั้งหมดจดจ่ออยู่ที่หมากบนกระดานเสียแล้ว
อืม…..จะขยับ…
……………………………………………………………………………………
กึก
เสียงวางหมากควีนลงบนกระดานดังขึ้นในห้องสีเหลี่ยมแห่งนึงในอาณาจักร fantasia เชสเซอร์กำลังนั่งเล่นหมากรุกอยู่คนเดียวในห้องเช่นเดียวกัน
ข้างๆ กระดานหมากรุกมีหนังสือพิมพ์ The pumpkinz times วางอยู่ เขาอ่านมันจบหมดแล้ว ถ้าพูดตามตรงเขาค่อนข้างประหลาดใจกับความสามารถของเวอกัสอยู่บ้าง ดูจากระยะเวลาในการเริ่มก่อตั้งหน่วยพิเศษแล้วน่าจะพอๆ กับของตัวเขาเอง
นั่นหมายความว่าเวอกัสก็มองเกมส์ๆ นี้ในมุมเดียวกับที่เขามอง…
ปวดหัวจริงๆ…
“เป็นอะไรไปเหรอเชส” แดเนียลที่นั่งกินขนมปังรสเมล่อนอยู่พูดขึ้นมาลอยๆ เขานั่งอยุ่ในห้องตลอดเวลา แต่เขารู้ดีว่าเชสไม่ชอบให้มีคนกวนสมาธิเวลาเล่นหมากรุก จึงไม่ส่งเสียงอะไรออกมา
“แค่….ปวดหัวนิดหน่อย”
“ทำไมล่ะ? ไม่สบายเหรอ?”
“เปล่า...ก็แค่รู้สึกเหมือน...กำลังสู้กับตัวเองอยู่น่ะ” เชสเซอร์พูดพลางกับกุมขมับเล็กน้อย
แดเนียลแสดงสีหน้าไม่เข้าใจ พร้อมกับถามขึ้นมา
“นายก็กำลังเล่นหมากรุกคนเดียวอยู่ไม่ใช่เหรอไง?”
เชสเซอร์หัวเราะให้กับคำตอบของแดเนียล เขารู้สึกอิจฉากับการวางตัวของแดเนียลอยู่ลึกๆ แดเนียลไม่สนใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนโลกเท่าไหร่นัก สิ่งที่เขาทุ่มเทให้กับมันมีเพียงการอัดปริภูมิด้วยพลังทั้งหมดที่มีเท่านั้นเอง เพราะแดเนีลเป็นยมทูตผู้มีพลังเกินขีดจำกัด และเขาไม่ใช่คนในภพไหนทั้งสิ้น
แต่ก็นะ….ใช่ว่าตัวเราเองจะเป็นคนของภพนี้ซะทีเดียวนี่…
เชสเซอร์เหลือบสายตาไปมองหัวข้อในข่าว สิ่งที่เขากังวลเป็นเช่นเดียวกับเวอกัส มอนสเตอร์ในตำนานไม่ใช่สิ่งที่จะไปล้อเล่นด้วยได้ แต่ลางสังหรณ์ของเขาบอกว่าข่าวย่อยเล็กๆ ที่อยู่ตรงกลางหนังสือพิมพ์ต่างหากที่เป็นเรื่องน่ากังวล
อันตรายที่เขาสัมผัสได้เกี่ยวกับเรื่องนี้มีมากกว่าเวอกัสคนนั้นหลายต่อหลายเท่า ดูเหมือนว่าอันตรายที่แท้จริงกำลังมาเยือนอาณาจักร Fantasia เสียแล้ว แต่เขาไม่สามารถทุ่มเทให้กับเหตุการณ์ครั้งนี้ได้มากนัก เป็นเพราะเขาต้องเตรียมตัวรับมือกับสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่กี่อึดใจนี้
สิ่งที่ทำให้ภูเขา Pumpkinz เกิดแรงสั่นสะเทือนนั้นเขาไม่รู้ว่าคืออะไร แน่นอนว่านี่อาจจะเป็นผลกระทบของการสร้างเตาปฏิกรณ์ของฝ่าย Metropolis ก็ได้ใครจะรู้ เขาจำเป็นต้องหาข้อมูลมากกว่านี้…
แต่เรื่องราวมันย่อมไม่ง่ายดายเมื่อมีกองกำลังของเวอกัสอยู่อีกฝากหนึ่งของภูเขา เชสเซอร์ลังเลว่านี่อาจจะเป็นแผนล่อเสือออกจากถ้ำหรือไม่ก็เป็นแผนยุยงให้ฝ่ายเขาเป็นผู้เปิดชนวนสงครามก่อน เขาเดาความคิดเวอกัสไม่ได้มากเท่าไหร่นัก นั่นอาจจะเป็นเพราะเขาเคยชินกับการอ่านใจฝ่ายตรงข้ามด้วยการมองเข้าไปในดวงตาจนเกินไปก็ได้
เชสเซอร์ก้มมองลงไปบนกระดานหมากรุก ในสมองเขาครุ่นคิดถึงเรื่องแผนการรับมือต่างๆ นาๆ แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งฟุ้งซ่าน
หรือเราจะปิดเกมส์เลยดีนะ………
หลังจากคิดได้แบบนั้น แววตาของเชสเซอร์ทอประกายเย็นเยียบจับจิตออกมา แดเนียลสัมผัสได้ถึงพลังคุกคามไร้รูปแบบ น้อยครั้งที่แดเนียลจะเห็นเชสเซอร์เป็นแบบนี้ ครั้งล่าสุดก็น่าจะเป็นเมื่อ 12 ปีก่อน ช่วงที่ขบวนสินค้าถูกกลุ่มโจรจาก Dracden เข้าโจมตี
แม้ว่าจะมีข่าวเรื่องการโจมตีเกิดขึ้นอีกครั้ง แต่ปฏิกริยาของเชสเซอร์ก็ไม่ได้รุนแรงมากขนาดนี้ แดเนียลคิดไม่ได้ว่าอีกไม่นานจะมีเรื่องร้ายๆ เกิดขึ้น…
“อืม.. อันที่จริงเกมส์นี้ก็เริ่มไม่สนุกซะแล้วสิ” เชสเซอร์ยิ้มออกมา
แน่นอนว่าสิ่งที่เขากำลังมองอยู่ตอนนี้คือเกมส์หมากรุกที่ใกล้จะสิ้นสุดลง ควีนของฝ่ายสีดำกำลังรุกไล่คิงของฝ่ายสีขาวอย่างดุดัน…
แต่ที่เชสเซอร์ไม่ได้ขยับควีนไปมากกว่านี้ ก็เพราะเขารู้ดีกว่าหากปล่อยให้สีขาวเคลื่อนไหวได้อีกหน่อย เกมส์จะสนุกมากยิ่งขึ้น เพิ่มความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น นี่เป็นนิสัยส่วนตัวของเขาล้วนๆ เขาชอบเกมส์ที่มีคู่ต่อสู้ฝีมือสูสี อาจจะเป็นเพราะเขาอยู่มานานพอจะเห็นศัตรูของเขาล้มตายไปทีล่ะคนๆ จนหมดความสนุกน่าสนใจก็เป็นได้
แต่ดูท่าครั้งนี้ศัตรูของเขาจะอยู่นานเกินไปจนหมดสนุกเสียแล้ว….
“ฉันว่าฉันจะออกไปข้างนอกนิดหน่อยน่ะ” เชสเซอร์พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แต่จิตคุกคามที่ปล่อยออกมายังไม่ลดลงเลยแม้แต่น้อย
“ฉันไปด้วยสิ” แดเนียลเป็นกังวลว่าเชสเซอร์อาจจะควบคุมอารมณ์ของตัวเองในตอนนี้ไม่ได้ การเฝ้าระวังไม่ให้เชสเซอร์ทำอะไรที่เลยเถิดก็เป็นหน้าที่ของเขาเหมือนกัน ไม่ใช่เพราะว่าเขาต้องการปกป้องอาณาจักรแห่งนี้ แต่เป็นเพราะเขาไม่อยากเหนื่อยไล่เก็บวิญญาณที่เชสเซอร์กระชากมันออกจากร่างคนอื่นต่างหาก
“เอ...คงไม่ได้แฮะ เพราะว่าฉันมีเรื่องอยากไหว้วานนาย…” เชสเซอร์พูดโดยไม่หันมามอง เขากำลังจับจ้องคิงสีขาวบนกระดานด้วยสายตาเย็นเยียบ
“หืม? เรื่องอะไรเหรอ?”
“ก็ไม่มีอะไรมาก แค่อยากจะฝากข้อความไปถึงใครบางคนเท่านั้นเอง”
แดเนียลเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“เรื่องแค่นี้ไม่เห็นจำเป็นต้อง….”
“ต้องเป็นนายเท่านั้น” เชสเซอร์ตัดบททันควัน เขาคว้าหมากตัวควีนสีดำขึ้นมาก่อนจะวางมันลงไปในตำแหน่งปิดเกมส์
เสียงตัวหมากที่กระทบกับกระดานดังพอๆ กับความคิดในหัวสมองของเขา
รุกฆา….
…………………………………………………………………………………………………
รุกฆาต
เวอกัสคิดในใจ พร้อมกับวางหมากควีนสีขาวลงบนตำแหน่งปิดเกมส์ คิงสีดำถูกรุกไล่จนไร้ทางหนี แต่หากไม่มองดูดีแล้วล่ะก็จะไม่มีใครเข้าใจได้เลยว่าคิงสีดำโดนปิดเกมส์ไปแล้ว
ปริภูมิไม่อยู่ในห้องอีกต่อไปแล้ว เวอกัสใช้เขาออกไปทำเรื่องประการหนึ่ง เรื่องที่แยบยลพอๆ กับหมากบนกระดาน
เวอกัสลุกขึ้นบิดขี้เกียจช้าๆ ก่อนจะเดินไปหยิบชุดสูทสีน้ำตาลเข้มมีฮู๊ดออกมาตัวหนึ่ง แล้วเดินออกจากห้องไปอย่างไม่รีบร้อนเท่าไหร่นัก เขาออกจากศูนกองบัญชาการทหารแล้วตรงไปที่สถานีขนส่ง อันที่จริงคนที่มีตำแหน่งระดับเขาแทบไม่จำเป็นต้องเดินทางไปไหนมาไหนด้วยตัวเองแล้ว แต่ครั้งนี้ผิดออกไป เขาตั้งใจไปเจอคนๆ หนึ่งที่ไม่ได้เจอกันมานาน โดยไม่อยากให้ใครรู้
หากคำว่าเพื่อนคือคำจำกัดความของคนที่มีผลประโยชน์ร่วมกันแล้วล่ะก็ คนผู้นี้ก็พอจะให้เขาเรียกว่าเพื่อนได้บ้าง
เวอกัสเลื่อนฮู้ดขึ้นเพื่อปิดบังหน้าตา เขากระชับเสื้อให้แน่นขึ้นกว่าเดิมเพื่อไม่ให้ใครสังเกตุเห็นเครื่องแบบสีน้ำเงินของเขา
ไม่นานนกรถไฟขนส่งก็พาร่างของเขาเข้าสู่เขตศูนย์… สถานที่ศิวิไลซ์สวยงามตระการตา เทียบกับเขตหนึ่งที่เป็นกองบัญชาการของทหารแล้วเขตศูนย์ถือเป็นเขตที่ไร้ระเบียบกฏเกณฑ์มากที่สุด สิ่งฟุ่มเฟือยนานับประการอัดแน่นเต็มพื้นที่
แต่เวอกัสก็ไม่ได้มองมันแย่ซะทีเดียว เขาเชื่อว่าทุกสิ่งนำมาใช้โประโยชน์ได้หมด การมอมเมาประชาชนด้วยสิ่งของฟุ่มเฟือยได้ผลมากกว่าที่เขาคิดไว้ เวอกัสแค่คอยป้อนความสะดวกสบายให้ คอยป้อนความปลอดภัยในชีวิตให้ เพียงเท่านี้ชาวเมืองทุกคนก็จะไม่ปริปากบ่น ไม่ต่อต้าน และเชื่อฟังอย่างน่าประหลาดใจ
รถไฟจอดเทียบท่าที่สถานี Midway Town เวอกัสจำเป็นต้องต่อรถไฟอีกขบวน เพราะรถไฟที่เขานั่งมาเป็นเพียงรถไฟเส้นทางสายหลักเชื่อมต่อเขตแต่ล่ะเขตในอาณาจักรเอาไว้ด้วยกันเท่านั้น เวอกัสเดินช้าๆ ไปขึ้นรถไฟอีกขบวนหนึ่ง
อันที่จริงแล้วการที่เวอกัสปลอมตัวออกมาเดินในที่แบบนี้แทบจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะประชากรทุกคนของเมโทรโปลิสจะถูกฝังชิปเอาไว้ที่ข้อมือ เพื่อระบุตัวตนและแจ้งสถานะต่างๆ ทำให้การเคลือนไหวของประชากรทั้งหมดในอาณาจักรถูกถ่ายทอดผ่านทางข้อมูลออนไลน์
แต่แน่นอนว่าเวอกัสย่อมใช้ลูกเล่นเล็กน้อยกับชิปที่ว่า
รถไฟค่อยๆ เคลื่อนออกจากชานชาลาก่อนจะเร่งความเร็วเสียจนมองไม่เห็นวิวทิวทัศน์รอบด้าน ชายหญิงหนุ่มสาวคู่นึงกำลังกอดรัดกันนัวเนียอยู่ข้างหน้าเวอกัส
เวอกัสแสยะยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นที่มุมปาก เขามีความสุขที่เห็นประชาชนของอาณาจักรรักกัน ไม่สิ...ต้องบอกว่าเขามีความสุขเพราะค่าเฉลี่ยของหนุ่มสาวที่มีบุตรก่อนวัยอันควรเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่ายิ่งมีเด็กเยอะมากขึ้นเท่าไหร่ กำลังรบในกองทัพของเขาก็ยิ่งเพิ่มขึ้นมากเท่านั้น
ทุกปีทางกองทัพจะทุ่มงบประมาณมหาศาลเพื่อรองรับเด็กที่ถูกทอดทิ้งมาเพื่อฝึกเป็นทหาร เครื่องจักรสงคราม ไม่มีพ่อแม่ ไม่มีครอบครัว… แต่แน่นอนว่าการทำแบบนี้ย่อมไม่เกิดผลดีด้านเดียว เวอกัสจึงไม่สามารถประกาศออกไปโต้งๆ ว่า หนุ่มสาวทั้งหลายจงมาทำลูกกันเถอะ! อะไรแบบนั้น เขาทำได้เพียงผลักดันกระบวนการเหล่านี้ออกไปเล็กน้อย แล้วให้มันเติบโตในสังคมเท่านั้นเอง และปัญหาส่วนใหญ่ที่ได้รับก็น่าจะเป็นงบประมาณของกองทัพไม่เพียงพอ ทำให้เด็กถูกทอดทิ้งและตายลง
แต่นั่นเป็นแค่นิทานที่พ่อแม่เล่าให้เด็กๆ ฟังก่อนนอนเท่านั้น….
เพราะความเป็นจริง เด็กที่ถูกทอดทิ้งยังคงมีชีวิตอยู่ และแน่นอนว่าเป็นกำลังรบสำคัญให้กับทาง Metropolis เพียงแต่พวกเขาไม่ได้ขึ้นอยู่กับกองทัพ…..
รถไฟหยุดลงที่ชั้นใต้ดิน เวอกัสขยับตัวออกจากรถไฟ ก่อนจะเดินไปยังร้านขาประจำของเขา… ที่นั่นมีที่ว่างให้เขานั่งเสมอ
เพิงอาแปะ
อย่างที่เขาคิด ที่นั่นไม่มีลูกค้าเช่นเดิม กาแฟของอาแปะแพงเกินไป แต่อาแปะคงไม่ได้สนใจอะไรกับเรื่องนี้มากนัก เพราะอาแปะเป็น อดีตหัวหน้าหน่วยข่าวกรองขององค์กร T.E.E.M.O [ Tesla Espionage and Execution of Metropolis Order ]
อาแปะหันมามองลูกค้าที่เพิ่งเข้ามาใหม่ ไม่จำเป็นต้องมีการพูดรหัสลับ เพราะอาแปะรู้ดีว่าชายตรงหน้าเป็นใคร อันที่จริงใครไม่รู้ก็แปลก
เวอกัสขยับฮู๊ดที่สวมให้แน่นขึ้นไปอีก เขาเดินลงมานั่งในร้านของอาแปะช้าๆ
“สวัสดีสหาย…” อาแปะเอ่ยปากทักก่อน
“สวัสดีครับ คุณคาฟก้า” เวอกัสเรียกชื่อจริงของอาแปะ
อาแปะสะดุ้งตัว นานมาแล้วที่ไม่มีคนเรียกชื่อเขาด้วยนามสกุล แบบนี้ แต่เชื่อเถอะ ว่าเขาไม่ถือสาคนตรงหน้าแม้แต่น้อย
อาแปะชงกาแฟที่ปลูกด้วยปุ๋ยสกัดจากทองคำอย่างปรานีตบรรจง ในชีวิตของอาแปะผ่านเหตุการอันตรายมามากมาย แน่นอนว่าแต่ล่ะครั้งเกี่ยวพันถึงชีวิตของเขา คนที่เขาให้ความเคารพอย่างถึงที่สุดมีเพียงเทสล่าหัวหน้าองค์กร T.E.E.M.O
องค์กร T.E.E.M.O เป็นหน่วยงานจารกรรมข้อมูลและลอบสังหารลับของ Metropolis ทำงานทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ของ Metropolis โดยไม่เลือกวิธีการ ไม่ว่าจะเป็นการจารกรรมข้อมูล ลอบสังหาร ทำงานใต้ผู้บังคับบัญชาเพียงคนเดียวนาม 'Tesla' มาตั้งแต่ก่อตั้งองค์กรขึ้นเมื่อ 45 ปีก่อน โดยที่ไม่มีใครเคยพบหน้ามาก่อน ไม่มีใครรู้ว่าเทสล่าเป็นใคร หรืออยู่ที่ไหน….แต่อาแปะรู้…. และคนตรงหน้าอาแปะก็รู้เช่นเดียวกัน….
อาแปะยังจำวันที่เขาได้พบกับเวอกัสครั้งแรกได้ เมื่อ 15 ปีก่อน เวอกัสอายุเพียง 8 ขวบ แน่นอนว่าชายผู้ผ่านร้อนผ่านหนาวอย่างอาแปะในวัย 45 ปีนั้นเรียกได้ว่าแข็งแกร่งทั้งร่างกายและจิตใจ แต่เมื่อมองเข้าไปในดวงตาสีเขียวสดใสของเด็กคนนั้น เห็นใบหน้าที่ยิ้มแย้มของเด็กคนนั้น
อาแปะอดรู้สึกเสียวสันหลังไม่ได้ เหมือนมีมีดอันคมกริบพาดวางไว้ที่คอหอย อาแปะไม่เชื่อเรื่องเวทมนตร์หรือไสยศาสตร์ เขาฆ่าจอมเวทย์ฝ่าย Fantasia มาแล้วนักต่อนัก แต่เขาไม่เคยพบเจอกับความรู้สึกแบบนี้มาก่อน
จนบัดนี้เขาก็ยังรู้สึกเช่นนั้น มันทำให้เขารู้สึกว่าคนตรงหน้าเขาไม่ใช่มนุษย์
แต่เป็น...
ปีศาจร้าย…
……………………………………………………………………………….
เสียงฝีเท้าของเชสเซอร์เหยียบย่่ำลงบนพื้นหญ้าอย่างแผ่วเบา เขากำลังเดินฮัมเพลงไปด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม เสียงฮัมเพลงสอดคล้องกับเสียงดนตรีที่อยู่ไม่ไกลเท่าไหร่นัก
แสงจันทร์สาดส่องสว่างเผยให้เห็นทางเดินชัดเจน อากาศเริ่มหนาวเย็นแล้ว เพียงแต่ผู้คนที่อยู่ที่นี่คงไม่สนใจเท่าไหร่ อาจจะเป็นเพราะฤทธิ์จากเหล้าองุ่นหรือไม่ก็กองไฟที่ถูกก่อขึ้นเป็นหย่อมๆ บรรยากาศครึกครื้นรื่นเริงชวนให้ผู้คนแวะเข้ามาเยี่ยมชมดู เชสเซอร์ก้าวเดินอย่างมั่นคงพลางขยับฮู๊ดบนหัวให้กระชับมากยิ่งขึ้น
เขาไม่ต้องการให้ผู้คนที่อยู่ใน Victor’s den แห่งนี้ตื่นตระหนก...อย่างน้อยก็ในตอนนี้
เขาเดินไปเรื่อยๆ สายตาของเขามองตามพื้นหญ้า คนที่เขาจะมาพบมักจะทิ้งร่องรอยเอาไว้เสมอ เป็นร่องรอยที่มองเห็นได้ง่าย ง่ายดายจนเกินไป แต่ถึงกระนั้นก็ไม่มีใครสนใจจะตามหาเขาอยู่ดี…. แต่ไม่ใช่เชสเซอร์ในคืนนี้
ชายหนุ่มผมดำยุ่งเหยิงร่างกายสมส่วนนอนหลับอยู่บนพื้นหญ้า ข้างๆ กลุ่มผีพนันกลุ่มนึง เสียงโหวกเหวกโวยวายเคล้าเสียงดนตรีอาจจะเป็นเพลงกล่อมอย่างดีให้กับเด็กหนุ่มหน้าตาดีคนนี้ หรือไม่ก็เป็นเพราะถังเหล้าที่ว่างเปล่าสองถังข้างๆ เขาก็ได้
เชสเซอร์เลือกมุมที่หญ้าไม่เหี่ยวเฉานั่งลงอย่างช้าๆ ในจังหวะเดียวกันนั้นเขาขยับมือเล็กน้อยร่ายมนตร์ให้อีกฝ่ายตื่นขึ้นมาด้วยสติที่แจ่มใส….
“สวัสดียามมืด...เพลก”
เจ้าของชื่อสะดุ้งตัวเล็กน้อย เขางุนงงกับความรู้สึกสดชื่นอย่างแปลกประหลาด ซึ่งอันที่จริงเขาควรจะต้องตื่นมาด้วยสภาพเมาค้างหัวทิ่มดิน แต่เขาก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก สดชื่นก็ดีแล้วนี่
เพลกลุกขึ้นนั่งบิดตัวไปมาเล็กน้อยก่อนจะล้มตัวลงไปนอนต่อ เขาสังเกตุเห็นผู้มาใหม่แล้ว แน่ล่ะ.. แต่ก็ไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้ว่าคนๆ นี้เป็นใคร อันที่จริงแล้วเขารู้จักคนข้างๆ ดีพอตัวเลยทีเดียว
“ลมอะไรหอบมาถึงนี่ล่ะเชส” เพลกเอ่ยปากพูดอย่างสนิทสนม
เชสเซอร์ล้มตัวลงนอนแหงนหน้ามองดาวบนฟ้า แม้ว่าแสงจันทร์ในค่ำคืนนี้จะทำให้เขามองเห็นดาวได้ไม่ชัดนัก แต่เขาก็พอจะสัมผัสได้กับความงดงามที่ลอยเคว้งคว้างอยู่บนนั้นได้
“ฉันมีเรื่องให้นายช่วยนิดหน่อย”
“หืม?” เพลกประหลาดใจเล็กน้อย ไม่สิ ต้องบอกว่าเขาประหลาดใจมาก เพราะเชสเซอร์มักจะไม่ค่อยขอให้ใครช่วยอะไรตัวเขามากนัก “คิดยังไงมาขอให้ฉันช่วยล่ะนั่น…เรื่องแอร์เชเบตก็ทีนึงแล้วนะ..”
“อันนั้นต้องเรียกว่านายเต็มใจมากกว่าล่ะมั้ง…” เชสเซอร์ตอบกลับพร้อมกับยิ้มน้อยๆ
เพลกเลี่ยงที่จะสบสายตากับเชสเซอร์ เขารู้ดีว่าเชสเซอร์สามารถอ่านใจเขาได้ผ่านการจ้องเขาไปในดวงตา แม้เขาจะไม่มีความลับอะไรมากมายนักก็เถอะ แต่เรื่องแบบนี้เขายังไม่รู้แน่ชัดถึงความรู้สึกตัวเองเลย การจะให้คนอื่นมาแอบดูความรู้สึกแบบนี้คงไม่ดีเท่าไหร่
“ช่างเถอะ ว่าแต่จะให้ช่วยเรื่องอะไรน่ะ?” เพลกพลิกตัวไปหยิบถังเหล้าก่อนจะรู้สึกตัวว่ามันหมดไปแล้ว
“ฉันว่าจะให้นายไปรับมือกับคนๆ หนึ่งหน่อย”
“รับมือ? หมายถึงต่อสู้น่ะเหรอ?” เพลกทำหน้าเหยเก “นายก็รู้ว่าฉันไม่ได้สู้มานานมากพอจะทำให้นายรู้สึกแก่เลยนะ…”
“ฉันรู้..แต่คนที่พอจะถ่วงเวลาเจ้านั่นได้ ทั้งอาณาจักรดูแล้วก็น่าจะเหลือแค่นายล่ะมั้ง…”
เพลกถอนหายใจเล็กน้อย นี่ไม่ใช่คำขอร้องหรือถ้าจะเป็นคำขอร้อง ก็ต้องเป็นคำขอร้องที่ปฏิเสธไม่ได้ ตามแบบฉบับของเชสเซอร์ ใบหน้าที่ประดับด้วยรอยยิ้มอันแสนหวานตรงข้ามกับแรงกดดันอันน่าสะอิดสะเอียน ทำให้ไม่มีใครปฏิเสธคำขอร้องของเขาได้มาก่อน
เชสเซอร์ได้แต่งตั้งให้เพลกเป็นผุ้ดูแลความสงบโดยรวมของแฟนตาเซีย ไม่เชิงเป็นผู้พิพากษา แต่เป็นส่วนของการสอดส่องดูแลเสียมากกว่า เพลกชอบหายตัวไปบ่อยครั้งเพราะเขาจำเป็นต้องรับภารกิจที่ไม่มีใครนึกถึง แต่ก็นั่นแหละเพราะไม่มีคนสนใจเขาและคิดว่าเขาเป็นตัวการของหายนะ จึงทำให้งานของเขาง่ายขึ้นเป็นกอง
เพลกไม่ค่อยได้ต่อสู้ หากจะพูดให้เข้าใจง่ายกว่านี้ก็คือเขาไม่จำเป็นต้องต่อสู้ ศัตรูที่รู้กิตติศัพท์ของเขาไม่มีใครกล้าเสนอหน้ามารับความตายที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จากเขาเป็นแน่ ทำให้เขาไม่ได้ต่อสู้กับใครมาเป็นระยะเวลานานพอตัว…
แต่ก็ใช่ว่าเขาจะสู้ไม่เป็นซะทีเดียว
เพลกลุกขึ้นยืนพลางปัดเศษหญ้าเฉาๆ ที่กางเกงของเขาออกอย่างช้าๆ
“ถ้านั่นเป็นสิ่งที่ฉันปฏิเสธไม่ได้...นายก็ควรจะบอกมานะว่าฉันจะต้องไปเจอกับใคร”
เชสเซอร์ยิ้มอย่างสดใสเสียจนเพลกรู้สึกแปลกๆ
“คงจะเป็น…ควีนสีขาวล่ะมั้ง...”
…………………………………………………………………………………….
“กิจการเป็นยังไงบ้างครับ” เวอกัสพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
อาแปะยิ่นส่งกาแฟที่ปรุงเสร็จแล้วให้ช้าๆ พลางตอบคำถามของเวอกัสไปด้วย
“ก็พอเลี้ยงตัวเองไปได้…”
เวอกัสรับกาแฟมาสูดดมกลิ่นอย่างช้าๆ ก่อนจะค่อยๆ ลิ้มรสถึงความเปรี้ยวปนขมของกาแฟดำ เขาสูดลมหายใจเข้าแรงขึ้นเล็กน้อย
“ขอบคุณมากนะครับ สำหรับเรื่องของโกสต์”
“ไม่จำเป็นหรอกสหาย...ไม่ใช่ฉันที่จัดการเรื่องทั้งหมดนี้หรอก นี่เป็นคำสั่งของเทสล่าต่างหาก” อาแปะพูดพร้อมกับล้างเครื่องมือทำกาแฟไปด้วย
“อ่อ...นั่นสินะครับ” เวอกัสยิ้มอย่างจริงใจให้กับอาแปะ ซึ่งมันไม่ได้ช่วยลบเลือนความรู้สึกแปลกประหลาดที่อาแปะมีต่อเวอกัสไปได้เลย “พูดถึงเทสล่า ผมก็ไม่ได้เจอเขานานแล้วเหมือนกันนะครับเนี่ย”
อาแปะล้างพร้อมกับเก็บเครื่องมือชงกาแฟลงอย่างเรียบร้อย เขาสะบัดมือเพื่อไล่ความชื้นออก พร้อมกับเดินมานั่งอยู่ตรงหน้าเวอกัส
“เทสล่าอาจจะไม่อยากเจอสหายสักเท่าไหร่”
“ทำไมเหรอครับ?” เวอกัสเงยหน้ามองอาแปะ
“สหายก็รู้ คนที่รู้ความลับของเทสล่ามีไม่มากนักหรอก…คนที่รู้มากเกินไปก็โดนเก็บไปหลายคนแล้ว”
เวอกัสหลุดขำออกมาเล็กน้อยไม่ได้ เขาวางถ้วยกาแฟลงอย่างเบามือ
“เทสล่าไม่มีทางทำอย่างนั้นได้หรอกครับ คุณคาฟก้าก็รู้ใช่ไหมล่ะ”
อาแปะไม่ตอบคำ เขารู้ดีกว่าที่เทสล่าไม่ฆ่าเวอกัสทั้งๆ ที่เขารู้เรื่องราวทั้งหมดมากเกินไปเป็นเพราะอะไร Metropolis พึ่งเวอกัสมากเกินไป หรือจะพูดว่าเวอกัสตอนมีชีวิตอยู่มีประโยชน์กับประเทศมากกว่าตอนที่เขาตายไปแล้ว
เทสล่าทำทุกอย่างเพื่อรักษา Metropolis ไว้ และแน่นอน...เขาย่อมเลือกที่จะไม่ฆ่าเวอกัสทิ้ง เวอกัสก็รู้ถึงข้อนั้นดี สิ่งที่ตอกย้ำความเป็นปีศาจของเขาคือการไม่เกรงกลัวต่ออำนาจของเทสล่าอีกต่อไป ในเมือมีจุดประสงค์ร่วมกัน ทำไมเราถึงไม่มาร่วมมือกันซะล่ะ?
ไม่ล่ะ….
เวอกัสไม่รู้จักคำว่าร่วมมือจริงๆ หรอก เขากำลังหลอกใช้เทสล่าอยู่ต่างหาก จำนวนข้อมูลอันมหาศาลภารกิจที่ถูกคัดกรองมาอย่างดี ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเทสล่ากำลังเดินไปตามเกมส์ของชายหนุ่มตรงหน้านี้ด้วย เทสล่าไม่ขัดขืนใดๆ ทั้งสิ้น เป็นเพราะเขารู้ดีว่าสิ่งที่เวอกัสคิดเป็นสิ่งที่จะทำให้อาณาจักรเมโทรโปลิสคงไว้ซึ่งความมั่นคงได้
อีกฝ่ายหลอกใช้ประโยชน์จากอีกฝ่ายเต็มกำลัง โดยที่อีกฝ่ายยินยอมโดนหลอกใช้ จะมีเรื่องไหนตลกไปมากกว่านี้อีก?
“แล้วสหายมาที่นี่ทำไมรึ?....คงไม่ได้แค่มาดื่มกาแฟใช่ไหม?”
“โอ้...ผมมาเพราะเรื่องเตาปฏิกรณ์การวาร์ปนิดหน่อยน่ะครับ” เวอกัสพูดพลางจิบกาแฟไปด้วย
“เตาปฏิกรณ์?” อาแปะขมวดคิ้วเข้าด้วยกัน “ไม่ใช่ว่าระงับการสร้างเอาไว้ชั่วคราวหรอกเหรอ?”
“ไม่หรอกครับ ใครจะไปทำตามคำขอร้องไร้สมองแบบนั้นกัน”
“สหายเอ๋ย...ฉันรู้อะไรไม่ค่อยมากนักหรอกนะเกี่ยวกับเรื่องเตาปฏิกรณ์”
“ผมรู้ครับ ผมเลยอยากให้คุณคาฟก้าช่วยตามคนๆ หนึ่งมาให้ที” เวอกัสซดกาแฟจนหมด ก่อนจะยื่นชิฟที่ข้อมือเพื่อจ่ายเงินให้อาแปะ เป็นจำนวนเงินมหาศาล
อาแปะเห็นเงินที่มากมายมหาศาลขนาดนั้นถึงกับปั้นสีหน้าให้เป็นปรกติไม่ได้ ด้วยจำนวนเงินขนาดนี้เวอกัสสามารถขอข้อมูลเกือบทั้งชีวิตของอาแปะได้เลยทีเดียว
แต่เขาใช้เพื่อตามคนๆ หนึ่งมา...แสดงว่าคนๆ นั้นต้องไม่ธรรมดา...
“ใครรึ?” อาแปะกลืนน้ำลายรอคำตอบของเวอกัส
“หยงครับ”
อืม…
ไม่ธรรมดาจริงๆ ด้วย...
…………………………………………………………………………………
“ไอ้เชี่ยเวออออออออออออออออออออออออ” เสียงปริภูมิดังขึ้นไปทั่วทุ่งข้าวสาลี
แน่นอนว่าตอนนี้ปริภูมิไม่ได้อยู่ในเขตหนึ่งอีกต่อไปแล้ว และเขาก็ไม่ได้อยู่ในอาณาจักรของ Metropolis ด้วย ปริภูมิกำลังขี่มอเตอร์ไซด์ไร้เสียงไร้แสงที่เขาสร้างขึ้นด้วยเวลาเพียงน้อยนิด ผ่านข้ามเขตชายแดนเข้าสู่อาณาจักร Fantasia
เวอกัสต้องการให้เขาเข้าร่วมการทดลองเทคโนโลยีการวาร์ปที่ใกล้จะสำเร็จ โดยการสร้างเซอไพร์ให้ประเทศฝ่ายตรงข้ามเล็กน้อย แน่นอนว่าการเคลื่อนไหวครั้งนี้ต้องเป็นไปด้วยความรวดเร็วและเงียบเชียบ
แต่ดูเหมือนปริภูมิไม่ได้สนใจเรื่องนั้นมากเท่าไหร่นัก…
ก็ใครใช้ให้เขามาทำงานในวันหยุดกันล่ะฟระ
มอไซด์ที่วิ่งด้วยความเร็วสูงพุ่งผ่านทุ่งข้าวสาลีอย่างรวดเร็ว คืนนี้แสงจันทร์สาดส่องสว่างเจิดจ้า ทำให้ปริภูมิกังวลเล็กน้อยกับการลอบข้ามเขตชายแดน เขาจึงเคลือบมอเตอร์ไซด์ด้วยวัสดุพิเศษทำให้มันดูดกลืนแสงและกลายเป็นสีดำสนิททั้งคัน มอไซด์ของปริภูมิลอยอยู่เหนือพื้นเล็กน้อยนั่นทำให้การขับขี่ของเขาไม่เกิดเสียงบนถนนเลย
แต่การพรางตัวทั้งหมดนี้อาจจะยังไม่ดีพอก็ได้
เพราะมีชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังยืนขวางอยู่บนเส้นทางของเขาด้วยความตั้งใจ
ชายหนุ่มผู้มีกลิ่นอายความตายพวยพุ่งออกมามากมายจนน่ากลัว
“ไม่คิดว่า...จะมาจริงๆ แฮะ” เพลกพูดขึ้นในความมืด
ปริภูมิหยุดรถมอไซด์ไว้ก่อนจะกระโดดลงมายืนบนพื้น เขาหยิบบุหรี่ขึ้นสูบพลางพูดขึ้น
“ทั้งๆ ที่ไม่คิด แต่ก็ยังมาดักรอเนี่ยนะ ให้ตายเหอะสมกับเป็นพวกไร้สาระจริงๆ วุ้ย”
ปริภูมิไม่แปลกใจที่อีกฝ่ายรู้ว่าเขากำลังจะมา อันที่จริงเวอกัสได้บอกเอาไว้ก่อนแล้วว่าอาจจะมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
“ยินดีที่ได้รู้จัก ฉันชื่อเพลก...และถ้านายไม่ว่าอะไร ฉันแนะนำให้ไม่สูบไอ้เจ้านั้นดีกว่านะ”
ปริภูมิเลิกคิ้วขึ้นแทนคำตอบ
“หนักหัวแกเรอะ?”
เพลกขำเล็กน้อยให้กับคำตอบของปริภูมิ
“ฉันแค่จะบอกว่านายไม่ต้องพยายามลดอายุตัวเองเอาเป็นเอาตายขนาดนั้น….” สิ้นเสียงร่างของเพลกก็กลายเป็นเพียงเงาสีดำผ่านตาวูบหนึ่ง สิ่งที่ปริภูมิสัมผัสได้มีเพียงแค่กลิ่นไอแห่งความตายแผ่ขยายออกมา ก่อนที่ปริภูมิจะกระพริบตา เสียงของเพลกก็ดังขึ้นที่ข้างหูของเขาแล้ว “เพราะตอนที่เจอหน้าฉัน นายก็ตายไปแล้ว”
เงามือของเพลกถลันวูบขึ้นมา ก่อนจะเข้าจับใบหน้าของปริภูมิเต็มแรง กลิ่นไอของความตายรุนแรงเสียจนข้าวสาลีบริเวณรอบๆ เริ่มเหี่ยวเฉา
เพลกไม่เคยพลาดมาก่อน เขาไม่จำเป็นต้องมองที่ร่างของปริภูมิก็พอจะรู้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น….
แต่เขาต้องมอง เพราะความรู้สึกที่เขาสัมผัสได้มันแปลกออกไป
“....นั่นแกทำอะไรอยู่ตรงนั้นล่ะฟระนั่น..” เสียงของปริภูมิดังขึ้นข้างหลังของเพลก
เพลกหันขวับกลับไปมองทันที ให้ตายเถอะเขาไปอยู่ตรงนั้นได้ยังไง แล้วสิ่งที่เขากำลังจับหัวมันอยู่คืออะไรกันแน่ เพลกก้มลงมองที่มือของตัวเอง พลันพบว่าสิ่งที่เขาจับอยู่เป็นเพียงหุ่นเหล็กตัวหนึ่งขนาดเท่าคนจริง แต่งกายเหมือนปริภูมิไม่ผิดเพี้ยน
“ไม่ยักรู้ว่าคนฝั่งนี้โรคจิตด้วยแฮะ จะเอากลับบ้านไปไหมล่ะ ฉันยกให้ก็ได้นะ” ปริภูมิพูดพลางแสยะยิ้มออกมาได้กวนตีนสุดๆ
เพลกหน้าเครียดลง ด้วยความเร็วของเขาแน่นอนว่าเจ้าคนตรงหน้าไม่สามารถสร้างหุ่นที่เหมือนจริงได้ขนาดนี้ทันแน่ๆ คำอธิบายเดียวที่พอจะบอกได้คือหุ่นตัวนี้ถูกสร้างขึ้นมานานแล้วตั้งแต่บทสนทนาไร้สาระตอนแรก ก่อนที่ปริภูมิจะพรางตัวออกไปแอบยืนอยู่ด้านหลังของเขา
“ลูกเล่นเยอะดีนี่” เพลกพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แต่ในใจของเขากำลังปั่นป่วนอยุ่ใช่เล่น
ดูท่าเจ้าหมอนี่จะรับมือยากกว่าที่เขาคิดไว้เยอะมากพอตัวเชียวล่ะ...นึกว่าจะเป็นแค่เด็กหัวเกรียนคนนึงที่โชคช่วยได้เป็นแม่ทัพขึ้นมาเสียอีก
“ขอบคุณที่ชม” ปริภูมิแสยะยิ้ม เขาอัดบุหรี่เข้าไปเต็มปอดก่อนจะโยนก้นบุหรี่ทิ้งลงพื้น แต่ก้นบุหรี่ที่ว่ายังไม่ทันจะตกถึงพื้น มันก็หายไปกลางอากาศเสียดื้อๆ ซะอย่างนั้น
ก่อนที่เพลกจะได้ขยับตัว แรงกดดันอันมหาศาลก็สะกดเขาไว้อยู่กับที่
นี่มันไม่ใช่แรงกดดันที่มนุษย์คนหนึ่งจะสร้างได้แล้ว แรงกดดันนี้อาจจะพอๆ กับเชสเซอร์ตอนโกรธจัดๆ เสียด้วยซ้ำ
“นี่นาย...เป็นมนุษย์แน่เรอะ”เพลกอดถามขึ้นมาไม่ได้
“ก็แค่มนุษย์ที่สู้กับยมทูตอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันน่ะนะ…” ปริภูมิขยับมือขึ้นอย่างช้าๆ พร้อมกับเดินเข้ามาหาเพลก บนฟ้าเกิดปรากฏการประหลาด เหมือนมิติถูกบิดเบือนจนเกิดช่องว่างขึ้น ชิ้นส่วนวัสดุต่างๆ หลากหลายรูปแบบต่างหลั่งไหลออกมาจากช่องวางนั้นไม่ขาดสาย
“โทษทีว่ะ วันนี้ไม่ค่อยว่างเท่าไหร่ คงอยู่เล่นกับแกมากไม่ได้”
“.....”
วัสดุเหล่านั้นค่อยๆ หลอมรวมกันกลายเป็นอาวุธรูปร่างแปลกตาหลากหลายรูปแบบ
“เอาล่ะ….มาเริ่มกันเลยไหม?”
…………………………………………………………………………………
“หวังว่าคงถ่วงเวลาได้สักพักล่ะนะ” เชสเซอร์นั่งถอนหายใจอยู่ที่เก้าอี้นวมตัวเดิมในห้องสี่เหลี่ยมจตุรัสเทียนที่ตั้งอยู่บนโต๊ะกำลังจะดับแสงแล้ว เขามองดูเทียนดับลงอย่างเงียบเชียบก่อนจะเดินไปหยิบเทียนไขใหม่ในความมืด ก่อนจะจุดขึ้นอย่างช้าๆ
พลันปรากฏร่างคนผู้หนึ่งยืนอยู่ข้างหลังเขา
เชสเซอร์ไม่แปลกใจมากนัก เขาเดาเอาไว้อยู่แล้วว่าปริภูมิจะต้องมาหาเขาแน่นอน เป็นเพราะลางสังหรณ์ของเขารู้สึกได้ตั้งแต่ตอนเช้าของวันนี้ก่อนที่ข่าวจะออกเสียอีก แต่สิ่งที่เขานึกไม่ออกคือปริภูมิฝ่าด่านเพลกมาเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร?
“นายมาที่นี่ได้ยังไง?” เชสเซอร์ถามขึ้นท่ามกลางแสงเทียน เขาค่อยๆ ทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้นวมช้าๆ
“มันไม่สำคัญเท่ากับฉันมาทำไมหรอกจริงไหม?” ปริภูมิพร้อมกับแสยะยิ้ม “ไม่คิดจะมีชารับแขกหน่อยเหรอ?” เขาพูดพลางทิ้งตัวลงนั่งที่ประจำของแดเนียล
เชสเซอร์ขำให้กับท่าทีของปริภูมิ
“คงไม่จำเป็นแล้วล่ะมั้ง...เกิดอะไรขึ้นกับเพลกล่ะ?”
“เอ...ก็ไม่มีอะไรมากหรอก ฉันเล่นกับเขาได้ไม่นานเท่าไหร่ อย่างมากก็แค่ลุกไปไหนไม่ได้สักสองสามวันน่ะนะ” ปริภูมิจุดบุหรี่ตัวใหม่ขึ้น “เอ้อ! เวอกัส ฝากคำทักทายมาน่ะ...เอ….มันบอกว่าอะไรน้า…”
“......”
“อ๋อ….เวอกัสฝากมาบอกว่า….” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ค่อยๆ ผุดขึ้นบนใบหน้าของปริภูมิ
“รุกฆาต!”
ด้วยความเร็วที่แม้แต่เชสเซอร์ยังไม่ทันได้กระพริบตา
หายนะก็มาเยือนอยู่ตรงหน้าเขาเสียแล้ว
………………………………………………………………………………...
“เป็นยังไงบ้างครับหยง” เวอกัสพูดผ่านห้องสื่อสารลงไปยังห้องควบคุมเตาปฏิกรณ์ด้านล่าง
“ผมว่าอาจจะต้องปรับอีกนิดหน่อย คาดว่าคงใช้เวลาไม่ถึง 15 นาที แล้วนายจะได้เตาปฏิกรณ์ขั้นเทพ! ที่เรียกว่า The reac...”
“ขอบคุณมากครับ ผมจะรออีก 15 นาที” เวอกัสพูดพร้อมกับตัดสายสัญญาณทิ้ง…. แหงล่ะ ใครอยากจะฟังหยงตั้งชื่ออุปกรณ์สิ่งของต่างๆ ขึ้นมากัน
อีก 15 นาทีเหรอ...ตรงกับที่คำนวณไว้แฮะ
เวอกัสคิดในใจ การทดสอบเทคโนโลยีการวาร์ปครั้งนี้เวลาเป็นสิ่งสำคัญที่สุด การที่เขาไปนั่งจิบกาแฟและเดินทางด้วยรถไฟนั้น เป็นเพราะเขาได้วางแผนเอาไว้หมดแล้ว แต่สิ่งที่ผิดแผนไปมากๆ ก็คือเซนส์การตั้งชื่อของหยงที่ออกจะพิสดารอยู่บ้างเนี่ยแหละนะ
โชคดีที่ปริภูมิไม่ได้มีนิสัยเพี้ยนๆ เหมือนหยง ขืนไอ้หมอนั่นตั้งชื่อของทุกอย่างที่มันประดิษฐ์ขึ้นมามีหวังได้กลายเป็นหายนะแน่ๆ
แค่นึกถึงเวอกัสก็ปวดหัวขึ้นมาแล้ว
เสียงประตูด้านหลังเปิดออก เวอกัสหันกลับไปมองด้วยความสนใจ เพราะในช่วงเวลาแบบนี้ คนที่ทำงานล่วงเวลาแบบเขามีไม่มากนัก
แน่นอนว่าเขาไม่ได้คาดหวังจะได้พบเจอกับอะไรแปลกพิสดาร
ยิ่งเจอยมทูตตัวเป็นๆ ยิ่งแล้วใหญ่
“โฮ่…. เขาว่ากันว่าเจอยมทูตตัวเป็นๆ นี่แสดงว่าฉันต้องตายแน่ๆ แล้วใช่ไหม?” เวอกัสพูดขึ้น
“ก็ประมาณนั้น” เดเนียลตอบห้วนๆ
มาเร็วไปหน่อยแฮะ…
เวอกัสรู้ดีว่าแดเนียลกำลังจะมาฆ่าเขา พูดให้ถูกต้องก็คือเขามักจะคาดเดาความคิดของเชสเซอร์ล่วงหน้าได้ตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว จะให้บอกว่าเป็นเพราะอะไรเขาก็ไม่รู้เหมือนกัน
สิ่งที่เขาคาดเดาผิดไปคือเรื่องเวลา… แต่ก็ช่างเถอะเขาว่าเขาจะลองถ่วงเวลากับยมทูตดูสักครั้ง
อีกสิบห้านาทีสินะ…
…………………………………………………………………………………………..
เสียงกัมปนาทดังขึ้นในสถานที่ตั้งของสภากลางแห่ง Fantasia สิ่งที่น่าประหลาดใจคือไม่มีทหารหรือเวรยามคนใดได้ยินเสียงที่ว่าเลยแม้แต่น้อย
เขตแดนเวทย์ สิ่งเดียวที่สามารถอธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นได้
แต่สิ่งนี้ย่อมไม่ได้มาจากปริภูมิ… มันมาจากตัวเชสเซอร์เอง
เมื่อหมอกควันจางหายไป พลันปรากฏภาพที่ผู้คนนึกไม่ถึงขึ้นภาพหนึ่ง ปริภูมิในมือถือค้อนรูปร่างทันสมัยไฮเทค ด้านหลังของค้อนติดไอพ่นรูปทรงแปลกประหลาด เพื่อเพิ่มความรุนแรงในการทำลายล้าง ถูกหยุดด้วยนิ้วชี้นิ้วเดียวของเชสเซอร์ ปลายนิ้วของเขาประกอบด้วยวงเวทย์เวทย์มากมายหลายต่อหลายชั้น
กำแพงเวทย์ที่ซับซ้อนขนาดนี้ ต่อให้คนทั้งโลกมาช่วยกันร่ายมนตร์ยังไม่แน่ว่าจะสำเร็จ
“ฉันต่างหาก… ที่ต้องบอกว่ารุกฆาต” เชสเซอร์พูดพลางยิ้มขึ้น
ปริภูมิเหงื่อตก เขานึกไม่ถึงว่าเชสเซอร์จะทรงพลังขนาดนี้ เขาเชื่อมาตลอดว่าเชสเซอร์เป็นเหมือนเวอกัส พวกใช้แต่สมองไร้ความสามารถในการต่อสู้ จะอย่างไรก็เถอะสิ่งที่เขาเห็นอยู่ตรงหน้าก็เป็นเครื่องยืนยันแล้วว่าเขาคิดผิด
“นี่แก…”
“ตกใจเหรอ?์” เชสเซอร์พูดพร้อมกับผลักนิ้วชี้ออกไปเล็กน้อย เกิดคลื่นพลังประหลาด กระแทกปริภูมิเข้ากับผนังอย่างรุนแรง
แต่ชั่วพริบตาที่ปริภูมิจะชน เขาก็สร้างแอแบคขึ้นมาเพื่อลดแรงกระแทกอย่างรวดเร็วเข่นเดียวกัน
“ฉันไม่ได้กลัวนายเลยปริภูมิ ฉันกลัวแค่ว่านายจะมาช้าไปหน่อยเท่านั้นเอง” เชสเซอร์พูดขึ้นช้าๆ “นายอาจจะยังไม่รู้ว่าแดเนียลกำลังเดินทางไปฆ่าเวอกัส”
“อะไรนะ!!” ปริภูมิตกใจเมื่อรู้เหตุการณ์ทั้งหมด
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่วะ…
“ฉันก็แค่...เริ่มเบื่อกับเกมส์ๆ นี้แล้วล่ะนะ” เชสเซอร์พูดพลางร่ายมหาเวทย์ดับดาวภายในเวลาเสี้ยววิ ร่างกายของปริภูมิเหมือนโดนกระชากออกจากกันด้วยแรงดึงดูดอันมหาศาล
ปริภูมิไม่รอช้าให้เสียเวลา ชั่วพริบตาเข้าสร้างเครื่องต้านแรงโน้มถ่วงขึ้นมาเป็นเกราะกำบังอย่างทันท่วงที ชื่อเสียงของแม่ทัพย่อมไม่ได้มาด้วยโชคช่วยอยู่แล้ว
“แกคิดจะประกาศสงครามงั้นเรอะ!”
เชสเซอร์หัวเราะ เขาขำให้กับความคิดอันตื้นเขินของปริภูมิ
“สงครามระหว่างสองประเทศนี้ อย่างไรก็ต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว ถ้าลองได้ตัดคิงอย่างเวอกัสไปสักตัว สงครามก็จะจบเร็วกว่าเดิมเยอะ”
“เวอกัส? คิง? เดี่ยวก่อน… นี่แกคงไม่คิดจะปล่อยฉันไปง่ายๆ ใช่ไหม?” ปริภูมิสงสัยกับคำพูดของเชสเซอร์ เนื่องจากเขาไม่มีรายชื่ออยู่ในผู้ถูกกำจัด
“นี่นายไม่รู้จริงๆ หรือแกล้งโง่กันแน่ปริภูมิ….” เชสเซอร์พลิกข้อมือเล็กน้อยก็ก่อเกิดลูกพลังอัดแน่นไปด้วยพลังมหาศาลอยุ่ที่ฝ่ามือ เขาไม่รอช้าปล่อยมันออกโจมตีปริภูมิในทันที “ฉันรู้น่า...ว่านายก็เป็นผู้ใช้เวทย์มนตร์เหมือนกัน”
เสียงดังกึกก้องมาพร้อมกับพลังทำลายอันมหาศาล ถ้าเชสเซอร์ไม่กางเขตแดนเวทย์เอาไว้สภาสูงแห่ง Fantasia คงได้เหลือแต่ซากแน่ๆ
ปริภูมิโดนคลื่นพลังซัดกระเด็นกระดอนไปอย่างไร้จุดหมาย แต่ชั่วพริบตาที่เขากำลังไร้การควบคุมอยู่กลางอากาศนั้นเอง เขาสร้างอุปกรณ์ลอยตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็วจากความว่างเปล่า ตามด้วยอัพเกรดติดไอพ่นด้วยเวลาเพียงเสี้ยววิ ก่อนจะบังคับพุ่งเข้าหาเชสเซอร์อย่างรวดเร็ว
สนับมือขนาดยักษ์โผล่ขึ้นประกอบเข้ากับแขนของปริภูมิอย่างรวดเร็ว สนับมือที่ยาวครอบคลุมทั้งแขนติดเครื่องเร่งความเร็วระดับสูงพุ่งเข้าต่อยหน้าเชสเซอร์ไปพร้อมๆ กัน
ถ้าเป็นคนธรรมดาก็หัวขาดไปแล้ว
แต่เชสเซอร์ไม่ใช่คนธรรมดาเนี่ยสิ
สิ้นสุดเสียงการปะทะ เชสเซอร์เพียงยกมือข้างนึงขึ้นมากันเอาไว้ แรงส่งทั้งหมดของปริภูมิสลายหายไปกลายเป็นความว่างเปล่า
เชสเซอร์แสยะยิ้มเล็กน้อย เขาพลักปริภูมิให้กระเด็นออกไปพร้อมกับปลดปล่อยพลังกดดันอย่างรุนแรงออกมา
ปริภูมิเริ่มหายใจไม่ออก… ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยชินกับแรงกดดันมหาศาล เพราะไอ้การที่เขาสู้กับแดเนียลในสมรภูมิอยู่บ่อยๆ ก็ต้องพบเจอกับแรงกดดันแบบนี้อยู่แล้ว แต่เป็นเพราะเขตแดนเวทย์ที่ดูเหมือนจะแย่งเอาอากาศที่เขามีให้หมดลงไปเรื่อยๆ ด้วยเนี่ยสิ
“ใครบอกแกฟระ ฉันเป็นมนุษย์ใสๆ หัวใจเกินร้อยเว้ย!!”
“นายคิดว่าพลังของนายที่เปิดประตูมิติมั่วซั่วได้แบบนั้นเป็นเทคโนโลยีหรือพรสวรรค์รึไง?” เชสเซอร์พูดพร้อมกับเดินเข้ามาหาปริภูมิอย่างช้าๆ “กลิ่นอายเวทมนตร์ฉุนกึกขนาดนั้น คิดว่าจะรอดสายตาฉันไปได้เหรอ?”
“แล้วไงฟระ ตูก็ยังเป็นมนุษย์อยู่ดีเฟ้ย”
“แน่นอน...เป็นมนุษย์...นายก็แค่ อยู่ผิดฝั่งเท่านั้นเอง”
“ว่าไงนะ?”
“สนใจมาร่วมมือกับฉันไหมล่ะปริภูมิ...กลับมาสู่โลกที่นายควรจะอยู่”
“นี่แก….”
……………………………………………………………………………………….
“แล้วยมทูตมาหาฉันทำไมกันล่ะ?”
“เชสเซอร์ฝากคำพูดมาให้นาย...” แกเนียลพูดขึ้นอย่างช้าๆ เขาไม่มีอะไรต้องรีบร้อน ในมือของเขาเคียวเกี่ยววิญญาณกำลังร่ำร้อง กลิ่นอายแห่งความตายหลั่งไหลอัดแน่นจนเต็มห้อง
เวอกัสกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก…..
อายุสั้นลงไปอีกกี่ปีล่ะเนี่ยฉัน…
“โนว ฉันไม่ฟังอ่ะ”
“ห๊ะ?” แดเนียลทำหน้าฉงนกับคำตอบที่ไม่คิดว่าจะได้รับ
“ก็บอกแล้วไงว่าฉันไม่ฟัง”
“แต่เชสเซอร์บอกว่า….” แดเนียลเริ่มลังเล ปฏิกริยาของเวอกัสไม่เห็นเหมือนกับที่เขานึกเอาไว้เลยสักนิด
“บอกว่าอะไรฉันไม่สนหรอก ถ้านายอยากร้องเรียนก็ไปบอกเชสเซอร์เองนู่น” เวอกัสพูดพลางปัดมือไปมา เขาแสร้งทำท่าไม่ยี่หระ ขัดกับเหงื่อที่ไหลซึมกาย
ไอ้บ้าปริภูมิมันสู้กับตัวแบบนี้ไปได้ยังไงเนี่ย
สายตาของเวอกัสกำลังจับจ้องอยู่ที่ไฟสัญญาณสีแดงที่อยู่บนแผงควบคุม แน่นอนว่าสิ่งนั้นเป็นตัวบ่งบอกว่าเตาปฏิกรณ์เทคโนโลยีการวาร์ปจะใช้การได้เมื่อไหร่ เมื่อไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียว แผนที่เขาวางเอาไว้ทั้งหมดก็จะสำเร็จ
แดเนียลที่กำลังลังเล ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี เขาส่ายหัวไปมาเพื่อให้ความคิดฟุ้งซ่านออกจากหัว ก่อนจะนึกได้ว่าเชสเซอร์กำชับนักหนาว่า คำพูดของเขาต่อให้เวอกัสไม่อยากฟัง ก็ต้องบอกออกไปให้ได้
ใบหน้าอันงดงามดั่งสาววัยแรกรุ่นค่อยๆ เรียกความเชื่อมั่นกลับมาทีล่ะน้อย เขาเดินเข้ามาหาเวอกัสอย่างมั่นคง
“เชสเซอร์บอกว่าถึงนายไม่อยากฟังนายก็ต้องฟัง” แดเนียลพูดขึ้นด้วยเสียงเย็นเยียบ
งานเข้าแล้วสิ… เวอกัสจ้องมองไปที่ไฟสีแดงอย่างอดไม่ได้ แล้วภาวนาให้มันเปลี่ยนเป็นสีเขียวเร็วๆ
“เชสเซอร์ฝากมาบอกว่า…..”
เขียวเร็วๆ สิเฮ้ย...
“....”
ทันใดนั้นไฟสีเขียวก็กระพริบขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ เวอกัสพลิกตัวอย่างรวดเร็วก่อนจะกดไปที่ปุ่มสื่อสารกับหยงที่อยู่ข้างล่าง
“หยง! ตอนนี้เลย!!!”
“รุกฆาต!”
สิ้นเสียงเคียวเกี่ยววิญญาณก็หวีดร้องดังสนั่น
………………………………………………………………………………………………….
“ว่ายังไง? สนใจรึเปล่า?” เชสเซอร์เดินเข้ามาหาปริภูมิที่อยู่ในสภาพทุลักทุเล
แม้ว่าร่างกายของเขาจะไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่เมื่อเทียบกับเชสเซอร์ที่ไร้รอยขีดข่วน ก็ดูได้ไม่ยากนักว่าใครกำลังเป็นต่อ
“ถ้าได้ควีนอย่างนายมาอยู่ฝั่งนี้อีกสักตัว สงครามที่ยืดเยื้อกันมานานจะได้จบลงเสียที”
“ควีนอะไรของแกวะ หน้าตาอย่างตูต้องเป็นไนท์สุดหล่อเฟ้ย!” ปริภูมิไม่พูดเปล่า เขาพยุงตัวเองลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ มือของเขาขยับอย่างว่องไวเพื่อสร้างอาวุธขึ้นมาต่อสู้
เชสเซอร์พูดไม่ผิด ปริภูมิเป็นผู้ใช้เวทมนตร์จริงๆ แต่ด้วยการที่เขาไม่ชื่นชอบกับแนวคิดและวิธีการของ Fantasia ทำให้เขาหนีไปอยู่อีกฝ่ายหนึ่งอย่างไม่ลังเล จะอย่างไรก็ตามเวทมนตร์ของเขาถือเป็นหนึ่งในเวทย์ที่หายสาบสูญ ปริภูมิไม่ได้ฝึกฝนด้วยตัวของเขาเอง เขาใช้มหาเวทย์นี้เป็นตั้งแต่กำเนิด พลังเวทย์ที่อัดแน่นในร่างกายเขา มากมายเสียจนพอจะสู้กับแดเนียลได้อย่างสูสี
เชสเซอร์ถอนหายใจเล็กน้อย ท่าทีของปริภูมิต่อต้านเขาอย่างชัดเจน เข้าใจได้ไม่ยากว่าเขาคงไม่มีทางกล่อมแม่ทัพหัวดื้อตรงหน้านี่สำเร็จแน่นอน
และเขาย่อมไม่เสียดายที่จะกำจัดดหมากที่ไม่ได้ใช้แล้วทิ้งไป
“งั้นก็ช่วยไม่ได้แฮะ”เชสเซอร์ร่ายเวทย์เพิ่มความเร็วเพียงเสี้ยววินาทีก่อนจะพุ่งเข้ามาโผล่อยู่ด้านหน้าของปริภูมิ เขาใช้พลังบางอย่างกระชากตัวปริภูมิขึ้นไปบนอากาศ ปริภูมิขัดขืนไม่ได้ดูเหมือนเรียวแรงทั้งหมดของเขาจะถูกดูดออกไปด้วยพลังปริศนานี้
”…ฉันจะทำหลุมฝังศพให้นายอย่างดีเลยล่ะกัน” เชสเซอร์พูดพร้อมกับเพิ่มพลังบีบอัดเข้าไปมากอีกเท่าตัว
ใบหน้าของปริภูมิเริ่มเป็นสีแดงสดใส เขาไม่สามารถหายใจได้อย่างสมบูรณ์แล้ว
แต่ด้วยความเป็นปริภูมิ อย่างน้อยก็ขอให้ได้ด่าศัตรูตรงหน้าด้วยแรงทั้งหมดสักทีก็ยังดี
“ไอ้เวรเอ้ย…”
บรึ้ม!
สิ้นเสียงกัมปนาท ก็เกิดช่องว่างระหว่างมิติโผล่ขึ้นมากลางห้อง นี่ไม่ใช่พลังของปริภูมิแน่นอน เขาไม่สามารถสร้างมิติที่แปลกประหลาดได้ขนาดนี้
เหตุการณ์ทุกอย่างดูเหมือนจะพลิกผัน แดเนียลผู้ง้างเคียวเกี่ยววิญญาณเต็มแรง ออกแรงฟาดจนเสียงดังกึกก้อง เสียงของสายลมที่พัดผ่านเป็นเหมือนเสียงร้องของดวงวิญญาณที่ทุกทรมาณ
แต่เป้าหมายของแดเนียลไม่ใช่เวอกัส…
เวอกัสหายไป คนที่แดเนียลกำลังจะฟาดฟัน
คือเชสเซอร์
“รุกฆาต” เวอกัสเอ่ยเบาๆ อยู่ที่มุมห้อง ร่างของเขาโผล่ออกมาจากช่องว่างระหว่างมิติ
ชั่วพริบตาที่เชสเซอร์กำลังงุนงงอยู่กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เวอกัสทิ้งตัวไปกระชากตัวปริภูมิออกมาจากพลังของเชสเซอร์
ที่เขาสามารถดึงตัวปริภูมิออกมาได้เป็นเพราะเชสเซอร์จำเป็นต้องร่ายมหาเวทย์ดูดวิญญาณเพื่อรับมือกับเคียวของแดเนียล
แดเนียลไม่สามารถหยุดการเคลื่อนไหวกลางอากาศได้ แม้เขาจะรู้สึกตัวแล้วว่ากำลังจะฆ่าสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าเพื่อนของเขา
เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งวินาที
เชสเซอร์ใช้สายตาเหลือบมองเวอกัสที่กำลังช่วยเหลือปริภูมิออกไปทางช่องว่างระหว่างมิติ เขาไม่สามรถมองเห็นถึงดวงตาสีเขียวแวววับคู่นั้นได้ แน่นอนว่าเวอกัสย่อมไม่มีทางให้เขาได้มองเห็นแน่นอนอยู่แล้ว
สิ่งที่เชสเซอร์เห็นเป็นครั้งสุดท้ายคือร้อยยิ้มอันแสนชั่วร้ายของเวอกัส
ช่องว่างระหว่างมิติปิดลง พร้อมกับเคียวของแดเนียถูกมหาเวทย์ของเชสเซอร์หยุดเอาไว้ได้ แรงกดดันที่มีเพียงพอจะทำให้เขตแดนที่เชสเซอร์กางเอาไว้พังทลายลง
“ร้ายกาจจริงๆ..”
เชสเซอร์อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากชม ศัตรูคู่ฟ้าของเขาตลอดกาล
เวอกัส...
……………………………………………………………………………………….
“นี่แกใช้ตูออกไปตายนี่หว่าเฮ้ย!” ปริภูมิบ่นอุบ เขากำลังนอนอยู่บนเครื่องรักษาพยาบาลที่ทันสมัยที่สุดเท่าที่มีใน Metropolis เครื่องรักษาพลังงานควอนตั้มฟิสิกส์ที่ทำให้เวอกัสมองเห็นถึงอาการบาดเจ็บและพลังเวทย์ที่ยังคงคั่งค้างอยู่ในตัวปริภูมิ
เวอกัสกำลังป้อนข้อมูลการรักษาอย่างเร่งด่วนผ่านจอโฮโลแกรม เพราะเจ้าเครื่องนี้กำลังส่งสัญญาณว่าปริภูมิมีอันตรายถึงชีวิต
“นายก็ไม่ตายไม่ใช่เรอะ…” เวอกัสค้นหาถึงต้นตอของสาเหตุแต่ก็ไม่พบ เขาได้ลองใส่ค่าทั้งหมดที่มีเกี่ยวกับเวทมนตร์แต่ก็ไม่สามารถหยุดสัญญาณเตือนภัยนี้ได้ “นี่นายไปเจอกับตัวอะไรมาวะ ทำไมฉันรักษานายไม่ได้!”
ปริภูมิขมวดคิ้วลงเล็กน้อย..
“อ่อ...คงเป็นเจ้าเพลกนั่นล่ะมั้ง”
“เพลก?” เวอกัสเงยหน้าขึ้นมามองปริภูมิ โดยที่ไม่หยุดป้อนคำสั่ง
“ช่าย...กลิ่นของความตายมันพอๆ กับแดเนียลล่ะนะ แต่ก็แตกต่างกันอยู่นิดหน่อย ฉันก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่าแตกต่างกันตรงไหนว่ะ”
เวอกัสได้ยินแบบนั้นจึงได้ทดลองคำนวณค่าเกี่ยวกับเวทย์ความตายใส่ลงไปอย่างครบถ้วน ทำให้เขาเจอต้นตอของปัญหาขึ้นจนได้
“เจอล่ะ...ดูเหมือนอายุของนายจะสั้นลงอีกเป็นปีเลยล่ะนะ” เวอกัสกำจัดเวทย์ตัวที่ว่าออกไป เสียงสัญญาณเตือนหยุดลง เวอกัสปาดเหงื่อพร้อมกับถอนหายใจออกมาเล็กน้อย
“แกก็พอกันแหละว้า” ปริภูมิพูดถึงเหตุการณ์ที่เวอกัสเจอกับแดเนียลตัวเป็นๆ ก่อนหน้านี้เวอกัสไม่เคยลงสมรภูมิการรบด้วยตัวเองแม้แต่ครั้งเดียวทำให้ประสบการณ์ในครั้งนี้ถือเป็นการเอาชีวิตตัวเองเข้ามาเสี่ยงเป็นครั้งแรก
ปริภูมิล้วงมือหยิบชิปขนาดเล็กออกมาจากกระเป๋า แล้วยื่นให้เวอกัส
“เอ้านี่ ข้อมูลที่ฉันเก็บมาได้ ถ้าแกไม่ให้ฉันออกไปบู๊ พวกเราก็คงไม่รู้จริงๆ นั่นแหละว่าไอ้บ้าขี้เก๊กนั่นมีพลังมหาศาลขนาดนี้”
“ฉันถึงได้บอกไงว่ามันเป็นสัตว์ประหลาด อีกอย่างเราก็ได้ของแถมสำคัญเป็นข้อมูลของเจ้าเพลกอะไรนั่นด้วยไม่ใช่เหรอ?”
“ก็งั้นมั้ง…” ปริภูมิลุกออกจากเตียงพยาบาลแล้วบิดตัวไปมา อันที่จริงแล้วปริภูมิต้องถูกทีมแพทย์ของกองทัพตรวจร่างกายอีกร้อยแปดอย่าง แต่เวอกัสอย่างให้เรื่องภารกิจในครั้งนี้เป็นความลับ จึงไม่ได้เอ่ยปากบอกใคร “แล้วนี่หยงไปไหน? ว่าจะไปคุยเรื่องเทคนิคใหม่ๆ ซะหน่อย ฉันต้องเตรียมการรับมือกับไอ้พวกอันตรายนั่นบ้างซะแล้ว”
“อยู่ข้างล่าง จำได้ว่ากำลังตั้งชื่อให้เตาปฏิกรณ์อยู่น่ะ”
“ห๊ะ! ใครบอกให้มันตั้งฟระ! เตานั้นฉันออกแบบสร้างเองนะเฟ้ย!!” ปริภูมิตะโกนลั่น
“แต่เขาก็เป็นคนมาเสร็จงานนะ ในขณะที่นายมัวแต่อู้” เวอกัสเปิดข้อมูลในชิปออกดู
“เชี่ย! รอช้าไม่ได้แล้ว ขืนแม่งสลักชื่อลงที่เตาจะมาลบก็โคตรยากมีหวังได้เปลี่ยนโครงสร้างใหม่หมดแหง”
ไม่รอช้าปริภูมิรีบพุ่งตัวออกไปจากห้องพยาบาลทันที ปล่อยให้เวอกัสจมดิ่งอยู่กับข้อมูลที่อยู่ในชิปขนาดเล็กอันนั้น
เพื่อหาทางรับมือกับสัตว์ประหลาดที่น่ากลัว
เชสเซอร์
…………………………………………………………………………………………..
“ทำไมฉันมาอยู่ที่นี่ล่ะ?” แดเนียลถามขึ้นหลังจากเหตุการณ์สงบลง
เชสเซอร์ใช้เวทมนตร์จัดห้องให้กลับมาเป็นเรียบร้อยเช่นเดิมก่อนจะทิ้งตัวลงบนเก้าอี้นวมตัวโปรดของเขา
“เครื่องวาร์ปล่ะมั้ง ไม่น่าเชื่อว่าจะสร้างได้รวดเร็วขนาดนี้”
“ขอโทษนะเชส…..” แดเนียลก้มหน้าสำนึกผิด เขารู้ดีว่าครั้งนี้แดเนียลหลงกลข้าศึกเข้าเต็มเปา
เชสเซอร์ยิ้มเล็กน้อย…เขาไม่ว่าอะไรแดเนียล เพราะการที่แดเนียลทำงานพลา่ดก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของแผนการเช่นเดียวกัน
“อย่าห่วงไปเลยน่า ฉันประเมินฝ่ายนู้นต่ำไปเองนั่นแหละ” เชสเซอร์กล่าวปลอบใจแดเนียล “เป็นแค่คนธรรมดาสองคนแท้ๆ…”
แดเนียลพยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วย ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ที่ปริภูมิเคยนั่ง แล้วหยิบขนมปังรสเมล่อนออกมากินช้าๆ
เชสเซอร์ถอนหายใจให้กับเหคุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเขาลืมใครบางคนไป
“จริงสิ ฉันต้องไปดูเพลกเสียหน่อย ดูท่าเขาจะผ่านศึกหนักมาล่ะนะ”
“เพลก? นายให้เพลกไปทำอะไรเหรอ?”
“ปล่อยเชื้อร้ายให้กับควีนของอีกฝ่ายไง… แต่ก็นะ ฝั่งนู้นคงนึกไม่ถึงหรอกมั้ง” เชสเซอร์พูดพลางลุกขึ้นยืน เขากระชับฮู้ดที่อยู่บนหัวให้เข้าที่
แผนการของเขาเป็นไปได้ด้วยดี… สิ่งที่เขาเล็งไว้ตั้งแต่แรก ไม่ใช่เวอกัส
แต่เป็นปริภูมิ
หากปริภูมิยอมย้ายฝั่งมารับใช้เขา เขาก็จะขจัดโรคร้ายที่เพลกแพร่เอาไว้ออกไปให้ แต่ถ้าไม่ ปริภูมิก็ต้องตายด้วยเชื้อโรคร้ายนั้นแน่นอน เชื้อโรคร้ายของเพลก ไม่ใช่สิ่งที่วิทยาการของ Metropolis จะกำจัดออกไปได้ เขาคำนวณแล้วว่าสิ่งที่ฝ่ายนู้นกำจัดได้คงมีเพียงแต่เวทย์แห่งความตายแบบที่แดเนียลมี
แต่นั่นใช้ไม่ได้กับเพลก พลังของเพลกจะไม่ปรากฏขึ้นมาทันที แต่เชสเซอร์การันดีได้เลยว่า ผู้ที่หาญกล้าสู้กับเพลกไม่เคยมีใครรอดชีวิตมาก่อน
ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน
“เชื้อร้าย?” แดเนียลถามขึ้นด้วยความสงสัย
เชสเซอร์ยิ้มให้กับแดเนียล แน่นอนว่าการที่แดเนียลพลาดท่าเสียทีในครั้งนี้จะทำให้เวอกัสและปริภูมิไม่ทันรู้สึกตัวว่าพวกเขากำลังจะเสียกำลังรบสำคัญไป
“ใช่…ร้ายพอที่จะคร่าชีวิตได้ล่ะนะ”
เชสเซอร์พร้อมกับเดินหายไปในเงามืด
…………………………………………………………………………………
ในขณะที่ดวงดารากับลังสาดแสงส่องสว่างอยู่นั้น แสงสีม่วงเข้มก็พุ่งทะยานทะลุไปถึงยอดฟ้า ผ่าก้อนเมฆออกไปไกลสุดลูกหูลูกตา พลังงานที่หนาแน่นบางอย่างปกคลุมยอดเขา Pumpkinz จนมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แรงสั่นสะเทือนมีมากพอจะทำให้ชาวบ้านแถบนั้นต้องอพยพหนี
เสียงสัตว์ประหลาดกรีดร้องคร่ำครวญราวกับนี้เป็นระฆังบ่งบอกถึงยุคใหม่
เชสเซอร์ที่กำลังเดินอยู่บนทางเท้ารู้สึกได้ถึงลางสังหรแห่งความหายนะ พร้อมๆ กับเวอกัสที่กำลังจ้องมองลำแสงสีม่วงผ่านกระจกใสของที่ตั้งกองทัพ
ไม่ว่าแสงสีม่วงนั้นจะเกิดจากอะไร แต่พวกเขาทั้งสองรู้ดีแก่ใจ
ว่านี่จะเป็นจุดเริ่มต้น
ของสงครามที่ทุกคนจะไม่มีวันลืม
ตอนหน้า!! WAR!
“พวกเราจะไม่ยอมตกเป็นเบี้ยล่างของพวกคลั่งไสยศาสตร์อีกต่อไป! ฝ่าย Fantasia ต้องเป็นผู้รับผิดชอบกับความรุนแรงที่เกิดขึ้น!”
………………………………………………………………………………….
“พวกเราเหล่าผู้ศรัทธาในความงดงามของธรรมชาติจะไม่ยอมให้โลกที่เราสร้างขึ้นมาถูกย่ำยีด้วยฝีมือของพวกไร้ยางอาย ฝ่าย Metropolis จะต้องเป็นผู้ชดใช้ให้กับการกระทำในครั้งนี้!!”
………………………………………………………………………………….
“ทางเราฝ่าย Metropolis ขอประกาศอย่างเป็นทางการว่า!”
………………………………………………………………………………….
“ด้วยจิตวิญญาณของเทพเจ้าทั้งปวง ทางเราฝ่าย Fantasia ขอกล่าวว่า!”
………………………………………………………………………………….
“ตั้งแต่วันนี้ไป! / ตั้งแต่บัดนี้ไป!”
………………………………………………………………………………….
“ประเทศของเรา! / อาณาจักรของเรา!”
………………………………………………………………………………….
“จะเข้าสู่!! / จะก้าวสู่!!”
………………………………………………………………………………….
“สงคราม!!!”
….. To be continued.
ความคิดเห็น