คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : [Side story Vol.1] Devil and Monster
ลิ้งค์รูป
http://db.thaianime.net/images/dojinsama/pumpkinznewsvol1.jpg
......................................................................................................................
[Side story Vol.1] Devil and Monster
ท่ามกลางแสงเทียนที่กำลังลุกไหม้ เชสเซอร์นั่งอยู่บนเก้าอี้นวมตัวใหญ่ นัยตาสีแดงเป็นประกายกำลังจดจ่ออยู่กับงานเอกสารสนธิสัญญาสงบศึกตรงหน้า เขาเป็นผู้รณรงค์ให้ชาวเมืองหันมาใช้เทียนมากกว่าจะใช้เวทย์ส่องแสงหรือผลึกคริสตัล หลังจากมีเด็กวัย 12 ปีคนหนึงเกือบเผาบ้านตัวเองไปเพราะกะพลังเวทย์ไม่ถูก แต่ถึงอย่างนั้นชาวบ้านบางคนก็ยังจะใช้สิ่งที่ตนเองถนัดต่อไปอยู่ดี
เสียงประตูเปิดเรียกความสนใจของเชสเซอร์ได้เล็กน้อย เชสเซอร์เหลือบมองด้วยหางตา แดเนียลเดินเข้ามาภายในห้องอย่างเงียบเชียบ แดเนียลเป็นยมทูต เผ่าพันธุ์โบราณ จะว่าแบบนั้นก็ได้ ด้วยพลังอำนาจที่มากเกินกว่ามนุษย์จะเข้าใจได้ เชสเซอร์ก็เลยพาลไม่คิดจะเข้าใจไปซะอย่างงั้น แต่แดเนียลก็ถือเป็นเครื่องยืนยันให้เห็นถึงพลังอำนาจของเวทย์มนตร์ได้เป็นอย่างดี ว่าโลกนี้ไม่ใช่เกิดมาเพื่อเทคโนโลยีอันชั่วร้าย แต่มีสิ่งที่ทรงอำนาจมากกว่ามนุษย์จะจินตนาการถึงดำรงอยู่
มนุษย์ต่างก็อ่อนแอ และต้องการที่พึ่งด้วยกันทั้งนั้น เขาไม่โกรธที่ทางฝ่าย Metropolis เทิดทูนเทคโนโลยีราวกับพระเจ้า เขาออกจะสงสารปนสมเพชอยู่นิดๆ ด้วยซ้ำ การลงลึกถึงความบริสุทธิ์ในจิตใจคงเป็นเรื่องยากเย็นยิ่งสำหรับฝ่ายนั้น
แต่ถึงอย่างไรฝ่ายนั้นก็มีคนที่ทำให้เขาต้องปวดหัวอยู่บ้างเหมือนกัน เชสเซอร์ยกมือขึ้นกุมขมับพร้อมกับถอนหายใจ
คิดแล้วก็ปวดหัวขึ้นมาเลย….
“พลังวิญญาณของนายจะลดลงนะถ้าถอนหายใจ” แดเนียลพูดขึ้นในความเงียบ
“ก็ดี...ตอนฉันตายนายจะได้ไม่ต้องมาเกี่ยววิญญาณฉันไปไง”
“ฉันมองไม่เห็นเส้นชีวิตของนาย… ฉันไม่รู้นายจะตายเมื่อไหร่”
เชสเซอร์ยิ้มให้กับคำพูดของแดเนียลเล็กน้อย เขาวางเอกสารลงก่อนจะเอนพลังผิงพนักเก้าอี้ในท่าทีที่ผ่อนคลายลง เขามองออกไปนอกหน้าต่างก่อนจะค่อยๆ พูดขึ้น
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันล่ะนะ”
“ใช้ลางสังหรณ์ของนายสิ...”
แดเนียลรู้ดีว่าเชสเซอร์มีลางสังหรณ์ที่พิเศษ แม่นยำพอที่จะรู้ว่าตัวเองจะมีอันตรายหรือตายเมื่อไหร่ รวมไปถึงเหตุการณ์แปลกประหลาด ที่เกิดขึ้นในอาณาจักรช่วงนี้ด้วย
“ก็อยากจะใช้อยู่หรอก แต่ลางสังหรของฉันมันดันบอกว่าฉันมีอันตรายตลอดเวลาตั้งแต่เจ้านั่นลืมตาดูโลกแล้วน่ะสิ”
“...ใครเหรอ?”
เชสเซอร์ยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย อันที่จริงเขาไม่ค่อยชอบยิ้มแบบนี้เท่าไหร่ เพราะมันดันเกิดความรู้สึกเหมือนกำลังเลียนแบบเจ้าคนที่ว่านั่้นอยู่
“เวอ….”
…………………………………………………………………………………………
ฮัดชิ้ว!
เวอกัสจามยกใหญ่หลังจากออกมาจากห้องประชุมยุทธศาสตร์และแผนการ ผมสีทองและนัยตาสีเขียวใสกำลังฉายแววสงสัยว่าเขากำลังจะเป็นหวัดรึเปล่า แต่ก็อาจจะเป็นไปได้ เพราะเขาไม่ได้นอนมามากกว่า 48 ชั่วโมงแล้ว
สืบเนื่องมาจากการประชุมหาข้อยุติการสร้างเตาปฏิกรณ์ ดูเหมือนว่าคำพูดของเขาจะดันไปฉีกสนธิสัญญาสงบศึกเมื่อ 500 ปีก่อนซะอย่างนั้น แต่ถ้าของแบบนั้นจะถูกทำลายง่ายดายแบบนี้ เขาก็อยากจะขยำแล้วเผามันซ้ำอีกทีซะเหลือเกิน
Fantasia ไม่มีทางเข้าใจหรอกว่าเทคโนโลยีการวาร์ปนั้นสำคัญแค่ไหน แน่นอนว่าหากมันประสบความสำเร็จในวงกว้าง โลกที่เรารู้จักจะเปลี่ยนไปเลยทีเดียว อีกทั้งยังมีประโยชน์ให้ใช้สอยอีกมากมาย แต่อีกฝ่ายดันมองว่ามันเป็นอันตรายไปซะได้ แม้ทุกวันนี้เทคโนโลยีการวาร์ปจะสามารถใช้งานได้ในระดับหนึ่งแล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีความเสี่ยงสูง อีกทั้งยังถือเป็นเทคโนโลยีที่อณุญาตให้ใช้ได้ในกองทัพเท่านั้น
เวอกัสเดินไปตามทางเดินสีขาวสว่าง พลังงานของ Metropolis เรียกได้ว่าเป็นพลังงานบริสุทธิ์ สามารถใช้พลังงานที่มาจากทรัพยากรได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เรียกได้ว่าไม่เหลือเศษซากแม้แต่ควันก็ยังไม่มี เทคโนโลยีแบบนี้ทำให้ Metropolis ไม่ขาดแคลนพลังงานแม้จะใช้อย่างเต็มที่ไปอีกเป็นแสนล้านปี
“เฮ้ เวอรอด้วยดิวะ!” เสียงโหวกเหวกน่ารำคาญดังขึ้นมาจากข้างหลัง
เวอกัสไม่ต้องหันไปก็พอจะรู้ว่าใครเรียกชื่อเขา นั่นยิ่งทำให้เขาเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นยิ่งกว่าเดิม ก่อนที่เวลาจะมีค่าจะหมดไปกับการปะทะคารมกับไอ้หมอนั่น
“เฮ้ย! จะหนีไปไหนฟระ!” เสียงตะโกนดังขึ้นอีกครั้ง
ชายหนุ่มเจ้าของผมสีเงินเทา นัยตาสีเขียวแบบเดียวกับเขา กำลังเคลื่อนที่เข้ามาอย่างรวดเร็ว ดูจากลักษณะแล้วดูเหมือนไอ้หมอนี่จะใช้พลังพร่ำเพรื่อสร้างโรลเลอร์เบลดขึ้นมาเพื่อวิ่งตามเขาให้ทัน
“บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าใช้พลังพร่ำเพรื่อไง!” เวอกัสหยุดกึกทันที เขาถอนหายใจพลางเอามือนวดขมับเพื่อคลายเคลียด
“มีพลังก็ต้องใช้สิวะ ว่าแต่การประชุมเป็นไงบ้าง” ปริภูมิถามขึ้น
เวอกัสถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนจะมองหน้าปริภูมิ เพราะไอ้เจ้านี่ไม่ยอมเข้าประชุมนั่นแหละ เขาเลยต้องเจอศึกหนักอยู่คนเดียว แต่ถึงจะด่าจะว่ามันเท่าไหร่ไอ้เจ้าคนตรงหน้านี่ก็ไม่รู้สึกอะไรอยู่ดี เพราะงั้นพูดไปก็เหนื่อยเปล่า เวอกัสคิดได้แบบนี้จึงสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดต่อ
“มติส่วนใหญ่ลงความเห็นว่าเราควรเตรียมการรับมือกับสงครามครั้งใหญ่ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจเท่าไหร่หรอกนะ”
“ก็แหงดิ แกเล่นเหยียบหน้าฝ่ายนู้นด้วยคำพูดซะขนาดนั้น”
“กับพวกที่ไม่ฟังแม้กระทั่งเหตุผลฉันไม่เอาตีนเหยียบหน้าจริงๆ ก็ดีแค่ไหนล่ะ”
“ทำเป็นพูดดี จริงๆ แกไม่มีปัญญาทำมากกว่ามั้ง”
“แหงล่ะ ถ้าทำได้ฉันจะมาบ่นอยู่นี่เรอะ ไอ้ตัวประหลาดพวกนั้นใครสู้มันไหวก็ไม่น่าจะใช่คนแล้วอ่ะ” เวอกัสหยุดพูดเล็กน้อยก่อนจะชำเลืองมองมาที่ปริภูมิ
“ตูยังเป็นคนอยู่เฟ้ย เลิกมองด้วยสายตากวนตีนแบบนั้นสักทีได้มะ”
เวอกัสแสยะยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มเดินหน้าต่อ
“แล้วนี่แกกำลังจะไปไหน?”
“หาข้อมูลอะไรนิดหน่อย ฉันคิดว่าสงครามครั้งนี้คงมีอีกหลายตัวแปรที่เราควรจะต้องเตรียมการรับมือเอาไว้ ถ้าใช้หน่วยในกองทัพของเราอย่างเดียวอาจจะไม่พอ แค่มอนสเตอร์ช่วงนี้บ้าคลั่งก็ทำเอากองทัพของเรางานล้นมือแล้ว”
“หมายความว่าแกจะจัดตั้งหน่วยพิเศษ?” ปริภูมิถามขึ้น
“ก็ประมาณนั้น”
“แจ๋วไปเลย! แบบนี้ไอ้โฮโมผมทองม้วนกับไอ้ตาเดียวขี้เก๊กนั่นต้องนึกไม่ถึงแน่ๆ”
เวอกัสได้ยินคำพูดของปริภูมิก็แสยะยิ้มขึ้นเล็กน้อย รอยยิ้มในตอนนี้ของเขาแทบจะเหมือนกับของเชสเซอร์ที่อยู่อีกอาณาจักรหนึ่ง
รอยยิ้มอันชั่วร้าย….
“ฉันไม่คิดว่า สัตว์ประหลาดอย่างเชสเซอร์จะนึกไม่ถึงหรอกนะ”
………………………………………………………………………………………………
“จะตั้งหน่วยพิเศษ?”
“ใช่”
เชสเซอร์ตอบคำถามแดเนียลทันที หลังจากที่เขาประมวลสถานการณ์ออกมาแล้ว การจัดตั้งหน่วยพิเศษที่เคลื่อนไหวได้อย่างอิสระน่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดเท่าที่จะหาได้ หน่วยพิเศษที่ประกอบด้วยผู้คนหลากหลายความสามารถ จะทำให้กองทัพของเขารับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปได้ตลอดเวลา
แน่นอนว่าเขายังมีไพ่ตายเป็นแดเนียลอยู่ พลังในการต่อสู้ของแดเนียลนั้นไร้เทียมทาน แต่นั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้แดเนียลต้องเข้าไปอยู่แนวหน้าในสนามรบ ซึ่งเมื่อก่อนนี้แดเนียลไม่สนใจเท่าไหร่นัก จนกระทั่งทางฝ่าย Metropolis ได้แต่งตั้งแม่ทัพชื่อปริภูมิขึ้นมารับตำแหน่ง ตั้งแต่นั้นมาแดเนียลดูเหมือนจะขันอาสาออกรบเป็นแนวหน้าในภารกิจอันตายต่างๆ ทันที
เชสเซอร์ไม่รู้ว่าทั้งสองฝ่ายมีความบาดหมางอะไรกัน บางทีอาจจะเป็นเพราะเรื่องง่ายๆ อย่างปริภูมิชอบเรียกแดเนียลว่า ‘โฮโมผมทองม้วน’ ก็เป็นได้
แม้ว่าพลังของแดเนียลจะมากมายขนาดไหน แต่ดูเหมือนแม่ทัพอีกฝ่ายก็ใช่ย่อย การที่คนธรรมดาต่อกรกับยมทูตได้ก็น่าเหลือเชื่อพออยู่แล้ว แถมนี่ยังต่อสู้ได้อย่างสูสีอีกต่างหาก แต่ถึงกระนั้นแดเนียลก็ยังถือเป็นกำลังรบหลักสำคัญของ Fantasia เมื่อเกิดสงครามอยู่ดี
คงต้องฝากความหวังเอาไว้ที่นายแล้วล่ะนะแดเนียล…..
“หน่วยพิเศษคืออะไรเหรอ?” แดเนียลถามขึ้นด้วยสายตาใสแบ๋ว
“.....”
…………………………………………………………………………………………………
“โอ้ยยยย น่าเบื่อฉิบบบบ”
ปริภูมิบ่นอุบเมื่อได้ยินคำสั่งของเวอกัส
“อย่างอแงได้ไหม โตเป็นควายอยู่แล้ว” เวอกัสยื่นชิปขนาดจิ๋วให้กับปริภูมิ “เอ้านี่รายชื่อทั้งหมดที่อยากให้นายออกไปสำรวจดู”
ปริภูมิมองชิปในมือตาละห้อย แม้ว่าเขาไม่อยากทำเรื่องน่าเบื่อแบบนี้ แต่เนื่องจากมันเป็นภารกิจก็คงช่วยอะไรไม่ได้ เขารับชิปมาอย่างหงอยๆ ก่อนจะทำหน้าเหมือนเด็กน้อย
“นี่...ขอร้องทีเหอะ มนุษย์กล้ามอย่างนายกับหน้าเด็กน้อยนี่มันโคตรจะไม่เข้ากันเลยนะ” เวอกัสพูดพร้อมกับปัดมือไปมาด้วยความรำคาญ “แล้วก็รีบๆ ออกไปทำงานชดใช้กับที่นายไม่มาประชุมได้แล้ว มัวแต่เล่นอยู่ได้”
ปริภูมิเดินออกไปจากห้องด้วยสีหน้าเศร้าๆ ก่อนเขาจะนึกได้ว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนมีเอเลียนโดนเวอกัสใช้เป็นทาสอยู่ที่อาณาจักรของเขา ดูท่างานที่เขาได้รับจะมีหนทางแห่งความขี้เกียจปูรออยู่ตรงหน้า จึงเดินออกจากห้องไปอย่างอารมณ์ดี
เวอกัสเห็นปริภูมิเปลี่ยนแปลงอารมณ์กระทันหันอดทำสีหน้าเหนื่อยใจไม่ได้ นี่ถ้าเจ้านี่ไม่มีความสามารถพอจะสู้กับยมทูตสุดโหดตัวนั้นได้ เขาคงถีบมันกระเด็นออกไปจากกองทัพนานแล้ว...
เวอกัสสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะหันกลับมาให้สมาธิกับรายชื่อที่ถูกฉายขึ้นโฮโลแกรมตรงหน้า เขากวาดตามองเหล่าบุคคลที่มีความสามารถพร้อมกับแสยะยิ้มน้อยๆ ไปด้วย แสงสีฟ้าที่ส่องตกกระทบใบหน้าของเขาเพิ่มความชั่วร้ายเข้าไปอีกขั้นหนึ่ง
แน่นอนว่าสงครามที่จะเกิดขึ้นครั้งนี้คงไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายสำหรับเขาเท่าไหร่นัก แต่เขาก็ยังยิ้มได้ เพราะเขามีความคิดเช่นเดียวกับเชสเซอร์ ที่กำลังจ้องมองรายชื่อของผู้มีความสามารถที่ถูกเขียนบนกระดาษหนังมังกรด้วยสีหน้ามั่นใจในชัยชนะอย่างเต็มเปี่ยม อยู่ในอาณาจักร Fantasia
พวกเขาทั้งคู่ต่างก็เป็นผู้ที่กำหนดชะตากรรมในสงครามครั้งนี้
แต่เมื่อมีคำว่าสงคราม
ย่อมมีผู้ชนะ
และ
ผู้แพ้……
……………………………………………………………………………………………….
ตอนหน้า!! “Checkmate!!”
“นายมาที่นี่ได้ยังไง?” เชสเซอร์ถามขึ้นด้วยความสงสัย
“มันไม่สำคัญเท่ากับฉันมาทำไมหรอกจริงไหม?” ปริภูมิพูดขึ้นต่อหน้าเชสเซอร์ที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้นวม!!!
…………………………………………
“โฮ่…. เขาว่ากันว่าเจอยมทูตตัวเป็นๆ นี่แสดงว่าฉันต้องตายแน่ๆ แล้วใช่ไหม?” เวอกัสพูดขึ้น
“ก็ประมาณนั้น” แดเนียลพูดขึ้นต่อหน้าเวอกัสในศูนย์บัญชาการกองทัพแห่ง Metropolis!!!
…………………………………………
“เวอกัส ฝากคำทักทายมาน่ะ...เอ….มันบอกว่าอะไรน้า…”
“....”
………………………………………
“เชสเซอร์ฝากคำพูดมาให้นาย...”
“.......”
………………………………………
“อ๋อ….เวอกัสฝากมาบอกว่า….”
………………………………………
“เชสเซอร์ฝากมาบอกว่า…..”
………………………………………
“รุกฆาต!!”
บรึ้ม!!
….. To be continue.
ความคิดเห็น