ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [IRC Project 2.0 beta] Pumpkinz World

    ลำดับตอนที่ #15 : [Side story Vol.1] Devil and Monster

    • อัปเดตล่าสุด 12 มิ.ย. 57


     ข่าวฉบับที่ 1 วันที่ 28 / 4 / 57

    ลิ้งค์รูป

    http://db.thaianime.net/images/dojinsama/pumpkinznewsvol1.jpg

     

     

     

     

     

    ......................................................................................................................

     

    [Side story Vol.1] Devil and Monster

     

    ท่ามกลางแสงเทียนที่กำลังลุกไหม้ เชสเซอร์นั่งอยู่บนเก้าอี้นวมตัวใหญ่ นัยตาสีแดงเป็นประกายกำลังจดจ่ออยู่กับงานเอกสารสนธิสัญญาสงบศึกตรงหน้า เขาเป็นผู้รณรงค์ให้ชาวเมืองหันมาใช้เทียนมากกว่าจะใช้เวทย์ส่องแสงหรือผลึกคริสตัล หลังจากมีเด็กวัย 12 ปีคนหนึงเกือบเผาบ้านตัวเองไปเพราะกะพลังเวทย์ไม่ถูก แต่ถึงอย่างนั้นชาวบ้านบางคนก็ยังจะใช้สิ่งที่ตนเองถนัดต่อไปอยู่ดี

     

    เสียงประตูเปิดเรียกความสนใจของเชสเซอร์ได้เล็กน้อย เชสเซอร์เหลือบมองด้วยหางตา แดเนียลเดินเข้ามาภายในห้องอย่างเงียบเชียบ แดเนียลเป็นยมทูต เผ่าพันธุ์โบราณ จะว่าแบบนั้นก็ได้ ด้วยพลังอำนาจที่มากเกินกว่ามนุษย์จะเข้าใจได้ เชสเซอร์ก็เลยพาลไม่คิดจะเข้าใจไปซะอย่างงั้น แต่แดเนียลก็ถือเป็นเครื่องยืนยันให้เห็นถึงพลังอำนาจของเวทย์มนตร์ได้เป็นอย่างดี ว่าโลกนี้ไม่ใช่เกิดมาเพื่อเทคโนโลยีอันชั่วร้าย แต่มีสิ่งที่ทรงอำนาจมากกว่ามนุษย์จะจินตนาการถึงดำรงอยู่

     

    มนุษย์ต่างก็อ่อนแอ และต้องการที่พึ่งด้วยกันทั้งนั้น เขาไม่โกรธที่ทางฝ่าย Metropolis เทิดทูนเทคโนโลยีราวกับพระเจ้า เขาออกจะสงสารปนสมเพชอยู่นิดๆ ด้วยซ้ำ การลงลึกถึงความบริสุทธิ์ในจิตใจคงเป็นเรื่องยากเย็นยิ่งสำหรับฝ่ายนั้น

     

    แต่ถึงอย่างไรฝ่ายนั้นก็มีคนที่ทำให้เขาต้องปวดหัวอยู่บ้างเหมือนกัน เชสเซอร์ยกมือขึ้นกุมขมับพร้อมกับถอนหายใจ

     

    คิดแล้วก็ปวดหัวขึ้นมาเลย….

     

    พลังวิญญาณของนายจะลดลงนะถ้าถอนหายใจแดเนียลพูดขึ้นในความเงียบ

     

    ก็ดี...ตอนฉันตายนายจะได้ไม่ต้องมาเกี่ยววิญญาณฉันไปไง

     

    ฉันมองไม่เห็นเส้นชีวิตของนายฉันไม่รู้นายจะตายเมื่อไหร่

     

    เชสเซอร์ยิ้มให้กับคำพูดของแดเนียลเล็กน้อย เขาวางเอกสารลงก่อนจะเอนพลังผิงพนักเก้าอี้ในท่าทีที่ผ่อนคลายลง เขามองออกไปนอกหน้าต่างก่อนจะค่อยๆ พูดขึ้น

     

    ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันล่ะนะ

     

    ใช้ลางสังหรณ์ของนายสิ...

     

    แดเนียลรู้ดีว่าเชสเซอร์มีลางสังหรณ์ที่พิเศษ แม่นยำพอที่จะรู้ว่าตัวเองจะมีอันตรายหรือตายเมื่อไหร่  รวมไปถึงเหตุการณ์แปลกประหลาด ที่เกิดขึ้นในอาณาจักรช่วงนี้ด้วย

     

    ก็อยากจะใช้อยู่หรอก แต่ลางสังหรของฉันมันดันบอกว่าฉันมีอันตรายตลอดเวลาตั้งแต่เจ้านั่นลืมตาดูโลกแล้วน่ะสิ

     

    “...ใครเหรอ?”

     

    เชสเซอร์ยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย อันที่จริงเขาไม่ค่อยชอบยิ้มแบบนี้เท่าไหร่ เพราะมันดันเกิดความรู้สึกเหมือนกำลังเลียนแบบเจ้าคนที่ว่านั่้นอยู่

     

    เวอ….”

     

    …………………………………………………………………………………………

     

    ฮัดชิ้ว!

     

    เวอกัสจามยกใหญ่หลังจากออกมาจากห้องประชุมยุทธศาสตร์และแผนการ  ผมสีทองและนัยตาสีเขียวใสกำลังฉายแววสงสัยว่าเขากำลังจะเป็นหวัดรึเปล่า  แต่ก็อาจจะเป็นไปได้ เพราะเขาไม่ได้นอนมามากกว่า 48 ชั่วโมงแล้ว

     

    สืบเนื่องมาจากการประชุมหาข้อยุติการสร้างเตาปฏิกรณ์ ดูเหมือนว่าคำพูดของเขาจะดันไปฉีกสนธิสัญญาสงบศึกเมื่อ 500 ปีก่อนซะอย่างนั้น แต่ถ้าของแบบนั้นจะถูกทำลายง่ายดายแบบนี้ เขาก็อยากจะขยำแล้วเผามันซ้ำอีกทีซะเหลือเกิน

     

    Fantasia ไม่มีทางเข้าใจหรอกว่าเทคโนโลยีการวาร์ปนั้นสำคัญแค่ไหน แน่นอนว่าหากมันประสบความสำเร็จในวงกว้าง โลกที่เรารู้จักจะเปลี่ยนไปเลยทีเดียว อีกทั้งยังมีประโยชน์ให้ใช้สอยอีกมากมาย แต่อีกฝ่ายดันมองว่ามันเป็นอันตรายไปซะได้ แม้ทุกวันนี้เทคโนโลยีการวาร์ปจะสามารถใช้งานได้ในระดับหนึ่งแล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีความเสี่ยงสูง อีกทั้งยังถือเป็นเทคโนโลยีที่อณุญาตให้ใช้ได้ในกองทัพเท่านั้น

     

    เวอกัสเดินไปตามทางเดินสีขาวสว่าง พลังงานของ Metropolis เรียกได้ว่าเป็นพลังงานบริสุทธิ์ สามารถใช้พลังงานที่มาจากทรัพยากรได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เรียกได้ว่าไม่เหลือเศษซากแม้แต่ควันก็ยังไม่มี เทคโนโลยีแบบนี้ทำให้ Metropolis ไม่ขาดแคลนพลังงานแม้จะใช้อย่างเต็มที่ไปอีกเป็นแสนล้านปี

     

    เฮ้ เวอรอด้วยดิวะ!เสียงโหวกเหวกน่ารำคาญดังขึ้นมาจากข้างหลัง

     

    เวอกัสไม่ต้องหันไปก็พอจะรู้ว่าใครเรียกชื่อเขา นั่นยิ่งทำให้เขาเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นยิ่งกว่าเดิม ก่อนที่เวลาจะมีค่าจะหมดไปกับการปะทะคารมกับไอ้หมอนั่น

     

    เฮ้ย! จะหนีไปไหนฟระ!เสียงตะโกนดังขึ้นอีกครั้ง

     

    ชายหนุ่มเจ้าของผมสีเงินเทา นัยตาสีเขียวแบบเดียวกับเขา กำลังเคลื่อนที่เข้ามาอย่างรวดเร็ว ดูจากลักษณะแล้วดูเหมือนไอ้หมอนี่จะใช้พลังพร่ำเพรื่อสร้างโรลเลอร์เบลดขึ้นมาเพื่อวิ่งตามเขาให้ทัน

     

    บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าใช้พลังพร่ำเพรื่อไง!เวอกัสหยุดกึกทันที เขาถอนหายใจพลางเอามือนวดขมับเพื่อคลายเคลียด

     

    มีพลังก็ต้องใช้สิวะ ว่าแต่การประชุมเป็นไงบ้างปริภูมิถามขึ้น

     

    เวอกัสถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนจะมองหน้าปริภูมิ เพราะไอ้เจ้านี่ไม่ยอมเข้าประชุมนั่นแหละ เขาเลยต้องเจอศึกหนักอยู่คนเดียว แต่ถึงจะด่าจะว่ามันเท่าไหร่ไอ้เจ้าคนตรงหน้านี่ก็ไม่รู้สึกอะไรอยู่ดี เพราะงั้นพูดไปก็เหนื่อยเปล่า เวอกัสคิดได้แบบนี้จึงสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดต่อ

     

    มติส่วนใหญ่ลงความเห็นว่าเราควรเตรียมการรับมือกับสงครามครั้งใหญ่ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจเท่าไหร่หรอกนะ

     

    ก็แหงดิ แกเล่นเหยียบหน้าฝ่ายนู้นด้วยคำพูดซะขนาดนั้น

     

    กับพวกที่ไม่ฟังแม้กระทั่งเหตุผลฉันไม่เอาตีนเหยียบหน้าจริงๆ ก็ดีแค่ไหนล่ะ

     

    ทำเป็นพูดดี จริงๆ แกไม่มีปัญญาทำมากกว่ามั้ง

     

    แหงล่ะ ถ้าทำได้ฉันจะมาบ่นอยู่นี่เรอะ ไอ้ตัวประหลาดพวกนั้นใครสู้มันไหวก็ไม่น่าจะใช่คนแล้วอ่ะ”  เวอกัสหยุดพูดเล็กน้อยก่อนจะชำเลืองมองมาที่ปริภูมิ

     

    ตูยังเป็นคนอยู่เฟ้ย เลิกมองด้วยสายตากวนตีนแบบนั้นสักทีได้มะ

     

    เวอกัสแสยะยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มเดินหน้าต่อ

     

    แล้วนี่แกกำลังจะไปไหน?”

     

    หาข้อมูลอะไรนิดหน่อย ฉันคิดว่าสงครามครั้งนี้คงมีอีกหลายตัวแปรที่เราควรจะต้องเตรียมการรับมือเอาไว้ ถ้าใช้หน่วยในกองทัพของเราอย่างเดียวอาจจะไม่พอ แค่มอนสเตอร์ช่วงนี้บ้าคลั่งก็ทำเอากองทัพของเรางานล้นมือแล้ว

     

    หมายความว่าแกจะจัดตั้งหน่วยพิเศษ?” ปริภูมิถามขึ้น

     

    ก็ประมาณนั้น

     

    แจ๋วไปเลย! แบบนี้ไอ้โฮโมผมทองม้วนกับไอ้ตาเดียวขี้เก๊กนั่นต้องนึกไม่ถึงแน่ๆ

     

    เวอกัสได้ยินคำพูดของปริภูมิก็แสยะยิ้มขึ้นเล็กน้อย รอยยิ้มในตอนนี้ของเขาแทบจะเหมือนกับของเชสเซอร์ที่อยู่อีกอาณาจักรหนึ่ง

     

    รอยยิ้มอันชั่วร้าย….

     

    ฉันไม่คิดว่า สัตว์ประหลาดอย่างเชสเซอร์จะนึกไม่ถึงหรอกนะ

     

    ………………………………………………………………………………………………

     

    จะตั้งหน่วยพิเศษ?”

     

    ใช่

     

    เชสเซอร์ตอบคำถามแดเนียลทันที หลังจากที่เขาประมวลสถานการณ์ออกมาแล้ว การจัดตั้งหน่วยพิเศษที่เคลื่อนไหวได้อย่างอิสระน่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดเท่าที่จะหาได้ หน่วยพิเศษที่ประกอบด้วยผู้คนหลากหลายความสามารถ จะทำให้กองทัพของเขารับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปได้ตลอดเวลา

     

    แน่นอนว่าเขายังมีไพ่ตายเป็นแดเนียลอยู่ พลังในการต่อสู้ของแดเนียลนั้นไร้เทียมทาน แต่นั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้แดเนียลต้องเข้าไปอยู่แนวหน้าในสนามรบ ซึ่งเมื่อก่อนนี้แดเนียลไม่สนใจเท่าไหร่นัก จนกระทั่งทางฝ่าย Metropolis ได้แต่งตั้งแม่ทัพชื่อปริภูมิขึ้นมารับตำแหน่ง  ตั้งแต่นั้นมาแดเนียลดูเหมือนจะขันอาสาออกรบเป็นแนวหน้าในภารกิจอันตายต่างๆ ทันที

     

    เชสเซอร์ไม่รู้ว่าทั้งสองฝ่ายมีความบาดหมางอะไรกัน บางทีอาจจะเป็นเพราะเรื่องง่ายๆ อย่างปริภูมิชอบเรียกแดเนียลว่า โฮโมผมทองม้วนก็เป็นได้

     

    แม้ว่าพลังของแดเนียลจะมากมายขนาดไหน แต่ดูเหมือนแม่ทัพอีกฝ่ายก็ใช่ย่อย การที่คนธรรมดาต่อกรกับยมทูตได้ก็น่าเหลือเชื่อพออยู่แล้ว แถมนี่ยังต่อสู้ได้อย่างสูสีอีกต่างหาก แต่ถึงกระนั้นแดเนียลก็ยังถือเป็นกำลังรบหลักสำคัญของ Fantasia เมื่อเกิดสงครามอยู่ดี

     

    คงต้องฝากความหวังเอาไว้ที่นายแล้วล่ะนะแดเนียล…..

     

    หน่วยพิเศษคืออะไรเหรอ?” แดเนียลถามขึ้นด้วยสายตาใสแบ๋ว

     

    “.....”

     

    …………………………………………………………………………………………………

     

    โอ้ยยยย น่าเบื่อฉิบบบบ

     

    ปริภูมิบ่นอุบเมื่อได้ยินคำสั่งของเวอกัส

     

    อย่างอแงได้ไหม โตเป็นควายอยู่แล้วเวอกัสยื่นชิปขนาดจิ๋วให้กับปริภูมิ  เอ้านี่รายชื่อทั้งหมดที่อยากให้นายออกไปสำรวจดู

     

    ปริภูมิมองชิปในมือตาละห้อย แม้ว่าเขาไม่อยากทำเรื่องน่าเบื่อแบบนี้ แต่เนื่องจากมันเป็นภารกิจก็คงช่วยอะไรไม่ได้ เขารับชิปมาอย่างหงอยๆ ก่อนจะทำหน้าเหมือนเด็กน้อย

     

    นี่...ขอร้องทีเหอะ มนุษย์กล้ามอย่างนายกับหน้าเด็กน้อยนี่มันโคตรจะไม่เข้ากันเลยนะเวอกัสพูดพร้อมกับปัดมือไปมาด้วยความรำคาญ แล้วก็รีบๆ ออกไปทำงานชดใช้กับที่นายไม่มาประชุมได้แล้ว มัวแต่เล่นอยู่ได้

     

    ปริภูมิเดินออกไปจากห้องด้วยสีหน้าเศร้าๆ ก่อนเขาจะนึกได้ว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนมีเอเลียนโดนเวอกัสใช้เป็นทาสอยู่ที่อาณาจักรของเขา ดูท่างานที่เขาได้รับจะมีหนทางแห่งความขี้เกียจปูรออยู่ตรงหน้า จึงเดินออกจากห้องไปอย่างอารมณ์ดี

     

    เวอกัสเห็นปริภูมิเปลี่ยนแปลงอารมณ์กระทันหันอดทำสีหน้าเหนื่อยใจไม่ได้ นี่ถ้าเจ้านี่ไม่มีความสามารถพอจะสู้กับยมทูตสุดโหดตัวนั้นได้ เขาคงถีบมันกระเด็นออกไปจากกองทัพนานแล้ว...

     

    เวอกัสสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะหันกลับมาให้สมาธิกับรายชื่อที่ถูกฉายขึ้นโฮโลแกรมตรงหน้า เขากวาดตามองเหล่าบุคคลที่มีความสามารถพร้อมกับแสยะยิ้มน้อยๆ ไปด้วย แสงสีฟ้าที่ส่องตกกระทบใบหน้าของเขาเพิ่มความชั่วร้ายเข้าไปอีกขั้นหนึ่ง

     

    แน่นอนว่าสงครามที่จะเกิดขึ้นครั้งนี้คงไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายสำหรับเขาเท่าไหร่นัก แต่เขาก็ยังยิ้มได้ เพราะเขามีความคิดเช่นเดียวกับเชสเซอร์ ที่กำลังจ้องมองรายชื่อของผู้มีความสามารถที่ถูกเขียนบนกระดาษหนังมังกรด้วยสีหน้ามั่นใจในชัยชนะอย่างเต็มเปี่ยม อยู่ในอาณาจักร Fantasia

     

    พวกเขาทั้งคู่ต่างก็เป็นผู้ที่กำหนดชะตากรรมในสงครามครั้งนี้

     

    แต่เมื่อมีคำว่าสงคราม

     

    ย่อมมีผู้ชนะ

     

    และ

     

    ผู้แพ้……

     

    ……………………………………………………………………………………………….

     

     

     

     

     

     

     

    ตอนหน้า!! “Checkmate!!”

     

    นายมาที่นี่ได้ยังไง?” เชสเซอร์ถามขึ้นด้วยความสงสัย

     

    มันไม่สำคัญเท่ากับฉันมาทำไมหรอกจริงไหม?” ปริภูมิพูดขึ้นต่อหน้าเชสเซอร์ที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้นวม!!!

     

    …………………………………………

     

    โฮ่…. เขาว่ากันว่าเจอยมทูตตัวเป็นๆ นี่แสดงว่าฉันต้องตายแน่ๆ แล้วใช่ไหม?” เวอกัสพูดขึ้น

     

    ก็ประมาณนั้น”  แดเนียลพูดขึ้นต่อหน้าเวอกัสในศูนย์บัญชาการกองทัพแห่ง Metropolis!!!

     

    …………………………………………

     

    เวอกัส ฝากคำทักทายมาน่ะ...เอ….มันบอกว่าอะไรน้า…”

     

    “....”

     

    ………………………………………

     

    เชสเซอร์ฝากคำพูดมาให้นาย...

     

    “.......”

     

    ………………………………………

     

    อ๋อ….เวอกัสฝากมาบอกว่า….”

     

    ………………………………………

     

    เชสเซอร์ฝากมาบอกว่า…..”

     

    ………………………………………

     

    รุกฆาต!!

     

    บรึ้ม!!

     

    ….. To be continue.





    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×