ลำดับตอนที่ #3
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 1 : รังเจเนซิส
บทที่ 1 : รังเจเนซิส
“งานวันนี้มีอะไรล่ะ เมฟิน” เด็กหนุ่มผมดำถามผู้ที่นั่งข้างๆ
เด็กหนุ่มผมสีเทาที่นั่งข้างๆยื่นกระดาษให้ มันเป็นกระดาษที่อธิบายรายละเอียดของงานที่พวกเขาได้รับ “งานทำลายการทดลองวิทยาศาสตร์น่ะ รายละเอียดเค้าว่าไว้งั้น หัวหน้าโดนต้มหรือเปล่าก็ไม่รู้ สมัยนี้ยังเหลือการทดลองที่ไหนเนอะ อัลฟ่า” เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลแดงพูด แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่
“หัวหน้าเค้ารับแต่งานที่น่าเชื่อถือนะ ตั้งแต่กลุ่มเราโดนหลอกเมื่อเดือนที่แล้วไง พอทำงานเสร็จผู้ว่าจ้างก็หายแว่บ กลายเป็นงานฟรีซะ หลังทำงานฟรีครั้งนั้นหัวหน้าก็ออกกฏให้จ่ายเงินครึ่งหนึ่งก่อนว่าจ้างงานตลอดเลย” อัลฟ่าพูดแต่สายตายังจดจ่ออยู่ที่รายละเอียดงาน
“เริ่มงานตอนเที่ยงคืนนี่ ตอนนี้ก็เพิ่งหกโมงเย็นเอง เรากลับไปที่รังของกลุ่มก่อนดีกว่ามั้ย” เมฟินชักชวน
“แต่เรายังไม่สนิทกับคนอื่นๆในกลุ่มเลยนะ เมฟิน เราสองคนเข้ากลุ่มนี่เมื่อสองเดือนที่เพราะหัวหน้าที่เก็บเรามาให้พวกเราเข้าต่างหาก ไม่งั้นเราคงไม่เข้าหรอก” อัลฟ่าแย้งขึ้น
“พูดยังกับหัวหน้าเพิ่งเก็บเรามางั้นแหละ เขาเลี้ยงดูเรามาตั้งแต่เราเป็นเด็กเลยนะ ตอนนี้เราก็16แล้ว ฝีมือเราก็มีแล้ว เขาเลยให้เรามาร่วมกลุ่มปฏิบัติงาน”
“เอางั้นเหรอ ถ้างั้นกลับก็ได้ แต่ฉันมีลางสังหรณ์แปลกๆกับงานนี้แฮะ สงสัยคิดไปเองมั้ง เอ้า!ตัวเองบอกให้กลับยังไม่เห็นลุกเลยนี่ ลุกได้แล้ว!” อัลฟ่าเถียงไม่ขึ้น จึงยอมกลับแต่โดยดี
อัลฟ่าและเมฟินมีอาชีพเป็นนักฆ่า พวกเขาจะรับงานที่เกี่ยวกับการทำลาย การคุ้มกัน การฆ่า และงานจากตลาดมืด โดยผ่านทางนายหน้าของกลุ่ม ซึ่งเป็นคนที่พวกเขาเรียกว่า”หัวหน้า” และเงินที่ได้รับจากการปฏิบัติงานสำเร็จก็จะถูกหัวหน้าเก็บไว้ครึ่งหนึ่งก่อนส่งต่อให้พวกเขา
พ่อแม่ของทั้งสองหายสาบสูญ เมฟินถูกทิ้งตั้งแต่อายุ3ขวบ ส่วนอัลฟ่าก็ถูกทิ้งตอน5ขวบ หัวหน้าเก็บพวกเขาทั้งสองคนได้ จึงนำมาเลี้ยงดูไว้ เมฟินจำเรื่องตอนเด็กไม่ได้เลย แต่อัลฟ่ายังจำได้บ้าง พ่อของเขาถูกคนกลุ่มหนึ่งจับตัวไป เนื่องด้วยเรื่องการทดลองอะไรบางอย่าง และปล่อยเขาทิ้งไว้ข้างถนนเป็นเดือน จนเดินทางผ่านมาและหัวหน้าเก็บไปเลี้ยง
ทั้งสองเริ่มเคลื่อนตัวออกจากโกดังเก่าๆรกรุงรังที่พวกเขาอาศัยอยู่ ไปที่ตลาดสลัม ซึ่งเป็นสถานที่ที่รวมร้านค้าต่างๆในสลัมแห่งนี้
ผู้คนในตลาดสลัมหันมามองพวกเขาเป็นตาเดียวเมื่อเดินผ่าน เพราะในตลาดแห่งนี้ไม่ค่อยมีผู้คนเดินผ่านไปมามากนัก
สักพักพวกเขาก็เดินมาถึงหน้าร้านเหล้าแห่งหนึ่ง ป้ายหน้าร้านเขียนไว้ว่า “Greyhell Cafe” ชื่อร้านถูกตั้งโดยใช้ชื่อกลุ่มของพวกเขาเป็นหลัก กลุ่มของพวกเขาชื่อ”เกรเฮลล์ (นรกทมิฬ)”นั่นเอง
ทั้งสองผลักประตูเข้าไปในร้าน แล้วรีบเดินไปทางบันไดใต้ดินหลังร้าน ฝีเท้าของเมฟินไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาแม้แต่นิดเดียวเพราะถูกฝึกอย่างดีตั้งแต่เด็ก
“กลับมาแล้วเหรอ เด็กๆทั้งหลาย” เสียงชายหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้นเมื่อเห็นพวกเขา
“ปกติไม่เห็นเคยเรียกด้วยเสียงนุ่มๆแบบนี้เลยนี่ กินยาเขย่าขวดหรือเปล่าเนี่ย โฮกี้” เมฟินพูดล้อเลียน เสียงหัวเราะจากคนในกลุ่มที่นั่งอยู่ข้างหลังดังขึ้น
“ปากเก่งนักนะ!” โฮกี้เดินเข้ามากระชากคอเสื้อของเมฟิน เขามองเมฟินอย่างแค้นเคือง
อัลฟ่าทำท่าจะเข้าไปช่วยเมฟิน เขาเห็นเมฟินหยอกล้อโฮกี้จนโดนแกล้งบ่อยแล้วก็จริง เขาก็ยังอยากจะไปช่วยเมฟินอยู่ดี ถึงรู้ว่าสู้ไม่ได้เพราะมีพรรคพวกของโมกี้อยู่เยอะ แต่เพราะเมฟินเป็น”เพื่อนแท้”ของเขา มิตรภาพที่มีกันมากว่าแปดปีไม่ลบเลือนได้ง่ายๆอยู่แล้ว
พรรคพวกของโฮกี้เข้ามาล้อมอัลฟ่าไว้ไม่ให้เข้าไปช่วย ตอนนี้หัวหน้าก็ไม่อยู่ จริงๆแล้วถึงอยู่ก็ไม่ได้สนใจพวกเขามากนัก
พวกที่เข้ามาล้อมอัลฟ่าชักมีดสั้นออกมา อัลฟ่าไม่มีมีดอยู่ในมือ เพราะอัลฟ่าก็ไม่ค่อยชอบใช้อาวุธอยู่แล้ว
“อุตส่าห์เรียกนิ่มๆจะได้ขอเงินง่ายๆแล้วนะ ตั้งแต่สองเดือนที่แกมา แกก็ให้พวกข้าทุกวันอยู่แล้วนี่ ฮ่า ฮ่า” โฮกี้พูดพลางจ้องเมฟินตาไม่กระพริบ
ที่โฮกี้พูดก็เป็นเรื่องจริง วันไหนที่พวกเขาไปปฏิบัติงานเสร็จมา พวกโฮกี้ก็มารุมขู่เอาเงินไปทุกครั้ง ถ้าไม่ให้ก็จะโดนซ้อมแล้วเอาเงินไป
“แกนี่ปากเหม็นจังเลยนะ โฮกี้ สงสัยมีหมาตายอยู่ในปาก ไปให้หมอเอาออกก่อนดีกว่ามั้ง” เมฟินยังกวนประสาทไม่เลิก
“สงสัยไม่เคยตายแฮะ พวกเราจัดการมันให้เต็มที่เลย!” โฮกี้สั่ง แล้วเรียกพรรคพวกแบ่งมาจัดการเมฟินบ้าง
อัลฟ่ารู้สึกแปลกๆตั้งแต่เห็นรายละเอียดงานที่ได้รับการว่าจ้างมา ตอนนี้ในร่างกายเขาเหมือนมีพลังพลุกพล่านอยู่เต็มที่
เขาตัดสินใจเด็ดขาด แหวกวงล้อมเข้าไปชกใส่ท้องของโฮกี้อย่างจัง โฮกี้กระเด็นไปชนกำแพง แล้วปล่อยเมฟินหลุดมือ พรรคพวกของโฮกี้ก็กรูเข้าไปดูโฮกี้กันใหญ่
“หนีเร็ว!” อัลฟ่าร้องบอกเมฟิน ทั้งสองฝ่าวงล้อมรีบวิ่งขึ้นบันไดออกมาจากร้านเหล้าด้วยความรวดเร็ว แล้วจึงหยุดพักที่หน้าผาแห่งหนึ่ง
“นายทำได้ไงเนี่ย ชกโฮกี้จนปลิวไปเลย” เมฟินพูด สีหน้าเขาบ่งบอกว่ากำลังตกตะลึง
“อยู่ๆฉันก็รู้สึกว่ามีพลังขึ้นมาน่ะ ตั้งแต่เห็นรายละเอียดงานนั่นมั้ง ” อัลฟ่ารู้สึกตกใจเช่นกัน ปกติพวกเขาชกคนธรรมดาปลิวอยู่แล้ว แต่นี่เป็นโฮกี้ที่ได้รับการฝึกมาอย่างดี เมื่อวันก่อนเขายังชกโฮกี้แล้วมือเจ็บเองอยู่เลย
“แปลกแฮะ อืม ฉันว่า ถ้าพวกเราไม่ต้องเจอพวกนั้นอีกก็ดีสิ” เมฟินเปลี่ยนเรื่องพูด
“ถ้าฉันหนีไปจากพวกนั้นได้ ฉันก็จะพานายไปด้วยแหละ”
“ฉันก็เหมือนกัน ยังไงเราก็ไม่ทิ้งกันเด็ดขาดนะ!” เมฟินพูดพลางมองดวงดาวบนท้องฟ้า
อัลฟ่าพูดเมื่อคิดถึงเรื่องงานที่ได้รับ “ฉันรู้สึกสังหรณ์ไม่ค่อยดีกับภารกิจนี้เลยแฮะ”
“งั้นเหรอ? ทำไมล่ะ ” เมฟินมองอย่างสงสัย
“ไม่รู้สิ พอฉันหลับตาก็เห็นเป็นสัตว์ประหลาดเขาเดียวลางๆน่ะ มันเป็นเครื่องหมายบอกเหตุอะไรละมั้ง”
“อย่าไปคิดมากน่า เราทำสิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้ดีที่สุดก็พอแล้ว จริงไหม” เมฟินพูดให้กำลังใจด้วยเสียงหนักแน่น
อัลฟ่านึกแปลกใจว่าทำไมเมฟินพูดให้กำลังใจได้ ปกติเอาแต่หยอกล้อคนอื่น แต่ ต่อให้เป็นคนชั่วแค่ไหนก็ต้องมีด้านดีบ้างสินะ
อัลฟ่าเผลอหลับไป เขาฝันว่าเมฟินตาย ร่างถูกฉีกเป็นชิ้นๆ แต่เขาไม่รู้ว่าเมฟินตายได้อย่างไร ใครเป็นคนฆ่าเมฟิน และฆ่าไปเพื่ออะไร เสียงเพลงที่ไพเราะชวนเคลิ้มดังขึ้น สลับกับเสียงเพลงที่ฟังดูน่ากลัวและขนลุก หลายนาทีต่อมาเสียงเพลงก็หยุดลง ข้างหน้ากลายเป็นสีดำ
“เฮ้! ตื่นได้แล้ว ได้เวลาปฏิบัติภารกิจซะที” เสียงเมฟินปลุกอัลฟ่า
อัลฟ่ายังจำฝันนั้นได้ดี เมฟินจะถูกฆ่าตายงั้นเหรอ จะมีอะไรเกิดขึ้นกันแน่ แต่แล้วคำๆหนึ่งก็เข้ามาในใจเขา [เราทำสิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้ดีที่สุดก็พอแล้ว] อัลฟ่ามีความมั่นใจมากขึ้น เขาลุกขึ้นคว้ากระเป๋าสะพายใบเล็กของเขา แล้วจึงออกเดินไปกับเมฟิน
ทั้งสองขึ้นรถไฟขบวนรองสุดท้ายของชานชาลา ขบวนสุดท้ายก็คือขบวนที่พวกเขาจะบังคับคนขับรถไฟมาขับไปส่งตอนขากลับนั่นเอง
เสียงเครื่องยนตร์ของรถไฟดังตลอดทาง อัลฟ่าและเมฟีนไม่พูดอะไรกันบนรถไฟแม้แต่คำเดียว เพราะมีผู้คนบนรถไฟมากผิดปกติ และรถไฟทั้งขบวนเป็นเสมือนห้องเก็บเสียง ถ้าเกิดพูดเรื่องงานออกไปเสียงจะก้องและได้ยินกันทั้งขบวน
เมื่อรถไฟถึงจุดหมาย พวกเขาก็รีบลงจากรถไฟ อัลฟ่าหันไปมองรถไฟที่ประตูกำลังจะปิดอีกครั้ง เขารู้สึกเหมือนจะได้เห็นมันเป็นครั้งสุดท้าย เมฟินที่ออกวิ่งนำไปก่อนร้องเรียกอัลฟ่า เขาจึงรีบลบความคิดที่ไม่เกี่ยวกับงานออกไป แล้วรีบวิ่งตามเมฟินที่วิ่งนำไปแล้ว
“น่าจะเป็นตึกนี้แหละ รายละเอียดสถานที่บอกว่าเป็นตึกที่สูงที่สุดในย่านนี้ ชื่อว่าซีออน ทาวเวอร์” อัลฟ่าพูดพลางมองยอดตึกที่สูงจากพื้นดินกว่าพันเมตร
“งั้นก็เริ่มปฏิบัติการได้ เตรียมอาวุธให้พร้อมนะ เราคงต้องขึ้นจากบันไดนี่แหละ ถ้าขึ้นลิฟต์พวกมันคงรู้ตัวกันพอดี” เมฟินพูด ทั้งสองวิ่งขึ้นบันไดโดยไร้เสียงฝีเท้า
พวกเขาวิ่งมาถึงชั้นหก แล้วจึงพบว่าชั้นหกเป็นสถานที่ทำการทดลอง ชั้นสูงๆขึ้นไปก็คงไม่มีแล้ว เพราะมีเสียงเครื่องไฟฟ้าและแสงไฟที่ชั้นนี้เพียงชั้นเดียว ทั้งสองจึงหลบอยู่หลังบันไดไม่ให้ใครเห็น และคอยสังเกตการณ์ว่ามีใครอยู่ในตึกบ้าง
“มีผู้ชายใส่ชุดเหมือนกับนักวิทยาศาสตร์อยู่คนเดียว ไม่มีทหารอะไรเลยด้วย เราลงมือกันดีกว่า งานของเราคือทำลายการทดลองสินะ” เมฟินพูดขึ้นโดยพินิจจนถี่ถ้วน
เมื่อชายนักวิทยาศาสตร์เผลอ อัลฟ่าก็เคลื่อนที่อย่างรวดเร็วไปจับชายคนนั้นไว้ แล้วเอามีดจ่อคอหอยของเขา
“แกเป็นใคร!” ชายคนนั้นร้องขึ้น
“พวกเราได้รับคำสั่งให้มาทำลายการทดลองนี่ซะ อะ ขืนเล่นอะไรตุกติกล่ะก็ แกตายแน่!” อัลฟ่าขู่เมื่อเห็นชายนักวิทยาศาสตร์พยายามจะหนี
“คิดว่าทำได้งั้นเหรอ? รู้มั้ยล่ะว่าทำไมข้าถึงเฝ้าการทดลองอยู่คนเดียว เพราะคนอื่นโดนเจ้าเจเนซิสของข้าจัดการหมดแล้วน่ะสิ! ฮ่า ฮ่า” ชายคนนั้นกล่าวด้วยเสียงหนักแน่น
“เจเนซิส? ชื่อตัวอะไรหว่า งั้นเดี๋ยวมาลองกันเลยดีกว่า ว่าเจ้าเจเนซิสอะไรนั่นโดนระเบิดแล้วจะเป็นยังไง!” เมฟินแกะสลักระเบิดแล้วโยนเข้าไปในห้องทดลองอย่างคล่องแคล่ว เขาพูดทิ้งท้ายก่อนที่จะวิ่งลงบันได “มันเป็นระเบิดเวลาน่ะ อีกประมาณสิบวินาทีก็บึ้มแล้ว”
เมฟินวิ่งออกมาจากตึกอย่างรวดเร็ว อัลฟ่าวิ่งตามมาติดๆ พร้อมกับลากชายนักวิทยาศาสตร์มาด้วย มีดยังคงจ่ออยู่ที่คอของชายคนนั้น
ตูม!!!! เสียงระเบิดดังขึ้นจากชั้นบนของตึก ป่านนี้ทั้งห้องทดลองคงเละไปแล้ว
“แกทำอะไรลงไปน่ะ! ตอนนี้เจ้าเจเนซิสคงออกมาป้วนเปี้ยนอยู่ชั้นบนแล้ว!”
“งั้นเรอะ เมฟิน นายเฝ้าเจ้านักวิทยาศาสตร์นี่ไว้ล่ะ เดี๋ยวฉันขึ้นไปดูเอง! เราต้องทำงานให้รอบคอบ ตรวจพื้นที่ดูว่าโดนทำลายหมดหรือยัง” อัลฟ่าพูดพลางหยิบปืนกับมีดจากกระเป๋า
เมฟินยื่นมือมากันไว้ “อย่าดีกว่า นายมีลางสังหรณ์ไม่ค่อยดีเกี่ยวกับงานนี้ไม่ใช่เหรอ ฉันจะขึ้นไปจัดการเอง” เขาดึงอาวุธมาจากมืออัลฟ่า แล้ววิ่งไปทางประตูซีออน ทาวเวอร์
“แต่ ” อัลฟ่าร้องห้าม เมฟินได้ยินเสียงก็หยุดวิ่ง แล้วหันมายิ้ม “นายก็รู้ดีนี่ว่าฝีมือฉันขนาดไหน ฉันจะกลับมาแน่ ฉันสัญญา” แล้วเขาจึงรีบวิ่งขึ้นบันได อัลฟ่ายืนมองเขาจนลับสายตา
อัลฟ่านึกถึงสัตว์ประหลาดเขาเดียว เมฟินที่ถูกฉีกเป็นชิ้นๆ ขณะนั้นหนึ่งวินาทีเปรียบเสมือนหนึ่งนาที สิบนาทีเปรียบเสมือนหนึ่งชั่วโมง เมฟินขึ้นตึกไปนานเท่าใดแล้ว อัลฟ่าไม่สนใจ เขาเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อแต่เพียงว่าเมฟินจะกลับมา ก็มันเป็นสัญญานี่นา จะผิดสัญญาได้ยังไงกัน น้ำตาอุ่นๆไหลออกมาจากตาของเขา ถ้าสิ่งที่เขาฝันเป็นเรื่องจริงล่ะ ถ้าเกิดเมฟินตายเหมือนที่ฝันจริงๆล่ะ
“เจ้าหนู เพื่อนนายคงไม่รอดแล้วล่ะ” เสียงนักวิทยาศาสตร์ดังขึ้น ทำให้อัลฟ่าตื่นภวังจากความคิดแล้วเช็ดน้ำตา เขาหันมาสนใจสิ่งที่ชายคนนั้นพูด ชายนักวิทยาศาสตร์พูดต่อ “ฉันชื่อดร.เวเซ่ คูโรเตะ อยากบอกว่านี่ก็ผ่านมาครึ่งชั่วโมงแล้ว ตามสถิติการต่อสู้ของเจเนซิสน่ะ สู้402ครั้ง ชนะหมดทุกครั้ง แถมไม่เคยสู้เกินสิบนาทีเลยสักครั้งด้วย!”
“เรื่องสำคัญแบบนี้ทำไมเพิ่งมาบอก!” อัลฟ่าตะคอกใส่เวเซ่ แล้วรีบวิ่งขึ้นซีออน ทาวเวอร์ เวเซ่ก็วิ่งตามขึ้นมาเหมือนกัน
(อย่าตายนะ) อัลฟ่าคิดในใจตลอดทาง เขารู้สึกถึงพลังบางอย่างที่ดึงดูดเขาให้ขึ้นไปหา
ครู่หนึ่งอัลฟ่ากับเวเซ่ก็ขึ้นมาถึงชั้นหก ทั้งสองเข้าไปในห้องทดลองทันที ภาพข้างหน้าทำให้อัลฟ่าตกตะลึง เวเซ่ที่อยู่ข้างหลังกลับหัวเราะชอบใจ เพราะอัลฟ่าเห็น เมฟินยืนหันหลังให้อัลฟ่า เขากำลังประจันหน้ากับปีศาจร้ายอยู่
มันเป็นสัตว์ประหลาดตัวใหญ่ รูปร่างเหมือนมนุษย์ สองมือ สองขา มีเล็บแหลมคมอยู่ที่นิ้วมือและนิ้วเท้า ตัวสูงประมาณสามเมตร มีเขาสีเงินเป็นประกายงอกออกมาบริเวณหน้าผาก กล้ามเป็นมัดๆของมันแสดงถึงความแข็งแกร่งของร่างกาย มีปีกสีดำคู่หนึ่งที่หลัง เจ้านี่คงเป็นสิ่งมีชีวิตที่เวเซ่เรียกว่า”เจเนซิส”
อัลฟ่าคงไม่ตกตะลึง ถ้ามันมีแค่ตัวเดียว! เจเนซิสสองตัวยืนประจันหน้ากับเมฟิน ตัวหนึ่งสีดำ ตัวหนึ่งสีเทา
เมฟินเสื้อผ้าขาดรุ่ย ร่างกายมีแผลไฟไหม้อยู่เล็กน้อย เศษมีดหักตกอยู่กลางห้อง ปืนที่กระสุนหมดถูกโยนลงพื้น เขาต่อสู้ถ่วงเวลามาจนถึงตอนนี้ได้
“มาแล้วเหรอ อัลฟ่า แค่ก แค่ก” เมฟินพูดแล้วสำลักเลือดออกมา สายตาที่พร่ามัวของเขายังคงจับจ้องศัตรูอยู่ไม่กระพริบ
“ฮ่า ฮ่า ขอชมว่าเจ้าสู้กับเจเนซิสได้ดีมาก ตอนนี้คงสะบักสะบอมไปทั้งตัวแล้วสิ” เวเซ่พูด เสียงหัวเราะของเขาดังก้องไปทั่วห้อง
เจเนซิสสีดำยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วมันก็ยื่นแขนซ้ายชี้ไปข้างหน้า ทั้งสามคนหันมาสนใจเจเนซิสตัวสีดำนั้น
อัลฟ่าสังเกตมือของมันตาไม่กระพริบ (มันจะโจมตีมายังไงนะ ) เขาพยายามกวาดสายตาหาจุดที่ใช้หลบเมื่อเจเนซิสโจมตีมา
“ฉัน คงสู้ต่อไม่ไหวแล้วล่ะ อัลฟ่า ลางสังหรณ์นายแม่นจริงๆ ฉันรักษาสัญญาไม่ได้แล้ว ฝากขอบคุณหัวหน้าที่เก็บฉันมาเลี้ยงด้วยละกัน ” เมฟินพูดจบก็ทรุดตัวลง อัลฟ่ารีบยื่นมือเข้าประคองไว้
เมื่ออัลฟ่าประคองตัวเมฟินขึ้น ก็รู้สึกได้ทันที ตัวเบากว่าปกติ ไม่มีลมหายใจ เลือดไหลออกจำนวนมาก อัลฟ่าได้แต่พูดในใจ (เมฟินตายแล้ว )
แต่ไม่ทันที่อัลฟ่าจะทำอะไร มือของเจเนซิสก็ยืดออกมา มันพุ่งอย่างรวดเร็วราวกับขีปนาวุธ เล็บอันแหลมคมของมันส่องประกาย อัลฟ่ากำลังจะก้าวขาหลบมือนั้น
ฉึก! มือของเจเนซิสพุ่งทะลวงใส่อกของเมฟิน เลือดกระเซ็นออกมาเต็มตัวอัลฟ่า อัลฟ่าตัดใจปล่อยร่างไร้วิญญาณของเมฟินอย่างอาลัย มือปีศาจนั้นยังพุ่งทะลวงตรงเข้าใส่เวเซ่ที่ยืนทำอะไรไม่ถูกต่อ
ฉัวะ! เล็บอันแหลมคมของเจเนซิสตัดร่างเวเซ่บริเวณเอว ส่วนท่อนบนกับท่อนล่างของเวเซ่ขาดออกจากกัน เลือดไหลซึมลงพื้น ท่อนบนของเวเซ่กระเด็นมาทางอัลฟ่า
อัลฟ่าก้าวหลบตัวท่อนบนของเวเซ่ที่กระเด็นมา มันร่วงลงพื้นแล้วหยุดเคลื่อนไหว ส่วนท่อนล่างของเวเซ่ติดอยู่ที่เล็บอันแหลมคมของเจเนซิส
ตูม! ร่างของเมฟินและเวเซ่ที่ติดอยู่กับมือของเจเนซิสก็ระเบิดขึ้น เจเนซิสสามารถสร้างไฟและระเบิดเพลิงได้อย่างอิสระรอบๆตัวของมัน
เลือดกระเด็นไปทั่วห้อง พื้นและผนังห้องทดลองตอนนี้เป็นสีแดงสด มือของเจเนซิสหยุดโจมตีและพุ่งกลับไปกลายเป็นมือธรรมดา เจเนซิสทั้งสองตัวหันมาจ้องที่อัลฟ่าเป็นตาเดียว
อัลฟ่าหันไปทางเวเซ่ เมื่อได้ยินเสียงมือของเวเซ่พยายามเคลื่อนไหว
“จุ ด อ่อ น ขอ ง มั น แค่ก แค่ก” เวเซ่สำลักเลือด แล้วพูดต่อ “อยู่ ที่ ขะ เขา ” เขาพูดแค่นี้ก็เงียบไป
อัลฟ่ารู้ได้ทันที เขาคิดในใจ (เวเซ่ตายอีกคนแล้ว ) แต่อย่างน้อยเวเซ่ก็ยังไม่อยากให้คนอื่นๆเดือดร้อนไปกับเจเนซิสด้วย เขาจึงบอกอัลฟ่าว่าจุดอ่อนของมันอยู่ที่เขาสีเงินบนหน้าผาก
อัลฟ่าครุ่นคิดแผนจัดการเจเนซิสทั้งสองครู่หนึ่ง แล้วเขาก็หยิบปืนในกระเป๋ากางเกงขึ้นมา เล็งปากกระบอกปืนไปข้างหน้า
สายตาของเขาจับจ้องเจเนซิสทั้งสองไม่กระพริบ เมื่อเจเนซิสร่างดำเห็นกระบอกปืนก็ทำท่าจะโจมตีมาเช่นกัน
พริบตาเดียวมือสองข้างของเจเนซิสตัวนั้นก็พุ่งเข้าใส่อัลฟ่า ความเร็วของมันเพิ่มขึ้นกว่าเก่ามาก อัลฟ่าขยับปืน เขาเล็งใส่มือทั้งสองข้างที่พุ่งเข้ามา นิ้วชี้เตรียมลั่นไกปืน
จบ บทที่1
“งานวันนี้มีอะไรล่ะ เมฟิน” เด็กหนุ่มผมดำถามผู้ที่นั่งข้างๆ
เด็กหนุ่มผมสีเทาที่นั่งข้างๆยื่นกระดาษให้ มันเป็นกระดาษที่อธิบายรายละเอียดของงานที่พวกเขาได้รับ “งานทำลายการทดลองวิทยาศาสตร์น่ะ รายละเอียดเค้าว่าไว้งั้น หัวหน้าโดนต้มหรือเปล่าก็ไม่รู้ สมัยนี้ยังเหลือการทดลองที่ไหนเนอะ อัลฟ่า” เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลแดงพูด แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่
“หัวหน้าเค้ารับแต่งานที่น่าเชื่อถือนะ ตั้งแต่กลุ่มเราโดนหลอกเมื่อเดือนที่แล้วไง พอทำงานเสร็จผู้ว่าจ้างก็หายแว่บ กลายเป็นงานฟรีซะ หลังทำงานฟรีครั้งนั้นหัวหน้าก็ออกกฏให้จ่ายเงินครึ่งหนึ่งก่อนว่าจ้างงานตลอดเลย” อัลฟ่าพูดแต่สายตายังจดจ่ออยู่ที่รายละเอียดงาน
“เริ่มงานตอนเที่ยงคืนนี่ ตอนนี้ก็เพิ่งหกโมงเย็นเอง เรากลับไปที่รังของกลุ่มก่อนดีกว่ามั้ย” เมฟินชักชวน
“แต่เรายังไม่สนิทกับคนอื่นๆในกลุ่มเลยนะ เมฟิน เราสองคนเข้ากลุ่มนี่เมื่อสองเดือนที่เพราะหัวหน้าที่เก็บเรามาให้พวกเราเข้าต่างหาก ไม่งั้นเราคงไม่เข้าหรอก” อัลฟ่าแย้งขึ้น
“พูดยังกับหัวหน้าเพิ่งเก็บเรามางั้นแหละ เขาเลี้ยงดูเรามาตั้งแต่เราเป็นเด็กเลยนะ ตอนนี้เราก็16แล้ว ฝีมือเราก็มีแล้ว เขาเลยให้เรามาร่วมกลุ่มปฏิบัติงาน”
“เอางั้นเหรอ ถ้างั้นกลับก็ได้ แต่ฉันมีลางสังหรณ์แปลกๆกับงานนี้แฮะ สงสัยคิดไปเองมั้ง เอ้า!ตัวเองบอกให้กลับยังไม่เห็นลุกเลยนี่ ลุกได้แล้ว!” อัลฟ่าเถียงไม่ขึ้น จึงยอมกลับแต่โดยดี
อัลฟ่าและเมฟินมีอาชีพเป็นนักฆ่า พวกเขาจะรับงานที่เกี่ยวกับการทำลาย การคุ้มกัน การฆ่า และงานจากตลาดมืด โดยผ่านทางนายหน้าของกลุ่ม ซึ่งเป็นคนที่พวกเขาเรียกว่า”หัวหน้า” และเงินที่ได้รับจากการปฏิบัติงานสำเร็จก็จะถูกหัวหน้าเก็บไว้ครึ่งหนึ่งก่อนส่งต่อให้พวกเขา
พ่อแม่ของทั้งสองหายสาบสูญ เมฟินถูกทิ้งตั้งแต่อายุ3ขวบ ส่วนอัลฟ่าก็ถูกทิ้งตอน5ขวบ หัวหน้าเก็บพวกเขาทั้งสองคนได้ จึงนำมาเลี้ยงดูไว้ เมฟินจำเรื่องตอนเด็กไม่ได้เลย แต่อัลฟ่ายังจำได้บ้าง พ่อของเขาถูกคนกลุ่มหนึ่งจับตัวไป เนื่องด้วยเรื่องการทดลองอะไรบางอย่าง และปล่อยเขาทิ้งไว้ข้างถนนเป็นเดือน จนเดินทางผ่านมาและหัวหน้าเก็บไปเลี้ยง
ทั้งสองเริ่มเคลื่อนตัวออกจากโกดังเก่าๆรกรุงรังที่พวกเขาอาศัยอยู่ ไปที่ตลาดสลัม ซึ่งเป็นสถานที่ที่รวมร้านค้าต่างๆในสลัมแห่งนี้
ผู้คนในตลาดสลัมหันมามองพวกเขาเป็นตาเดียวเมื่อเดินผ่าน เพราะในตลาดแห่งนี้ไม่ค่อยมีผู้คนเดินผ่านไปมามากนัก
สักพักพวกเขาก็เดินมาถึงหน้าร้านเหล้าแห่งหนึ่ง ป้ายหน้าร้านเขียนไว้ว่า “Greyhell Cafe” ชื่อร้านถูกตั้งโดยใช้ชื่อกลุ่มของพวกเขาเป็นหลัก กลุ่มของพวกเขาชื่อ”เกรเฮลล์ (นรกทมิฬ)”นั่นเอง
ทั้งสองผลักประตูเข้าไปในร้าน แล้วรีบเดินไปทางบันไดใต้ดินหลังร้าน ฝีเท้าของเมฟินไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาแม้แต่นิดเดียวเพราะถูกฝึกอย่างดีตั้งแต่เด็ก
“กลับมาแล้วเหรอ เด็กๆทั้งหลาย” เสียงชายหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้นเมื่อเห็นพวกเขา
“ปกติไม่เห็นเคยเรียกด้วยเสียงนุ่มๆแบบนี้เลยนี่ กินยาเขย่าขวดหรือเปล่าเนี่ย โฮกี้” เมฟินพูดล้อเลียน เสียงหัวเราะจากคนในกลุ่มที่นั่งอยู่ข้างหลังดังขึ้น
“ปากเก่งนักนะ!” โฮกี้เดินเข้ามากระชากคอเสื้อของเมฟิน เขามองเมฟินอย่างแค้นเคือง
อัลฟ่าทำท่าจะเข้าไปช่วยเมฟิน เขาเห็นเมฟินหยอกล้อโฮกี้จนโดนแกล้งบ่อยแล้วก็จริง เขาก็ยังอยากจะไปช่วยเมฟินอยู่ดี ถึงรู้ว่าสู้ไม่ได้เพราะมีพรรคพวกของโมกี้อยู่เยอะ แต่เพราะเมฟินเป็น”เพื่อนแท้”ของเขา มิตรภาพที่มีกันมากว่าแปดปีไม่ลบเลือนได้ง่ายๆอยู่แล้ว
พรรคพวกของโฮกี้เข้ามาล้อมอัลฟ่าไว้ไม่ให้เข้าไปช่วย ตอนนี้หัวหน้าก็ไม่อยู่ จริงๆแล้วถึงอยู่ก็ไม่ได้สนใจพวกเขามากนัก
พวกที่เข้ามาล้อมอัลฟ่าชักมีดสั้นออกมา อัลฟ่าไม่มีมีดอยู่ในมือ เพราะอัลฟ่าก็ไม่ค่อยชอบใช้อาวุธอยู่แล้ว
“อุตส่าห์เรียกนิ่มๆจะได้ขอเงินง่ายๆแล้วนะ ตั้งแต่สองเดือนที่แกมา แกก็ให้พวกข้าทุกวันอยู่แล้วนี่ ฮ่า ฮ่า” โฮกี้พูดพลางจ้องเมฟินตาไม่กระพริบ
ที่โฮกี้พูดก็เป็นเรื่องจริง วันไหนที่พวกเขาไปปฏิบัติงานเสร็จมา พวกโฮกี้ก็มารุมขู่เอาเงินไปทุกครั้ง ถ้าไม่ให้ก็จะโดนซ้อมแล้วเอาเงินไป
“แกนี่ปากเหม็นจังเลยนะ โฮกี้ สงสัยมีหมาตายอยู่ในปาก ไปให้หมอเอาออกก่อนดีกว่ามั้ง” เมฟินยังกวนประสาทไม่เลิก
“สงสัยไม่เคยตายแฮะ พวกเราจัดการมันให้เต็มที่เลย!” โฮกี้สั่ง แล้วเรียกพรรคพวกแบ่งมาจัดการเมฟินบ้าง
อัลฟ่ารู้สึกแปลกๆตั้งแต่เห็นรายละเอียดงานที่ได้รับการว่าจ้างมา ตอนนี้ในร่างกายเขาเหมือนมีพลังพลุกพล่านอยู่เต็มที่
เขาตัดสินใจเด็ดขาด แหวกวงล้อมเข้าไปชกใส่ท้องของโฮกี้อย่างจัง โฮกี้กระเด็นไปชนกำแพง แล้วปล่อยเมฟินหลุดมือ พรรคพวกของโฮกี้ก็กรูเข้าไปดูโฮกี้กันใหญ่
“หนีเร็ว!” อัลฟ่าร้องบอกเมฟิน ทั้งสองฝ่าวงล้อมรีบวิ่งขึ้นบันไดออกมาจากร้านเหล้าด้วยความรวดเร็ว แล้วจึงหยุดพักที่หน้าผาแห่งหนึ่ง
“นายทำได้ไงเนี่ย ชกโฮกี้จนปลิวไปเลย” เมฟินพูด สีหน้าเขาบ่งบอกว่ากำลังตกตะลึง
“อยู่ๆฉันก็รู้สึกว่ามีพลังขึ้นมาน่ะ ตั้งแต่เห็นรายละเอียดงานนั่นมั้ง ” อัลฟ่ารู้สึกตกใจเช่นกัน ปกติพวกเขาชกคนธรรมดาปลิวอยู่แล้ว แต่นี่เป็นโฮกี้ที่ได้รับการฝึกมาอย่างดี เมื่อวันก่อนเขายังชกโฮกี้แล้วมือเจ็บเองอยู่เลย
“แปลกแฮะ อืม ฉันว่า ถ้าพวกเราไม่ต้องเจอพวกนั้นอีกก็ดีสิ” เมฟินเปลี่ยนเรื่องพูด
“ถ้าฉันหนีไปจากพวกนั้นได้ ฉันก็จะพานายไปด้วยแหละ”
“ฉันก็เหมือนกัน ยังไงเราก็ไม่ทิ้งกันเด็ดขาดนะ!” เมฟินพูดพลางมองดวงดาวบนท้องฟ้า
อัลฟ่าพูดเมื่อคิดถึงเรื่องงานที่ได้รับ “ฉันรู้สึกสังหรณ์ไม่ค่อยดีกับภารกิจนี้เลยแฮะ”
“งั้นเหรอ? ทำไมล่ะ ” เมฟินมองอย่างสงสัย
“ไม่รู้สิ พอฉันหลับตาก็เห็นเป็นสัตว์ประหลาดเขาเดียวลางๆน่ะ มันเป็นเครื่องหมายบอกเหตุอะไรละมั้ง”
“อย่าไปคิดมากน่า เราทำสิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้ดีที่สุดก็พอแล้ว จริงไหม” เมฟินพูดให้กำลังใจด้วยเสียงหนักแน่น
อัลฟ่านึกแปลกใจว่าทำไมเมฟินพูดให้กำลังใจได้ ปกติเอาแต่หยอกล้อคนอื่น แต่ ต่อให้เป็นคนชั่วแค่ไหนก็ต้องมีด้านดีบ้างสินะ
อัลฟ่าเผลอหลับไป เขาฝันว่าเมฟินตาย ร่างถูกฉีกเป็นชิ้นๆ แต่เขาไม่รู้ว่าเมฟินตายได้อย่างไร ใครเป็นคนฆ่าเมฟิน และฆ่าไปเพื่ออะไร เสียงเพลงที่ไพเราะชวนเคลิ้มดังขึ้น สลับกับเสียงเพลงที่ฟังดูน่ากลัวและขนลุก หลายนาทีต่อมาเสียงเพลงก็หยุดลง ข้างหน้ากลายเป็นสีดำ
“เฮ้! ตื่นได้แล้ว ได้เวลาปฏิบัติภารกิจซะที” เสียงเมฟินปลุกอัลฟ่า
อัลฟ่ายังจำฝันนั้นได้ดี เมฟินจะถูกฆ่าตายงั้นเหรอ จะมีอะไรเกิดขึ้นกันแน่ แต่แล้วคำๆหนึ่งก็เข้ามาในใจเขา [เราทำสิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้ดีที่สุดก็พอแล้ว] อัลฟ่ามีความมั่นใจมากขึ้น เขาลุกขึ้นคว้ากระเป๋าสะพายใบเล็กของเขา แล้วจึงออกเดินไปกับเมฟิน
ทั้งสองขึ้นรถไฟขบวนรองสุดท้ายของชานชาลา ขบวนสุดท้ายก็คือขบวนที่พวกเขาจะบังคับคนขับรถไฟมาขับไปส่งตอนขากลับนั่นเอง
เสียงเครื่องยนตร์ของรถไฟดังตลอดทาง อัลฟ่าและเมฟีนไม่พูดอะไรกันบนรถไฟแม้แต่คำเดียว เพราะมีผู้คนบนรถไฟมากผิดปกติ และรถไฟทั้งขบวนเป็นเสมือนห้องเก็บเสียง ถ้าเกิดพูดเรื่องงานออกไปเสียงจะก้องและได้ยินกันทั้งขบวน
เมื่อรถไฟถึงจุดหมาย พวกเขาก็รีบลงจากรถไฟ อัลฟ่าหันไปมองรถไฟที่ประตูกำลังจะปิดอีกครั้ง เขารู้สึกเหมือนจะได้เห็นมันเป็นครั้งสุดท้าย เมฟินที่ออกวิ่งนำไปก่อนร้องเรียกอัลฟ่า เขาจึงรีบลบความคิดที่ไม่เกี่ยวกับงานออกไป แล้วรีบวิ่งตามเมฟินที่วิ่งนำไปแล้ว
“น่าจะเป็นตึกนี้แหละ รายละเอียดสถานที่บอกว่าเป็นตึกที่สูงที่สุดในย่านนี้ ชื่อว่าซีออน ทาวเวอร์” อัลฟ่าพูดพลางมองยอดตึกที่สูงจากพื้นดินกว่าพันเมตร
“งั้นก็เริ่มปฏิบัติการได้ เตรียมอาวุธให้พร้อมนะ เราคงต้องขึ้นจากบันไดนี่แหละ ถ้าขึ้นลิฟต์พวกมันคงรู้ตัวกันพอดี” เมฟินพูด ทั้งสองวิ่งขึ้นบันไดโดยไร้เสียงฝีเท้า
พวกเขาวิ่งมาถึงชั้นหก แล้วจึงพบว่าชั้นหกเป็นสถานที่ทำการทดลอง ชั้นสูงๆขึ้นไปก็คงไม่มีแล้ว เพราะมีเสียงเครื่องไฟฟ้าและแสงไฟที่ชั้นนี้เพียงชั้นเดียว ทั้งสองจึงหลบอยู่หลังบันไดไม่ให้ใครเห็น และคอยสังเกตการณ์ว่ามีใครอยู่ในตึกบ้าง
“มีผู้ชายใส่ชุดเหมือนกับนักวิทยาศาสตร์อยู่คนเดียว ไม่มีทหารอะไรเลยด้วย เราลงมือกันดีกว่า งานของเราคือทำลายการทดลองสินะ” เมฟินพูดขึ้นโดยพินิจจนถี่ถ้วน
เมื่อชายนักวิทยาศาสตร์เผลอ อัลฟ่าก็เคลื่อนที่อย่างรวดเร็วไปจับชายคนนั้นไว้ แล้วเอามีดจ่อคอหอยของเขา
“แกเป็นใคร!” ชายคนนั้นร้องขึ้น
“พวกเราได้รับคำสั่งให้มาทำลายการทดลองนี่ซะ อะ ขืนเล่นอะไรตุกติกล่ะก็ แกตายแน่!” อัลฟ่าขู่เมื่อเห็นชายนักวิทยาศาสตร์พยายามจะหนี
“คิดว่าทำได้งั้นเหรอ? รู้มั้ยล่ะว่าทำไมข้าถึงเฝ้าการทดลองอยู่คนเดียว เพราะคนอื่นโดนเจ้าเจเนซิสของข้าจัดการหมดแล้วน่ะสิ! ฮ่า ฮ่า” ชายคนนั้นกล่าวด้วยเสียงหนักแน่น
“เจเนซิส? ชื่อตัวอะไรหว่า งั้นเดี๋ยวมาลองกันเลยดีกว่า ว่าเจ้าเจเนซิสอะไรนั่นโดนระเบิดแล้วจะเป็นยังไง!” เมฟินแกะสลักระเบิดแล้วโยนเข้าไปในห้องทดลองอย่างคล่องแคล่ว เขาพูดทิ้งท้ายก่อนที่จะวิ่งลงบันได “มันเป็นระเบิดเวลาน่ะ อีกประมาณสิบวินาทีก็บึ้มแล้ว”
เมฟินวิ่งออกมาจากตึกอย่างรวดเร็ว อัลฟ่าวิ่งตามมาติดๆ พร้อมกับลากชายนักวิทยาศาสตร์มาด้วย มีดยังคงจ่ออยู่ที่คอของชายคนนั้น
ตูม!!!! เสียงระเบิดดังขึ้นจากชั้นบนของตึก ป่านนี้ทั้งห้องทดลองคงเละไปแล้ว
“แกทำอะไรลงไปน่ะ! ตอนนี้เจ้าเจเนซิสคงออกมาป้วนเปี้ยนอยู่ชั้นบนแล้ว!”
“งั้นเรอะ เมฟิน นายเฝ้าเจ้านักวิทยาศาสตร์นี่ไว้ล่ะ เดี๋ยวฉันขึ้นไปดูเอง! เราต้องทำงานให้รอบคอบ ตรวจพื้นที่ดูว่าโดนทำลายหมดหรือยัง” อัลฟ่าพูดพลางหยิบปืนกับมีดจากกระเป๋า
เมฟินยื่นมือมากันไว้ “อย่าดีกว่า นายมีลางสังหรณ์ไม่ค่อยดีเกี่ยวกับงานนี้ไม่ใช่เหรอ ฉันจะขึ้นไปจัดการเอง” เขาดึงอาวุธมาจากมืออัลฟ่า แล้ววิ่งไปทางประตูซีออน ทาวเวอร์
“แต่ ” อัลฟ่าร้องห้าม เมฟินได้ยินเสียงก็หยุดวิ่ง แล้วหันมายิ้ม “นายก็รู้ดีนี่ว่าฝีมือฉันขนาดไหน ฉันจะกลับมาแน่ ฉันสัญญา” แล้วเขาจึงรีบวิ่งขึ้นบันได อัลฟ่ายืนมองเขาจนลับสายตา
อัลฟ่านึกถึงสัตว์ประหลาดเขาเดียว เมฟินที่ถูกฉีกเป็นชิ้นๆ ขณะนั้นหนึ่งวินาทีเปรียบเสมือนหนึ่งนาที สิบนาทีเปรียบเสมือนหนึ่งชั่วโมง เมฟินขึ้นตึกไปนานเท่าใดแล้ว อัลฟ่าไม่สนใจ เขาเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อแต่เพียงว่าเมฟินจะกลับมา ก็มันเป็นสัญญานี่นา จะผิดสัญญาได้ยังไงกัน น้ำตาอุ่นๆไหลออกมาจากตาของเขา ถ้าสิ่งที่เขาฝันเป็นเรื่องจริงล่ะ ถ้าเกิดเมฟินตายเหมือนที่ฝันจริงๆล่ะ
“เจ้าหนู เพื่อนนายคงไม่รอดแล้วล่ะ” เสียงนักวิทยาศาสตร์ดังขึ้น ทำให้อัลฟ่าตื่นภวังจากความคิดแล้วเช็ดน้ำตา เขาหันมาสนใจสิ่งที่ชายคนนั้นพูด ชายนักวิทยาศาสตร์พูดต่อ “ฉันชื่อดร.เวเซ่ คูโรเตะ อยากบอกว่านี่ก็ผ่านมาครึ่งชั่วโมงแล้ว ตามสถิติการต่อสู้ของเจเนซิสน่ะ สู้402ครั้ง ชนะหมดทุกครั้ง แถมไม่เคยสู้เกินสิบนาทีเลยสักครั้งด้วย!”
“เรื่องสำคัญแบบนี้ทำไมเพิ่งมาบอก!” อัลฟ่าตะคอกใส่เวเซ่ แล้วรีบวิ่งขึ้นซีออน ทาวเวอร์ เวเซ่ก็วิ่งตามขึ้นมาเหมือนกัน
(อย่าตายนะ) อัลฟ่าคิดในใจตลอดทาง เขารู้สึกถึงพลังบางอย่างที่ดึงดูดเขาให้ขึ้นไปหา
ครู่หนึ่งอัลฟ่ากับเวเซ่ก็ขึ้นมาถึงชั้นหก ทั้งสองเข้าไปในห้องทดลองทันที ภาพข้างหน้าทำให้อัลฟ่าตกตะลึง เวเซ่ที่อยู่ข้างหลังกลับหัวเราะชอบใจ เพราะอัลฟ่าเห็น เมฟินยืนหันหลังให้อัลฟ่า เขากำลังประจันหน้ากับปีศาจร้ายอยู่
มันเป็นสัตว์ประหลาดตัวใหญ่ รูปร่างเหมือนมนุษย์ สองมือ สองขา มีเล็บแหลมคมอยู่ที่นิ้วมือและนิ้วเท้า ตัวสูงประมาณสามเมตร มีเขาสีเงินเป็นประกายงอกออกมาบริเวณหน้าผาก กล้ามเป็นมัดๆของมันแสดงถึงความแข็งแกร่งของร่างกาย มีปีกสีดำคู่หนึ่งที่หลัง เจ้านี่คงเป็นสิ่งมีชีวิตที่เวเซ่เรียกว่า”เจเนซิส”
อัลฟ่าคงไม่ตกตะลึง ถ้ามันมีแค่ตัวเดียว! เจเนซิสสองตัวยืนประจันหน้ากับเมฟิน ตัวหนึ่งสีดำ ตัวหนึ่งสีเทา
เมฟินเสื้อผ้าขาดรุ่ย ร่างกายมีแผลไฟไหม้อยู่เล็กน้อย เศษมีดหักตกอยู่กลางห้อง ปืนที่กระสุนหมดถูกโยนลงพื้น เขาต่อสู้ถ่วงเวลามาจนถึงตอนนี้ได้
“มาแล้วเหรอ อัลฟ่า แค่ก แค่ก” เมฟินพูดแล้วสำลักเลือดออกมา สายตาที่พร่ามัวของเขายังคงจับจ้องศัตรูอยู่ไม่กระพริบ
“ฮ่า ฮ่า ขอชมว่าเจ้าสู้กับเจเนซิสได้ดีมาก ตอนนี้คงสะบักสะบอมไปทั้งตัวแล้วสิ” เวเซ่พูด เสียงหัวเราะของเขาดังก้องไปทั่วห้อง
เจเนซิสสีดำยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วมันก็ยื่นแขนซ้ายชี้ไปข้างหน้า ทั้งสามคนหันมาสนใจเจเนซิสตัวสีดำนั้น
อัลฟ่าสังเกตมือของมันตาไม่กระพริบ (มันจะโจมตีมายังไงนะ ) เขาพยายามกวาดสายตาหาจุดที่ใช้หลบเมื่อเจเนซิสโจมตีมา
“ฉัน คงสู้ต่อไม่ไหวแล้วล่ะ อัลฟ่า ลางสังหรณ์นายแม่นจริงๆ ฉันรักษาสัญญาไม่ได้แล้ว ฝากขอบคุณหัวหน้าที่เก็บฉันมาเลี้ยงด้วยละกัน ” เมฟินพูดจบก็ทรุดตัวลง อัลฟ่ารีบยื่นมือเข้าประคองไว้
เมื่ออัลฟ่าประคองตัวเมฟินขึ้น ก็รู้สึกได้ทันที ตัวเบากว่าปกติ ไม่มีลมหายใจ เลือดไหลออกจำนวนมาก อัลฟ่าได้แต่พูดในใจ (เมฟินตายแล้ว )
แต่ไม่ทันที่อัลฟ่าจะทำอะไร มือของเจเนซิสก็ยืดออกมา มันพุ่งอย่างรวดเร็วราวกับขีปนาวุธ เล็บอันแหลมคมของมันส่องประกาย อัลฟ่ากำลังจะก้าวขาหลบมือนั้น
ฉึก! มือของเจเนซิสพุ่งทะลวงใส่อกของเมฟิน เลือดกระเซ็นออกมาเต็มตัวอัลฟ่า อัลฟ่าตัดใจปล่อยร่างไร้วิญญาณของเมฟินอย่างอาลัย มือปีศาจนั้นยังพุ่งทะลวงตรงเข้าใส่เวเซ่ที่ยืนทำอะไรไม่ถูกต่อ
ฉัวะ! เล็บอันแหลมคมของเจเนซิสตัดร่างเวเซ่บริเวณเอว ส่วนท่อนบนกับท่อนล่างของเวเซ่ขาดออกจากกัน เลือดไหลซึมลงพื้น ท่อนบนของเวเซ่กระเด็นมาทางอัลฟ่า
อัลฟ่าก้าวหลบตัวท่อนบนของเวเซ่ที่กระเด็นมา มันร่วงลงพื้นแล้วหยุดเคลื่อนไหว ส่วนท่อนล่างของเวเซ่ติดอยู่ที่เล็บอันแหลมคมของเจเนซิส
ตูม! ร่างของเมฟินและเวเซ่ที่ติดอยู่กับมือของเจเนซิสก็ระเบิดขึ้น เจเนซิสสามารถสร้างไฟและระเบิดเพลิงได้อย่างอิสระรอบๆตัวของมัน
เลือดกระเด็นไปทั่วห้อง พื้นและผนังห้องทดลองตอนนี้เป็นสีแดงสด มือของเจเนซิสหยุดโจมตีและพุ่งกลับไปกลายเป็นมือธรรมดา เจเนซิสทั้งสองตัวหันมาจ้องที่อัลฟ่าเป็นตาเดียว
อัลฟ่าหันไปทางเวเซ่ เมื่อได้ยินเสียงมือของเวเซ่พยายามเคลื่อนไหว
“จุ ด อ่อ น ขอ ง มั น แค่ก แค่ก” เวเซ่สำลักเลือด แล้วพูดต่อ “อยู่ ที่ ขะ เขา ” เขาพูดแค่นี้ก็เงียบไป
อัลฟ่ารู้ได้ทันที เขาคิดในใจ (เวเซ่ตายอีกคนแล้ว ) แต่อย่างน้อยเวเซ่ก็ยังไม่อยากให้คนอื่นๆเดือดร้อนไปกับเจเนซิสด้วย เขาจึงบอกอัลฟ่าว่าจุดอ่อนของมันอยู่ที่เขาสีเงินบนหน้าผาก
อัลฟ่าครุ่นคิดแผนจัดการเจเนซิสทั้งสองครู่หนึ่ง แล้วเขาก็หยิบปืนในกระเป๋ากางเกงขึ้นมา เล็งปากกระบอกปืนไปข้างหน้า
สายตาของเขาจับจ้องเจเนซิสทั้งสองไม่กระพริบ เมื่อเจเนซิสร่างดำเห็นกระบอกปืนก็ทำท่าจะโจมตีมาเช่นกัน
พริบตาเดียวมือสองข้างของเจเนซิสตัวนั้นก็พุ่งเข้าใส่อัลฟ่า ความเร็วของมันเพิ่มขึ้นกว่าเก่ามาก อัลฟ่าขยับปืน เขาเล็งใส่มือทั้งสองข้างที่พุ่งเข้ามา นิ้วชี้เตรียมลั่นไกปืน
จบ บทที่1
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น