Genocide N Genius วันล้างเผ่าพันธุ์อัจฉริยะ - Genocide N Genius วันล้างเผ่าพันธุ์อัจฉริยะ นิยาย Genocide N Genius วันล้างเผ่าพันธุ์อัจฉริยะ : Dek-D.com - Writer

    Genocide N Genius วันล้างเผ่าพันธุ์อัจฉริยะ

    เมื่อโลกนี้หมดสิ้นแสง ชีวากำลังจะดับสูญ ..เด็กหนุ่มผู้เริ่มก้าวเดินสู่เส้นทางแห่งความตาย จะทำเช่นไร!?

    ผู้เข้าชมรวม

    376

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    376

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  1 พ.ย. 48 / 16:10 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      …แสงสว่าง หายไปจากชีวิตข้าตั้งแต่เมื่อไรกัน

      …กลับมาเถิด แสงสว่าง กลับมาเถิด

      …กลับมาเพื่อนำความมืดทั้งปวงออกไปจากตัวข้า

      …ทำไมกัน ทำไมตัวข้ามีเพียงความมืด กายข้าใกล้ดับสูญแล้วกระนั้นเหรอ

      …ข้าเกลียดตัวเอง ที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความโดดเดี่ยวนี้

      …ข้าเกลียดทุกคน ที่ทำให้ข้ามีชีวิตอยู่เพื่อรอวันดับสูญ ซึ่งจะก้าวเข้ามาในไม่ช้า

      …ข้าเกลียดการดำรงอยู่อันไร้ซึ่งความหวังของตนเอง

      …แต่ข้ากลับกลัวเมื่อจะต้องสูญสลายเป็นเถ้าธุลีในเร็ววัน

      …อนาคตของข้าจะอยู่รอดได้อย่างไร ข้าก็ยังไม่แน่ชัดในใจ…













      Genocide N Genius

      วันล้างเผ่าพันธุ์อัจฉริยะ














      ผมเป็นเด็กชายที่กำพร้าพ่อและแม่ตั้งแต่ผมยังเล็ก เมื่อจำความได้ผมก็มาอยู่ในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าของรัฐบาลเสียแล้ว

      สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งนี้ตั้งอยู่ใจกลางเมืองหลวง เนื่องจากประเทศของเราเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจดีกว่าประเทศเพื่อนบ้าน และยังมีเทคโนโลยีล้ำสมัยกว่าประเทศใด ๆ ในโลก ผู้คนจำนวนมากจากประเทศอื่น ๆ จึงย้ายเข้ามาในประเทศนี้ แน่นอนว่าพวกเขาต้องมาอยู่ในเมืองที่เจริญที่สุดของประเทศ นั่นคือเมืองหลวง

      เมื่อผู้คนจากหลากหลายประเทศเข้ามา ปัญหาเด็กกำพร้าก็เริ่มเยอะขึ้น ปัญหานี้มักจะเกิดขึ้นจากแรงงานต่างชาติ เมื่อทำงานแล้วเกิดมีลูกก็ต้องหาวิธีนำลูกไปไว้ที่อื่น พ่อแม่ทำงานจนไม่มีเวลาดูแลลูก และไม่มีเงินสำหรับเลี้ยงลูก

      เลี้ยงตัวเองก็แทบทำไม่ได้อยู่แล้ว เหตุใดจะต้องสร้างภาระให้ตัวเองอีกเล่า …คนส่วนใหญ่มักคิดเช่นนั้น

      ทางเลือกที่พ่อหรือแม่ของเด็กซึ่งเป็นแรงงานเงินเดือนน้อยจะทำได้ คือ ทิ้งลูกไว้ที่ไหนสักแห่ง หรือ ส่งลูกไปให้คนอื่นเลี้ยง วิธีแรกไม่ค่อยมีคนทำนัก เพราะเท่ากับเป็นการตัดอนาคตของเด็กที่ให้กำเนิดมาโดยสิ้นเชิง ไม่ปล่อยให้เด็กเกิดมาคงจะดีกว่า พวกเขาจึงเลือกวิธีที่สอง ส่งลูกไปสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าของรัฐบาลที่ขึ้นชื่อว่าปลอดภัยกว่าสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าของเอกชนหลายเท่านัก

      สถานรับเลี้ยงเด็กของรัฐบาลมีอยู่ทั่วประเทศ ทำให้เด็กถูกส่งไปคละกันตามที่ต่าง ๆ ผมก็คงได้รับการคละกับเด็กคนอื่น ๆ แต่โชคดีกว่าที่ได้มาอยู่ในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าใจกลางเมือง ทุกสิ่งทุกอย่างของสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งนี้จะใหม่อยู่เสมอ และผนังห้องผนังตึกมีสีสดสวยงามเพราะมีการทาสีใหม่ทุกปี สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าอื่นจะเป็นอย่างไรผมไม่ทราบ แต่ก็ได้ยินข่าวมาบ้างว่าไม่สะดวกสบายเท่าที่นี่ และมีปัญหาเกิดขึ้นบ่อยครั้ง

      เด็กที่อยู่ในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งนี้ มีตั้งแต่เด็กทารก ไปจนถึงเด็กหนุ่มสาวอายุสิบห้าปี เด็กส่วนใหญ่จะกำพร้าพ่อแม่มาตั้งแต่เด็ก มีไม่มากที่ถูกส่งมาเมื่อโตแล้ว ทุกคนที่เข้ามาอยู่ที่นี่ถือว่าอยู่ในครอบครัวเดียวกัน มีอะไรต้องช่วยกันทำ มีขนมก็จะแบ่งปันกันอย่างสม่ำเสมอ

      ในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้ามีหัวหน้าผู้ควบคุมพี่เลี้ยงและเจ้าหน้าที่ต่าง ๆ ซึ่งเด็กทุกคนเรียกหัวหน้าสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าว่า ‘คุณพ่อ’ อาจจะฟังดูธรรมดาถ้าคุณอยู่ในครอบครัวที่มีพ่อและแม่สมบูรณ์พร้อม แต่สำหรับเด็กกำพร้าอย่างพวกเราแล้ว นับว่าเป็นสิ่งที่มีความสำคัญยิ่งในชีวิต มันช่วยให้พวกเราไม่น้อยใจที่เกิดเป็นเด็กกำพร้า เพราะยังมี คุณพ่อ ผู้เปรียบเหมือนบิดาที่แท้จริงของพวกเราอยู่ข้างกาย

      นอกจากคุณพ่อแล้ว ก็มีพี่เลี้ยงและเจ้าหน้าที่รวมกันประมาณสิบกว่าคน ซึ่งโดยปกติพี่เลี้ยงจะเป็นผู้สมัครใจมาช่วยเลี้ยงเด็กด้วยตนเอง หลายคนมาแล้วติดใจก็จะมาอีกบ่อย ๆ จนสนิทสนมและคล้ายกับหลอมรวมเป็นครอบครัวเดียวกับพวกเราไปแล้ว ตัวผมเองไม่มีพี่เลี้ยงที่ชอบเป็นการส่วนตัว เนื่องจากไม่มีพี่เลี้ยงคนไหนมาสนใจผมซึ่งมักนอนอยู่บนเตียงอย่างโดดเดี่ยว

      ไม่ใช่ว่าขาผมขยับไม่ได้จึงต้องนอนบนเตียงตลอดเวลา หากแต่เพราะเมื่อผมลุกไปก็ไม่ได้ทำอะไร ผมจะลุกจากเตียงเมื่อถึงเวลากินข้าวกับเวลาอาบน้ำเท่านั้น เด็กส่วนใหญ่ในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งนี้ไม่สนใจผม และไม่ยอมให้ผมร่วมเล่นเกมหรือร่วมทำกิจกรรมด้วย พวกเขามองว่าผมทำตัวเป็นเด็กมีปัญหา อยู่คนเดียวไม่ยอมคบค้าสมาคม …แล้วพวกเขาเคยหันมาสนใจผมบ้างไหมเมื่อผมต้องการคบค้าสมาคมด้วย น่าจะรู้อยู่แก่ใจตนเองว่าไม่เคยเลยแม้สักครั้งเดียว

      ปีนี้ผมมีอายุครบสิบห้าปี ปีหน้าก็จะไม่ได้อยู่ในสถานที่แห่งนี้แล้ว ไม่ใช่ว่าสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าไม่ให้เด็กอายุมากกว่าสิบห้าปีอาศัย แต่ทุก ๆ วันที่ 5 เดือนพฤษภาคม ของทุกปี จะเป็นวันพิเศษสำหรับเด็กอายุครบสิบห้าปีโดยเฉพาะ โดยผู้จัดคือคณะรัฐบาลของประเทศที่ปกครองประเทศนี้มาหลายสิบปีแล้ว วันพิเศษนั้นมีชื่อเรียกว่า ‘วันสิบห้าปีอัจฉริยะ’ พี่คนหนึ่งในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าเคยเปิดดูประวัติของผม และบอกว่าผมเข้ามาในสถานรับเลี้ยงเด็กแห่งนี้ก่อนจะมีการจัดวันสิบห้าปีอัจฉริยะครั้งแรกเพียงวันเดียว

      วันสิบห้าปีอัจฉริยะ ชื่อฟังแล้วดูดี แต่แท้จริงแล้วก็เป็นวันฆ่าคนดี ๆ นี่เอง เด็กอายุสิบห้าปีทุกคนต้องเข้าร่วมในวันนั้นอย่างไร้ข้อกังขา โดยจะมีทหารมารับเด็กอายุครบสิบห้าปีที่บ้านก่อนจะถึงวันจัดงานหนึ่งวัน แม้จะมีใครคิดหลบหนีก็ไม่มีทางรอดจากการจับกุมไปได้ เนื่องจากทันทีที่รัฐบาลชุดล่าสุดขึ้นทำงานแทนรัฐบาลชุดเก่า พวกเขาก็ปรับให้เด็กที่เพิ่งเกิดทุกคนต้องฝังอุปกรณ์ที่เรียกว่า ‘ไมโครชิพ(Micro chip)’ ลงในตัว และอุปกรณ์ชนิดนี้จะส่งสัญญาณให้รู้ว่ามันอยู่ส่วนไหนของโลก ไม่ว่าจะหนีไปสักเพียงใดก็ต้องโดนตามจับได้ในที่สุด …ในตัวผมก็มีไมโครชิพอยู่เช่นเดียวกับเด็กคนอื่น ๆ และยังเป็นไมโครชิพรุ่นแรกที่ผลิตอีกด้วย

      ทันทีที่พิธีในวันสิบห้าปีอัจฉริยะเริ่มขึ้น พวกเขาก็จะให้เด็กเดินเข้าไปตู้ที่ปิดมิดชิดทีละคน ตู้นั้นมีประตูทางเข้าออกเพียงประตูเดียว รอบข้างทำจากกระจกหนาแบบพิเศษซึ่งไม่มีทางทำลายได้จากภายนอกหรือภายใน ตู้นั้นเมื่อดูไกล ๆ คล้ายกับตู้โทรศัพท์ข้างถนนแต่มีขนาดใหญ่กว่า มันเป็นเครื่องวัดระดับสติปัญญา (IQ) ของเด็ก ถ้าใครมีระดับสติปัญญามากกว่าหรือเท่ากับ 150 ตัวเครื่องก็จะปล่อยแสงเลเซอร์ใส่รอบทิศทาง ทำให้เสียชีวิตโดยไม่เหลือแม้แต่เศษเสี้ยวของอะตอม และไม่มีโอกาสได้กล่าววาจาใด ๆ ก่อนตาย

      เด็กที่จะผ่านออกมาได้โดยไม่โดนฆ่า คือเด็กที่มีระดับสติปัญญาไม่ถึง 150 และรัฐบาลก็จะหาที่อยู่ใหม่ให้เด็กกลุ่มนี้เพื่อฝึกสอนในสิ่งที่เด็กแต่ละคนถนัดโดยเฉพาะ แต่ถ้าเด็กไม่สมัครใจก็สามารถกลับมาใช้ชีวิตอย่างเดิมตามปกติได้ เด็กกลุ่มที่มาจากสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้ามักเลือกที่อยู่ใหม่มากกว่ากลับมาอยู่ในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าซึ่งมีเด็กอาศัยอยู่อย่างแออัด นั่นเป็นเหตุผลที่สถานรับเลี้ยงเด็กแห่งนี้ไม่มีเด็กอายุมากกว่าสิบห้าปีอยู่เลยแม้แต่คนเดียว

      โอกาสที่เด็กอายุสิบห้าปีจะมีระดับสติปัญญาถึง 150 นั้นน้อยเต็มที ตลอดระยะเวลาสิบห้าปีตั้งแต่เริ่มจัดงานนี้มาก็ยังไม่เคยมีปีไหนที่พบเด็กฉลาดขนาดนั้นเกินห้าคนต่อปี ทำให้เด็กส่วนใหญ่เบาใจลงได้ว่าตนเองจะไม่โดนฆ่าในวันสิบห้าปีอัจฉริยะ ถ้าจะมีใครสักคนโดนคงต้องเป็นเด็กที่พิเศษกว่าคนอื่นอย่างแท้จริง

      วันสิบห้าปีอัจฉริยะใกล้เข้ามาทุกขณะ วันนี้เป็นวันที่ 28 เมษายน อีกเพียงสัปดาห์เดียวก็จะถึงวันนั้น เด็กคนอื่น ๆ ต่างคุยเล่นกันอย่างสนุกสนานเนื่องจากคิดว่าตัวเองไม่มีทางโดนฆ่า แต่ผมกลับต้องเคร่งเครียดอยู่ทุกครั้งเมื่อคิดถึงวันนั้น เพราะผมรู้ตัวดีว่าผมจะต้องโดนฆ่าอย่างแน่นอน

      ไม่มีเหตุผลอื่นใดที่ผมจะไม่โดนฆ่า นอกจากผมจะมีระดับสติปัญญาต่ำกว่า 150 ซึ่งมันไม่มีทางเป็นไปได้แม้แต่น้อย อาจเป็นเพราะผู้ที่สร้างผมมาต้องการให้ผมเป็นแบบที่เป็นอยู่นี้ และต้องการให้ผมตายในวันสิบห้าปีอัจฉริยะ

      ผมไม่เคยเชื่อเรื่องพระเจ้า และไม่เคยวิงวอนขอสิ่งใดจากพระเจ้า ผมไม่เชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างโลกและสร้างมนุษย์ เพราะถ้าพระเจ้ามีจริง เหตุใดพระองค์จึงไม่ทำให้ลูก ๆ ของพระองค์มีความสุขกันทุกคนเล่า เหตุใดบุตรบางผู้รวยเป็นเศรษฐีพันล้าน แต่บุตรบางผู้กลับไม่มีเงิน ไร้ซึ่งที่พักพิง ซ้ำยังไม่รู้ว่าพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดเราเป็นใคร เหตุใดพระองค์จึงปล่อยให้ตัวผมต้องทุกข์ถึงเพียงนี้

      เหตุที่ผมมั่นใจนักหนาว่าจะต้องโดนฆ่าในวันสิบห้าปีอัจฉริยะก็เพราะในตัวผมมีบางสิ่งที่แปลกปลอมและแตกต่างจากเด็กคนอื่น ๆ ซึ่งจนบัดนี้ผมก็ยังไม่รู้ว่าใครเป็นคนยัดเยียดมันให้ผม สิ่งแปลกปลอมที่ว่านี้คือ

      “ดวงตายมทูต”

      มันเป็นดวงตาที่ภายนอกเหมือนกับดวงตาธรรมดา แต่แท้จริงแล้วมันทำให้ผมมองเห็นระดับสติปัญญาของเจ้าของลอยอยู่บนหัวคน ๆ นั้น ไม่เว้นแม้แต่ระดับสติปัญญาของตัวผมเอง คนส่วนใหญ่จะมีระดับสติปัญญาอยู่ประมาณหนึ่งร้อย เว้นเสียว่าจะเป็นคนที่พิเศษกว่าคนอื่น ซึ่งระดับสติปัญญาจะเพิ่มลดบางเวลา และเพิ่มหรือลดทีละน้อยเท่านั้น

      ชื่อ ดวงตายมทูต นั้น ผมเป็นคนตั้งเอง เนื่องจากมันทำให้เรารู้ได้ว่าใครจะต้องตายในวันสิบห้าปีอัจฉริยะบ้าง เหมือนกับผมได้เป็นยมทูตผู้คอยเฝ้าดูคนที่จะต้องตายในวันนั้น และดวงตาก็ทำให้ผมได้รู้ว่าตัวผมเองมีระดับสติปัญญาอยู่ระหว่าง 178 – 184 ซึ่งจะขึ้นลงเป็นระยะ แต่ไม่มากหรือน้อยไปกว่านั้น

      ผมเกลียดดวงตานี่ มันทำให้ผมมีความคิดอยากจะดึงลูกตาของตัวเองออกถ้าทำได้ แต่ในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าไม่มีสิ่งของที่จะให้ผมทำการนั้นได้ หรืออาจจะมี แต่จิตใต้สำนึกของผมปฏิเสธที่จะให้ผมกระทำเช่นนั้น ผมพยายามใช้มือ แต่พยายามทำไรก็ไม่สามารถทำได้เช่นกัน

      แม้เมื่อเสียลูกตาไปจะทำให้ดวงตาของผมมืดบอดมองไม่เห็นสิ่งใด แต่มันก็ดีกว่าการปล่อยให้ตัวเองมองเห็นสิ่งที่ไม่อยากเห็น ทั้งระดับสติปัญญาของตัวเองที่ผมแทบบ้าเมื่อได้เห็นมันผ่านกระจกเงา และระดับสติปัญญาของผู้อื่นที่ทำให้เรารู้ว่าใครจะต้องตาย ซึ่งบางคนนั้นผมไม่อยากให้เขาต้องตายเลย

      ตั้งแต่ผมจำความได้ ผมก็มีดวงตานี้อยู่ในครอบครองแล้ว แต่เมื่อครั้งยังเด็กผมไม่เห็นเลขระดับสติปัญญาชัดเท่าตอนนี้ และยังไม่รู้ด้วยว่ามันคือเลขระดับสติปัญญา เมื่อผมโตขึ้นก็ได้รู้ว่ามีวันสิบห้าปีอัจฉริยะอยู่ และผมก็เริ่มสงสัยว่าเลขที่ผมเห็นนั้นเป็นเลขระดับสติปัญญา …จนเกิดเหตุการณ์หนึ่งขึ้น ซึ่งทำให้ผมมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมว่าเลขนั้นคือระดับสติปัญญา

      สามปีก่อน ขณะที่ผมอายุสิบสองปี ขณะนั้นผมยังไม่มีเพื่อนแม้แต่คนเดียว ถ้าจะพูดให้ถูกคือ ผมไม่มีเพื่อนตั้งแต่เข้ามาอยู่ที่นี่แล้ว และปีนั้นเป็นปีที่มีเด็กคนหนึ่งย้ายเข้ามาในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าใหม่พอดี เป็นเด็กชายอายุสิบห้าปีที่เพิ่งสูญเสียพ่อและแม่ไปจากเหตุการณ์ไฟไหม้ เขาเป็นคนเดียวในบ้านที่รอดมาได้ ซึ่งเขาได้เข้ามาคุยกับผม ทำให้ผมรู้ว่าเขาชื่อ เอลวิน

      เอลวินเป็นรุ่นพี่ของผมเพราะอายุมากกว่า และเป็นคนเพียงคนเดียวที่ผมเรียกได้เต็มปากว่า ‘เพื่อน’ พวกเราคุยกันถูกคอ จึงทำให้ผมไม่นอนอยู่แต่บนเตียงอีกต่อไป ช่วงนั้นผมมักเดินไปไหนมาไหนกับเอลวิน เรียกได้ว่าถ้าเจอคนหนึ่ง ก็ต้องเจออีกคนหนึ่งด้วย จนคนอื่น ๆ คิดว่าเราเป็นคู่เกย์ ซึ่งผมไม่ได้ใส่ใจอะไรนักกับคำพูดของผู้ที่มีมิตรสหายอยู่มากมาย ต่างกับผมที่เพิ่งจะมีเพื่อนเป็นคนแรก และทำให้ผมรู้จักคำว่า “เพื่อน” มากขึ้น

      จนวันหนึ่งผมคุยกับเอลวินอย่างลับ ๆ เรื่องดวงตายมทูต ขณะนั้นผมก็ไม่ทราบว่าสิ่งที่เห็นคือเลขของอะไร ผมบอกเขาว่าผมเห็นเลขอะไรในตัวเด็กที่วิ่งเล่นกันอยู่ด้านหลัง แต่ไม่ได้บอกว่าถึงเลขในตัวผมกับตัวเขา เพราะผมคิดตามประสาเด็กว่าถ้าเขาอธิบายเลขนั้นได้ผมอาจจะบอกตัวเลขของเขา และนั่นอาจเป็นการเลือกที่ผิดพลาดที่สุดในชีวิตของผม เมื่อเอลวินอธิบายว่านั่นอาจจะเป็นเลขของระดับสติปัญญา ซึ่งถ้าเด็กอายุสิบห้าปีมีเกินหนึ่งร้อยห้าสิบก็จะโดนฆ่า ตัวเขาต้องเข้าพิธีสิบห้าปีอัจฉริยะในปีนั้นเช่นกัน

      มันทำให้แทบยืนไม่ติดพื้น ผมแน่ใจว่าหูผมไม่ได้เฝื่อน ถ้าใครมีระดับสติปัญญาเกินหนึ่งร้อยห้าสิบจะถูกฆ่า และผมก็แน่ใจว่าตาผมไม่ได้ฝาด …ตัวเลขที่อยู่บนหัวผมตอนนี้คือหนึ่งร้อยแปดสิบ!

      หลังจากนั้นผมก็ไม่พูดเกี่ยวกับเรื่องดวงตายมทูตอีก ทุกครั้งที่เอลวินถาม ผมก็จะพยายามเบี่ยงเบนไปเรื่องอื่น ซึ่งเอลวินก็จะคล้อยตามไปทุกครั้ง วันสิบห้าปีอัจฉริยะของปีนั้นใกล้เข้ามาทุกที เอลวินบอกว่าตื่นเต้นมากกับพิธีนั้น เพราะเขาลุ้นว่าตัวเองจะมีระดับสติปัญญาสักเท่าไร เขาบอกอีกว่าถ้าเขาถูกฆ่าเพราะมีระดับสติปัญญาเกินร้อยห้าสิบก็ถือว่าคุ้มค่ากับที่ได้ใช้ชีวิตในร่างอันแสนฉลาดนี้มาสิบห้าปี

      และแล้วก่อนวันสิบห้าปีอัจฉริยะหนึ่งวันก็มีทหารมารับตัวเด็กอายุสิบห้าปีที่หน้าสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า ซึ่งเด็กอายุสิบห้าปีในสถานรับเลี้ยงเด็กแห่งนี้มีไม่มากนัก ผมนับได้ราว ๆ สิบคน ผมเดินไปส่งเอลวินถึงหน้าประตูเหล็กของสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า ผมพยายามยิ้มให้ดูมีความสุขที่สุด ทั้งที่ขณะนั้นใจของผมมันบอบช้ำอย่างมหาศาล เอลวินยิ้มตอบผมอย่างอ่อนโยน ก่อนจะตีสีหน้าเคร่งเครียด และพูดกับผมประโยคหนึ่ง

      “นายเห็นอะไรในตัวฉันกันแน่ ซอร์ด” สิ้นเสียงเอลวินก็เดินจากไป ทิ้งให้ผมยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยว ซอร์ด คือชื่อจริงของผมซึ่งเอลวินมักเรียกผมแบบนั้นอยู่เสมอ ต่างกับคนอื่น ๆ ที่จะเรียกนามสกุลของผมแทน

      แม้อากาศโดยรอบจะหนาวเพราะช่วงนั้นเป็นช่วงเหมันตฤดู หิมะตกโปรยปรายอย่างเชื่องช้าราวกับจะทำให้เวลาขณะนั้นเคลื่อนช้าลง แต่ตัวผมกลับร้อนรุ่มอยู่ในจิตใจ นึกโกรธแค้นตัวเอง อยากฆ่าตัวตายในเวลานั้นโดยไม่ต้องรอให้ต้องโดนฆ่าในวันสิบห้าปีอัจฉริยะที่จะต้องเข้าร่วมเมื่อผมอายุครบสิบห้าปี

      จากวันนั้นถึงวันนี้เกือบสามปีแล้ว เหลืออีกเพียงอาทิตย์เดียวเท่านั้น ความโกรธและแค้นเคืองตัวเองไม่ได้มอดลงไปแม้แต่น้อย ผมไม่อยากปล่อยให้เอลวินไปโดยที่ยังไม่ได้พูดบางเรื่องกับเขา แม้คำพูดสุดท้ายของเขาอาจจะหมายถึงว่าเขารู้เรื่องนั้นแล้วก็เถอะ แต่ถ้าย้อนเวลากลับได้ผมก็อยากตะโกนบอกเขาให้เต็มเสียงว่า…

      “เลขหนึ่งร้อยเก้าสิบแปดลอยอยู่บนหัวนาย!!!”

      …เพราะผมพลาดไปวันนั้นแท้ ๆ ถ้าผมบอกเขาเร็วกว่านั้นก็คงจะทำให้อะไร ๆ มันดีขึ้นมาบ้าง เราอาจจะหาทางหนีจากวันสิบห้าปีอัจฉริยะ …และไม่ใช่แค่นั้น เราอาจจะหนีออกจากประเทศนี้และไม่โดนตามจับก็ได้ นั่นหมายความว่าผมและเอลวินก็จะอยู่กันอย่างสงบสุข ไม่ต้องเกิดการสูญเสียอีกต่อไป

      แสงอาทิตย์ยามอัสดงซึ่งมองผ่านหน้าต่างนั้นดูน่าเศร้านัก ดวงตะวันกำลังจะเคลื่อนออก และดวงจันทร์เคลื่อนเข้าแทนที่ เราจะไม่เห็นดวงตะวันไปอีกหลายชั่วโมง จนกว่าจะรุ่งสางจึงพอเห็นแสงตะวันโผล่พ้นขอบฟ้า ผมคิดว่าดวงอาทิตย์โชคดีที่ไม่มีวันดับสูญ …หรืออาจจะมี แต่คงอีกนานนั่นแหละ ดวงอาทิตย์ขึ้นและลงไปเรื่อย ๆ ทุกวัน ผ่านกาลสมัยของมนุษย์มานับหมื่นนับล้านปี แต่มันก็ไม่เคยหายไปชั่วนิจนิรันดร์ มิเคยดับมอดแม้สักครั้ง

      ผมรู้สึกอิจฉาดวงอาทิตย์เหลือเกิน ที่มันมีชีวิตเป็นอมตะ และมีพลังแห่งแสงสว่างไปตราบนานเท่านาน ต่างกับมนุษย์อย่างผม เอลวิน และคนอื่นๆ ซึ่งไม่มีร่างกายอันเป็นอมตะนิรันดร์ ต้องใช้ชีวิตล่องลอยไปตามสายธารแห่งความสุข ความทุกข์ ความเศร้า ซึ่งคละเคล้าปนเปกันไปไม่จบสิ้น และสุดท้ายไฟแห่งชีวิตก็ถึงเวลาที่ต้องมอดดับลงอย่างไม่มีวันหวนกลับ

      ผมใช้ชีวิตอยู่บนเตียง คิดอย่างไร้แก่นสารไปเรื่อย จนถึงหนึ่งวันก่อนที่จะมีวันสิบห้าปีอัจฉริยะ เช้าวันนี้ผมตื่นมาโดยทำใจให้สบายที่สุด พยายามไม่คิดถึงเรื่องอันอกุศล ซึ่งรวมถึงเรื่องของเอลวินเพื่อนรักของผมที่ต้องจากไปในวันพรุ่งนี้เมื่อสามปีก่อนด้วย ตอนเย็นจะมีทหารมารับเราที่หน้าสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า ส่วนช่วงเช้านี้คุณพ่อได้นัดให้เด็กอายุสิบห้าปีทุกคนมารวมตัวกัน คุณพ่อจะทำอย่างนี้ทุกปี และผมไม่ได้สนใจมากนัก วันนี้ผมจะได้รู้เสียทีว่าคุณพ่อเรียกเรามารวมตัวกันเพื่ออะไรกันแน่

      “สวัสดีลูก ๆ ทุกคน พ่อคิดว่าทุกคนคงรู้แล้วว่าเย็นนี้จะมีทหารมารับพวกลูกเพื่อไปเตรียมตัวสำหรับเข้าร่วมวันสิบห้าปีอัจฉริยะ” คุณพ่อกล่าวเสียงอ่อนโยนเมื่อเห็นว่าเด็กอายุสิบห้าในสถานรับเลี้ยงเด็กมารวมกันครบแล้ว

      “พ่ออยากให้ลูกๆ ตั้งสติให้ดี เพราะพรุ่งนี้จะเป็นวันพลิกผันชีวิตครั้งใหญ่ของลูก …ถ้าลูกอยากจะไปเรียนต่อกับรัฐบาล พ่อก็ไม่ว่าอะไร พ่อคิดว่ามันดีด้วยซ้ำ ที่ไม่ต้องมาใช้ชีวิตอยู่ในที่ซึ่งไม่มีอะไรสอนลูกๆ แบบนี้” คุณพ่อพูดตัดพ้อ ผมสังเกตเห็นเด็กหญิงบางคนที่นั่งอยู่กำลังร้องไห้ ผมพอเข้าใจอยู่ว่ามันเป็นเรื่องน่าเศร้า แต่ชีวิตของผมจำต้องเดินไปข้างหน้า แม้มันจะไม่สามารถเลือกได้ก็ตาม

      เสียงร้องไห้เริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ คุณพ่อกระแอมทีหนึ่ง ก่อนจะกล่าวต่อ

      “ฉะนั้นวันนี้ขอให้ลูก ๆ คิดถึงเรื่องที่ผ่านมา เหตุการณ์ไหนน่าจดจำที่สุดเมื่อลูกอยู่ที่นี่ และเหตุการณ์ไหนน่าสะเทือนใจที่สุดเมื่อลูกอยู่ที่นี่ วันพรุ่งนี้สถานที่แห่งนี้จะไม่ใช่ที่อยู่ของพวกลูกต่อไป …ที่ที่ลูกต้องอยู่คือโลกภายนอกอันกว้างใหญ่ไพศาลต่างหาก” เมื่อคุณพ่อพูดถึงตรงนี้ น้ำใส ๆ ก็ไหลออกมาจากดวงตาของท่าน แต่กระนั้นคุณพ่อก็ยังพยายามเปิดปากพูดต่อ

      ผมรู้สึกว่าขณะนี้มีน้ำอุ่น ๆ คลออยู่ที่เบ้าตาผมเช่นกัน ผมไม่รู้ว่ามันมาจากไหน รู้เพียงว่าคำพูดของคุณพ่อช่างสะเทือนใจผมเหลือเกิน ‘ที่ที่ลูกต้องอยู่คือโลกภายนอกอันกว้างใหญ่ไพศาล’ ประโยคนี้ของท่านเหมือนกับขับไสไล่ส่งให้พวกเราไปที่อื่น ผมทราบดีว่าท่านไม่เจตนาไล่พวกเรา แต่ท่านต้องการให้พวกเราได้อยู่ในที่ดี ๆ มากกว่านี้ ผมรู้สึกภูมิใจในตัวคุณพ่อมาก ผมลองคิดดูว่าถ้าผมเป็นคุณพ่อ ผมจะยอมปล่อยให้ลูก ๆ ไปอยู่ที่อื่นหรือไม่

      …ผมคงฉุดรั้งพวกเขาเอาไว้อย่างสุดกำลัง…

      คุณพ่อหันหลังแล้วค่อย ๆ ก้าวเดิน แต่เมื่อท่านก้าวไปสองสามก้าวท่านก็หันกลับมาอีกครั้ง

      “คนไหนชื่อซอร์ด มานี่หน่อยสิ” ท่านกล่าวเสียงราบเรียบ ผมชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งเพราะไม่แน่ใจว่าท่านจะเรียกผมไปด้วยเหตุผลใด ทั้งที่ผมกับคุณพ่อไม่เคยคุยกันมาก่อน และเมื่อท่านถามแบบนี้ก็หมายความว่าท่านไม่รู้ว่าผมชื่อซอร์ด

      “ผมเองครับ” ผมเช็ดน้ำตาก่อนจะลุกขึ้นยืนอย่างเชื่องช้า สายตาทุกคู่บริเวณนั้นหันมาจ้องผมเป็นตาเดียว พวกเขาก็คงนึกสงสัยเหมือนผมว่าทำไมคุณพ่อต้องเรียกผม และไม่เรียกคนอื่น ด้วยจิตใจที่นับถือคุณพ่ออย่างแรงกล้าผลักดันให้ผมกล้าแสดงตัวทั้งที่ยังไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับผม

      “ตามพ่อมา” คุณพ่อเอ่ยสั้นๆ ก่อนจะหันหลังออกเดิน ผมเดินตามไปโดยไม่ปริปากพูดสักคำ เพราะรู้สึกอายที่มีคนมากมายจ้องผมทุกก้าวที่เดิน

      ผมเดินตามคุณพ่อมาถึงห้องทำงานของคุณพ่อ เป็นห้องที่มีเทคโนโลยีสูงที่สุดในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า แต่ก็ยังเทียบกับห้องพักหรูของโรงเรียนราคาแพงไม่ได้ ประตูห้องทำงานของคุณพ่อเป็นประตูเลื่อนอัตโนมัติ ทันทีที่มีคนเดินไปหน้าประตูมันก็จะเปิดทันที ผู้คนเดินผ่านไปผ่านมาจะสามารถเห็นการกระทำภายในห้องจากด้านนอกได้เพราะใช้กระจกใสแทนผนัง คุณพ่อเดินนำเข้าไปในห้องก่อน ผมจึงเดินเข้าตาม

      สิ่งของต่าง ๆ ภายในห้องถูกจัดอย่างเป็นระเบียบ ใกล้ประตูมีโซฟาขนาดที่นั่งสองคนสีฟ้าสดใส บริเวณพื้นมีพรมขนาดใหญ่ซึ่งถักทอจากหนังแกะ และถัดจากโซฟาไปจะเป็นโต๊ะไม้สีน้ำตาลเข้มกับเก้าอี้แบบมีพนักพิงสีน้ำเงิน ผมมองสำรวจไปรอบ ๆ ห้องก็พบว่ามีกล้องวงจรปิดอยู่สองตัว ซึ่งมันจะส่องให้เห็นทุกมุมของห้องนี้

      “นั่งก่อนสิ” คุณพ่อพูดพลางชี้ไปที่โซฟา ท่านเดินไปที่โต๊ะของท่านแล้วหยิบซองจดหมายซองหนึ่งออกมาจากลิ้นชัก ท่านกลับซองไปมาครู่หนึ่งก่อนจะเดินมาหาผมและยื่นให้ผม ผมคงไม่รู้สึกอะไรถ้าไม่ได้ยินเสียงพูดต่อมาของคุณพ่อ

      “จดหมายนี่เป็นของเธอ เอลวินฝากไว้กับทหารที่รักษาการในวันสิบห้าปีอัจฉริยะเมื่อสามปีก่อน เขาบอกให้ฉันส่งมันให้กับเด็กชื่อซอร์ดในปีนี้” คุณพ่ออธิบาย ผมค่อย ๆ แกะซองจดหมายอย่างบรรจง ซองที่มีสีขาวสะอาดและเรียบบ่งบอกถึงวิธีการรักษาจดหมายฉบับนี้ ผมคิดว่าเอลวินคงย้ำกับทหารรักษาการไว้อย่างดิบดีว่าห้ามไม่ให้มันมีรอยใดๆ ตอนนี้ผมรู้สึกดีขึ้นที่คุณพ่อยังไม่รู้เรื่องดวงตายมทูตของผม

      ผมคลี่จดหมายเพื่ออ่าน ลายมือที่ปรากฏบนกระดาษแผ่นนั้นผมไม่แน่ใจว่าเป็นลายมือของเอลวินตัวจริงหรือไม่ เพราะผมยังไม่เคยเห็นเขาเขียนหนังสือเลยสักครั้ง แต่ผมก็เชื่อว่ามันเป็นลายมือของเอลวิน ภาษาในจดหมายฉบับนั้นบ่งบอกตัวตนของเขาได้อย่างดี

      “ถึง ซอร์ด

      เมื่อนายได้อ่านจดหมายฉบับนี้ ฉันก็คงจากไปแล้ว …ทำไมน่ะเหรอ ก็เพราะท่าทีนายมันบ่งบอกว่าฉันกำลังใกล้ตายน่ะสิ ฉันไม่รู้หรอกว่าดวงตายมทูตของนายเห็นเลขของฉันเป็นเลขอะไร แต่จากการกระทำทุกอย่างก็สามารถสรุปได้ชัดเจนว่าตัวฉันมีระดับสติปัญญามากกว่าหนึ่งร้อยห้าสิบ”

      ผมอ่านจบย่อหน้าแรกถึงกับสะดุ้งเฮือก สิ่งที่ผมสันนิษฐานนั้นถูกต้องทุกประการ เอลวินรู้ตัวแล้วจริงๆ ผมรีบอ่านย่อหน้าต่อไปอย่างตื่นเต้น เขาจะบอกอะไรอีกนะ

      “นายไม่ต้องเสียใจที่ฉันต้องตายในวันสิบห้าปีอัจฉริยะ เชื่อฉันเถอะ ว่าทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดี ฉันมองเห็นสิ่งแปลกประหลาดจากการกระทำของรัฐบาล ทั้งการฝังไมโครชิพ และการจัดตั้งวันสิบห้าปีอัจฉริยะ ฉันคิดว่ามันต้องมีเบื้องหลังอะไรบางอย่างอยู่ แม้สุดท้ายชีวิตของฉันจะหาไม่ ฉันก็จะล้วงความลับนั้นมาให้ได้

      จากวันนั้นถึงวันนี้ สองปี กับอีกสามร้อยหกสิบสี่วัน …พรุ่งนี้นายก็ต้องเข้าพิธีเดียวกับฉันแล้วสิ อ้อ ถ้าคุณพ่อยอมส่งจดหมายนี้ถึงมือนายตามวันเวลาที่ฉันขอร้องน่ะ

      รู้สึกกลัวไหม ซอร์ด รู้สึกกลัวความตายบ้างไหม เวลาเกือบสามปีดวงตายมทูตคงทำให้นายได้เรียนรู้เพิ่มเติมอีกมาก นายคิดว่าฉันไม่รู้เหรอว่านายมีระดับสติปัญญาสูงกว่าหนึ่งร้อยห้าสิบ

      การกระทำของคนเรามันบอกทุกสิ่งทุกอย่างเสมอ…

      ตอนนี้ใกล้จะถึงเวลาที่ฉันต้องเข้าไปในเครื่องวัดระดับสติปัญญาแล้ว ฉันคงต้องจบจดหมายแค่นี้ล่ะ หวังว่ามันจะถึงมือนายอย่างปลอดภัย

      โชคดีนะ เพื่อนรัก”

      น้ำตาของผมไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว จำนวนน้ำตาของผมจากเมื่อครู่ที่คุณพ่อพูดยังไม่มากมายเท่านี้เลย ทุกคำในจดหมายทำให้ผมคิดถึงเอลวินมากขึ้น ทั้งที่ผมคิดว่าวันนี้จะไม่มีน้ำตาอีกแล้ว แต่เมื่ออ่านจดหมายก็อดที่จะปล่อยน้ำตาออกมาไม่ได้

      ผมรู้สึกเหมือนกับได้ปล่อยความโศกเศร้าให้ร่วงลงสู่พื้นดิน มากกว่าจะจมอยู่กับความคิดโศกเศร้าเหล่านั้น

      คุณพ่อแตะบ่าผมเบา ๆ ก่อนจะส่งผ้าเช็ดหน้าให้ ผมรับมันมาเช็ดน้ำตาที่เอ่อไหลของผม กลิ่นจากผ้าเช็ดหน้าทำให้ตัวผมรู้สึกสบาย แม้จะไม่ช่วยให้ผมรู้สึกดีขึ้นจากการอ่านจดหมายของเอลวินก็ตาม คุณพ่อมองมาที่ใบหน้าของผมด้วยใบหน้าอ่อนโยน

      ใช้เวลาครู่หนึ่งกว่าผมจะสงบใจลงได้ ผมนั่งนิ่งเงียบอยู่ที่โซฟา คุณพ่อซึ่งยืนอยู่เงียบ ๆ เช่นเดียวกับผมพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเครียด

      “เธอเป็นอะไรกับเอลวินเหรอ”

      ผมมองหน้าคุณพ่ออย่างสงสัยว่าทำไมท่านจึงถามเช่นนั้น “ปะ…เป็นเพื่อนกันน่ะครับ” ผมตอบด้วยเสียงไม่สู้ดี ผมพยายามเลี่ยงคำตอบที่จะส่อไปในทางใดทางหนึ่ง

      คุณพ่อถามต่อทันทีที่ได้รับคำตอบ น้ำเสียงของท่านเครียดมาก “ทำไมเธอถึงเป็นเพื่อนกับเอลวินได้ล่ะ เด็กคนนั้นเป็นเด็กที่มีระดับสติปัญญาเกินหนึ่งร้อยห้าสิบนะ”

      คำถามนี้ของคุณพ่อทำให้ผมเข้าตาจนได้อย่างแท้จริง ทำไมเราถึงเป็นเพื่อนกับเด็กที่มีระดับสติปัญญาเกินหนึ่งร้อยห้าสิบได้ …ถ้าไม่ใช่เพราะเรามีไอคิวพอๆ กัน

      สมองของผมแล่นอย่างรวดเร็ว เป็นความรู้สึกที่แตกต่างจากการคิดทุกครั้ง ราวกับประตูที่ปิดกั้นหัวสมองของผมได้แตกออก ความคิดมากมายไหลเข้าสู่สมองทำให้ผมแทบคลั่ง กระบวนการคิดของสมองถูกแสดงผลในจิตใจของผม คำตอบที่ดีที่สุดของคำถามนี้ปรากฏในสมองของผมโดยไม่รู้ตัว

      “แล้วคุณพ่อคิดว่ายังไงล่ะครับ ทำไมผมถึงเป็นเพื่อนกับเอลวินได้น่ะ” ผมย้อนถามเสียงเรียบเฉย

      คุณพ่อตอบทันควัน “พ่อก็คิดว่า… ลูกเป็นเด็กที่มีระดับสติปัญญาเกินร้อยแปดสิบอีกคนน่ะสิ”

      คำตอบของคุณพ่อทำให้ผมชะงักเล็กน้อย แต่มันก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรงที่สมองซึ่งเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาลจะตามไม่ทัน

      “คนที่คุยกับอัจฉริยะได้ต้องเป็นอัจฉริยะด้วยกันเท่านั้นอย่างนั้นเหรอครับ …นักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะมากมายมีเพื่อน แต่ใช่ว่าเพื่อนของอัจฉริยะผู้นั้นจะเป็นอัจฉริยะตาม ถ้าเพื่อนของอัจฉริยะทุกคนจะเป็นอัจฉริยะล่ะก็ โลกเรานี้คงมีคนที่ระดับสติปัญญาเกินร้อยห้าสิบจนล้นโลกแล้วละครับ” คำฉาดฉานของผมทำให้คุณพ่อทำหน้าเคร่งเครียด ครุ่นคิดหนักมากกว่าเดิม

      คุณพ่อเปิดปากพูดในที่สุด

      “พูดตามตรงนะ พ่อมองว่าคนที่ไอคิวเกินหนึ่งร้อนห้าสิบน่ะ เหมือน ‘คนบ้า’ มากกว่า ‘อัจฉริยะ’ ลูกรู้ไหมว่าทำไมรัฐบาลถึงกำจัดเด็กที่มีระดับสติปัญญาเกินหนึ่งร้อยห้าสิบ”

      ผมเลิกคิ้วขึ้น คุณพ่อจึงพูดต่อ น้ำเสียงของคุณพ่อแสดงถึงความเครียดที่มีอยู่ในจิตใจได้เป็นอย่างดี ทุกคำล้วนเน้นเสียงหนักแน่น

      “นั่นเพราะเด็กที่มีระดับสติปัญญาเกินหนึ่งร้อยห้าสิบน่ะ เป็นคนบ้า! รัฐบาลกลัวว่าพวกคนบ้าจะสร้างคณะเพื่อปฏิวัติประเทศ และยิ่งมีระดับสติปัญญาสูงตั้งแต่เด็ก ก็หมายความว่าเด็กคนนั้นจะมีเวลาสร้างคณะปฏิวัติมากกว่าผู้ใหญ่ อาจกลายเป็นคณะปฏิวัติที่ยิ่งใหญ่ก็เป็นได้”

      สมองผมคิดอย่างรวดเร็วอีกครั้ง คำของคุณพ่อทำให้ผมต้องคิดหนักกว่าปกติเป็นสองเท่า

      ผมเรียบเรียงประโยคในสมอง ก่อนจะพูดออกมา “ดีเสียอีกนะครับ คุณพ่อ วันสิบห้าปีอัจฉริยะเป็นวันฆ่าเด็กดีๆ นี่เอง แถมรัฐบาลพวกนี้ยังบังคับให้เด็กที่เกิดใหม่ต้องฝังชิพในตัว เป็นการปิดอิสรภาพทั้งชีวิตของเด็กคนนั้นเลยนะครับ” ผมสารภาพอคติเกี่ยวกับคณะรัฐบาลจนหมดสิ้น “รัฐบาลพวกนี้น่ะ ถูกปฏิวัติเร็วเท่าไรก็ยิ่งทำให้สังคมดีขึ้นเท่านั้น!”

      คุณพ่ออึ้ง ปากของท่านสั่นระริกราวกับอยากจะตอกกลับคำพูดของผมมาก แต่ทำไม่ได้

      ผมจึงพูดต่อหวังจะตอกย้ำความคิดของคุณพ่อ “สักวันรัฐบาลชุดนี้จะต้องโดนปฏิวัติ เพราะท่าทางที่หลบๆ ซ่อนๆ ไม่เคยปรากฏตัวให้ใครเห็น ใช้แต่เครื่องเปลี่ยนเสียง และสั่งการสิ่งต่างๆ ด้วยเสียงที่ไม่รู้ว่าคนพูดหน้าตาเป็นอย่างไร อาศัยอยู่ที่นี่ไหน และทำอะไรอยู่ …รัฐบาลที่ไม่มีความจริงใจต่อประชาชนแบบนี้น่ะ ทำอะไรได้งั้นเหรอครับ”

      เมื่อผมพูดจบ ผมก็เดินออกจากห้องทำงานของคุณพ่อไปพร้อมกับถือจดหมายของเอลวินไปด้วย ผมไม่คิดจะเหลียวหลังกลับไปมองในห้องนั้นอีก และไม่มีสรรพเสียงได้ดังขึ้นนอกจากเสียงฝีเท้าของผม

      เอลวิน… ความลับของวันสิบห้าปีอัจฉริยะคืออะไรกัน

      ผมเดินกลับมา และขึ้นไปนอนเล่นบนเตียงตามปกติ หวนคิดถึงวันเก่าที่ผ่านมา …เตียงนี้ถือเป็นเพื่อนที่คบกันมายาวที่สุดของผม ตั้งแต่วันแรกผมเข้ามาในสถานรับเลี้ยงเด็กแห่งนี้ และวันนี้ก็เป็นวันสุดท้ายที่ผมจะได้อยู่ในสถานที่แห่งนี้ ได้นอนบนเตียงอ่อนนุ่มนี้ ได้พบกับคุณพ่อ พี่เลี้ยง และเด็กหลายๆ คนที่แม้จะไม่รู้จักกัน แต่ก็เป็นภาพเคยชินที่เห็นซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนติดตา

      ใจผมบอกว่า ผมจะไม่ได้กลับมาที่นี่อีก ใช่ ผมกลับมาไม่ได้อีกแล้ว ชะตาผมจะขาดตั้งแต่ผมก้าวเข้าไปในเครื่องวัดระดับสติปัญญานั่นแหละ …มันเป็นความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้จิตใจจะโหยหาทางหลีกเลี่ยงสักเพียงใด

      ผมนอนเล่นอยู่บนเตียงจนถึงเวลาเย็น ดวงอาทิตย์ภายนอกใกล้ลับขอบฟ้า เสียงประกาศจากลำโพงในห้องพักทำให้ผมสะดุ้ง

      “ขณะนี้ทหารขึ้นตรงต่อรัฐบาลได้มารออยู่ที่หน้าสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าแล้ว ขอให้เด็กอายุสิบห้าปีทุกคนเดินออกมาที่หน้าประตูในเวลานี้”

      พี่เลี้ยงหลายคนต่างชุลมุนวุ่นวายเพื่อเรียกให้เด็กอายุสิบห้าปีไปที่หน้าประตู มีทั้งพวกที่ไม่ยอมไป และพวกที่ไปอย่างว่าง่าย ผมก็เป็นหนึ่งในกลุ่มที่สอง ลุกจากเตียงเดินไปพร้อมกับสัมภาระที่ใส่ไว้ในเป้

      ประตูอาคารสถานรับเลี้ยงเด็กเปิดออกอย่างเชื่องช้า จิตใจของผมว่างเปล่าไม่เหลือความคิดใดๆ ต่างกับเด็กคนอื่นที่ดูร้อนรน และตื่นเต้นกับวันสิบห้าปีอัจฉริยะ

      เด็กอายุสิบห้าต่างเดินออกจากประตูอาคารสถานรับเลี้ยงเด็ก ผมมองขึ้นไปบนท้องฟ้า วัตถุสีขาวจำนวนมากกำลังโปรยปรายลงมา มันคือหิมะนั่นเอง

      ผมไม่ได้ก้าวออกมาจากประตูสถานรับเลี้ยงเด็กอีกเลยตั้งแต่เอลวินได้ออกไป วันนั้นหิมะตก และวันนี้หิมะก็ตกอีกครั้ง หยาดหยดสีขาวสะอาดจากท้องฟ้านี้ทำให้ผมคิดคำนึงว่า

      เวลาที่หยุดไป กำลังจะเริ่มเดินอีกครั้ง…

      สามปีที่แล้วเอลวินและผมมายืนอยู่ที่นี่ …แต่ปีนี้ผมมายืนอยู่ที่นี่อย่างโดดเดี่ยว

      สามปีที่แล้วเอลวินทิ้งความทรงจำไว้ …แต่ปีนี้ผมเก็บความทรงจำไว้

      สามปีที่แล้วผมมายืนอยู่ที่นี่เพื่อร่ำลา …แต่ปีนี้ผมมายืนอยู่ที่นี่เพื่อก้าวต่อไป!

      จบ(ไม่)บริบูรณ์ Genocide N Genius

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×