ตอนที่ 2 : 02 สิ่งที่เรียกว่าความอ่อนแอ [100%]
#อย่าเล่นกับอนล
ตั้งแต่วัยเด็ก ผมใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวเสมอมา
ผมเป็นลูกชายคนเดียวของครอบครัวฐานะปานกลางครอบครัวหนึ่ง พ่อเป็นตำรวจ แม่เป็นพนักงานบริษัท ฟังดูแล้วก็เป็นครอบครัวธรรมดาทั่วไป ในฐานะลูกชายคนเดียวผมน่าจะเป็นที่รักของพ่อแม่ ได้รับการประคบประหงมดูแลอย่างดี ผมน่าจะมีความสุขเหมือนกับเด็กคนอื่นๆในวัยเดียวกัน ถ้าไม่ใช่เพราะปัญหาในชีวิตคู่ของพ่อกับแม่ที่ทำให้พวกเขาทะเลาะกันอย่างรุนแรง ส่วนผมในวัยไม่ถึง10 ขวบก็ได้แต่ตัวสั่นงันงกด้วยความตกใจ ยืนมองบุพการีตัวเองตะโกนด่ากันอย่างสาดเสียเทเสียใส่กันแทบทุกวัน
เด็กประถมอย่างผมไม่อาจเข้าใจผู้ใหญ่ได้มากนัก แต่ผมก็ยังจับใจความในสิ่งที่พวกเขาเถียงกันได้ พ่อของผมนอกใจแม่ไปมีผู้หญิงใหม่ พอแม่จับได้ก็โวยวาย อาละวาด ร้องไห้ด้วยความเจ็บแค้น ในที่สุดหลังจากผ่านไปครึ่งปีที่ผมกลับมาจากโรงเรียนแล้วต้องได้ยินเสียงก่นด่าทุกวัน พ่อกับแม่ของผมก็จดทะเบียนหย่า แยกทางกันไป
ความจริงพวกเขาก็คิดจะหย่าขาดกันตั้งแต่เดือนแรกที่แม่จับได้ว่าพ่อไม่มีผู้หญิงอื่นแล้วด้วยซ้ำ แต่ที่ไม่ยอมจดทะเบียนหย่ากันเสียทีเพราะมีผมเป็นอุปสรรค ผมจำเป็นต้องไปอยู่ในความดูแลของใครสักคน และพวกเขาก็ตกลงกันไม่ได้ ต่างฝ่ายต่างพยายามโยนผมให้ไปอยู่กับอีกฝ่าย และมันก็จบลงที่พ่อผมได้รับอิสรภาพ ส่วนแม่ต้องรับภาระอย่างผมไปเลี้ยงดูให้เติบใหญ่ต่อไป
วันที่แม่พาผมย้ายออกจากบ้านของพ่อ ผู้ชายที่ให้กำเนิดผมดูยินดีปรีดาเป็นอย่างยิ่ง เขาไม่แม้แต่จะชายตามองผมเลยด้วยซ้ำ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ผมก็ไม่เคยได้เจอหน้าพ่ออีก และคิดว่าเขาก็คงจะยินดีที่ไม่ต้องเจอหน้าผมด้วยเช่นกัน
สองแม่ลูกเริ่มต้นชีวิตใหม่ในห้องเช่าเล็กๆแห่งหนึ่งย่านใจกลางเมือง พ่อไม่ได้สนใจส่งเสียอะไรผมอีก ทำให้แม่ต้องเป็นคนรับผิดชอบค่าใช้จ่ายแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งนั่นคงจะทำให้แม่เหนื่อยกับการหาเงินมาเลี้ยงผม แม่จึงระบายอารมณ์ด้วยการตวาดผมอยู่บ่อยๆ ผมได้แต่นั่งเงียบๆ ไม่กล้าพูดอะไรเพราะกลัวจะถูกแม่เกลียด เด็กอายุไม่ถึง10 ปีในตอนนั้นหวาดกลัวการถูกทอดทิ้งเป็นอย่างมาก ผมจึงพยายามเป็นเด็กดี ตั้งใจเรียน พยายามทำให้แม่ภาคภูมิใจในตัวผม
ผมเหลือแม่แค่คนเดียว และผมก็ไม่อยากถูกแม่ทิ้ง เหมือนที่พ่อทิ้งผมไป
ผมกับแม่อยู่ด้วยกันสองคนราวๆหนึ่งปีได้ จนกระทั่งวันหนึ่ง แม่กลับมาจากที่ทำงานพร้อมกับผู้ชายคนหนึ่งที่ผมไม่เคยเห็นหน้า ผู้ชายคนนั้นบอกให้ผมเรียกเขาว่าพ่อ และแม่ก็บอกว่าคนๆนี้คือคนที่แม่จะแต่งงานด้วย
หลังจากหย่าขาดกับพ่อผมได้หนึ่งปี แม่แต่งงานใหม่ เริ่มต้นชีวิตใหม่ ผมได้ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านของพ่อคนใหม่ซึ่งเป็นตึกแถวสามชั้นย่านชานเมือง ไม่เหมือนกับห้องเช่าเล็กๆที่ผมเคยอยู่ ตอนแรกผมดีใจมากเพราะคิดว่าแม่มีความสุขแล้ว แม่ก็คงจะกลับมาพูดดีๆกับผมเหมือนเมื่อก่อน แต่ตอนนั้นผมไร้เดียงสาเกินไป ผมประเมินค่าของตัวเองสูงไป
แม่ไม่ได้ด่าผมอีก ไม่สิ แม่ไม่ได้สนใจผมอีกเลยต่างหาก และมันก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้นเมื่อแม่มีลูกคนใหม่กับพ่อเลี้ยงของผม
ณ ตอนนั้น ผมที่อยู่ชั้นมัธยมปีที่สองจึงเข้าใจชัดแจ้งว่าตนอยู่ในสถานะในสายตาแม่
รอยด่างพร้อยจากชีวิตเก่า? กาฝาก? ถ้าไม่ใช่ก็น่าจะใกล้เคียงนั่นล่ะ
แม่ไม่เคยสนใจว่าผมจะกลับบ้านมืดค่ำขนาดไหน ไปทำอะไร กับใคร ในสายตาแม่มีแต่พ่อเลี้ยงกับลูกสาวคนใหม่ น้องสาวต่างพ่อของผมกำลังอยู่ในวัยน่ารักน่าชัง ส่วนผมเองก็ขึ้นชั้นมัธยมต้น เข้าเรียนในโรงเรียนชายล้วนแห่งหนึ่ง และเริ่มค้นพบว่าตัวเองไม่ได้ชอบผู้หญิง
“นั่นใคร!?”เสียงแม่ตวาดถามดังลั่นหลังจากที่ผมกลับมาจากโรงเรียนในวันหนึ่งด้วยการซ้อนมอเตอร์ไซค์เพื่อนชายกลับมาบ้าน ผมลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะตอบว่า
“เพื่อนครับ”
“เพื่อนที่ไหนยืนจับมือกันอยู่ตั้งนานสองนาน แกคิดว่าแม่โง่หรือไง!?”แม่ไม่เชื่อผมเลยแม้แต่น้อย ก็สมควรอยู่ เพราะดูจากมุมไหนก็คงไม่เหมือนเพื่อนกันจริงๆนั่นแหละ
“แม่ไม่เคยสอนให้แกวิปริตผิดเพศแบบนี้! เอื้อ แกเป็นผู้ชายนะ!!! ผู้หญิงบนโลกมีให้เลือกตั้งเยอะตั้งแยะทำไมไม่ชอบ! คิดบ้างมั้ยว่าถ้าคนอื่นมาเห็นแล้วแม่กับพ่อจะขายขี้หน้าขนาดไหน เลิกบ้าซะแล้วไปเลิกกับมันเดี๋ยวนี้!!!”
ไม่ใช่แค่ครั้งเดียวที่พายุอารมณ์จากผู้ให้กำเนิดซัดสาดเข้าใส่ ผมยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางคลื่นลมด้วยความรู้สึกว่างเปล่า นับตั้งแต่แต่งงานใหม่ ดูเหมือนว่านี่คงจะเป็นเรื่องแรกและเรื่องเดียวที่แม่ให้ความใส่ใจกับผม
แม่รับไม่ได้ที่ลูกชายคนเดียวชอบผู้ชายด้วยกัน ทุกๆวันผมจะเจอคำก่นด่า คำสั่งให้เลิกกับแฟน แต่เด็กวัยรุ่นอายุ14 ปีเข้าสู่ช่วงวัยต่อต้านอย่างเต็มตัว ถึงแม่จะพยายามสั่งสอนอย่างไร แต่ผมก็ปล่อยทุกอย่างให้เป็นแบบเดิมต่อไปโดยไม่คิดจะแก้ไข เพราะผมก็ไม่สามารถห้ามความรู้สึกของตัวเองได้เช่นกัน
ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับแม่ดิ่งลงเหวนับแต่นั้นเป็นต้นมา
โชคยังดีที่แม่ไม่ได้ใจร้ายกับเด็กคนหนึ่งที่ตัวเองคลอดออกมาขนาดนั้น แม่ยังส่งเสียให้ผมเรียนหนังสืออยู่ เพียงแต่ไม่เคยสนใจถามไถ่ ไม่เคยสนใจความรู้สึกของผม นอกจากคำกำชับเสียงห้วนๆว่าให้ทำตัวดีๆ อย่าทำให้พ่อเลี้ยงหนักใจแล้ว ผมก็ไม่เคยได้รับความสนใจใดๆจากแม่อีก กลับเป็นพ่อเลี้ยงต่างหากที่ให้ความใส่ใจในตัวผม และยิ่งผมเติบโต พ่อเลี้ยงก็ดูจะใส่ใจผมมากขึ้นทุกวันๆ
ใส่ใจมากเกินไป
ปี๊น!
เสียงบีบแตรจากรถคันหลังดึงผมให้ออกมาจากภวังค์ความคิด ผมเหลือบมองไฟจราจรซึ่งเปลี่ยนเป็นสีเขียวตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบแล้วรีบเหยียบคันเร่งให้รถพุ่งตัวออกไป ผมขับต่อไปเรื่อยๆ ไม่นานก็เลี้ยวรถเข้าไปยังตึกจุดหมายปลายทาง
เสียงปลดล็อคประตูด้วยคีย์การ์ดดังขึ้น ประตูห้องห้องหนึ่งในคอนโดมิเนียมย่านสาทรถูกเปิดออก แสงไฟนีออนสว่างวาบทันทีที่นิ้วของผมแตะสวิตช์ไฟ เผยให้เห็นห้องพักขนาด36 ตารางเมตรซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของผมมาได้ 3 ปีกว่าแล้ว ผมวางกุญแจรถกับโทรศัพท์ลงบนโต๊ะรับแขกพลางทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา หลับตาลงท่ามกลางความเงียบงันของห้องพัก
ความเงียบคือสิ่งที่ผมคุ้นเคยกับมันดี มันคือสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกสงบและสบายใจมากขึ้น ความเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานมาตลอดทั้งวันค่อยๆเบาบางลงในยามที่ผมนั่งหลับตา ปล่อยให้สายลมเย็นเยียบจากเครื่องปรับอากาศพัดผ่านร่างกายไป
ผ่านไปครู่หนึ่งผมจึงลืมตาขึ้น หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดเครื่องเช็คดูว่ามีใครโทรหาระหว่างที่ปิดเครื่องไปหรือไม่ แววตาของผมไร้ความรู้สึกขึ้นมาโดยพลันเมื่อเห็นรายชื่อของสายที่ไม่ได้รับ 5 สายแสดงขึ้นมาบนหน้าจอ
‘แม่’
ถ้าเป็นลูกบ้านอื่นก็คงจะกระตือรือร้นรีบโทรกลับไป แต่ผมกลับนิ่งเฉยอยู่อย่างนั้นครู่ใหญ่ ผมกดเข้าไปดูในแอพพลิเคชั่นไลน์ก่อนจะพบว่าไม่ผิดไปจากที่คาดคิด มีข้อความจากแม่ที่ผมยังไม่ได้เปิดอ่านเด้งขึ้นมา
‘ทำอะไรอยู่ ทำไมไม่รับสาย’
‘แกไม่รับก็เรื่องของแก แต่โอนเงินมาให้แม่3,000 ด้วย เดือนนี้เงินไม่พอใช้’
‘โผล่หัวมาที่บ้านบ้างล่ะ พ่อแกถามหาทุกวัน น่ารำคาญ’
ผมได้แต่แค่นยิ้มขณะจ้องข้อความที่ถูกส่งมา ในขณะที่นิ้วเลื่อนไปกดเข้าแอพพลิเคชั่นอินเทอร์เน็ตแบงค์กิ้ง โอนเงินไปตามคำสั่ง หน้าจอดับวูบลงเมื่อผมกดปิดเครื่องโทรศัพท์หลังจากโอนเงินเสร็จ ผมวางมันลงบนโต๊ะอีกครั้ง ส่งเสียงหึในลำคอเบาๆ
ตั้งแต่ขึ้นชั้นมหาวิทยาลัยผมก็ออกมาอยู่ข้างนอก แม้กระทั่งช่วงปิดเทอมผมก็ไปทำงานพาร์ทไทม์หาเงินมาจ่ายค่าหอเพื่ออยู่ตามลำพังในขณะที่เจตซึ่งเป็นรูมเมทกลับไปอยู่บ้าน ผมแทบจะไม่ได้กลับไปเหยียบบ้านหลังนั้นอีกเลยแม้จะมีใครบางคนอยากให้ผมกลับไปซะเหลือเกิน แต่ถ้าไม่จำเป็นผมก็ไม่คิดเคยจะกลับไปที่นั่นอีก ต่อให้กลับไปแค่ไม่กี่ชั่วโมงผมก็ไม่อยากไปอยู่ดี
ถึงผมจะอยู่อย่างโดดเดี่ยวตามลำพัง แต่มันก็ดีกว่าการกลับไปนั่งเป็นตัวอะไรสักอย่างในบ้านของคนอื่น
ผมถอนหายใจขณะลุกขึ้นจากโซฟา ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตที่สวมมาทั้งวันออกพลางเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวในตู้แล้วหายเข้าไปในห้องน้ำ
ผมหลับตาลง ปล่อยให้สายน้ำเย็นๆจากฝักบัวรินรดร่างกายเปลือยเปล่าของผมตั้งแต่หัวจรดเท้า หวังให้มันชะล้างบางสิ่งที่กำลังกัดเซาะหัวใจจนทำให้ผมรู้สึกเหน็ดเหนื่อยออกไป
แค่ชั่วคราวก็ยังดี
ถ้าจะพูดถึงชีวิตการทำงานของผมมันก็ไม่ได้มีอะไรหวือหวานัก เป็นพนักงานในบริษัทเอกชนที่ยังอยู่ในระดับSME เงินเดือนอยู่ในระดับกลางๆ แต่ก็ยังมากพอที่จะผ่อนค่าคอนโดรายเดือนโดยไม่เดือดร้อนได้ ส่วนชีวิตรักถึงจะแสนเฮงซวย แต่ผมก็ยังได้ผลประโยชน์มาอย่างหนึ่งคือ แฟนเก่าคนหนึ่งของผมที่เป็นลูกนักธุรกิจชื่อดังซื้อรถยนต์ให้ผม และหลังจากที่ผมจับได้ว่าเขาไปมีผู้หญิงคนอื่น เขาก็ยอมรับอย่างหน้าชื่นตาบาน และยกรถโตโยต้ายาริสสีเงินคันนี้ให้เป็นของผมโดยไม่คิดจะทวงคืนเพื่อแสดงความรู้สึกผิด
เป็นการแสดงความรู้สึกผิดที่ดูใช้เงินแก้ปัญหาได้ดีทีเดียว
ในการทำงานแต่ละวัน สิ่งที่พนักงานหลายๆคนปรารถนาเป็นลำดับต้นๆก็คือการได้เลิกงานตรงเวลา ไม่ต้องอยู่ทำโอทีให้เสียเวลาพักผ่อนอันน้อยนิดของตนไป แต่ความรับผิดชอบงานย่อมต้องมาก่อน ผมเองก็มีทั้งวันที่ได้เลิกงานตรงเวลา และต้องอยู่โอทีต่อเพื่อทำงานให้เสร็จตามเดดไลน์ที่เจ้านายขีดมาให้เช่นกัน
อย่างเช่นเย็นวันนี้ ผมต้องอยู่นั่งทำแบนเนอร์โปรโมตเว็บอันใหม่ให้เสร็จเพื่อส่งให้พวกโปรแกรมเมอร์อัพเดทลงหน้าเว็บในเช้าวันรุ่งขึ้น ตอนแรกผมก็คิดว่าจะกลับไปทำต่อที่บ้าน แต่พอเห็นว่าเจตโดนพี่บาสโยนงานด่วนที่พี่มงคลทำไม่เสร็จมาให้ ผมเลยเปลี่ยนใจอยู่ออฟฟิศเป็นเพื่อนมัน
วันไหนที่ผมต้องทำโอที เจตก็มักจะอยู่เป็นเพื่อนผมเสมอแม้มันจะไม่ได้มีงานค้างแล้วก็ตาม พอไล่กลับบ้านทีไรมันก็เฉไฉไม่ยอมไป ผมเดาว่ามันคงกลัวว่าผมจะเหงา ถึงแม้ความจริงผมจะไม่ได้รู้สึกอะไรแบบนั้นก็เถอะ แต่การที่มีคนเป็นห่วงมันก็ทำให้รู้สึกดีเหมือนกัน
“ไม้ สรุปมึงอยู่จริงดิ?” เสียงคู่ปรับของผมที่วันนี้ต้องอยู่ทำโอทีเพื่อนั่งแก้บั๊กเว็บบริษัทเช่นเดียวกันดังขึ้น เบี่ยงเบนความสนใจของผมจากงานที่ทำอยู่ให้หันไปมองเจ้าของชื่อ
“ครับ” เด็กฝึกงานคนใหม่ของแผนกเอ่ยตอบไปพร้อมรอยยิ้ม บริษัทเราไม่มีนโยบายให้เงินโอทีพนักงาน และเด็กฝึกงานก็ไม่ได้เงินในส่วนนี้เช่นเดียวกัน ผมไม่คิดว่าจะมีเด็กคนไหนอยากอยู่ทำงานต่อหรอก ใจจริงไม้มันก็คงไม่ได้อยากทำงานอะไรขนาดนั้น มันแค่อยากอยู่ใกล้เพื่อนผมนานๆมากกว่า
ผมเข้าใจ ใครๆก็อยากหาเรื่องอยู่ใกล้กับคนที่ตัวเองชอบทั้งนั้น
“คนดีสัด มึงเขียนเว็บเป็นป่ะวะ? มาช่วยกูแก้บั๊กหน่อย”
“ไม่เป็นครับพี่คิง ขอโทษนะครับ”
“นั่งทำงานเงียบๆไปเลยมึง อย่ายุ่งกับเด็กกู” เจตออกโรงปกป้องเด็กตัวเองเต็มที่ ส่วนผมก็นั่งทำงานต่อไป พอกำลังจะตั้งสมาธิได้จู่ๆก็มีคนมาทำให้มันพังครืน
“กูมีปากทำไมจะพูดไม่ได้ครับ? จะให้กูนั่งเป็นใบ้ทั้งวันแบบไอ้เอื้อหรือไง อึดอัดตายห่า”
“กูจะเงียบทั้งวันแล้วมันหนักส่วนไหนของมึงไม่ทราบ?” ผมเอ่ยเสียงเย็นพลางหันไปมองหน้าคนพูด ยิ่งเห็นมันยกมุมปากขึ้นแบบกวนๆ ผมก็ยิ่งหงุดหงิดจนต้องรีบหันไปมองทางอื่นก่อนที่จะพาลอารมณ์เสียจนทำงานไม่ได้
นี่ขนาดผมนั่งอยู่เฉยๆ มันก็แกว่งปากวอนโดนตีนของมันมาพาดพิงผมอีก แล้วแบบนี้จะไม่ให้ผมรำคาญมันได้ยังไง
ผมเลิกสนใจไอ้คิงแล้วกลับไปนั่งทำงานต่อ เวลาผ่านไปเรื่อยๆจนถึงราวๆทุ่มครึ่ง ผมก็รู้สึกถึงแรงสะกิดเบาๆที่ไหล่ พอหันไปมองก็เห็นเจตชะโงกหน้ามาดูจอคอมผม
“ถึงไหนแล้ว ให้กูช่วยป่ะ?”
“งานมึงเสร็จแล้วเหรอ?” ผมชำเลืองมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ของมันที่กลายเป็นหน้าเดสก์ทอปแทนหน้าโปรแกรมงาน เจตพยักหน้ารับหงึกหงัก
“ใช่ แล้วของมึงเป็นไง ใกล้เสร็จยัง?”
“ใกล้แล้ว อีกนิดเดียว มึงเสร็จงานแล้วก็รีบกลับบ้านไปเถอะ”
“...เอางั้นเหรอ?” ผมเห็นมันมีสีหน้าลังเลพลางหันไปมองด้านหลัง ผมรู้ทันทีว่ามันคิดอะไรอยู่
มันไม่อยากทิ้งให้ผมอยู่กับไอ้คิงตามลำพัง สงสัยคงกลัวตีกันตายคาออฟฟิศล่ะมั้ง
“กลับไปเถอะ ไม้จะได้รีบกลับไปพักผ่อนด้วย ของกูอีกไม่เกินครึ่งชั่วโมงก็คงเสร็จแล้ว” ผมย้ำ ไอ้เจตถอนหายใจยาวๆ แล้วจึงยอมหันไปเก็บข้าวของบนโต๊ะตัวเอง
“กูไปแล้วนะพวกมึง เจอกันพรุ่งนี้ ขอให้งานเสร็จไวๆ กลับบ้านกันดีๆด้วย” เจตพูดไปก็มองผมกับคนที่นั่งโต๊ะด้านหลังสลับกันไปมา ก่อนจะยิ้มแห้งๆ โบกมือบ๊ายบายให้แล้วเดินออกไป ไม้ยกมือไหว้ผมกับไอ้คิงแล้วเดินตามเพื่อนผมไปเช่นกัน
ความเงียบแผ่ปกคลุมห้องแผนกทันทีที่ทั้งคู่เดินออกไป ภายในห้องกว้างที่เปิดไฟสว่างแค่เฉพาะบริเวณที่ยังมีคนนั่งทำงานอยู่นั้นดูวังเวงกว่าเดิมเพราะทั้งห้องเหลือเพียงผมกับอีกคนซึ่งนั่งอยู่ด้านหลัง
“ไปกันหมดแล้ว เหลือแค่มึงกับกูแล้วว่ะ” เสียงไอ้คิงดังขึ้นทำลายความเงียบ ผมนั่งทำงานต่อไป ไม่สนใจแม้แต่จะหันหลังกลับไปมองเพราะขี้เกียจจะเสวนาด้วย
“เอื้อ”
“.......................”
“คุณอนลครับ”
“.......................”
“เฮ้ย มึงจะไม่คุยกับกูจริงๆเหรอ หยิ่งว่ะ” คนด้านหลังยังพูดมากไม่หยุดหย่อน ผมปล่อยให้มันพูดต่อไป เพราะรู้ว่าถ้าขืนหันหลับไปต่อล้อต่อเถียงด้วยมีหวังเที่ยงคืนงานผมก็คงยังไม่เสร็จแน่ๆ ไอ้คิงเรียกผมอีกสองสามครั้ง พอเห็นว่าผมไม่สนใจจริงๆมันก็เลิกเรียกแล้วกลับไปนั่งทำงานต่อ
เสียงคลิกเมาส์ผสานคลอไปกับเสียงรัวแป้นพิมพ์ดังสะท้อนไปทั่วห้องกว้างอันเงียบสงบ ผมเข้าสู่โลกส่วนตัว นั่งจดจ่ออยู่กับงาน จนกระทั่งเข็มนาฬิกาบนผนังห้องชี้บอกเวลาสองทุ่ม ผมก็ผ่อนลมหายใจยาวพลางกดเซฟงานและส่งเข้าอีเมลของฝ่ายโปรแกรม
“งานเสร็จแล้วเหรอ?” เสียงโปรแกรมเมอร์ที่เหลืออยู่คนเดียวในห้องทักขึ้นทันทีหลังจากที่ผมกดปุ่มส่งเมลไปเรียบร้อย ผมลุกขึ้นจากเก้าอี้พร้อมกับกดปิดคอมพิวเตอร์
“มึงก็เห็นเมลเข้าแล้วนี่ จะถามทำไม”
"จะกลับแล้วเหรอวะ งานกูยังไม่เสร็จเลย อยู่เป็นเพื่อนกันก่อนดิ" ไอ้คิงเดินมาจับแขนผมที่กำลังเก็บข้าวของใส่กระเป๋าเป้ ผมชักสีหน้า ดึงมือมันออกทันที
"แต่งานกูเสร็จแล้ว ปล่อย"
"เดี๋ยว มึงไม่อยากอยู่ใกล้กูขนาดนั้นเชียว" มันเลิกคิ้วเมื่อเห็นผมมีท่าทางหงุดหงิด ผมไม่ชอบให้ใครมาถูกเนื้อต้องตัวผม ถ้าไม่ใช่แฟน หรือคนที่ผมไว้ใจอย่างเจต ผมก็หลีกเลี่ยงการสัมผัสจากคนอื่นมาโดยตลอด ยิ่งกับคนที่ผมไม่ชอบหน้าก็ยิ่งแล้วใหญ่
"คิง" ผมมองมือหนาที่เลื่อนมาจับแขนตัวเองอีกครั้งพลางตวัดสายตาขุ่นเคืองใส่
“อะไรเหรอครับ?” ไอ้คิงไม่ใส่ใจความไม่พอใจของผม ยิ่งมันเห็นผมไม่พอใจมันก็ยิ่งแกล้งมากขึ้น ร่างสูงดึงแขนผมเข้าไปใกล้ๆ มือที่จับผมแขนผมไว้ก็ยิ่งกำแน่นเหมือนคีมหนีบ
“ปล่อย”
"ไม่ปล่อย ทำไม?อยู่ใกล้ๆแล้วกลัวหวั่นไหวกับผมเหรอครับคุณอนล" มันขยับยิ้มยั่วประสาทแล้วโน้มหน้าเข้ามาใกล้ กลิ่นมินท์จางๆ ผสมกับความหวานอวลแบบเย็นๆจากตัวอีกฝ่ายปะทะเข้ากับจมูกของผม
“อยู่ใกล้กูแล้วมึงเสียอาการใช่มั้ยล่ะ ยอมรับมาเถอะ”
“ก็ประมาณนั้นมั้ง กูก็ไม่เคยรู้สึกกับใครแบบที่รู้สึกกับมึง” ผมตอบพลางช้อนตามองคนตัวสูงกว่าที่ขยับเข้ามาใกล้จบใบหน้าอยู่ห่างกันแค่คืบ สบตาท้าทายอย่างไม่ยอมแพ้
“รู้สึกยังไง?”
“รู้สึกว่ากูไม่เคยไม่ชอบหน้าใครเท่ามึงมาก่อนไง” ผมสะบัดแขนเต็มแรงให้หลุดจากการเกาะกุมของอีกคนตรงหน้า ผลักมันออกห่างตัวแล้วหันกลับไปเก็บของบนโต๊ะต่อ ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอจากคนด้านหลัง ผมไม่สนใจมัน หันไปคว้ากุญแจรถกับกระเป๋าขึ้นมาตั้งใจจะเดินออกจากแผนก แต่แล้ว...
พรึบ!
แสงสว่างจากหลอดไฟบนเพดานห้องดับลงพร้อมกัน เสียงเครื่องปรับอากาศทำงานที่เคยได้ยินแผ่วเบาก็ขาดหายไป ทั่วทั้งห้องแผนกที่เคยสว่างมืดสนิทและแทบจะไร้เสียง
“สัด ไฟดับอะไรตอนนี้” เสียงทุ้มห้าวของคิงเอ่ยในขณะที่ลำคอของผมเริ่มแห้งผากเมื่อเห็นความมืดรายล้อมกาย ปกติตึกนี้จะมีอาการไฟตกเป็นครั้งคราว แต่ละบริษัทในตึกก็จะมีระบบไฟฟ้าสำรองไว้ แต่เมื่อเช้าผมได้ยินใครสักคนพูดว่าระบบไฟฟ้าสำรองของออฟฟิศเรามีปัญหา ต้องรอเรียกช่างมาดูในวันพรุ่งนี้
แล้วทำไมต้องมาไฟตกเอาวันนี้ด้วย!
เหงื่อเริ่มซึมชื้นออกมาตามมือและหน้าผาก ลมหายใจของผมเริ่มขาดห้วง ความทรงจำบางอย่างแล่นเข้ามาในหัวราวกับน้ำป่าทะลักหลากจนทำให้มือของผมสั่นน้อยๆอย่างควบคุมไม่อยู่
“ไอ้เหี้ย ออฟฟิศเรามีผีป่ะวะ เอื้อมึงจะทิ้งกูกลับบ้านจริงๆเหรอ?”
“........................”
“เอื้อ?” เสียงทุ้มเอ่ยเรียกชื่อผมเมื่อไม่มีการตอบสนองกลับ ร่างสูงขยับตัวออกจากบริเวณเดิมที่ยืนอยู่เข้ามาหาผมที่กำลังยืนตัวสั่น พอคิงขยับตัวออกจากตำแหน่งเดิม ผมถึงได้เห็นแสงสว่างจากหน้าจอโน้ตบุ๊คของมันที่ยังเปิดค้างอยู่
ก่อนหน้านี้ไม่กี่นาทีผมเพิ่งจะผลักมันออกไป แต่ตอนนี้กลายเป็นผมเองที่กำลังขยับเข้าไปหามัน ไม่สิ ขยับเข้าไปหาแสงจากหน้าจอโน้ตบุ๊คที่ยังส่องสว่างนั่น
“เอื้อ มึงอย่าเงียบดิ” เสียงไอ้คิงเรียกชื่อผมซ้ำ สัมผัสอุ่นๆจากมือของมันคว้ามือผมที่ยืนนิ่งเอาไว้ ผมสูดลมหายใจลึกๆ เผลอกระชับมืออีกฝ่ายแน่นเพื่อคลายความหวาดหวั่นในอก
ห้องมันไม่ได้มืดจนมองอะไรไม่เห็น มันยังมีแสงอยู่ มันไม่มืดแล้ว ผมไม่ได้อยู่คนเดียวอีก ไม่เหมือนตอนนั้น ไม่ใช่...
พรึบ!
แสงสว่างจ้าสาดส่องเข้าตาจนทำให้ตาพร่า เสียงเครื่องปรับอากาศในห้องดังกระหึ่ม ผมกระพริบตาช้าๆ ปรับสายตารับกับแสงที่ส่องเข้ามากะทันหัน อาการไฟตกหายไปแล้ว รอบกายจึงกลับมาสว่างอีกครั้ง ผมเม้มปากแน่น ผ่อนลมหายใจออกมา
มันจบแล้ว ไม่มีอะไรแล้ว...
“เอื้อมึงโอเคป่ะวะ ดูหน้าซีดๆนะ” ไอ้คิงเอ่ยทักขึ้น ดวงตาคมของมันจ้องหน้าผมไม่วางตา ผมหลุบสายตาลงมองพื้นพลางดึงมือตัวเองออกจากฝ่ามืออุ่นของอีกฝ่าย
“กูไม่ได้เป็นอะไร”
“เห็นเรียกแล้วไม่ตอบ บีบมือกูซะแน่น กูก็นึกว่ามึงกลัวผีจนเป็นลม” น้ำเสียงกวนประสาทเริ่มกลับมาอีกครั้ง ผมตวัดสายตาดุๆมองหน้า ไอ้คิงยิ้มพรายแล้วยกแขนพาดคอผม
“จะไม่อยู่เป็นเพื่อนกูจริงๆเหรอวะ? มึงก็เห็นว่าเมื่อกี้ไฟดับ เกิดไฟมันดับอีกแล้วกูโดนผีหลอกตายห่าขึ้นมามึงจะไม่รู้สึกผิดที่ทิ้งกูให้อยู่คนเดียวเหรอครับ?” มันแกล้งทำหน้าซื่อตาใส จนผมแทบอยากจะกลอกตาให้กับความตอแหลของมัน
“ทำไมกูต้องรู้สึกผิดด้วย มึงก็พวกเดียวกับมันไม่ใช่หรือไง?”
“พวกเดียวกันอะไรวะ กูไม่ใช่ผี”
“ทำไมจะไม่ใช่ มึงก็ผีเหมือนกัน”
“ผีอะไรครับ?”
“ผีทะเล” ผมตอกหน้าส่งท้ายแล้วเดินออกจากห้องไปโดยไม่หันกลับมามอง ได้ยินเสียงหัวเราะดังตามมาข้างหลัง ผมยกมือขึ้นลูบแขนตัวเองอย่างหงุดหงิด แค่ไม่ถึงสิบนาทีผมโดนไอ้คิงแตะตัวไปไม่รู้ตั้งกี่ครั้งแล้ว
จะไม่ให้เรียกว่าผีทะเลได้ยังไง
จากเหตุการณ์ไฟตกเมื่อครู่ทำให้ผมไม่วางใจที่จะใช้ลิฟต์ ผมเดินลงบันไดหนีไฟไปเรื่อยๆจนลงมาถึงชั้นลานจอดรถ ขับรถออกจากออฟฟิศตอนราวๆสองทุ่มกว่า การจราจรเริ่มบางเบาลงเพราะไม่ใช่ช่วงเวลาเร่งด่วนแล้ว จากย่านพร้อมพงษ์ไปสาทรจึงใช้เวลาเพียงสามสิบนาที
ผมกลับขึ้นห้องพัก อาบน้ำชำระล้างร่างกายที่เหนื่อยล้าจากการทำงานมาตลอดทั้งวัน ผมในสภาพที่สวมชุดนอนเรียบร้อยเดินกลับมานั่งบนเตียงในห้องนอน หยิบโทรศัพท์ที่ส่งเสียงแจ้งเตือนข้อความเข้าถี่รัวขึ้นมากดเปิดดู
หนนี้ไม่ใช่แม่ที่ส่งข้อความมา แต่เป็นพี่ป๊อก แฟนเก่าของผมที่เลิกกันไปเมื่อเดือนก่อน พยายามจะงอนง้อขอคืนดี
ผมกดตัดสาย ปิดเครื่องโทรศัพท์ ไร้ความสนใจโดยสิ้นเชิง
ผมไม่ได้เพิ่งพบเจอกับเหตุการณ์แบบนี้เป็นครั้งแรก มีหลายครั้งหลายคราวที่บรรดาแฟนเก่าของผมเกิดรู้สึกตัวขึ้นมาภายหลังจากที่ผมจับได้และบอกเลิกไป พวกเขาบอกว่าขาดผมไม่ได้เลยพยายามจะมาขอคืนดี แต่ผมเป็นประเภทเจ็บแล้วจำ ไม่อยากเป็นไอ้หน้าโง่ที่ถูกหลอกซ้ำสอง จึงไม่เคยกลับไปคืนดีกลับใครสักคน
เคยมีคนบอกผมว่าความรักของพวกเพศที่สามสุดแสนจะเปราะบาง ผู้ชายหลายๆคนที่มาคบกับผู้ชายด้วยกันมักมองเรื่องนี้เป็นเรื่องสนุกฉาบฉวย เป็นความอยากรู้อยากลองในชั่วขณะหนึ่งของชีวิต สุดท้ายแล้วพวกเขาก็จะกลับไปแต่งงานกับผู้หญิงดีๆสักคน สร้างครอบครัวที่แสนอบอุ่นกันต่อไป และลืมเลือนพวกเราไปโดยสิ้นเชิง มันยากมากที่จะหาผู้ชายสักคนที่จริงใจกับเราได้จริงๆ แต่ผมไม่เคยคิดแบบนั้น มันไม่เกี่ยวว่าจะเป็นเพศไหน ต่อให้ไม่ใช่คู่รักเพศที่สามผมก็เห็นว่ามีปัญหาการนอกใจกันถมถืดไป มันอยู่ที่นิสัยไม่รู้จักพอของผู้ชายพวกนั้นมากกว่า
คนดีๆยังมีอยู่อีกมากมาย แต่ผมคงไม่ใช่คนที่โชคดีนัก เพราะไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีผมก็ยังหาคนดีๆที่ว่านั่นไม่พบเสียที
ผมทุ่มเทให้กับความรักทุกครั้ง แล้วก็ได้ความเสียใจเป็นสิ่งตอบแทนกลับมาทุกครั้งเช่นกัน ผมเหนื่อย ผมเบื่อ ผมอยากหลุดพ้นจากสิ่งเหล่านี้ ผมคอยปลอบตัวเองว่าถึงอย่างไรผมก็อยู่อย่างโดดเดี่ยวมาตั้งแต่แรก เพราะฉะนั้นมันก็คงจะไม่เป็นอะไรหากต้องอยู่คนเดียวไปตลอดชีวิต แต่สุดท้ายแล้วผมก็ยังโหยหาการมีใครสักคนอยู่เคียงข้างอยู่ดี
นาฬิกาดิจิตอลบนโต๊ะทำงานในห้องนอนของผมบอกว่าตอนนี้เพิ่งจะสามทุ่มกว่า แต่ผมก็จัดการเปิดโคมไฟที่หัวเตียงแล้วเดินไปปิดไฟในห้องเตรียมตัวเข้านอน แสงสีส้มนวลจากโคมไฟสาดสะท้อนไปทั่วห้องช่วยให้ภายในห้องนอนเล็กๆของผมไม่ถูกความมืดมิดกลืนกินไป ผมต้องเปิดโคมไฟที่หัวเตียงเอาไว้ทุกคืน ไม่อย่างนั้นผมจะไม่สามารถข่มตาหลับลงได้
ผมนอนลงบนเตียงดึงผ้าห่มขึ้นมาถึงอก ไออุ่นจากผ้าห่มผืนหนาที่คลุมกายอยู่และแสงสว่างรางๆในห้องช่วยทำให้ผมอุ่นใจมากขึ้น สมัยเรียนมหาลัยเจตเคยแซวว่าต้องเปิดไฟนอนทุกคืนขนาดนี้ท่าทางผมคงจะกลัวความมืดมาก ผมไม่ได้ตอบอะไรมันไป เพราะใจผมไม่อยากยอมรับ
แต่จนถึงวันนี้ ผมก็พบว่าไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าใด ความมืดก็ยังคงเป็นสิ่งที่น่ากลัวสำหรับผมมากจริงๆ
#อย่าเล่นกับอนล
ชีวิตคุณอนลเจออะไรหนักๆมาเยอะค่ะ ช่วยเป็นกำลังใจให้นายเอกของเราด้วยนะ
อ่านจบแล้วช่วยคอมเม้นหรือติดแท็ก#อย่าเล่นกับอนล เป็นกำลังใจให้เราหน่อยน้า หรือจะแวะไปคุยเล่นกับเราในทวิตเตอร์ @ltbb_novels ก็ได้นะคะ^^
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ครอบครัวไม่ใช่ safe zone เสมอไป นี่มันเป็นความจริงในสังคมสมัยนี้เลยนะ
เป็นกำลังใจให้เอื้อนะ ชอบสำนวนมากเลยค่ะ
คิงอ่ะ เค้าก็ประเภทรักดอกจึงหยอกเล่น เห็นเครียดเห็นหงุดหงิดก็แกล้งให้เอื้อหายเครียด เอ๊ะ หรือเครียดหนักกว่าเดิม แต่คิดว่า คิงชอบเอื้อจริง แต่ในความกวนตีน คิงยังมีความห่วงใยจริงใจให้เอื้อแหละนะ เอื้ออาจมองยังไม่เห็น
เอื้อโดนแม่ขังในห้อง โดนพ่อเลี้ยงปลุกปล้ำรึป่าว ม่ายยยยย แค่แม่ไม่รักไม่เข้าใจ ก็น่างสารแล้ว อย่าโดนพ่อเลี้ยงข่มเหงแต่เด็กเลยนะ