คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : CHAPTER 3 :: หินลาวา =100% [อัพครบ]
การไม่เห็นหัว การถูกเฉยเมย การโดนผลักออกมามาจากวงโคจร
มีอะไรอีกมากที่ฉันโดนมากแล้ว การเกิดมาเป็นฉันมันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก
แล้วถ้าหากโดนแค่นี้จะทำให้รู้สึกหมกอาลัยตายอยากขนาดนั้นบอกเลยว่าคิดผิด ในเมื่ออีกฝ่ายเฉยได้ฉันก็แค่ก้าวเดินไปที่รถแบบสวยๆ โดยไม่หันหลังกลับไปดูอะไรทั้งสิ้นก็แค่นี้เองจบการรีวิวเผชิญหน้ากันครั้งแรกในรอบหลายปีดูน่าประหลาดพิลึกแต่มันเป็นแบบนั้นจริงๆ รอยยิ้มเหยียดของตัวเองเกิดขึ้นเมื่อนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงเย็น
สายตาจับจ้องไปยังของเหลวสีแดงกำมะหยีในแก้วทรงสูงจากมือของตัวเอง Kalimna Block 42 ชื่อของไวน์ในแก้วนี้ มันช่วยให้อารมณ์ของฉันดีขึ้นในยามกลืนลงผ่านลำคอเข้าสู่ร่างกายบวกกับบรรยากาศยามค่ำคืนท่ามกลางระเบียงชั้นบนสูดของ Blue home
ดวงจันทร์กลมลูกใหญ่ที่ส่องสว่างกลางหมู่ดาวหลากหลายพันล้านดวงท่ามกลางรัตติกาลอันมืดมิดมันช่างเดียวดายไร้ความมีชีวิตชีวาไม่ต่างจากการใช้ชีวิตคนเดียว การดำเนินชีวิตไปเรื่อยๆ ถึงแม้จะมีอิทธิพลอำนาจล้นมือแค่ไหนสุดท้ายก็จบด้วยความเหงาและความเดียวดายอยู่ดี
“มีอะไรเจเนียส”
แค่เสียงก้าวเท้าเดินมาก็รู้แล้วว่าเป็นใคร
ฉันไม่ชอบให้ใครมารบกวนเวลาส่วนตัวและในตอนนี้ที่กำลังอารมณ์เสีย
“มีแขกมาขอพบค่ะคุณไอรีน”
ขอพบในช่วงเวลาเกือบเที่ยงคืน หึ... ไร้มารยาทสิ้นดี นี่คือเวลาพักผ่อนของฉันแต่หากว่าไม่สำคัญจริงๆ ไม่มีทางที่เจเนียสจะปล่อยผ่านมาได้แสดงว่าคนๆ นี้ต้องสำคัญมากพอ
“…”
“คุณภูผา ตะวันพิศาลค่ะคุณไอรีน”
แก้วไวน์ทรงสูงถูกฉันวางไว้และไม่ได้รับความสนใจอีกเมื่อชื่อนี้เดินทางผ่านเข้าประสาทการรับรู้ ทำไม่จะไม่รู้จักกันชื่อนี้คนนี้รู้จักดีเสียด้วยซ้ำถึงแม้จะไม่ได้เจอกันเกือบจะสิบปีแล้วก็ตาม บุรุษร่างสูงเด่นเรื่องการวางตัวและการเป็นผู้นำสุดยอดเรื่องการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ฉันไม่มีทางลืมหรอก
ไม่คิดจะลืมด้วย เมื่อชื่อมาให้ได้ยินความจำโลดแล่นยิ่งกว่าอะไรเสียอีก
“ไม่ได้มาคนเดียวด้วยใช่มั้ย”
เชื่อสิ ไม่มาคนเดียวหรอก
“ใช่ค่ะ มากับผู้หญิงคนหนึ่ง”
“เธอไม่รู้เหรอจีเนียส?”
ถ้าไม่รู้นั้นฉันจะถือว่าเป็นความผิดพลาดแน่ๆ ทว่าไม่มีอะไรที่จีเนียสไม่รู้หรอกหากย่างกายเข้ามาใน Blue home เพราะว่าจะมาเป็นเลขาได้ต้องผ่านอะไรมามากมายรวมแล้วไม่ใช่ง่ายๆ ด้วยซ้ำ
“คุณหญิงด้วยเกล้า แม่ของแทรีน่าค่ะ”
“งั้นเหรอ?”
การเดินไปตามโถงหินอ่อนสีขาวใหญ่โค้งรูปทรงครึ่งวงกลมแต่มีลักษณะยาวเพราะเชื่อมต่อจากตัวบ้านทอดไปยังด้านข้างซึ่งติดแม่น้ำสายใหญ่ของเมืองหลวง ระหว่างทางเดินดวงไฟจากทั้งสองข้างทางถูกเปิดด้วยระบบเซนเซอร์เปิดปิดอัตโนมัติตรวจจับการเคลื่อนไหวฉะนั้นเมื่อเดินผ่านก็จะแสงไฟสีนวลก็เปิดออกแล้วก็ปิดเอง
สลิปเปอร์สีดำสนิทที่ด้านหน้ามีสัญญาลักษณ์ของแบรนด์ดังของตะวันตกนำพาฉันเดินมาเรื่อยๆ ทั้งที่ร่างกายมีแค่เสื้อคลุมผ้าลื่นสีดำลากยาวไปตลอดทางสวมทับกับชุดนอนสีดำสนิททั้งเสื้อแล้วก็กางเกงขายาว หากมาในเวลานี้ก็จะเจอฉันในสภาพนี้แหละซึ่งแน่นอนว่าแค่บางคนเท่านั้น
พอพ้นโถงในสายลมเย็นจึงปะทะใบหน้า สายลมที่พัดวนเวียนตลอดมากกว่าที่อื่นพร้อมทั้งมีเสียงน้ำไหลนานครั้งจึงเห็นเรือใหญ่ผ่าน ไม่ไกลนักทั้งบุรุษแล้วก็สตรีก็เข้ามาในสายตาของฉันทั้งสองนั่งบนเก้าอี้สีขาวบริเวณระเบียงใต้ต้นจามจุรีใหญ่แนบข้างทั้งสองต้น แสงไฟทำให้เห็นสีหน้าท่าทางหมดว่ามันเป็นเช่นไรพอเดินเข้าไปนั่งเก้าอี้ตรงข้ามรอยยิ้มจึงเกิดขึ้นจากสตรีคนหนึ่ง
“สวัสดีค่ะคุณไอรีน”
เธอสวัสดีฉันก่อนแต่ก็ช่างเถอะในเมื่อตอนนี้ฉันกำลังไร้ความสนใจจากผู้หญิงคนนี้อีกทั้งยังเบือนสายตาไปมองบุรุษที่อยู่ตรงหน้าต่างหาก ลักษณะท่าทีก็ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแถมยังคล้ายเขาแบบน่าใจหาย อดีตนักแสดงชื่อดังขวัญใจคนทั้งประเทศแต่ก็ผันตัวมาเป็นนักธุรกิจดาวรุ่งเมื่ออายุได้ 35 นั่นคือ คุณภูผา ตะวันพิศาล คนนี้
“สวัสดีค่ะคุณภูผา สวัสดีคุณ...”
“ดิฉันชื่อด้วยเกล้า คนในสังคมเรียกว่าคุณหญิงด้วยเกล้า”
อ้อ... คุณหญิงด้วยเกล้านี่เอง รอยยิ้มเคลือบลิปสติกสีขมพูเด่นบวกกับการแต่งตัวแบบจัดเต็มในเวลาเกือบเที่ยงคืนมันดูเวอร์ไปหน่อยแต่ก็ช่างเถอะ
“สวัสดีหนูไอรีน คุณหญิงด้วยเกล้าเขาเป็นแม่ของหนูแทรีน่าน่ะ”
“ค่ะ เข้าเรื่องเลยมั้ยคะ มีอะไรหรือเปล่า”
ฉันไม่ชอบน้ำแต่ชอบเนื้อ ไม่ชอบการเวิ่นเรื่องโอ้อวดทั้งที่กำลังมาขอความช่วยเหลือ
“คุณไอรีนเป็น บก นิตยสารบริษัทในเครือของ JR ที่พึ่งมารับตำแหน่ง ดิฉันขออย่าพึ่งระงับหรือว่าปฏิเสธแทรีน่าในปกที่กำลังจะวางแผงขายได้มั้ยคะ”
“แต่ทาง JR ถอนสปอนเซอร์ออกจากละครที่คุณแทรีน่าเรียบร้อยแล้วนะคะที่ดิฉันได้ข่าวมาฉะนั้นแน่นอนว่าทางนิตยสารเป็นปกใหม่เป็นนางแบบดวงรุ่งคนอื่นเรียบร้อยแล้วค่ะ”
“ขอเถอะ ช่วยได้มั้ย”
“เอาอะไรมาแลกคะ?”
ไม่มีอะไรได้ฟรีหรอก
ในโลกนี้มีการแลกเปลี่ยนเต็มไปหมด
“…”
“ถ้าหากดิฉันช่วย... เพราะพวกคุณก็รู้ดีในการบริหารงานของคุณลาแอลมันเด็ดขาดแค่ไหน หากเขาตัดสินใจไปแล้วคือจบค่ะ”
แล้วรู้อะไรหรือเปล่าอะไรเกิดขึ้นต่อจากนี้นั่นคือการพร่ำเรื่องราวต่างๆ ว่าลูกสาวโดนแกล้งอย่างนั้นอย่างงี้ทั้งที่ความจริงต่างกันสิ้นเชิงกว่าคุณหญิงด้วยเกล้าจะพูดหมดก็เกินเวลาไปมากสุดท้ายแล้วคุณภูผาเขาของจัดการเองฉะนั้นแล้วในตอนนี้ก็เหลือแค่ฉันกับคุณภูผาเท่านั้นที่เป็นคู่สนทนากัน
“หนูไอรีนอยากได้อะไรแลกเปลี่ยนบอกมาเลย”
“ช่วยเขาทำไมคะ?”
เขา = คุณหญิงด้วยเกล้า
ไม่มีอะไรเข้าใจยากในประโยคคำถามของฉันเลย
“แทรีน่ากับหินเขา... คบกันอยู่”
คำตอบในเชิงแบบนี้ฉันเข้าใจอยู่แล้ว
“ก็เลยมาขอให้ช่วย เขารู้เหรอว่าไอทำงานให้ JR ไอไม่อยากรู้นะคะว่าเขารู้ได้ยังไงแต่สิ่งที่ไอสนใจมากกว่าการขอให้ช่วยก็คือ คุณพ่อ... เอ่อคุณภูผาช่วยทำไมคะ”
“เรียกพ่อได้นะหนูไอ”
“ไม่เป็นไรค่ะว่าแต่ ลูกชายขอให้ช่วยหรือเปล่าคะ”
“เปล่าลูก”
“…”
“หินกำลังจะเริ่มต้นชีวิตคู่กับแทรีน่า... เขาทั้งสองคนจะแต่งงานเร็วๆ นี้”
“…” เหมือนลมหายใจของฉันหยุดชะงักไปแต่พอตั้งสติได้มันก็กับมาเป็นปกติเช่นเดิม การเบี่ยงสายตามองออกไปเบื้องหน้าประจบกับมีเรือลำใหญ่ล่องลอยแล่นผ่านผิวน้ำเป็นคลื่นใหญ่จึงซัดเข้ากับฝั่งทั้งสองข้างเกิดเสียงขึ้น
“หนูไอช่วยได้หรือเปล่า”
“ตะวันพิศาลช่วยคุณแทรีน่าได้นะคะ”
ตะวันพิศาลไม่ไก่กาเสียหน่อย
ตะวันพิศาลยังไงก็ช่วยได้อยู่แล้ว
“แต่ JR ใหญ่กว่าหลายเท่านะหนูไอ”
“JR เป็นบริษัทข้ามชาติที่ถ้าเกิดถีบหัวส่งใครขึ้นมาแล้วจะไม่สนใจและไม่ง้อ JR ยืนหยัดในตัวเองเสมอแล้วก็ให้โอกาสทุกคนที่ต้องการเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งแต่ถ้าทำความเดือดร้อนให้การตัดสินใจจบคือคำตอบเด็ดขาดค่ะ ไอคงช่วยอะไรไม่ได้เพราะตำแหน่งการตัดสินใจไม่ได้อยู่ที่ตัวเอง ไอคือลูกน้องปลายแถวนะคะ”
“ต้องมีการแลกเปลี่ยนที่น่าสนใจสินะ”
นี่ไงบุรุษที่ชื่อภูผา ตะวันพิศาล
สายตา มันสมอง ความฉลาก ไหวพริบ การตีประโยคพูด
เขามักทำได้ตลอด
ฉลาดเป็นกรด
“หึ...”
“จะให้เสนอหรือว่าเสนอเองล่ะ”
“น่าสนใจนะคะ ข้อแลกเปลี่ยนอะไรดี”
คนตรงหน้าของฉันส่งยิ้มมาให้แล้วยักไหล่บอกให้ฉันลองเสนอมาให้พิจารณาแต่ฉันกับคิดกลับกันคนที่พิจารณามันควรเป็นตัวเองมากกว่า
มันต้องคุ้มค่าสิ
ในเมื่อฉันอยากให้เป็นแบบนี้
“บอกมาได้เลย”
“งั้นเอาคุณศิลา ตะวันพิศาล ทายาทอันดับหนึ่งผู้ที่มากุมบังเหียนตะวันพิศาลมาสัมภาษณ์หน่อยดีกว่าค่ะ”
“ตกลง พ่อจัดการให้”
พ่องั้นเหรอ...
ตามใจคุณภูผา ตะวันพิศาล เรียกแทนเลย
ศิลา ตะวันพิศาล : TALK
ที่นี่เองสินะ
หนึ่งในธุรกิจภายใต้การควบคุมของ JR บริษัทยักษ์ใหญ่สัญชาติตะวันตก ถึงแม้ที่นี่ไม่ใช่สำนักงานใหญ่เป็นแค่เสี้ยวปีกเล็กปีกหนึ่งซึ่งก็ไม่ได้ไก่กาสักนิดเดียว ตัวอักษรขนาดใหญ่เด่นด้วยแสงไฟสีแดงส่องสว่างกลางตึกใหญ่ชั้นยี่สิบของตึกสูงแห่งนี้ ทั้งชั้นเป็นสำนักงานของนิตยสารแห่งหนึ่งที่พึ่งติดต่อสัมภาษณ์เมื่อวันก่อนเป็นวันเดียวกันกับที่เท้าผมพึ่งเหยียบแผ่นดินไทยในรอบเกือบ 5 ปีกว่าด้วยระยะเวลาตอนนี้ผมอยู่ช่วงอายุ 27 ปีแล้ว
พอมาไม่กี่วันก่อนหน้าพ่อก็ย้ำเขาเรื่องการให้สัมภาษณ์อีกครั้งหนึ่งทำให้ยากต่อการปฏิเสธเหลือเกินทางเดียวคือต้องยอมรับบวกทำตาม เท่าที่สายตาพลางสังเกตที่นี่จัดการทุกอย่างเป็นระบบมากทุกแผนกแบ่งเส้นด้วยความรับผิดชอบและก็หน้าที่ไว้เต็มไปหมด อีกฟากของเก้าอี้รับรองแขกที่ผมกำลังนั่งอยู่นั้นมีผลงานของนิตยสารตั้งแต่เริ่มแรกจวบจนไปถึงเล่มปัจจุบันเลย ไม่มีแค่ดาราคนดังที่ได้ขึ้นปกนิตยสารกับมีนักธุรกิจเข้ามาแทรกขึ้นด้วย
“สวัสดีครับคุณศิลา”
“สวัสดีครับ”
ผมลุกขึ้นเต็มความสูงแล้วส่งยิ้มให้กับเขา
“เชิญทางนี้เลยครับ บก รออยู่ครับ”
“ขอบคุณครับ” พอเขาผายมือเชิญให้เดินนำก่อนทว่าผมกับยิ้มแล้วเอ่ยออกมา “เดี๋ยวผมเดินตามเองครับ”
ผมเดินตามผู้ชายตัวสูงท่าทางดูดีใช่เล่นอีกทั้งกิริยามารยาททุกอย่างก็โอเคหมดถึงแม้จะเป็นเพียงแค่หน้าที่ที่เขาได้รับมอบหมายมาก็ตามแต่ชื่นชมนะกับการทำหน้าที่ได้ดี ผมเดินตามมาไม่นานนักก่อนมาหยุดลงหน้าห้องหนึ่งซึ่งไร้ชื่อใดๆ ทั้งสิ้น เขาเคาะประตูสามครั้งก่อนเปิดประตูกว้างหันมาเชิญให้เข้าไปในห้องนี้และพอก้าวเข้าไปความเย็นเฉียบจากเครื่องปรับอากาศตีแผ่กระทบใบหน้าในทันที ด้วยความที่อุณหภูมิในห้องนี้ต่ำกว่าอุณหภูมิด้านนอกดูท่าว่า บก คนนี้จะชอบอากาศเย็นมากเป็นพิเศษก็ว่าได้
ในห้องกว้างนี้ฟากหนึ่งมีหน้าต่างแบบ full window ทรงสูงโปร่งอวดวิวแม่น้ำสายหลักถัดมาจากหน้าต่างกระจกก็มีการตกแต่งด้วยม่านสีแดง ทุกอย่างในห้องนี้ล้วนแล้วตกแต่งเด่นมากไปด้วยสีแดงดำเป็นหลักผู้เป็นเจ้าของห้องอยู่หลังเก้าอี้สีดำที่กำลังหันไปทางวิวซึ่งเอาจริงไม่เห็นแม้แต่ปลายเส้นผมของอีกฝ่ายสักนิดกระทั่งสายตาของตัวเองก็เหลือบไปเห็นป้ายหินอ่อนสีขาวบนหินอ่อนรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าอันเล็กๆ ที่ตั้งไว้บนโต๊ะทำงานเด่นออกมามีตัวอักษรอ่านแล้วผมแทบอยากเดินออกจากห้องนี้ไปเลย
ผมไม่พอใจ
ผมกำลังใจร้อน
และผมก็กำลังจะหมดความอดทน
“บก ครับ คุณศิลา ตะวันพิศาลมาแล้วครับ” แต่คงไม่ทันแล้วเพราะพอเสียงพูดจบประโยคเก้าอี้ก็หันมาให้ได้เห็น จังหวะนรกในการประสานสายตาของทั้งผมกับเธอมันพังพินาศยิ่งกว่าอะไรเสียอีก “คุณศิลานี่คุณไอรีนเป็น บก ของนิตยสารเราครับ”
ไอรีน... คงหนีไม่พ้นสินะ
ไอรีน... ผู้หญิงใบหน้าเก๋มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองหากมองว่าน่ารักสวยก็จะไร้ที่ติแต่หากมองอีกด้านหนึ่งจะสามารถบอกได้เลยว่าหน้าหยิ่งไม่เป็นมิตร
เลือกแล้วแต่คนจะมองมากกว่า
“สวัสดีค่ะคุณศิลา ยินดีที่ได้รู้จักอีกนะคะ” ประโยคแรกของการทักทายก็ธรรมดาแต่กลับไม่ธรรมดาสำหรับผมเสียนี่ ผู้หญิงรวบผมสีดำเหลือบเทาไปมัดด้านหลังบนตัวบางๆ ของเธอมีเดรสสีดำสนิทสวมทับด้วยเบลเซอร์สีแดงเข้มให้สไตล์หรูหราด้วยเครื่องประดับสีเงินน้อยชิ้นตรงลำคอกับนิ้วมือ “เชิญนั่งค่ะ”
ผมยังยืนที่เดิมในขณะที่ผู้ชายที่พามากำลังเดินออกจากห้องนี้
เท่ากับว่าในตอนนี้เหลือเพียงแค่ผมกับเธอเท่านั้น
“ยินดีที่ไม่เคยรู้จักครับ”
“...”
“อ้อ... ยินดีที่ได้รู้จักครับ” และนั่นคือประโยคที่ผมเอ่ยทักทายไปโดยไร้รอยยิ้มหรือคำว่ายินดีเลย ดูท่าทุกอย่างมันคงพังตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มต้นเสียแล้วล่ะ “และผมคงต้องปฏิเสธการให้สัมภาษณ์กับนิตยสารของคุณเสียแล้วครับ”
“อย่าเอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับเรื่องงานสิคะ”
แล้วเธอก็ฟาดประโยคนี้เข้ามาจู่โจมทันที
“ไม่ปนหรอกครับผมแยกแยะได้อีกอย่างเรื่องส่วนตัวผมมันไม่ได้ดีเด่นให้จดจำอะไรขนาดนั้น”
“แน่ใจใช่มั้ยในสิ่งที่พูดมาคุณศิลา” ความแพรวพราวบวกกับความเจ้าเล่ห์ที่มากด้วยประสบการณ์กำลังถูกนำออกมาให้ผมได้เห็นอีกทั้งนิ้วมือเรียวขาวทั้งห้านิ้วข้างซ้ายไร้เครื่องประดับใดๆ ทั้งสิ้นยังคงเคาะเป็นจังหวะเบาๆ บนแฟ้มเอกสารสีดำตรงหน้า “งั้นถ้าไม่เกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวก็นั่งลงคุยเรื่องงานไม่ดีกว่าเหรอ”
“ผมขอปฏิเสธ”
“ทั้งพี่พ่อคุณขอ?”
“คุณรู้ได้ยังไง”
“…” อีกฝ่ายไม่ตอบผมแถมยังยกมือขึ้นกอดอกทำท่าทางเหนือกว่าความดื้อด้านยังไม่เกินไปจริงๆ สำหรับผู้หญิงคนนี้และเมื่อเธอได้เห็นผมยอมนั่งริมฝีปากที่เคลือบด้วยลิปสติกสีแดงสดจึงยกยิ้มขึ้นด้วยความพอใจ “ก็รู้มากเล็กน้อย”
“…”
“โมโหเหรอคะคุณศิลา มันเรื่องเล็กน้อยมากเลยนะคะเพราะคนแบบฉันรู้เยอะกว่านี้”
“อย่างเช่น?”
รู้มากจริงหรือเปล่า
งั้นยกตัวอย่างมาสิ
“คุณศิลากำลังจะแต่งงานกับคุณแทรีน่า”
“อันนี้เรื่องภายในครับ นอกนอกไม่ยุ่ง” นัยน์ตาเล็กไม่แสดงท่าทางอะไรออกมาทั้งสิ้นยังดูเฉยเมยเฉกเช่นในตอนแรกทว่าร่างกายต่างหากที่นิ่งไปราวกับรูปปั้น “แค่นี้ใช่มั้ยครับ”
“ทำไมกลืนน้ำลายตัวเองล่ะคะ ไม่อยากให้ลูกรู้ว่าแม่มีครอบครัวใหม่แล้วทำไมถึงกลับทำเสียเองกันคุณศิลา”
“…”
“คราวนี้จะบอกลูกยังไงดี นึกหรือเปล่า”
“ลาวา...” ผมเอ่ยชื่อของเธอเป็นครั้งแรกด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวซึ่งดูเหมือนคนตรงหน้าไม่กลัวด้วยซ้ำไป
“อย่าว่าด่าหรือเกลียดคนอื่นไว้มากถ้าหากจะเดินรอยทำตามคนที่ด่า”
“…”
“เพราะมันดูทุเรศสิ้นดี”
“…”
“ว่ามั้ยคะ?” รอยยิ้มเหยียดเกิดจากการเยาะเย้ยยังไม่จางหายไปจากคนตรงหน้า นัยน์ตาเล็กรู้สึกสะใจอย่างเปิดเผยที่ได้พูดแบบนี้กับผมและดูเหมือนมันจะไม่จบอย่างดีๆ เลยเพราะพอรอยยิ้มนั้นจางหายไปราวกับมันไม่เคยเกิดขึ้นใบหน้าที่เป็นเอกลักษณ์กับเชิดขึ้นก่อนปล่อยประโยคออกมา “หรือว่าต้องสรรหาประโยคแรงกว่านี้ดี”
“อย่าเอาเรื่องส่วนตัวปนกับเรื่องงานสิครับ”
“…”
“เพราตอนนี้คุณฏำลังเป็นแบบนี้อยู่”
“หึคิดแบบนั้นเหรอคะงั้นกลับไปถามว่าที่แม่ยายคุณศิลาสิคะ... ว่าเมื่อคืนไปบ้านฉันดึกดื่นทำไมกัน”
“…”
ข้อนี้ผมพึ่งรู้จึงค่อนข้างแปลกใจมากเมื่อสิ่งที่คู่สนทนาพูดขึ้นมันเกี่ยวกับคุณหญิงด้วยเกล้าซึ่งเป็นแม่ของแทรีน่า จากที่สังเกตได้มันต้องมีอะไรมากกว่านี้อย่างแน่นอนไม่อย่างงั้นคนอย่างเธอไม่เล่นประเด็นนี้ขึ้นมาหรอก ลาวาเป็นประเภทที่หากอยากเจาะอะไรบางอย่างเพื่อให้อีกอีกรับรู้เธอจะเกริ่นขึ้นมาเพียงนิดหน่อยจากนั้นก็จะเล่นกับความอยากรู้ของคนให้ไปค้นหาเองเท่านั้น
แล้วเธอก็เล่นประเด็นเป็นเสียด้วย
ตอนนี้ผมอยากรู้จนแทบคลั่งเลยแหละ
“หากไปก็ฝากถามด้วยว่าเอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับเรื่องงานทำไม”
“เขาไปทำไม คุณหญิงด้วยเกล้าไปทำไม”
“รนหาที่มั้ง”
สายตาแข็งกร้าวถูกส่งออกมาอย่างเต็มรูปแบบโดยปราศจากการกักเก็บเอาไว้จากนั้นเธอก็เป็นฝ่ายหมุนหันเก้าอี้ไปอีกด้านหนึ่งซึ่งตรงกับวิวด้านนอก เสี้ยวใบหน้าที่อยู่ในสายตาของผมยังเชิดหยิ่งไม่ต่างจากก่อนหน้าเท่าไหร่การเจอกันในครั้งนี้สิ่งเดียวที่ทำให้ผมเห็นการเปลี่ยนไปของเธอก็คือการคาดเดาอยากของอีกฝ่าย
จากที่คาดเดาง่ายกับเปลี่ยนเป็นยาก
จากที่แค่มองตาก็รู้ว่าคิดอะไรเปลี่ยนเป็นไม่รู้
แล้วผมต้องทำยังไงกันเพราะประโยคคำตอบมันดูเหมือนมีอะไร
“…”
“คุณหญิงด้วยเกล้าเขามาขอให้แทรีน่าขึ้นปกค่ะ” ไม่คิดว่าเธอจะยอมบอกง่ายๆ การพูดโดยไม่หันใบหน้ามามองคู่สนทนาแน่นอนถ้าเป็นคนอื่นผมไม่ยอมหรอกแต่ตอนนี้มันเป็นเธอไง สายตาของลาวาจ้องไปยังวิวตรงหน้าไม่เปลี่ยนไปไหนจับจ้องมันอยู่ตรงนั้น “แต่คุณศิลารู้มั้ยว่าโลกนี้ไม่มีอะไรฟรีๆ”
“อะไรคือการแลกเปลี่ยน?”
“การที่คุณมาอยู่ตรงนี้ไง”
“…” แลกกับที่ผมมาให้สัมภาษณ์งั้นเหรอ “คุณหญิงด้วยเกล้าไม่ได้ไปคนเดียวใช่มั้ย”
“รู้คำตอบแล้วเหรอคะ”
“อย่ากวน”
พ่อผมมากับคุณหญิงด้วยเกล้างั้นเหรอ
ผมเป็นสิ่งของถูกแลกเพื่อให้แทรีน่าขึ้นปกงั้นเหรอ
“ถ้าคุณศิลาทำตามที่พ่อคุณบอกก็ใช่นั่นแหละ แบบนี้แล้วยังจะปฏิเสธอยู่มั้ยคะ” พูดจบลาวาก็งั้นตัวมามองคู่สนทนาแบบปกติซึ่งยอมรับเลยว่ามันโคตรดูกวนอีกหลายเท่าตัว “ถ้าหากจะปฏิเสธก็ได้ทางนี้ไม่บังคับอะไรคุณศิลาเลยนอกจากจะไม่ทำตามที่ตกลงกันเอาไว้แค่นั้น”
“คุณไอรีนคิดว่าจะบังคับใครได้ตลอดเหรอครับ”
“ไม่รู้สิคะแต่ก็อยากจะรู้เหมือนกัน”
แค่นี้ก็แน่ชัดแล้วว่าอีกฝ่ายมองพวกผมเป็นแค่หมากตัวหนึ่งในเกมเพื่อที่จะเชื่อมให้ไปถึงจุดที่เธอต้องการจากนั้นจะเกิดอะไรขึ้นมันก็ช่างแม่ง
“งั้นผมต้องขอปฏิเสธแล้วกัน” สิ้นประโยคของผมอีกฝ่ายก็ไม่มีความสะทกสะท้านอะไรทั้งนั้นนอกจากจะเฉยๆ เสียมากกว่าอีกทั้งยังส่งยิ้มมาให้ “ขอตัวนะครับ”
“เดี๋ยวสิคะ”
“คุณไอรีนก็ได้สิ่งที่ตัวเองต้องการแล้วไม่ใช่เหรอ คุณไม่ได้คาดหวังว่าผมจะร่วมงานสักหน่อย” ทำไมจะไม่รู้ทันกันสำหรับนิตยสารที่แทรีน่ากำลังจะถูกถอดจากปกไม่มีผลอะไรให้เธอง้อสักนิด ไม่ได้หรือว่าส่วนได้ส่วนเสียสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการคือได้ได้เห็นผมมาอยู่ที่นี่ต่างหากต่อให้ผมปฏิเสธหรือว่ายอมมันก็อยู่จุดที่ทำให้ลาวา “มันเป็นแบบนี้ไม่ใช่เหรอ”
“รู้แล้วก็อยู่ต่ออีกนิดสิ”
“ไม่มีความจำเป็น”
“คุณศิลารู้อะไรมั้ยคะว่าตึกนั้นเป็นของใคร?” ลาวาหันไปเหมือนกันหน้าอีกรอบหนึ่งแต่รอบนี้ร่างเล็กลุกขึ้นเต็มความสูงของตัวเองก่อนเดินไปไม่ถึงสามก้าวแล้วก็หยุดยืนมองตึกหนึ่งที่ตั้งอยู่ไม่ไกลเท่าไหร่แต่เด่นมากทำไมผมจะไม่รู้ว่าตึกนั้นใครเป็นเจ้าของในเมื่อสามชั่วโมงก่อนหน้าผมพึ่งจากที่นั่นมา “สวยดีนะคะแต่... น่าทุบให้พัง”
“พูดดีๆ หน่อย”
“หึ...” ผมได้ยินมันชัดเจนกับการเย้ยในครั้งนี้ ความห่างระหว่างผมกับเธอมันมีช่องว่ามากเหลือเกินยิ่งตอนนี้ผมไม่เห็นว่าอีกฝ่ายทำหน้ายังไงเพราะเห็นแค่แผ่นหลังเท่านั้น “ญาติคุณศิลามีมั้ยที่จะทำธุรกิจแบบไม่เบียดเบียนคนอื่น”
“…”
“มีมั้ยที่ไม่ต้องทำให้คนอื่นเดือดร้อน”
“คุณต้องการอะไรไอรีน”
“นึกว่าจะไม่ถามเสียแล้ว” แล้วลาว่าเธอก็หันหน้ามาประจันกับผมที่หมุนเก้าอี้ไปตรงกันกับเธอพอดี เราทั้งสองมองหน้ากันอย่างไม่มีใครยอมแพ้ใครและครั้งนี้ก็ไม่มีอะไรมาขวางช่องว่างระหว่างเราทั้งสองคนด้วย “ป้าคุณยังอยู่ดีมั้ย?”
“อย่าเฉไปทางอื่นเลย”
“ไม่เฉ”
“…”
“เพราที่ฉันถามก็เพราะว่าถ้าฉันมาป้าคุณต้องไม่อยู่ดีแน่”
“…”
“อย่างแรกเลยที่ฉันจะทำ มันคาดไม่ถึงเลยละ” แล้วลาวาก็หันกลับไปมองวิวด้านนอกอีกครั้งทว่าครั้งนี้มันไม่เหมือนเดิมก็เพราะว่าตึกที่เธอเอ่ยถามผมมันถล่มพังลงไปในพริบตาจนผมต้องลุกขึ้นแล้วเดินไประนาบเดียวกันกับเธอ นัยน์ตาลาวาหันมามองผมแบบเรียบเฉยมาก “นี่คือของขวัญชิ้นแรกจากฉันค่ะคุณศิลา”
ความคิดเห็น