ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    THE CUTE หินลาวา

    ลำดับตอนที่ #2 : CHAPTER 1 :: หินลาวา=100% [อัพครบ]

    • อัปเดตล่าสุด 30 ธ.ค. 63


    โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
    เนื้อเรื่องมีฉากรุนแรงหนักหน่วงและไม่เหมาะสม



    :. CHAPTER 01 .:


    @NEW YORK USA


    ก้อนขาวน้ำหนักเบาบางแต่ละก้อนโปรยตกจากท้องฟ้าในวันนี้ซึ่งเป็นฤดูหนาวในนิวยอร์ก อากาศที่นี่ในฤดูนี้ค่อนข้างหนาวเย็นจริงจังส่วนมากอุณหภูมิไม่ค่อยสูงไปกว่า 5 องศาหรอกบางวันก็ติดลบด้วยซ้ำ ลมหนาวพัดมาทีไรอากาศจะยิ่งย่ำแย่ลงไปอีกเท่าตัวแย่กว่าวันที่หิมะตกเสียอีก ในวันที่แดดเปรี้ยงลมหนาวพัดกระทบตัวมันก็เหมือนสิ่งแหลมคมปักตามร่างกายเลวร้ายเกินบรรยายเป็นที่สุด


    ความเย็นยะเยือกหนาวห่อหุ้มร่างกายไม่เว้นแม้แต่หัวใจที่อาศัยอยู่หน้าอกด้านซ้ายมันก็ยังมีความเย็นชาเรียบไม่ต่างอะไรกับอากาศข้างนอกเลย มันก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วแหละและคงไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่นนิดเหนือจากนี้อีกแล้ว สายหิมะที่หล่นลงมาจากด้านบนทำให้ใจหวิวนิดหนึ่งแต่สติก็พาฉันกลับจากความคิดเหล่านั้นได้


    “อะนี่ไข่ตุ๋นและก็ยำมาม่าสูตรพิเศษ”


    “จะกินได้มั้ย” เสียงตอบรับจากอีกคนพร้อมกับสายตาที่มองไปยังถ้วยเล็กฟูสีเหลืองอ่อนส่งกลิ่นหอมส่วนอีกจานหนึ่งมีเส้นขดงอผสมกับหมูสับ กุ้งและก็ผักชนิดหนึ่ง สองเมนูข้างหน้านี้ค่อนข้างต่างกันในเรื่องของรสชาติอย่างสิ้นเชิงแต่ก็ใช่ว่าจะไม่สามารถทานร่วมกันได้ “พัฒนาแล้วใช่มั้ยสกิลการทำอาหารของแก”


    “อือ”


    “แหวะพัฒนาบ้าอะไร!”


    คงเพราะฝีมือการทำอาหารที่ห่วยแต่ก็ยังเสือกเลือกที่จะทำมั้งทำให้เลอาวางช้อนและส้อมในมือลงเสร็จแล้วก็ผลักทั้งไข่ตุ๋นและยำมาม่าให้ห่างออกไปจากตัวมากที่สุด


    “งั้นเหรอ?”


    ฉันตอบหน้าตายให้กับอีกคนหนึ่งที่กำลังขะมักเขม้นเช็ดปากด้วยความรู้สึกที่เรียบเฉยไม่สะทกสะท้านอะไรแม้สักนิดเดียว ผู้หญิงผมสั้นปะบ่าสีน้ำเงินจางๆ คนนี้ชื่อว่า ‘เลอา’ พี่สาวอายุห่างกันแค่ปีเดียวเอง เธอมักบินมาขออยู่ด้วยทุกครั้งที่มาเยือนนิวยอร์ก


    “ที่ไม่รู้สึกหน่อยเหรอ ไม่รู้สึกที่เกือบฆ่าฉันตายด้วยอาหารบ้าๆ พวกนั้น”


    “ไม่รู้สึกเพราะ... เธอยังไม่ตาย”


    “เย็นชาชะมัดเลยผู้หญิงคนนี้” เลอาเลือกลุกคนจากเก้าอี้เดินไปข้างเคาน์เตอร์ใช้เท้าเหยียบถังขยะแล้วเทยำมาม่ากับไข่ตุ๋นเลยลงจากนั้นก็มานั่งที่เดิมเพิ่มเติมคือมีถุงขนมใหญ่มาด้วย “ขืนกินเข้าไปตายแน่ๆ ไข่ตุ๋นเค็มยิ่งกว่าน้ำปลาส่วนยำมาม่าเปรี้ยวแบบเอาน้ำมะนาวมาเทใส่ทั้งสวน”


    “แล้วมาทำไม?”


    “พี่สาวมาหาทั้งทีนะลาวา”


    ใช่... ชื่อฉันคือลาวา


    “ฉันไม่เคยขอ”


    จบประโยคความเงียบงันก็เข้าเยือนเต็มที่สักพักหนึ่งคนด้านหน้าตรงข้ามก็เลือกขยับตัวหยิบขนมทานอย่างหน้าตาเฉยแบบไม่สะท้าน ความตีมึนของเลอาอยู่ในสายตาของฉันหมดทุกอย่างไม่ว่าจะทำหรือว่าขยับตัวไปไหน


    เราสองคนเป็นพี่น้องกัน


    เราสองคนเป็นลูกครึ่งไทย-อเมริกา


    เราเป็นพี่น้องที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันแยกกันตั้งแต่อายุ 16


    ตอนนั้นแม่กับพ่ออย่าแยกทางกันเราทั้งสองคนจึงถูกแยกจากกันด้วย พ่อรับดูแลเลอาที่อยู่ไทยส่วนฉันต้องข้ามซีกโลกมาอยู่อเมริกากับแม่ช่วยเวลาของเราทั้งสองจึงเปลี่ยนไปเล็กน้อยจนถึงปัจจุบันที่ทั้งสองท่านได้หนีกลับสวรรค์ไปเรียบร้อยฉันกับเลอาก็แยกกันอยู่เช่นเดิม


    ฉันอยู่อเมริกา เลอาอยู่ไทย


    ฉันไปไทยแค่ครั้งเดียว เลอามาอเมริกาทุกครั้ง


    ต่างกันไหมล่ะ ฉันว่าเราทั้งสองโคตรต่างที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะด้วยเรื่องอะไรก็ตาม


    “ตอนเย็นไปเล่นสเก็ตที่ Central Park มั้ย?”


    “มาอยู่กี่วันคราวนี้?” ฉันมองข้ามประโยคชวนคุยของเลอาและสาดประโยคคำถามใส่แทน “นานไม่ได้นะ”


    “ทำไม?”


    “จะได้อยู่คนเดียวไง”


    “แล้วแกจะไปไหนวะ”


    “ซานฟราน”


    “อีกแล้วเหรอ?”


    “อือ”


    ที่ที่ฉันจะไปก็คือซานฟรานซิสโกหนึ่งในรัฐแคลิฟอร์เนียของประเทศที่ฉันอาศัยอยู่นี่แหละ ที่นั่นเป็นที่ที่ฉันไปบ่อยที่สุดในระยะเวลา 4 ปีให้หลัง ไม่ว่าจะว่างตอนไหนจะไปอยู่ไปเกิน 5 ชั่วโมงก็ยังดื้อดิ้นรนไปจนได้


    “แล้วอยู่ที่นี้มา 10 กว่าปีแล้วไม่คิดจะกลับบ้านที่ไทยเลยหรือไงกลับครั้งล่าสุดก็เมื่อ 4 ปีก่อนจากนั้นก็ไม่เคยเห็นหน้าแกที่เมืองไทยเลย เกลียดชังอะไรขนาดนั้นกัน”


    “...” ฉันเลือกเงียบไม่ตอบ


    “เอาเถอะ จะให้ฉันไปเป็นเพื่อนมั้ย”


    “จะไปด้วยเหรอ”


    “เออ” เลอาลงท้ายด้วยน้ำเสียงหนักแน่นก่อนที่จะหันไปสนใจขนมถุงใหญ่ในมือเช่นเดิมส่วนฉันก็หันตัวไปมองหิมะร่วงหนจากท้องฟ้าที่หน้าต่างห้องครัว การนั่งเท้าคางกับเคาน์เตอร์มองพวกมันตกลงสู่พื้นทับถมกันเป็นชั้นๆ ด้วยสายตาที่ว่างเปล่าไร้ความรู้สึกนั่นคือความจริงของฉัน “คิดมาก”


    “ไม่ได้คิด”


    “โกหกได้ โกหกแล้วสบายใจก็ทำไปเถอะไม่ว่าหรอก”


    “...”


    “เออวันนี้ฉันซื้อลิลลี่ติดมือมาด้วยนะอยู่ในแจกันห้องแกอ่ะลาวา”


    “ขอบใจ... แล้วเวหาได้ติดต่อมามั้ย?”


    “อือคอลทุกวันอ่ะ”


    “...”


    “กินดี อยู่ดี สบายดีเฉกเช่นเจ้าหญิงไม่ต้องห่วงเวหามันบอกมาแบบนี้นะ”


    ได้ยินแค่นี้ฉันก็ยิ้มออกแล้ว


    แค่นี้ก็พอแล้ว


    ศิลา ตะวันพิศาล : TALK

    @ San Francisco USA


    Rr...


    “แม่ง...”


    Rr...


    แต่แล้วเสียงสั่นก็ดับไปและสั่นขึ้นมาใหม่อีกรอบหนึ่ง เสียงโทรศัพท์สั่นไหวดังสนั่นสะท้อนกับโต๊ะหัวเตียงส่งผลให้จากที่เอาหมอนมาปกคลุมปิดศีรษะในตอนแรกนั้นกับถูกกอบกำขว้างออกไปติดกับผนัง ผมลุกขึ้นนั่งบนเตียงแล้วขยี้ศีรษะอย่างหัวเสียเป็นที่สุดความมืดของห้องบ่งบอกด้วยดีว่านี่ไม่ใช่เวลารับโทรศัพท์


    ควายห่าที่ไหนโทรมาอีกล่ะ


    เว ชื่อนี้เด่นกลางหน้าจอโทรศัพท์ของผม


    “โทรมาทำควยอะไรไอ้เหี้ย!” ด้วยความที่โทรมาไม่รู้จักเวล่ำเวลาอย่างแรกที่ต้องเจอก็คือประโยคแบบนี้แหละ มันเป็นทุกครั้งเลยสำหรับไอ้เวคนนี้แล้วมันก็น้อยไปด้วยซ้ำสำหรับคำด่าว่า “นึกถึงคำว่ามารยาทที่แม่มึงสอนบ้างเถอะอย่างน้อยๆ ก็ควรเอามาใช้”


    [โอ้โหนี่กูโดนสวดอีกแล้วเหรอวะ ผิดมากหรือไงนี่เวลาโทรของกูอ่ะ]


    “แต่ไม่ใช่ของกูไอ้สัส”


    [ไม่เหลือคำว่าพี่เลย]


    “หัดดูเวลาทามโซนของกูด้วยนะเว ถ้าลิลลี่นอนกับกูแล้วตื่นมึงโดนถีบยอดหน้าแน่ๆ”


    [แหนะตอนนี้ไม่นอนกับลูกแล้วมึงนอนกับสาวที่ไหนไอ้ห่าหิน ฟ้องแน่กูฟ้องแม่มึงแน่เอาสิ] เสียงไอ้เวดังขึ้นสร้างอารมณ์ที่อยากเข้าไปจับกดหัวกระแทกขอบโต๊ะจริงๆ [มึงตอบมาไอ้หิน มามึงมาพูดมา]


    “ไม่มีนอนคนเดียวลิลลี่แยกห้องไอ้ควาย”


    [จริงนะ กูมีสายนะแต่พูดถึงก็คิดถึงหลาน มาไทยจะซื้อขนมให้เยอะๆ เลยว่ะ]


    “พอเดี๋ยวร้องไห้ตอนทำฟันอีก”


    [เป็นสาวแล้วดิเนี่ย เห้อคิดถึงแม่งชิบหาย]


    “เมื่ออาทิตย์ก่อนยังเสมอหน้ามานี่แค่รอไม่เกินอาทิตย์ก็เห็นหน้าแล้วมั้ยวะ”


    [หมายความว่าไง?]


    ก็หมายความว่าจะกลับไทยไง


    แต่ผมก็ไม่ได้เอ่ยพูดบอกกับญาติผู้พี่ของตัวเองหรอก มันค่อนข้างปากมากปากอยู่ไม่สุขชอบพูดมั่วไปเรื่อยให้รู้แค่นี้ก็พอแล้วแหละ


    “รอให้มึงมาหาไงไอ้เว”


    [หมดกันความคาดหวังของกู]


    “หวังมาเกือบ 5 ปีแล้วเลิกหวังมั้ยจะได้ไม่ผิดหวัง”


    [ไม่จะหวังไปเรื่อยๆ ]


    “หวังลมๆ แล้งๆ กูไม่พาลูกกลับหรอก”


    [มาเยี่ยมบ้างก็ได้นิเกือบ 5 ปีแล้วนะที่มึงพาลิลลี่ไปอยู่ซานฟรานแล้วไม่กลับไทยเลยไอ้ห่าหิน]


    “เหนื่อยมั้ยพูดมาเกือบ 5 ปีเช่นกันอ่ะมึงอ่ะ” และผมก็ถามไอ้เวกลับไปเพราะทุกครั้งมักจะได้ยินประโยคนี้จากมันเสมอไม่รู้ว่าต้องการไซโคอะไรขนาดนั้นเช่นกันเพราะพูดมามันก็ไม่เกิดขึ้นหรอกมีแต่เปล่าประโยชน์เฉยๆ “เหนื่อยแล้วก็พอได้ล่ะ ยังไงก็ไม่กลับอยู่ที่นี่ดีแล้ว”


    คุณภาพชีวิต


    คุณภาพการศึกษา


    ทุกอย่างไม่มีอะไรที่แพ้ที่ไหนแถมอาจเด่นกว่าด้วยซ้ำ การคิดพาที่นี่ตั้งแต่แรกมันคือความตั้งใจของผมเช่นกันและไม่อยากให้ลูกมีปมอะไรทั้งนั้น ไม่ต้องมีวันพ่อวันแม่ ไม่ต้องกราบใคร ไม่ต้องเป็นตัวประหลาดในสายตาใคร ทุกคนเท่าเทียมกันของคำว่ามนุษย์แน่นอนมันดีกว่าอยู่แล้ว


    [เออกูบินไปเองก็ได้]


    “กูย้ายคอนโดนะ”


    [ห้ะ! เกือบ 5 ปีย้ายเป็นร้อยแห่งมึงบ้าเปล่าไอ้สัส]


    “เปลี่ยนบรรยากาศ” นี่เป็นคำพูดของผมสั้นๆ เลย


    [ทั้งอดีตและปัจจุบันเวียนหัวไปหมดกับความซับซ้อนของคอนโดมึง]


    “นั่นมันอดีตมึงต้องอยู่กับปัจจุบันนะไอ้เว”


    [ไม่ต้องมาสอนกูแค่แม่สวดยับสาดใส่ทุกวันเวลาแดกเหล้าก็จะแย่อยู่แล้ว เออแล้วถ้ามีอะไรที่อยากพูดถึงอดีตได้อ่ะ มึงจะพูดอะไร]


    “จดจำวันที่ร้ายกับคนอื่นเอาไว้ดีๆ ล่ะ”


    [...]


    “เงียบทำเหี้ยแม่งทำไมไอ้สัสเว อยากให้กูบอกไม่ใช่ก็นี่ไง บอกด้วยล่ะ”



    [สงสัยกูงั้นสิ]


    “หึ...เปล่า การร้อนตัวจะไม่มีถ้ามึงไม่แอบทำผิดลับหลัง” ความฉลาดมันมีอยู่ทุกคนแต่ใช่ว่าทุกคนจะเอาออกมาใช้ในยามที่ตัวเองทำผิดหรือไม่อันนี้ต้องติดตามกันต่อไป ไม่มีใครรู้ดีกว่าตัวเองหรอกว่าสิ่งที่ทำนั้นได้ทำจริงหรือว่ามั่วจากปากคนมากกว่าแต่ผมถ้าได้พูดอะไรไปแล้วไม่มั่วแน่ “หรือมึงมี?”


    [...]


    “ว่าไง”


    [ไม่ว่าไง]


    “ตามใจมึงเถอะ”


    [หิน...]


    “พอเถอะ กูเหนื่อยว่ะเรื่องนั้นแล้วมันก็นานไปแล้วด้วยเว”


    [...]


    เพราะความเงียบทำให้ผมไม่ปรารถนาเท่าไหร่นักจึงเป็นผมเองที่เป็นฝ่ายวางสายในครั้งนี้อย่างไร้มารยาทเป็นที่สุด โทรศัพท์ในมือถูกโยนข้ามศีรษะตกลงบนเตียงข้างหลังดังตุ๊บอย่างไม่เสียดายเลยเกือบตี 4 แล้วทั้งที่ผมพึ่งนอนเมื่อตอนตี 1 กว่ากะว่าจะตื่น 6 โมงเช้าแต่ตอนนี้กับนอนไม่หลับอีกแล้ว


    กลไกการทำงานของร่างกายที่ชินชากับเสียงจึงมักตอบรับได้ทุกสิ่งอย่างถ้าได้ยินเสียงชัดเจนเว้นเสียว่าเหนื่อยจริงๆ เท่านั้น ซานฟรานซิสโกคือเมืองที่ผมอยู่อาศัย อากาศของที่นี่เย็นสบายตลอดทั้งปีหน้าหนาวก็ไม่หนาวมากหน้าร้อนก็ไม่ร้อนเกินอย่างเช่นตอนนี้เป็นช่วงฤดูหนาวอุณหภูมิก็ประมาณ 8-12 องศาเซลเซียสแค่นั้น


    เมืองนี้จึงถูกเลือกจากผม


    เมืองนี้ผมกับลูกอยู่มากว่า 5 ปี


    ความเหนื่อยในระดับแรกมันก็มีอยู่แล้วแต่ทุกครั้งพอได้เห็นรอยยิ้มหนึ่งซึ่งเป็นดั่งสายน้ำเข้ามาชโลมจิตใจอันเหนื่อยและล้าผมกลับมาแรงฮึดสู้ขึ้นเรื่อยๆ


    ผมตื่นประมาณตี 5 - 6 โมงเช้าเพื่อจัดการสิ่งต่างๆ ให้กับลูกสาวจะเรียกว่าเตรียมพร้อมก่อนไปโรงเรียนเริ่มตั้งแต่การบีบยาสีฟันวางไว้ในห้องน้ำ (ผลัดกันกับลูกบีบให้กันและกันส่วนมากก่อนเข้านอนลูกบีบไว้ให้ส่วนตอนเช้าผมบีบให้ลูก) ทำอาหาร เช็กทุกอย่างในคอนโดให้เรียบร้อยก่อนออกไปส่งลูกแล้วก็ไปทำงานส่วนพอหลังจากทำงานเสร็จแน่ละสิ่งแรกก็ไปรับลูก ซื้อของเข้าบ้าน ทำอาหารเย็น สอนการบ้านรวมไปถึงส่งลูกเข้านอน


    มันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่อยู่เมืองไทย เป็นแบบนี้เมื่อ 10 ปีก่อน


    ถ้าสงสัยกันบอกเลยผมมีลูกตอนอายุ 18 ปี


    ณ ตอนนี้ลูกอายุ 10 ขวบเต็ม


    เรามีกันแค่สองคนพ่อลูก


    เราสองคนผ่านสถานการณ์ทุกอย่างกันมาอย่างยากลำบากถึงแม้จะมีอันจะกินก็ตาม การก้าวผ่านเรื่องราวต่างๆ มากมายมันไม่ใช่เรื่องง่ายข้อนี้ผมรู้และพยายามทำใจอยู่ทีละนิด


    ผมมีลูกสาวชื่อว่า ‘ลิลลี่’ ชื่อตรงกันกับดอกไม้ที่ผมชอบมากที่สุดในบรรดาดอกไม้ทั้งหลายแหล่ ลิลลี่เป็นเด็กหญิงยิ้มง่ายแต่เข้ากับคนได้ยากมาก เธอชอบคนสวยๆ แต่กีดกันตัวเองจากใครๆ นี่คือนิสัยที่แก้ไม่หายแต่ก็ใช่ว่าจะเข้ากับคนอื่นๆ ไม่ได้นะ เข้าได้ครับแต่จะมีเพื่อนสนิทไม่เกินสองคน


    ผมพยายามปรับปรุงข้อนี้


    ปรับปรุงให้มันดีกว่าเดิมให้มากๆ


    การมีลูกในขณะที่อายุของผมไม่ถึง 20 ปีก็ใช่ว่าง่ายเสมอไปหรอกมันมีอยู่แล้วความสงสัยต่างๆ และก็คำถามจากผู้คนที่เป็นคนนอก บางครั้งก็มีการใช้สายตาเป็นคำถามก็มีนะรัวมาอย่างไม่ทันตั้งตัวเลยก็มีแหละซึ่งบางคำถามมันไม่น่าเกิดขึ้นด้วยซ้ำแต่ผมก็รู้เรื่องแบบนี้โรงเรียนไม่มีสอนครอบก็อย่าหวัง


    ผมรู้แต่ไม่ตอบ


    ผมรู้แต่ไม่สนใจ


    ผมรู้แต่ก็หลีกเลี่ยง


    คนจำพวกสาระแนเรื่องคนอื่นแต่บางครั้งก็มีเพื่อนในกลุ่มเดียวกันเป็นคนจัดการกับคำถามพวกนั้นให้ซึ่งมันก็ตลกดี ฟังๆ ก็เหมือนเป็นคำด่ารวมอยู่ยกตัวอย่างเช่น


    ทำไมหินมีลูกเร็วจังอ่ะ?

    เพื่อนกูมีลูกเร็วไปแต่ไม่เหมือนมึงหรอกที่ลูกยังไม่มีแต่ผัวเนี่ยหลักร้อยเลยหรือเปล่าจ๊ะ


    ก็พลาดอ่ะดิงั้นจะเลี้ยงเหรอ?

    พลาดไม่พลาดก็เรื่องของไอ้หินแต่ปากมึงไม่น่าพลาดโดนตีน


    แม่ของลูกอ่ะอยู่ไหน?

    อยู่ไหนก็เรื่องของมันแต่ผัวมึงเนี่ยอยู่ไหนเสือกเรื่องคนอื่นแบบนี้ระวังไม่มีผัวนะ


    ถ้าไม่รวยก็ไม่เลี้ยงหรอก

    อิจฉาเหรอแน่จริงก็รวยอย่างเพื่อนกูสิ!


    ทุกอย่างมักเป็นประสบการณ์ตรงทั้งนั้นในตอนนั้นผมก็เสียใจนะกับคำถามพวกนี้ที่สาดเข้ามาอย่างไม่เว้นวัน ไม่ใช่แค่คนพวกนั้นแต่บางคนก็เป็นถึงญาติพี่น้องด้วยกันแต่ก็คอยทับถมกันแบบนี้จะไว้ใจใครได้อีก บอกเลยว่าไว้ใจใครได้ยากมากต้องเลือกจริงๆ ถึงจะคบได้


    ถ้าถามว่าผมเสียใจไหมที่มีลิลลี่ ตอนนั้นที่ได้รู้ผมอึ้งมากกว่าไม่ได้เสียใจ


    ถ้าถามว่าผมเคยจะให้ทำแท้งลิลลี่หรือเปล่า ตอนนั้นความคิดนี้ไม่เคยมีอยู่เลยในหัว


    ถ้าถามว่าผมเคยรู้สึกอะไรหรือเปล่า ทั้งตอนนี้และตอนนั้นผมก็ยังรู้สึกอยู่แหละแต่มันจะหายไปสักวัน


    แล้วถ้าถามว่าแม่ของลิลลี่ล่ะไปไหนมันเป็นคำตอบที่ยากมากในระดับหนึ่งนะ ผมควรจะตอบดีหรือเปล่าเอาตามความจริงเรื่องราวมันจบมานานมากแล้วอีกอย่างหนึ่งผมก็ไม่ได้เจอเธอจริงๆ จังๆ สักครั้งหรอกนอกจากเมื่อ 4 ปีก่อนที่ผมจะบินมาอยู่ซานฟรานแค่วันเดียวเองแต่มันก็เป็นแค่ความบังเอิญ


    วันนั้นลิลลี่เห็นแม่ของเขาโดยที่ไม่รู้ว่าเป็นแม่ของตัวเองยืนตรงหน้า


    วันนั้นลิลลี่ถามผมว่าคนที่ยืนตรงหน้าเธอเป็นใคร


    วันนั้นลิลลี่บอกว่าแม่ของเขาสวย


    แล้ววันนั้นผมก็บอกลูกว่าตัวเองไม่รู้จักทั้งที่มันไม่จริง


    คำตอบย้อนแย้งกับความจริงอย่างหนักหน่วงมันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงแต่ช่างเถอะเวลามันผ่านมานานแล้วไม่มีประโยชน์หากต้องสาธยายพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกยังไงความรู้สึกเดิมมันก็จางเลือนหายออกไปหมดแล้วเหลือเพียงปัจจุบันที่ผมต้องเดินหน้าแล้วทำให้มันดีที่สุด


    ละทิ้งอดีตแล้วไขว่คว้าปัจจุบัน


    แน่นอนมันควรเป็นแบบนั้นมานานแล้ว


    วันเวลาผ่านมาจากวันกลายเป็นเดือนจากเดือนกลายเป็นปีและจากปีกลายเป็นหลายๆ ปี การที่ทุกอย่างมันปรับเปลี่ยนไปไม่เหลือเค้าโครงเดิมผมคิดว่ามันน่าจะเป็นบททดสอบของชีวิตเพื่อให้เดินก้าวไปต่อในจุดหนึ่งโดยไม่ต้องใส่ใจและหันกลับไปมองอดีตอีก จุดเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงทำให้อะไรหลายอย่างปรับเปลี่ยนไปตามที่มันถูกกำหนดไว้และความน่าจะเป็นเรื่องราวทุกอย่างถูกเก็บลงปิดตาย


    ไม่ได้เจ็บปวดแต่ก็ไม่จางหาย


    ไม่ได้เหมือนเดิมแต่ก็ยังนึกถึงทุกครั้ง


    ไม่ได้น่าจดจำนักแต่รู้ไหมว่าไม่เคยลืมได้เลย


    ความคิดพวกนี้ตบตีกับสมองของผมมานับไม่ถ้วนถึงแม้แต่อยู่ที่ที่ห่างไกลเพื่อไม่ทำให้นึกถึง ถึงแม้จะไม่ใช่สภาพแวดล้อมเดิมๆ ก็เถอะ ผมว่าตัวเองหนีสิ่งพวกนี้มานานเกินพอแล้วควรกลับไปในที่ที่มาได้แล้ว ยังไงอะไรจะเกิดขึ้นมันก็ต้องเกิดหยุดห้ามไม่ได้แม้กระทั่งเรื่องนั้น


    ขนาดอยู่ที่นี่ยังไม่พ้นเลย


    แล้วถ้าผมพาลิลลี่กลับแน่นอนเธอต้องกลับ


    แต่พอถึงตอนนั้นอะไรมันก็ไม่เหมือนเดิมหรอกนะ ผมนั่งจดจ้องรูปที่ปรากฏในกล้องนิ่งสายตาตัวเองโฟกัสไปจุดเดียวของภาพซึ่งเป็นมุมขวาสุดบนก่อนรอยยิ้มเกิดขึ้นตามมาตรงมุมปาก บุคคลที่สามโผล่ปรากฏในกล้องที่มีผมและลิลลี่ยิ้มแฉ่ง


    บุคคลนั้นถึงไม่ชัดเจนแต่ผมก็จำได้


    บุคคลที่แค่เสี้ยวหน้าก็จำได้


    บุคคลที่ทำให้ผมเจ็บ


    เจ็บ... เจียนตายในช่วงวัยรุ่น


    ภาพนี้มีขึ้นเมื่อไม่กี่วันก่อนนี้เองแหละและครั้งนี้เท่านั้นที่มันจะเกิดขึ้น รู้ว่าทุกครั้งที่ผมพาลิลลี่ออกไปไหนจะไม่มีแค่ตัวเองกับลูกแต่จะมีผู้หญิงหน้าเอเชียคนนี้ตามด้วยตลอด ระยะห่างที่เธอหลีกเลี่ยงมันไม่ทำให้อึดอัดแต่ก็ไม่ได้ทำให้มีความสุขสักนิดเดียวเพราะความเป็นจริงมันคือปัจจุบัน


    ส่วนผู้หญิงคนนั้นคืออดีต


    ระยะทางอันแสนไกลคั่นพวกเราเอาไว้ ยังไงก็ไม่มีหนทางมาบรรจบ


    ตับพังเพราะตังค์เพื่อน (5)

    Hin: เป็นยังไงกันบ้างไอ้พวกทำการทำงานจนล้นมือ

    Read

    ทักไปแค่ประโยคเดียวแต่ก็พากันอ่านพร้อมแต่ไม่ตอบสักคนในเวลานี้ผมจึงได้แค่นั่งมองหน้าจอแบบนั้นเพื่อรอเวลาให้อีกฝ่ายที่อยู่อีกซีกโลกหนึ่งเข้ามาตอบ

    ไอ้ตามอยู่ไทย

    ไอ้ติอยู่ไทย

    ไอ้บอลไม่อังกฤษก็เยอรมัน

    ไอ้กวางอังกฤษ แน่นอนอาศัยกันคนละทวีปแต่ยังไม่ขาดการติดต่อเลยสักครั้งเดียว

    Kwang [kw]: ว่าไงไอ้ว่างงาน?

    Ball: 5555 สัส ขำลั่น

    TAM: ลั่นแค่ไหนเยอรมันสะเทือนเลยใช่เปล่า

    TAM: แล้วซานฟรานอ่ะขำหรือยังคิดถึงเขา

    Ti Ti: ไอ้ตามโคตรขยี้

    Hin: เอาให้ตาย

    Kwang [kw]: ไม่ตายหรอกแค่เจ็บแต่ยังหายใจ

    Ball: เจ็บแต่ยังรักมากกว่าว่ะ

    Ti Ti: ไม่ๆ นาทีนี้ต้องเป็นหนีทั้งที่ยังรัก

    TAM: ตบท้ายด้วยรักแต่ทำอะไรได้

    Hin: เอาอีกดิ เอาให้กระอักออกมาเป็นเลือด

    TAM: ออกมาเป็นลาวาดีกว่า

    หึ... ห้ามไม่ได้อยู่แล้วแหละกับไอ้พวกสันขวานพวกนี้

    แต่ก็เหมือนที่มันว่ากัน

    Hin: แต่กูมีแทแล้วนะ กลับไปคงได้พูดเรื่องแต่งเสียที

    Hin: กูอยากเริ่มต้นใหม่แล้วว่ะ



    -----------------
    ฝากเม้นให้พ่อหินด้วยนะคะ

    **มีตัวอักษรและการเว้นวรรคผิด

        




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×