คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : CHAPTER 1 :: หินลาวา=100% [อัพครบ]
@NEW YORK USA
ก้อนขาวน้ำหนักเบาบางแต่ละก้อนโปรยตกจากท้องฟ้าในวันนี้ซึ่งเป็นฤดูหนาวในนิวยอร์ก อากาศที่นี่ในฤดูนี้ค่อนข้างหนาวเย็นจริงจังส่วนมากอุณหภูมิไม่ค่อยสูงไปกว่า 5 องศาหรอกบางวันก็ติดลบด้วยซ้ำ ลมหนาวพัดมาทีไรอากาศจะยิ่งย่ำแย่ลงไปอีกเท่าตัวแย่กว่าวันที่หิมะตกเสียอีก ในวันที่แดดเปรี้ยงลมหนาวพัดกระทบตัวมันก็เหมือนสิ่งแหลมคมปักตามร่างกายเลวร้ายเกินบรรยายเป็นที่สุด
ความเย็นยะเยือกหนาวห่อหุ้มร่างกายไม่เว้นแม้แต่หัวใจที่อาศัยอยู่หน้าอกด้านซ้ายมันก็ยังมีความเย็นชาเรียบไม่ต่างอะไรกับอากาศข้างนอกเลย มันก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วแหละและคงไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่นนิดเหนือจากนี้อีกแล้ว สายหิมะที่หล่นลงมาจากด้านบนทำให้ใจหวิวนิดหนึ่งแต่สติก็พาฉันกลับจากความคิดเหล่านั้นได้
“อะนี่ไข่ตุ๋นและก็ยำมาม่าสูตรพิเศษ”
“จะกินได้มั้ย” เสียงตอบรับจากอีกคนพร้อมกับสายตาที่มองไปยังถ้วยเล็กฟูสีเหลืองอ่อนส่งกลิ่นหอมส่วนอีกจานหนึ่งมีเส้นขดงอผสมกับหมูสับ กุ้งและก็ผักชนิดหนึ่ง สองเมนูข้างหน้านี้ค่อนข้างต่างกันในเรื่องของรสชาติอย่างสิ้นเชิงแต่ก็ใช่ว่าจะไม่สามารถทานร่วมกันได้ “พัฒนาแล้วใช่มั้ยสกิลการทำอาหารของแก”
“อือ”
“แหวะพัฒนาบ้าอะไร!”
คงเพราะฝีมือการทำอาหารที่ห่วยแต่ก็ยังเสือกเลือกที่จะทำมั้งทำให้เลอาวางช้อนและส้อมในมือลงเสร็จแล้วก็ผลักทั้งไข่ตุ๋นและยำมาม่าให้ห่างออกไปจากตัวมากที่สุด
“งั้นเหรอ?”
ฉันตอบหน้าตายให้กับอีกคนหนึ่งที่กำลังขะมักเขม้นเช็ดปากด้วยความรู้สึกที่เรียบเฉยไม่สะทกสะท้านอะไรแม้สักนิดเดียว ผู้หญิงผมสั้นปะบ่าสีน้ำเงินจางๆ คนนี้ชื่อว่า ‘เลอา’ พี่สาวอายุห่างกันแค่ปีเดียวเอง เธอมักบินมาขออยู่ด้วยทุกครั้งที่มาเยือนนิวยอร์ก
“ที่ไม่รู้สึกหน่อยเหรอ ไม่รู้สึกที่เกือบฆ่าฉันตายด้วยอาหารบ้าๆ พวกนั้น”
“ไม่รู้สึกเพราะ... เธอยังไม่ตาย”
“เย็นชาชะมัดเลยผู้หญิงคนนี้” เลอาเลือกลุกคนจากเก้าอี้เดินไปข้างเคาน์เตอร์ใช้เท้าเหยียบถังขยะแล้วเทยำมาม่ากับไข่ตุ๋นเลยลงจากนั้นก็มานั่งที่เดิมเพิ่มเติมคือมีถุงขนมใหญ่มาด้วย “ขืนกินเข้าไปตายแน่ๆ ไข่ตุ๋นเค็มยิ่งกว่าน้ำปลาส่วนยำมาม่าเปรี้ยวแบบเอาน้ำมะนาวมาเทใส่ทั้งสวน”
“แล้วมาทำไม?”
“พี่สาวมาหาทั้งทีนะลาวา”
ใช่... ชื่อฉันคือลาวา
“ฉันไม่เคยขอ”
จบประโยคความเงียบงันก็เข้าเยือนเต็มที่สักพักหนึ่งคนด้านหน้าตรงข้ามก็เลือกขยับตัวหยิบขนมทานอย่างหน้าตาเฉยแบบไม่สะท้าน ความตีมึนของเลอาอยู่ในสายตาของฉันหมดทุกอย่างไม่ว่าจะทำหรือว่าขยับตัวไปไหน
เราสองคนเป็นพี่น้องกัน
เราสองคนเป็นลูกครึ่งไทย-อเมริกา
เราเป็นพี่น้องที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันแยกกันตั้งแต่อายุ 16
ตอนนั้นแม่กับพ่ออย่าแยกทางกันเราทั้งสองคนจึงถูกแยกจากกันด้วย พ่อรับดูแลเลอาที่อยู่ไทยส่วนฉันต้องข้ามซีกโลกมาอยู่อเมริกากับแม่ช่วยเวลาของเราทั้งสองจึงเปลี่ยนไปเล็กน้อยจนถึงปัจจุบันที่ทั้งสองท่านได้หนีกลับสวรรค์ไปเรียบร้อยฉันกับเลอาก็แยกกันอยู่เช่นเดิม
ฉันอยู่อเมริกา เลอาอยู่ไทย
ฉันไปไทยแค่ครั้งเดียว เลอามาอเมริกาทุกครั้ง
ต่างกันไหมล่ะ ฉันว่าเราทั้งสองโคตรต่างที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะด้วยเรื่องอะไรก็ตาม
“ตอนเย็นไปเล่นสเก็ตที่ Central Park มั้ย?”
“มาอยู่กี่วันคราวนี้?” ฉันมองข้ามประโยคชวนคุยของเลอาและสาดประโยคคำถามใส่แทน “นานไม่ได้นะ”
“ทำไม?”
“จะได้อยู่คนเดียวไง”
“แล้วแกจะไปไหนวะ”
“ซานฟราน”
“อีกแล้วเหรอ?”
“อือ”
ที่ที่ฉันจะไปก็คือซานฟรานซิสโกหนึ่งในรัฐแคลิฟอร์เนียของประเทศที่ฉันอาศัยอยู่นี่แหละ ที่นั่นเป็นที่ที่ฉันไปบ่อยที่สุดในระยะเวลา 4 ปีให้หลัง ไม่ว่าจะว่างตอนไหนจะไปอยู่ไปเกิน 5 ชั่วโมงก็ยังดื้อดิ้นรนไปจนได้
“แล้วอยู่ที่นี้มา 10 กว่าปีแล้วไม่คิดจะกลับบ้านที่ไทยเลยหรือไงกลับครั้งล่าสุดก็เมื่อ 4 ปีก่อนจากนั้นก็ไม่เคยเห็นหน้าแกที่เมืองไทยเลย เกลียดชังอะไรขนาดนั้นกัน”
“...” ฉันเลือกเงียบไม่ตอบ
“เอาเถอะ จะให้ฉันไปเป็นเพื่อนมั้ย”
“จะไปด้วยเหรอ”
“เออ” เลอาลงท้ายด้วยน้ำเสียงหนักแน่นก่อนที่จะหันไปสนใจขนมถุงใหญ่ในมือเช่นเดิมส่วนฉันก็หันตัวไปมองหิมะร่วงหนจากท้องฟ้าที่หน้าต่างห้องครัว การนั่งเท้าคางกับเคาน์เตอร์มองพวกมันตกลงสู่พื้นทับถมกันเป็นชั้นๆ ด้วยสายตาที่ว่างเปล่าไร้ความรู้สึกนั่นคือความจริงของฉัน “คิดมาก”
“ไม่ได้คิด”
“โกหกได้ โกหกแล้วสบายใจก็ทำไปเถอะไม่ว่าหรอก”
“...”
“เออวันนี้ฉันซื้อลิลลี่ติดมือมาด้วยนะอยู่ในแจกันห้องแกอ่ะลาวา”
“ขอบใจ... แล้วเวหาได้ติดต่อมามั้ย?”
“อือคอลทุกวันอ่ะ”
“...”
“กินดี อยู่ดี สบายดีเฉกเช่นเจ้าหญิงไม่ต้องห่วงเวหามันบอกมาแบบนี้นะ”
ได้ยินแค่นี้ฉันก็ยิ้มออกแล้ว
แค่นี้ก็พอแล้ว
ศิลา ตะวันพิศาล : TALK
@ San Francisco USA
Rr...
“แม่ง...”
Rr...
แต่แล้วเสียงสั่นก็ดับไปและสั่นขึ้นมาใหม่อีกรอบหนึ่ง เสียงโทรศัพท์สั่นไหวดังสนั่นสะท้อนกับโต๊ะหัวเตียงส่งผลให้จากที่เอาหมอนมาปกคลุมปิดศีรษะในตอนแรกนั้นกับถูกกอบกำขว้างออกไปติดกับผนัง ผมลุกขึ้นนั่งบนเตียงแล้วขยี้ศีรษะอย่างหัวเสียเป็นที่สุดความมืดของห้องบ่งบอกด้วยดีว่านี่ไม่ใช่เวลารับโทรศัพท์
ควายห่าที่ไหนโทรมาอีกล่ะ
เว ชื่อนี้เด่นกลางหน้าจอโทรศัพท์ของผม
“โทรมาทำควยอะไรไอ้เหี้ย!” ด้วยความที่โทรมาไม่รู้จักเวล่ำเวลาอย่างแรกที่ต้องเจอก็คือประโยคแบบนี้แหละ มันเป็นทุกครั้งเลยสำหรับไอ้เวคนนี้แล้วมันก็น้อยไปด้วยซ้ำสำหรับคำด่าว่า “นึกถึงคำว่ามารยาทที่แม่มึงสอนบ้างเถอะอย่างน้อยๆ ก็ควรเอามาใช้”
[โอ้โหนี่กูโดนสวดอีกแล้วเหรอวะ ผิดมากหรือไงนี่เวลาโทรของกูอ่ะ]
“แต่ไม่ใช่ของกูไอ้สัส”
[ไม่เหลือคำว่าพี่เลย]
“หัดดูเวลาทามโซนของกูด้วยนะเว ถ้าลิลลี่นอนกับกูแล้วตื่นมึงโดนถีบยอดหน้าแน่ๆ”
[แหนะตอนนี้ไม่นอนกับลูกแล้วมึงนอนกับสาวที่ไหนไอ้ห่าหิน ฟ้องแน่กูฟ้องแม่มึงแน่เอาสิ] เสียงไอ้เวดังขึ้นสร้างอารมณ์ที่อยากเข้าไปจับกดหัวกระแทกขอบโต๊ะจริงๆ [มึงตอบมาไอ้หิน มามึงมาพูดมา]
“ไม่มีนอนคนเดียวลิลลี่แยกห้องไอ้ควาย”
[จริงนะ กูมีสายนะแต่พูดถึงก็คิดถึงหลาน มาไทยจะซื้อขนมให้เยอะๆ เลยว่ะ]
“พอเดี๋ยวร้องไห้ตอนทำฟันอีก”
[เป็นสาวแล้วดิเนี่ย เห้อคิดถึงแม่งชิบหาย]
“เมื่ออาทิตย์ก่อนยังเสมอหน้ามานี่แค่รอไม่เกินอาทิตย์ก็เห็นหน้าแล้วมั้ยวะ”
[หมายความว่าไง?]
ก็หมายความว่าจะกลับไทยไง
แต่ผมก็ไม่ได้เอ่ยพูดบอกกับญาติผู้พี่ของตัวเองหรอก มันค่อนข้างปากมากปากอยู่ไม่สุขชอบพูดมั่วไปเรื่อยให้รู้แค่นี้ก็พอแล้วแหละ
“รอให้มึงมาหาไงไอ้เว”
[หมดกันความคาดหวังของกู]
“หวังมาเกือบ 5 ปีแล้วเลิกหวังมั้ยจะได้ไม่ผิดหวัง”
[ไม่จะหวังไปเรื่อยๆ ]
“หวังลมๆ แล้งๆ กูไม่พาลูกกลับหรอก”
[มาเยี่ยมบ้างก็ได้นิเกือบ 5 ปีแล้วนะที่มึงพาลิลลี่ไปอยู่ซานฟรานแล้วไม่กลับไทยเลยไอ้ห่าหิน]
“เหนื่อยมั้ยพูดมาเกือบ 5 ปีเช่นกันอ่ะมึงอ่ะ” และผมก็ถามไอ้เวกลับไปเพราะทุกครั้งมักจะได้ยินประโยคนี้จากมันเสมอไม่รู้ว่าต้องการไซโคอะไรขนาดนั้นเช่นกันเพราะพูดมามันก็ไม่เกิดขึ้นหรอกมีแต่เปล่าประโยชน์เฉยๆ “เหนื่อยแล้วก็พอได้ล่ะ ยังไงก็ไม่กลับอยู่ที่นี่ดีแล้ว”
คุณภาพชีวิต
คุณภาพการศึกษา
ทุกอย่างไม่มีอะไรที่แพ้ที่ไหนแถมอาจเด่นกว่าด้วยซ้ำ การคิดพาที่นี่ตั้งแต่แรกมันคือความตั้งใจของผมเช่นกันและไม่อยากให้ลูกมีปมอะไรทั้งนั้น ไม่ต้องมีวันพ่อวันแม่ ไม่ต้องกราบใคร ไม่ต้องเป็นตัวประหลาดในสายตาใคร ทุกคนเท่าเทียมกันของคำว่ามนุษย์แน่นอนมันดีกว่าอยู่แล้ว
[เออกูบินไปเองก็ได้]
“กูย้ายคอนโดนะ”
[ห้ะ! เกือบ 5 ปีย้ายเป็นร้อยแห่งมึงบ้าเปล่าไอ้สัส]
“เปลี่ยนบรรยากาศ” นี่เป็นคำพูดของผมสั้นๆ เลย
[ทั้งอดีตและปัจจุบันเวียนหัวไปหมดกับความซับซ้อนของคอนโดมึง]
“นั่นมันอดีตมึงต้องอยู่กับปัจจุบันนะไอ้เว”
[ไม่ต้องมาสอนกูแค่แม่สวดยับสาดใส่ทุกวันเวลาแดกเหล้าก็จะแย่อยู่แล้ว เออแล้วถ้ามีอะไรที่อยากพูดถึงอดีตได้อ่ะ มึงจะพูดอะไร]
“จดจำวันที่ร้ายกับคนอื่นเอาไว้ดีๆ ล่ะ”
[...]
“เงียบทำเหี้ยแม่งทำไมไอ้สัสเว อยากให้กูบอกไม่ใช่ก็นี่ไง บอกด้วยล่ะ”
[สงสัยกูงั้นสิ]
“หึ...เปล่า การร้อนตัวจะไม่มีถ้ามึงไม่แอบทำผิดลับหลัง” ความฉลาดมันมีอยู่ทุกคนแต่ใช่ว่าทุกคนจะเอาออกมาใช้ในยามที่ตัวเองทำผิดหรือไม่อันนี้ต้องติดตามกันต่อไป ไม่มีใครรู้ดีกว่าตัวเองหรอกว่าสิ่งที่ทำนั้นได้ทำจริงหรือว่ามั่วจากปากคนมากกว่าแต่ผมถ้าได้พูดอะไรไปแล้วไม่มั่วแน่ “หรือมึงมี?”
[...]
“ว่าไง”
[ไม่ว่าไง]
“ตามใจมึงเถอะ”
[หิน...]
“พอเถอะ กูเหนื่อยว่ะเรื่องนั้นแล้วมันก็นานไปแล้วด้วยเว”
[...]
เพราะความเงียบทำให้ผมไม่ปรารถนาเท่าไหร่นักจึงเป็นผมเองที่เป็นฝ่ายวางสายในครั้งนี้อย่างไร้มารยาทเป็นที่สุด โทรศัพท์ในมือถูกโยนข้ามศีรษะตกลงบนเตียงข้างหลังดังตุ๊บอย่างไม่เสียดายเลยเกือบตี 4 แล้วทั้งที่ผมพึ่งนอนเมื่อตอนตี 1 กว่ากะว่าจะตื่น 6 โมงเช้าแต่ตอนนี้กับนอนไม่หลับอีกแล้ว
กลไกการทำงานของร่างกายที่ชินชากับเสียงจึงมักตอบรับได้ทุกสิ่งอย่างถ้าได้ยินเสียงชัดเจนเว้นเสียว่าเหนื่อยจริงๆ เท่านั้น ซานฟรานซิสโกคือเมืองที่ผมอยู่อาศัย อากาศของที่นี่เย็นสบายตลอดทั้งปีหน้าหนาวก็ไม่หนาวมากหน้าร้อนก็ไม่ร้อนเกินอย่างเช่นตอนนี้เป็นช่วงฤดูหนาวอุณหภูมิก็ประมาณ 8-12 องศาเซลเซียสแค่นั้น
เมืองนี้จึงถูกเลือกจากผม
เมืองนี้ผมกับลูกอยู่มากว่า 5 ปี
ความเหนื่อยในระดับแรกมันก็มีอยู่แล้วแต่ทุกครั้งพอได้เห็นรอยยิ้มหนึ่งซึ่งเป็นดั่งสายน้ำเข้ามาชโลมจิตใจอันเหนื่อยและล้าผมกลับมาแรงฮึดสู้ขึ้นเรื่อยๆ
ผมตื่นประมาณตี 5 - 6 โมงเช้าเพื่อจัดการสิ่งต่างๆ ให้กับลูกสาวจะเรียกว่าเตรียมพร้อมก่อนไปโรงเรียนเริ่มตั้งแต่การบีบยาสีฟันวางไว้ในห้องน้ำ (ผลัดกันกับลูกบีบให้กันและกันส่วนมากก่อนเข้านอนลูกบีบไว้ให้ส่วนตอนเช้าผมบีบให้ลูก) ทำอาหาร เช็กทุกอย่างในคอนโดให้เรียบร้อยก่อนออกไปส่งลูกแล้วก็ไปทำงานส่วนพอหลังจากทำงานเสร็จแน่ละสิ่งแรกก็ไปรับลูก ซื้อของเข้าบ้าน ทำอาหารเย็น สอนการบ้านรวมไปถึงส่งลูกเข้านอน
มันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่อยู่เมืองไทย เป็นแบบนี้เมื่อ 10 ปีก่อน
ถ้าสงสัยกันบอกเลยผมมีลูกตอนอายุ 18 ปี
ณ ตอนนี้ลูกอายุ 10 ขวบเต็ม
เรามีกันแค่สองคนพ่อลูก
เราสองคนผ่านสถานการณ์ทุกอย่างกันมาอย่างยากลำบากถึงแม้จะมีอันจะกินก็ตาม การก้าวผ่านเรื่องราวต่างๆ มากมายมันไม่ใช่เรื่องง่ายข้อนี้ผมรู้และพยายามทำใจอยู่ทีละนิด
ผมมีลูกสาวชื่อว่า ‘ลิลลี่’ ชื่อตรงกันกับดอกไม้ที่ผมชอบมากที่สุดในบรรดาดอกไม้ทั้งหลายแหล่ ลิลลี่เป็นเด็กหญิงยิ้มง่ายแต่เข้ากับคนได้ยากมาก เธอชอบคนสวยๆ แต่กีดกันตัวเองจากใครๆ นี่คือนิสัยที่แก้ไม่หายแต่ก็ใช่ว่าจะเข้ากับคนอื่นๆ ไม่ได้นะ เข้าได้ครับแต่จะมีเพื่อนสนิทไม่เกินสองคน
ผมพยายามปรับปรุงข้อนี้
ปรับปรุงให้มันดีกว่าเดิมให้มากๆ
การมีลูกในขณะที่อายุของผมไม่ถึง 20 ปีก็ใช่ว่าง่ายเสมอไปหรอกมันมีอยู่แล้วความสงสัยต่างๆ และก็คำถามจากผู้คนที่เป็นคนนอก บางครั้งก็มีการใช้สายตาเป็นคำถามก็มีนะรัวมาอย่างไม่ทันตั้งตัวเลยก็มีแหละซึ่งบางคำถามมันไม่น่าเกิดขึ้นด้วยซ้ำแต่ผมก็รู้เรื่องแบบนี้โรงเรียนไม่มีสอนครอบก็อย่าหวัง
ผมรู้แต่ไม่ตอบ
ผมรู้แต่ไม่สนใจ
ผมรู้แต่ก็หลีกเลี่ยง
คนจำพวกสาระแนเรื่องคนอื่นแต่บางครั้งก็มีเพื่อนในกลุ่มเดียวกันเป็นคนจัดการกับคำถามพวกนั้นให้ซึ่งมันก็ตลกดี ฟังๆ ก็เหมือนเป็นคำด่ารวมอยู่ยกตัวอย่างเช่น
ทำไมหินมีลูกเร็วจังอ่ะ?
เพื่อนกูมีลูกเร็วไปแต่ไม่เหมือนมึงหรอกที่ลูกยังไม่มีแต่ผัวเนี่ยหลักร้อยเลยหรือเปล่าจ๊ะ
ก็พลาดอ่ะดิงั้นจะเลี้ยงเหรอ?
พลาดไม่พลาดก็เรื่องของไอ้หินแต่ปากมึงไม่น่าพลาดโดนตีน
แม่ของลูกอ่ะอยู่ไหน?
อยู่ไหนก็เรื่องของมันแต่ผัวมึงเนี่ยอยู่ไหนเสือกเรื่องคนอื่นแบบนี้ระวังไม่มีผัวนะ
ถ้าไม่รวยก็ไม่เลี้ยงหรอก
อิจฉาเหรอแน่จริงก็รวยอย่างเพื่อนกูสิ!
ทุกอย่างมักเป็นประสบการณ์ตรงทั้งนั้นในตอนนั้นผมก็เสียใจนะกับคำถามพวกนี้ที่สาดเข้ามาอย่างไม่เว้นวัน ไม่ใช่แค่คนพวกนั้นแต่บางคนก็เป็นถึงญาติพี่น้องด้วยกันแต่ก็คอยทับถมกันแบบนี้จะไว้ใจใครได้อีก บอกเลยว่าไว้ใจใครได้ยากมากต้องเลือกจริงๆ ถึงจะคบได้
ถ้าถามว่าผมเสียใจไหมที่มีลิลลี่ ตอนนั้นที่ได้รู้ผมอึ้งมากกว่าไม่ได้เสียใจ
ถ้าถามว่าผมเคยจะให้ทำแท้งลิลลี่หรือเปล่า ตอนนั้นความคิดนี้ไม่เคยมีอยู่เลยในหัว
ถ้าถามว่าผมเคยรู้สึกอะไรหรือเปล่า ทั้งตอนนี้และตอนนั้นผมก็ยังรู้สึกอยู่แหละแต่มันจะหายไปสักวัน
แล้วถ้าถามว่าแม่ของลิลลี่ล่ะไปไหนมันเป็นคำตอบที่ยากมากในระดับหนึ่งนะ ผมควรจะตอบดีหรือเปล่าเอาตามความจริงเรื่องราวมันจบมานานมากแล้วอีกอย่างหนึ่งผมก็ไม่ได้เจอเธอจริงๆ จังๆ สักครั้งหรอกนอกจากเมื่อ 4 ปีก่อนที่ผมจะบินมาอยู่ซานฟรานแค่วันเดียวเองแต่มันก็เป็นแค่ความบังเอิญ
วันนั้นลิลลี่เห็นแม่ของเขาโดยที่ไม่รู้ว่าเป็นแม่ของตัวเองยืนตรงหน้า
วันนั้นลิลลี่ถามผมว่าคนที่ยืนตรงหน้าเธอเป็นใคร
วันนั้นลิลลี่บอกว่าแม่ของเขาสวย
แล้ววันนั้นผมก็บอกลูกว่าตัวเองไม่รู้จักทั้งที่มันไม่จริง
คำตอบย้อนแย้งกับความจริงอย่างหนักหน่วงมันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงแต่ช่างเถอะเวลามันผ่านมานานแล้วไม่มีประโยชน์หากต้องสาธยายพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกยังไงความรู้สึกเดิมมันก็จางเลือนหายออกไปหมดแล้วเหลือเพียงปัจจุบันที่ผมต้องเดินหน้าแล้วทำให้มันดีที่สุด
ละทิ้งอดีตแล้วไขว่คว้าปัจจุบัน
แน่นอนมันควรเป็นแบบนั้นมานานแล้ว
วันเวลาผ่านมาจากวันกลายเป็นเดือนจากเดือนกลายเป็นปีและจากปีกลายเป็นหลายๆ ปี การที่ทุกอย่างมันปรับเปลี่ยนไปไม่เหลือเค้าโครงเดิมผมคิดว่ามันน่าจะเป็นบททดสอบของชีวิตเพื่อให้เดินก้าวไปต่อในจุดหนึ่งโดยไม่ต้องใส่ใจและหันกลับไปมองอดีตอีก จุดเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงทำให้อะไรหลายอย่างปรับเปลี่ยนไปตามที่มันถูกกำหนดไว้และความน่าจะเป็นเรื่องราวทุกอย่างถูกเก็บลงปิดตาย
ไม่ได้เจ็บปวดแต่ก็ไม่จางหาย
ไม่ได้เหมือนเดิมแต่ก็ยังนึกถึงทุกครั้ง
ไม่ได้น่าจดจำนักแต่รู้ไหมว่าไม่เคยลืมได้เลย
ความคิดพวกนี้ตบตีกับสมองของผมมานับไม่ถ้วนถึงแม้แต่อยู่ที่ที่ห่างไกลเพื่อไม่ทำให้นึกถึง ถึงแม้จะไม่ใช่สภาพแวดล้อมเดิมๆ ก็เถอะ ผมว่าตัวเองหนีสิ่งพวกนี้มานานเกินพอแล้วควรกลับไปในที่ที่มาได้แล้ว ยังไงอะไรจะเกิดขึ้นมันก็ต้องเกิดหยุดห้ามไม่ได้แม้กระทั่งเรื่องนั้น
ขนาดอยู่ที่นี่ยังไม่พ้นเลย
แล้วถ้าผมพาลิลลี่กลับแน่นอนเธอต้องกลับ
แต่พอถึงตอนนั้นอะไรมันก็ไม่เหมือนเดิมหรอกนะ ผมนั่งจดจ้องรูปที่ปรากฏในกล้องนิ่งสายตาตัวเองโฟกัสไปจุดเดียวของภาพซึ่งเป็นมุมขวาสุดบนก่อนรอยยิ้มเกิดขึ้นตามมาตรงมุมปาก บุคคลที่สามโผล่ปรากฏในกล้องที่มีผมและลิลลี่ยิ้มแฉ่ง
บุคคลนั้นถึงไม่ชัดเจนแต่ผมก็จำได้
บุคคลที่แค่เสี้ยวหน้าก็จำได้
บุคคลที่ทำให้ผมเจ็บ
เจ็บ... เจียนตายในช่วงวัยรุ่น
ภาพนี้มีขึ้นเมื่อไม่กี่วันก่อนนี้เองแหละและครั้งนี้เท่านั้นที่มันจะเกิดขึ้น รู้ว่าทุกครั้งที่ผมพาลิลลี่ออกไปไหนจะไม่มีแค่ตัวเองกับลูกแต่จะมีผู้หญิงหน้าเอเชียคนนี้ตามด้วยตลอด ระยะห่างที่เธอหลีกเลี่ยงมันไม่ทำให้อึดอัดแต่ก็ไม่ได้ทำให้มีความสุขสักนิดเดียวเพราะความเป็นจริงมันคือปัจจุบัน
ส่วนผู้หญิงคนนั้นคืออดีต
ระยะทางอันแสนไกลคั่นพวกเราเอาไว้ ยังไงก็ไม่มีหนทางมาบรรจบ
ตับพังเพราะตังค์เพื่อน (5)
Hin: เป็นยังไงกันบ้างไอ้พวกทำการทำงานจนล้นมือ
Read
ทักไปแค่ประโยคเดียวแต่ก็พากันอ่านพร้อมแต่ไม่ตอบสักคนในเวลานี้ผมจึงได้แค่นั่งมองหน้าจอแบบนั้นเพื่อรอเวลาให้อีกฝ่ายที่อยู่อีกซีกโลกหนึ่งเข้ามาตอบ
ไอ้ตามอยู่ไทย
ไอ้ติอยู่ไทย
ไอ้บอลไม่อังกฤษก็เยอรมัน
ไอ้กวางอังกฤษ แน่นอนอาศัยกันคนละทวีปแต่ยังไม่ขาดการติดต่อเลยสักครั้งเดียว
Kwang [kw]: ว่าไงไอ้ว่างงาน?
Ball: 5555 สัส ขำลั่น
TAM: ลั่นแค่ไหนเยอรมันสะเทือนเลยใช่เปล่า
TAM: แล้วซานฟรานอ่ะขำหรือยังคิดถึงเขา
Ti Ti: ไอ้ตามโคตรขยี้
Hin: เอาให้ตาย
Kwang [kw]: ไม่ตายหรอกแค่เจ็บแต่ยังหายใจ
Ball: เจ็บแต่ยังรักมากกว่าว่ะ
Ti Ti: ไม่ๆ นาทีนี้ต้องเป็นหนีทั้งที่ยังรัก
TAM: ตบท้ายด้วยรักแต่ทำอะไรได้
Hin: เอาอีกดิ เอาให้กระอักออกมาเป็นเลือด
TAM: ออกมาเป็นลาวาดีกว่า
หึ... ห้ามไม่ได้อยู่แล้วแหละกับไอ้พวกสันขวานพวกนี้
แต่ก็เหมือนที่มันว่ากัน
Hin: แต่กูมีแทแล้วนะ กลับไปคงได้พูดเรื่องแต่งเสียที
Hin: กูอยากเริ่มต้นใหม่แล้วว่ะ
ความคิดเห็น