คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ALONE ฉบับนิยาย
กลุ่มเด็กที่กำลังวิ่งเล่นอย่างสนุกสนานภายใต้ท้องฟ้าที่ปลอดโปร่ง สายลมที่พัดไปมาทำให้อากาศเย็นสบาย รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าเด็กเหล่านั้นแสดงถึง “ความสุขอย่างแท้จริง” ก่อนที่ภาพเหล่านั้นจะหายลับไปจากขอบหน้าต่างภายในห้องที่เต็มไปด้วยกองหนังสือมากมาย ได้มีเด็กสาวกำลังเฝ้ามองดูสิ่งต่างๆจากหน้าต่างข้างในห้อง
ภายในใจข้างในลึก ๆ ของเด็กสาวมีความคิดที่อยากจะเดินเข้าไปเล่นด้วย แต่ก็มีความคิดหนึ่ง ถ้าพวกเราเข้ากันไม่ได้ ถ้าพวกเขาไม่อยากเป็นเพื่อนกับฉัน ถ้าพวกเขาเกลียดฉัน ความกลัวผ่านความคิดเหล่านั้นทำให้เด็กสาวก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือต่อไป จินตนาการถึงภาพกลุ่มเพื่อนที่รวมผจญภัยกันไปปรามจอมมารผู้ชั่วร้าย
ก่อนที่เสียงท้องร้องครวญครางจะดังขึ้น เด็กสาวรู้สึกตัวมองดูนาฬิกาบนผนัง “เลยเวลามาขนาดนี้แล้วหรอ!” เด็กสาวเดินออกมาจากห้อง เดินไปตามโถงทางเดินที่มืดมิดจนมาถึงห้องครัวที่ไม่มีวี่แววของสิ่งมีชีวิต เด็กสาวเดินไปเปิดไฟ มองไปโดยรอบเห็นเงินและกระดาษข้อความบนโต๊ะกินข้างวางไว้อยู่ เด็กสาวเดินไปหยิบอาหารในตู้เย็นออกมากิน อาหารที่เย็นชืด เมื่อเด็กสาวกินข้าวเสร็จ จึงหยิบเงินพร้อมกระดาษกลับเข้ามาอ่านในห้อง
“วันนี้ก็ยุ่งอีกแล้วสิน่ะ” ก่อนที่เด็กสาวจะล้มตัวลงนอน
แสงยามเช้าของพระอาทิตย์สาดส่องเข้ามาในห้องที่เต็มไปด้วยกองหนังสือมากมาย พร้อมกับเสียงของนาฬิกาปลุกที่เริ่มดังขึ้น เด็กสาวตื่นขึ้นมาในทันที ก่อนอาบน้ำล้างตัว กินอาหารในตู้เย็น แต่งตัวด้วยชุดสุภาพ หยิบเงินใส่กระเป๋าพร้อมล็อคประตูบ้าน ก่อนที่จะออกตัวเดินไปโรงเรียนเหมือนทุกๆวัน
เด็กสาวเดินไปโรงเรียน ภายใต้ท้องฟ้าที่มีเมฆปกคลุมเล็กน้อยพร้อมกับสายลมที่พัดมาเป็นระยะๆ เด็กสาวในระหว่างเดิน ได้พรรณนาถึงบรรยากาศโดยรอบภาพของหมู่บ้านกับท้องถนนเปลี่ยนให้เป็นทุ่งหญ้าเขียวขจีที่มีต้นไม้ขึ้นอยู่ประปรายกับบรรดาสัตว์ป่าหลากหลายชนิดที่เดินอยู่โดยรอบ เสียงนกร้องกับกลิ่นดอกไม้ที่ลอยมา
ก่อนที่ภาพในความคิดจะหยุดลงเมื่อมาถึงหน้าโรงเรียน เด็กสาวเดินไปตามทางเดิน ขึ้นบันได จนไปถึงห้องเรียนวางกระเป๋าและนั่งกับที่อย่างเงียบๆ โดยที่ไม่มีใครเข้ามาทักทายหรือกล่าว “สวัสดี”
เด็กสาวมองดูภาพของเด็กวัยเดียวที่ดูแตกต่างกับเด็กสาว รวมกลุ่มกันพูดคุยทักทายกัน เสียงหัวเราะที่มาเป็นระยะๆ เด็กสาวไม่ละสายตาจากภาพเหล่านั้นและพยายามเอ่ยคำพูดออกมาจากปากแต่ทุกอย่างกลับแข็งทื่อไม่มีแม้แต่เสียงออกมา ความพยายามทั้งหมดถูกหยุดด้วยความกลัวจากความคิดภายในหัว ทั้งที่ข้างในเด็กสาวอยากจะเข้าไปพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องต่างๆมากมาย ทั้งเรื่องราวในหนังสือ ทั้งอาหารโปรด แต่ไม่ว่าจะพยายามพูดทักทาย โบกมือ ร่างกายของเด็กสาวกลับแข็งทื่อราวกับหิน เพราะ ตัวของเด็กสาวกลัวเกินกว่าที่จะพูดคุยกับคนอื่น
เด็กสาวได้หยิบหนังสือออกมาและอ่านมันอีกครั้งเหมือนอย่างเคยในทุกๆวัน ทำได้แต่จินตนาการถึงภาพที่ใฝ่ฝันอยู่ภายในหัวเป็นล้านๆครั้ง อยากให้มันเป็นจริง ขอร้องอ้อนวอนต่อพระเจ้า ขอให้อย่างน้อย ขอแค่เพียงเศษเสี้ยวของความกล้าที่จะเผชิญหน้ากับความกลัวในการพูดคุยกับคนอื่น แต่สุดท้ายทุกอย่างก็เหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
เข็มหน้าปัดนาฬิกาหมุนวนไปต่อ คาบเรียนวิชาต่างๆ ช่วงเวลาพัก จนไปถึงเสียงอันคุ้นเคยที่ได้ดังกังวานไปทั่วโรงเรียนดังขึ้น เป็นสัญญาณบอกกล่าวว่าถึงเวลาช่วงเวลาเรียนได้สิ้นสุดแล้ว เด็กสาวเก็บของเตรียมตัวกลับอย่างระมัดระวัง ในขณะที่คนอื่นรวมกลุ่มกัน บ้างก็บอกลา บ้างก็กลับบ้านด้วยกัน บ้างก็ไปเที่ยวด้วยกัน
“ฉันก็อยากทำบ้าง” เด็กสาวพูดกับตัวเอง
เด็กสาวทำได้เพียงแต่คิดไม่อาจเอ่ยคำพูดเหล่านั้นออกมาได้เหมือนเฉกเช่นเคย เมื่อเด็กสาวเก็บข้าวของเสร็จ ก็เดินออกมาจากห้อง ก้าวลงบันไดและเดินไปตามโถงทางเดินจนไปถึงหน้าโรงเรียน ผ่านประตูรั้วเหล็กสู่ทางเท้าที่ฝั่งหนึ่งเป็นถนน และอีกฝั่งเป็นบ้านอาคาร สวนสาธารณะ บ้านเดียวหลังหนึ่ง
เด็กสาวหยุดชะงัก มองไปที่บ้านเดียวที่ดูเหมือนถูกปล่อยทิ้งร้างมานาน ต้นไม้พืชพรรณโดยรอบที่มีสภาพเน่าเปื่อยและเฉาตายอย่างน่าเวทนา เด็กสาวสับสนกับภาพตรงหน้า ทั้งที่ใช้เส้นทางนี้เดินทางไปโรงเรียนมาโดยตลอด ทำไมบ้านหลังนี้ถึงมาอยู่ตรงนี้ ทำไมถึงถูกปล่อยทิ้งร้าง ทำไมมันถึงสะกดสายตาของเธอเอาไว้
ไม่ว่าเหตุผลของบ้านหลังนี้จะเป็นเช่นไร เด็กสาวไม่อาจหยุดคิดและไม่อาจละสายได้ เท้าของเด็กสาวค่อยๆก้าวเดินไปทีละก้าว เหยียบกองใบไม้ที่เน่าเปื่อย มือค่อยๆเอื้อมไปสัมผัสกับกรประตูและเปิดมันออก สภาพภายในบ้านที่พุพัง กลิ่นที่เน่าเหม็นลอยออกมาเป็นระยะๆ จนรู้ตัวอีกทีก็มาอยู่ตรงหน้าห้องแสงสลัว
เด็กสาวมองไปรอบๆอย่างพินิจ ต้องสงสัย แสงที่ลอดผ่านบานกระจก ปรากฏแอ่งน้ำขังและซากสัตว์ส่งกลิ่นเน่าเหม็นอย่างน่าสะอิดสะเอียน สิ่งของมากมายที่วางกระจัดกระจายโดยรอบ เด็กสาวมองซ้ายมองขวาก่อนที่สายตาจะไปหยุดที่หนังสือเล่มหนึ่งที่วางไว้อยู่กับพื้น หนังสือปกหนังสีดำสนิทไร้ตัวอักษร สภาพเก่าและชื้นแฉะ
เด็กสาวเหมือนถูกต้องมนตร์สะกด ก้าวลงขั้นบันไดทีละขั้น เสียงเดินดังกังวานภายในห้องใต้ดินที่ทั้งชื้น มืด และเน่าเหม็น จนไปหยุดอยู่ตรงหน้าหนังสือ โดยที่ไม่ละสายตาแม้เพียงเสี้ยววินาทีหรือแม้แต่กระพริบตาด้วยซ้ำ มือของเด็กสาวค่อยๆเอื้อมไปหยิบหนังสือและวินาทีที่มือสัมผัส ทุกอย่างโดยรอบก็เปลี่ยนไป
จากห้องใต้ดินที่ส่งกลิ่นเน่าเหม็นและมืดสลัว กลายเป็นห้องของเด็กสาวที่เต็มไปด้วยกองหนังสือภายในบ้านของตัวเอง เด็กสาวสับสนกับภาพตรงหน้า “ทั้งหมดนี้คือ ฝัน รึเปล่า” ความคิดของเด็กสาวตีกันมั่วไปหมด แต่มีสิ่งหนึ่งที่ยืนยันได้หนังสือ คือ ของจริง เพราะหนังสือเล่นนั้นอยู่ในมือของเด็กสาวในตอนนี้
ด้วยความสงสัย ความอยากรู้อยากเห็น หรืออะไรก็ตามที่คิดได้ เด็กสาวไม่รอช้ารีบสำรวจและตรวจสอบหนังสือ ทั้งปกและเนื้อกระดาษของหนังสือ และเริ่มเปิดหนังสือไปทีละหน้าละหน้า โดยลักษณะทั่วไปของหนังสือ คือ ปกหนังสือที่ทำจากหนังสีดำสนิท เนื้อกระดาษมีสีเหลืองและชื้น แต่สิ่งที่น่าสงสัย คือ ไม่มีตัวอักษรปรากฏบนหนังสือเลย ทั้งชื่อเรื่อง เนื้อหา บรรณานุกรม ด้านหน้าและด้านหลังของหนังสือ
ระหว่างที่เด็กสาวกำลังวุ่นๆกับหนังสืออยู่นั้น เสียงท้องร้องจากเด็กสาวดังขึ้น เด็กสาววางหนังสือลงกับโต๊ะ เดินออกมาจากห้องไปตามโถงทางเดินที่มืดมิด เปิดไฟห้องครัว กินอาหารที่เย็นชืดจากตู้เย็น พร้อมกับหยิบเงินและกระดาษข้อความเดิมๆกลับมาที่ห้อง ก่อนที่จะถือหนังสือขึ้นมา จ่องมองอย่างตั้งใจด้วยแววตาที่เปล่งประกาย
“งั้น..ฉันจะเป็นคนเขียนมันเอง เรื่องราวในหนังสือเล่นนี้” เด็กสาวพูดออกมาอย่างตื่นเต้น
เด็กสาวคิดไปมาภายในหัวอย่างจริงจัง ก่อนที่จะหยิบปากกาลูกลื่นบรรจงเขียนข้อความลงในหนังสือเรื่องราวของวันนี้ที่ราวกับความฝัน ทั้งเรื่องของหนังสือที่อยู่ในบ้านปริศนาหลังนั้นบ้างล่ะ ทั้งเรื่องที่จู่ๆตัวเองก็มาโผล่ในบ้านตัวเองบ้างล่ะ ราวกับฝันไปเลย
ภายในห้องที่เต็มไปด้วยกองหนังสือ มีเพียงแสงจากหลอดไฟบนเพดานที่ให้ความสว่าง ลมเย็นๆที่พัดมาจากพัดลมเป็นระยะๆ เหมือนกับทุกๆวัน แต่มีสิ่งหนึ่งที่สิ่งแปลกไป ในวันนี้ตัวของเด็กสาวไม่ได้ปิดไฟและล้มลงนอน แต่ในวันนี้เด็กสาวกลับนั่งเขียนหนังสือพร้อมรอยยิ้มอย่างน่าแปลกประหลาด
เสียงนาฬิกาดังกังวานไปทั่วห้อง เด็กสาวตื่นขึ้นมาบนโต๊ะหนังสืออย่างงัวเงีย ก่อนที่จะค่อยๆหันไปมองนาฬิกา “เจ็ดโมงครึ่งแล้วหรอ~~” เด็กสาวใช้มือขยี้ตา แต่เข็มหน้าปัดนาฬิกาก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เด็กสาวจ่องมองอีกครั้งพร้อมกับขยี้ตา แต่เข็มหน้าปัดก็ยังคงเหมือนเดินไม่เปลี่ยน
ทันใดนั้นเด็กสาวรู้ตัวรีบวิ่งไปมาทั่วบ้านจนข้าวของกระจัดกระจายไปหมด ทั้งอาบน้ำ แต่งตัว กินข้าว จัดของในกระเป๋า พร้อมล็อคประตูอย่างเร่งรีบ ถึงแม้จะลื่นล้มจากหนังสือที่วางกระจายบนพื้นบ้าง ผมที่ไม่มีเวลาจัดทรงจนกระเซอะกระเซิง แต่เด็กสาวไม่มีเวลามาใส่ใจแล้ว ไม่รอช้าจึงรีบออกตัววิ่งไปโรงเรียนอย่างรวดเร็ว เช้าวันนี้ถึงจะวุ่นวายไปหมด แต่เช้าวันนี้กลับดูสดใสกว่าในวันก่อนๆ
เด็กสาววิ่งอย่างร้อนรนในสภาพอาการที่มีแสงแดดจ้า เหงื่อที่ไหลท่วมตัวจากความร้อนที่มากกว่าปกติ ในขณะที่ข้างทางสองฝั่งยังคงเหมือนเดิม เมื่อวิ่งมาถึงโรงเรียน จึงรีบก้าวขึ้นบันไดไปอย่างรวดเร็ว จนไปถึงหน้าห้องเรียน เปิดประตูห้องเรียนอย่างเร่งรีบ ก่อนมองไปรอบๆอย่างรวดเร็ว
ภาพที่ปรากฏตรงหน้า คือ ครูประจำชั้นกำลังยืนหน้าห้องกับนักเรียนคนอื่นๆที่นั่งกับโต๊ะกำลังมองมาที่เด็กสาว สายตาเหล่านั้นที่จ่องมองทำให้เด็กสาวไม่สามารถพูดอะไรออกมาจากปากได้ “ฉันกลัว” การหายใจเริ่มติดขัด “ทำไมต้องมองด้วยสายตาแบบนั้น” ขาเริ่มอ่อนแรงจนเกือบยืนไม่อยู่ “ฉันควรจะทำยังไงดี”
“ออกไปยืนหน้าห้องก่อน” เสียงของคุณครูที่ราบเรียบ ใบหน้าที่เย็นชา สายตาที่ราวกับใบมีด
เด็กสาวพยักหน้าตอบรับคำ ปิดประตูอย่างระมัดระวังจนประตูปิดสนิท ทันใดนั้นราวกับหัวใจได้กับมามีชีวิตอีกครั้ง หลังแนบชิดติดกำแพงพร้อมเหงื่อที่ท่วมตัว เด็กสาวหายใจอย่างแรงและถี่ ขาที่อ่อนแรงพร้อมล้มลงตลอดเวลา เด็กสาวยังคงได้ยินมาจากด้านหลัง เสียงของคุณครูที่กำลังพูดคุยกับนักเรียนร่วมชั้น
“ฉันกลัว ฉันกลัว..เกินกว่าที่จะเผชิญหน้า” เสียงที่ดังในลำคอก่อนที่เด็กสาวจะเริ่มมีน้ำตาไหลริน
เวลาผ่านไปสักพักก่อนที่คุณครูจะออกมาจากห้องเรียน คุณครูกล่าวตักเตือนเด็กสาวเล็กน้อย ก่อนให้เข้าห้องเรียน เด็กสาวเมื่อเดินกลับเข้าห้องเรียน เด็กสาวกลับรู้สึกถึงสิ่งต่างๆรอบตัวทั้งภาพและเสียง
สายตาเหล่านั้นที่เหมือนคมดาบ เสียงนินทาที่ดังไปมากังวานไปทั่วห้องเรียน ของเหล่านักเรียนเหล่านั้น เด็กสาวทำได้แต่ตะโกนกรีดร้องออกมาในใจ “พอ..พอได้แล้ว!!” “ได้โปรดหยุดทีเถอะ!!” “ฉันไม่ไหวแล้ว!!” เป็นเวลาหลายนาทีก่อนที่นักเรียนเหล่านั้นจะเลิกสนใจและกลับเข้าเรียนเหมือนอย่างเคย
จากห้องเรียนวิชาคณิต ห้องเรียนภาษาอังกฤษ สู่เวลาพักเที่ยงและเริ่มวิชาคาบบ่าย ยังคงมีสายตาและเสียงที่เสียดแทงเข้ามาในใจของเด็กสาว เด็กสาวไม่มองทำเป็นไม่ได้ยินและพยายามที่จะหลีกเลี่ยงไม่สนใจ แต่เด็กสาวกลับยิ่งรับรู้ถึงใครที่มองมา ถึงเสียงนินทาที่เอ่ยขึ้น เด็กสาวรู้สึกเหนื่อย เหนื่อยเหลือเกิน
แสงแดดสาดส่องไปทั่วท้องถนน เด็กสาวเดินกลับบ้านด้วยความเหนื่อยล้าผ่าน อาคาร ส่วนสาธารณะ ใบหน้าที่ดูไม่ค่อยดี กลับค่อยๆมีรอยยิ้มเมื่อนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในหนังสือ จนกระทั่งเดินมาถึงบ้านของตัวเอง หยิบกุญแจขึ้นมาไขกรประตู ก่อนเดินไปตามโถงทางเดินเข้าห้องของตัวเอง
วางกระเป๋ากองไว้กับพื้นคู่กับกองหนังสือที่กระจัดกระจายไปทั่วพื้น แสงแดดและสายลมที่พัดเข้ามาจากหน้าต่าง บรรยากาศที่พร้อมนอนฝันกลางวันถึงชีวิตที่ใฝ่หา ก่อนเริ่มหยิบหนังสือปกหนังสีดำสนิทออกมาจากกระเป๋าเปิดไปที่ละหน้าพร้อมที่จะเขียนเรื่องราวต่อ แต่กลับชะงัดกับภาพตรงหน้าที่เห็น
“เป็นเรื่องราวที่สนุกมากเลยค่ะ” เด็กสาวเห็นความข้อความที่ตัวเองไม่ได้เป็นคนเขียน
เด็กสาวทำหน้าสงสัย มึนงงกับสิ่งที่ตัวเองได้เห็น เริ่มตั้งคำถามกับตัวเองมากมายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นว่ามันเป็นอย่างแบบนี้ได้อย่างไร “จำไม่เห็นได้เลยว่าเขียน” “เธอเป็นใคร” “ไปแอบเอาหนังสือฉันไปเขียนตอนไหน” ความกังวลใจของเด็กสาวเริ่มทำให้เด็กสาววิตกและหวาดกลัว หวาดระแวงถึงสิ่งรอบข้างเริ่มกวาดสายตามองไปโดยรอบ มือและร่างกายสั่นไปด้วยความกลัว แต่ทันใดนั้นความอบอุ่นกลับเข้ามาแทนที่
“ฉันคือเพื่อนของเธอ” ข้อความปรากฏอีกครั้งบนหน้าหนังสือ
เด็กสาวเหม่อลอยเล็กน้อยราวกับหัวใจได้หยุดเต้นไปชั่วขณะ “คนอย่างฉันก็มีเพื่อนได้หรอ” เด็กสาวยังคงสงสัยกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ ไม่ต้องไปคิดให้เสียเวลา ไม่ต้องไปทำความเข้าใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น ไม่ว่ามันจะจริงหรือไม่
แต่ ขอแค่มีความสุข ถึงแม้ต้องหลอกตัวเอง ถึงแม้คำโกหกจะทำร้ายตัวเองมากเท่าไหร่ แต่เด็กสาวก็จะเชื่อ ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรหรือแบบไหน เด็กสาวคิดเพียงแค่ว่า นี้คือเพื่อนที่ค่อยอ่านและให้คำแนะนำกับเธอ เด็กสาวไม่รอช้าหยิบปากกาลูกลื่นบรรจงเขียนข้อความเรียบเรียงบัญญัติเรื่องราวอันเป็นนิรันดร์ในหน้าหนังสือ
ตื่นตอนเช้าไปโรงเรียนที่ไม่เคยมีเรื่องราวดีๆ ทั้งผู้คนในโรงเรียน ทั้งกิจกรรมงานโรงเรียนหรือทัศนศึกษา ทุกอย่างมีแต่ทำให้เด็กสาวเหนื่อยแล้วเหนื่อยอีกเป็นวัฏจักรอันแสนน่าเวทนาของเด็กสาว แต่มีเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้เด็กสาวมีรอยยิ้มถึงมันจะเล็กน้อย ถึงมันจะเป็นคำโกหก แต่ขอเพียงแค่ทำให้มีความสุข เด็กสาวก็ไม่ลังเลที่จะทำมันต่อไปเขียนเรื่องราวที่เป็นดังความฝันเล็กๆของเธอ พูดคุยกับเพื่อนที่อยู่เพียงแค่ในหน้ากระดาษ
ผ่านฤดูที่ดอกไม้เบ่งบานไปทั่วสวนสาธารณะ ฤดูที่ใบไม้ร่วงโรยเต็มท้องถนน มีเรื่องราวต่างๆเกิดขึ้นมากมายในช่วงเวลาเหล่านี้ ไม่ว่าเรื่องที่โรงเรียนมันจะแย่และเลวร้ายแค่ไหน ขอเพียงแค่มีหนังสือเล่มนี้และเขียนต่อไป อ่านและเขียนระบายกับเพื่อนเพียงหนึ่งเดียว
“แต่...ทำไม!!” เด็กสาวตะโกนกรีดร้องออกมาจากห้องที่เต็มไปด้วยกองหนังสือ
เด็กสาวคิดว่ามันจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ขอแค่เพียงพยายามเขียนเรื่องราวต่อไป ขอแค่ได้พูดคุยระบาย
กับเพื่อนคนนั้น แต่เมื่อฤดูหนาวมาเยือน เพื่อนคนนั้น เขียนข้อความถึงตัวของเด็กสาวสั้นลงในทุกๆวัน ไม่มีแม้คำปลอบโยน คำที่ค่อยให้กำลังใจหรือแม้แต่คำทักทาย มีเพียง “อ่า” “อืม” จนไม่มีคำตอบกลับมาอีกเลย
“แล้ว...ฉันจะเขียนไปเพื่ออะไร!!” เด็กตะโกนออกมา ทั้งที่รู้ว่าสุดท้ายก็ไม่มีใครได้ยิน
เด็กสาวรีบหยิบหนังสือเปิดประตูห้อง เดินไปตามโถงทางเดินด้วยความร้อนรน ตอนนี้เด็กสาวเหมือนคนหลงทางไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป ทำได้แต่เพียงเดินไปบนทางเท้าในคืนที่หิมะตก มีเพียงแสงไฟจากเสาไฟโดยรอบที่ค่อยนำทางเด็กสาวเดินไปยังเส้นทางที่ไร้จุดปลาย อากาศหนาวของคืนฤดูเหมันต์ค่อยๆกัดกินเด็กสาว ให้เจ็บปวดทรมานยิ่งไปอีกทั้งบาดแผดภายในจิตใจที่แตกร้าว รวมทั้งร่างกายที่ฝืนสู้
เด็กสาวที่พยายามดิ้นรนหาทางออก จากภายในอุโมงค์ที่มีเพียงแค่แสงจากปลายทาง
เด็กสาวเหนื่อย เหนื่อยเหลือเกินทั้งกายทั้งใจ ในตอนนี้เพียงแค่ต้องการความอบอุ่นที่จะมาค่อยค้ำจุนหัวใจให้เดินหน้าต่อเท่านั้น เด็กสาวรู้ตัวดีว่าคำขอของตัวเองมันช่างเห็นแก่ได้มีแต่ความโลภ การหายใจของเด็กสาวค่อยๆรวยรินลงอย่างช้าๆ ร่างกายที่ตอนนี้แม้แต่เดินยังยากลำบาก หิมะที่เย็นยะเยือก
“จะพยายามไปทำไม” เสียงที่แหบแห้งดังในลำคอของเด็กสาว
เด็กสาวค่อยๆหยุดเดิน เสียงหายใจที่รวยรินกับหิมะที่กำลังตกลงมาเรื่อยๆ เด็กสาวเริ่มหยิบหนังสือเปิดอ่านทีละหน้าด้วยมือที่สั่นเทาจากความหนาว น้ำตาค่อยๆไหลหยดลงบนหน้าหนังสือ รอยยิ้มของเด็กสาวที่เคยมี ตอนนี้มีเพียงความกลัวและความสิ้นหวังบนใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตา
แต่ดูเหมือนโชคชะตาจะเล่นตลก ทั้งที่ข้างทางควรเป็นอาคารหรือสวนสาธารณะ แต่ในตอนนี้กลับเป็นบ้านร้างเหมือนเมื่อตอนนั้นถึงจะมีหิมะมาปกคลุม แต่เด็กสาวจำได้ ถึงขยี้ตาหลายครั้ง แต่ก็แทบไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่อยู่ตรงหน้า เด็กสาวไม่รอช้าพยายามกระเสือกกระสน ถึงขาจะไม่มีแรง ถึงจะเจ็บแค่ไหน ก็จะดิ้นรนต่อไป
เปิดประตูและเดินเข้ามา ข้าวของที่กระจัดกระจายไปทั่ว แอ่งน้ำที่ชื้นแฉะ ทั้งกลิ่นที่เน่าเหม็น ความรู้สึกที่คุ้นเคยและความรู้สึกอบอุ่นเหล่านี้มันมากเกินไป สำหรับเด็กสาวที่มาที่นี่เพียงแค่สองหน เด็กสาวมองไปรอบๆอย่างเหม่อลอย จิตใจที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว หัวใจที่เต้นช้าลงเรื่อยๆ
เริ่มเห็นภาพซ้อนทับกับบ้านร้างหลังนี้ เห็นเด็กตัวเล็กคนหนึ่งใช้ชีวิตในบ้านที่สะอาดสะอ้าน ข้าวของถูกจัดไว้เป็นที่เป็นทาง กลิ่นที่หอม สายลมที่พัดเย็นสบาย แสงแดดอ่อนๆ ราวกับบรรยากาศเหล่านี้กำลังเชิญชวนให้นอนหลับใหล เด็กตัวเล็กคนนี้กำลังใช้ชีวิตที่น่าอิจฉาอยู่กับพ่อแม่ที่ใจดี ดูแลเอาใจใส่และหมาน้อยที่แสนซน
เด็กสาวสับสนกับภาพที่ซ้อนทับในหัว มันยุ่งเหยิงสลับมั่วไปหมดทั้งภาพที่เห็น ทั้งเสียงที่ได้ยิน ทั้งกลิ่นที่ลอยออกมา เด็กสาวเริ่มเดินไปตามหาสิ่งที่ได้เห็น ความอบอุ่นที่ได้สัมผัส เริ่มเดินลงไปยังห้องใต้ดินที่ที่คุ้นเคย
แต่เมื่อฤดูหนาวมาเยือน ทุกอย่างได้เริ่มเปลี่ยนไป ตั้งแต่ที่หมาตัวน้อยได้เสียชีวิตลง พร้อมๆกับเสียงการทะเลาะกันของพ่อแม่ที่เริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้งที่เด็กตัวเล็กกลับมาจากโรงเรียนก็มักจะเจอขวดแก้ว ทีวีที่เปิดทิ้งไว้ พร้อมกับกลิ่นอันน่าสะอิดสะเอียนและเสียงทะเลาะกันของพ่อแม่บนชั้นสอง
เด็กตัวเล็กทำได้แต่ วิ่งเข้าห้องของตัวเอง เปิดอ่านหนังสือภาพ เพื่อพยายามทำเป็นไม่ได้ยินเสียงที่อยู่ข้างบน ทั้งเสียงด่าทอ ทั้งเสียงทุบตี ทั้งเสียงร้องไห้ ทั้งเสียงแก้วที่แตกเป็นเสี่ยงๆ เด็กตัวเล็กทำได้แต่ขดตัวอ่านหนังสืออยู่มุมห้อง ขอร้องต่อพระผู้เป็นเจ้าให้ครอบครัวกลับมาเป็นเหมือนเดิม แต่วันนี้ดูเหมือนคำขอจะส่งไปถึง
เสียงดังกังวานไปทั่วบ้าน เสียงต่างๆรอบตัวมันแปลกไปโดนบิดเบือนจากเสียงดังคลายพลุดอกไม้ไฟ จากชั้นสอง ก่อนที่จะมีเสียงดังอีกครั้งตามมา เด็กตัวเล็กทำได้แต่เอามือมาปิดหู ร่างกายสั่นเทาไปด้วยความกลัวจากเสียงที่ดังสนั่น แววตาที่เคยสดใส ตอนนี้กลับมืดสนิทกวาดตามองไปโดยรอบด้วยความหวาดระแวง
เสียงโดยรอบหายไปกลายเป็นบรรยากาศที่เงียบสงัด มีเพียงเสียงหายใจของตัวเองที่ได้ยิน เด็กตัวเล็กค่อยๆเดินไปเปิดประตูออกจากห้องของตัวเอง ถึงแม้จะเดินชนกองหนังสือจนล้มลง ภายในบ้านที่มืดสนิท เด็กตัวเล็กก็ไม่ย่อท้อโดยมีความหวังเล็กๆว่าครอบครัวกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้วหรือเปล่า ?
เดินตามบันไดไปยังชั้นสอง มองไปยังห้องที่มีแสงไฟเล็ดลอดออกมา เด็กตัวเล็กยืนอยู่หน้าประตู ก่อนเอาหูแนบกับประตูพยายามฟังเสียงที่อยู่ข้างใน แต่กลับว่างเปล่ามีเพียงกลิ่นคาวอันน่าสะอิดสะเอียนที่ลอยออกมา
“กลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้วใช่ไหม ? ? ” เสียงที่แผ่วเบาดังออกมาจากลำคอของเด็กตัวเล็กก่อนเปิดประตู
เด็กสาวเดินลงบันไดทีละขั้น เสียงเดินยังคงกังวานภายในห้อง ก่อนหยิบเก้าอี้มาวางไว้กลางห้อง ใบหน้าที่หลงเหลือแต่คราบน้ำตา ผมที่ยุ่งเหยิงไม่เรียบร้อย ก่อนหยิบเชือกไปแขวนไว้กับคานไม้ด้านบนจนแน่น ด้วยดวงตาที่ไร้แวว เหม่อลอยมองออกไปทางหน้าต่างที่มีแสงจากรถบนท้องถนนเป็นระยะๆ
เด็กตัวเล็กในสภาพไร้สติ กอดหนังสือแน่นไม่ยอมวางลง เด็กตัวเล็กไม่อาจทำความเข้าใจกับสิ่งที่ได้เห็น ทำไมถึงมีเลือดไหลเต็มตัว ทำไมไม่ตอบกลับทำตัวเหมือนก้อนหิน เสียงดังเกิดขึ้นคืออะไร เด็กตัวเล็กยังคงช็อกกับสิ่งที่เกิดเมื่อหลายวันก่อน
คนอื่นๆรอบตัวของเด็กตัวเล็กบอกแต่ว่า “ไม่เป็นไรน่ะ” “ทุกอย่างจะเรียบร้อย” “บาดเจ็บตรงไหนไหม” ถึงแม้คำตอบที่อยากรู้ว่าพ่อแม่เป็นอย่างไร แต่คุณหมอ คุณตำรวจ คุณพยาบาล แต่ทุกคนกลับตอบกลับเหมือนกันบอกว่า “พ่อแม่ของเธอจะไม่กลับมาอีกแล้ว” ด้วยเสียงที่ราบเรียบ
ไม่กี่วันต่อมาหลังงานพิธีได้จบลง เด็กตัวเล็กได้ย้ายไปอยู่ที่บ้านหลังใหม่ บ้านที่แสนสงบสุขในชนบทแห่งหนึ่ง ถึงแม้ผู้ดูแลบ้านจะเป็นพวกบ้างาน เป็นคนไม่ค่อนสนใจและมักละเลยอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็ไม่เคยทำร้ายตัวของเด็กตัวเล็กเลย แถมห้องที่อยู่ยังเต็มไปด้วยหนังสืออีกต่างหาก แต่ มันเหมือนมีอะไรหายไป
“ฉันเชื่อว่าสักวันหนึ่ง..พวกท่านจะกลับมา” เด็กตัวเล็กแค่ต้องการความรักจากใครสักคน
หลงเชื่อในสิ่งที่อาจเป็นจริง พยายามอย่างไร้ความหมาย เด็กตัวเล็กปรับตัวให้เข้าบ้านที่มืดสนิท ปรับตัวให้สามารถกินกับอาหารที่ไร้รสชาติและเย็นชื่น ไม่พอยังพยายามก้าวเดินไปข้างหน้าหลังจากเกิดเหตุการณ์ พยายามหาเพื่อนสักคน แต่กลับกลัวเกินกว่าที่จะพูดคุยด้วยได้ พยายามทำตัวเป็นเด็กดีแต่กลับไม่ใครชม
“ทำไม...ทำไมถึงเป็นแบบนี้!!” ตะโกนกรีดร้องภายในบ้านที่อยู่คนเดียว
เด็กตัวเล็กไม่อาจทำความใจได้ ทั้งที่พยายามแล้วจนสุดความสามารถ ทั้งที่ดิ้นรนอย่างเอาเป็นเอาตาย ทำได้แต่คิดในใจว่า “จะพยายามไปทำไม” “นี้ฉันคาดหวังอะไรอยู่” และนั่งร้องไห้อยู่คนเดียวที่มุมห้องภายในห้องมีหนังสือวางกระจัดกระจาย มีเพียงแสงจากหน้าต่างที่สาดส่องเข้ามา
เด็กสาวมัดเชือกให้เป็นบ่วง จับเชือกที่อยู่ในมือจนแน่น เสียงหายใจที่แผ่วเบา เสียงหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ ก่อนที่เก้าอี้จะตกลงกระแทกกับพื้น เชือกแกว่งไปมาในอากาศอย่างรุนแรง จนความเจ็บปวดบาดลึกลงไปเกินกว่าที่เด็กสาวจะทนไหว พยายามดิ้นรนไปมาในอากาศจนไม่เหลือเรี่ยวแรงไปพร้อมๆกับเชือกที่ค่อยๆหยุดแกว่ง
“ตุบ.........................................................................................................”
เสียงสุดท้ายที่ได้ยิน คือ เสียงของหนังสือตกลงกระแทกกับพื้น ก่อนที่ทุกอย่างจะเงียบหายไป มีแต่ความมืดมิดที่อยู่รอบตัวของเด็กสาว “ฉันกำลังไปที่ไหน...สวรรค์หรือขุมนรก” ความคิดหนึ่งเด้งขึ้นมาในหัว
ในตอนนี้ถึงไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นเช่นไร แต่ในนี้กลับรู้สึกอบอุ่นราวกับสิ่งที่ปรารถนามาตลอดเป็นจริง
“กริ๊ง...กริ๊ง...กริ๊ง...กริ๊ง...กริ๊ง...กริ๊ง...” เสียงกังวานไปทั่วห้อง
เด็กสาวสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความงัวเงีย ไม่รอช้าหยิบนาฬิกาปลุกที่วางไว้ด้านข้างขึ้นมาปิดในทันที พร้อมยืนขึ้นยืดเส้นยืดสายเล็กน้อย ก่อนเดินออกจากห้องที่เต็มไปด้วยกองหนังสือ อาบน้ำ แต่งตัว จัดกระเป๋า ก่อนลงมาที่ห้องครัวมองไปบนโต๊ะที่มีเงินวางอยู่พร้อมอาหารร้อนๆบนจาน
เด็กสาวกินข้าวมือเช้าด้วยความเอร็ดอร่อย ก่อนเดินออกจากบ้านไปโรงเรียง ในสภาพอากาศสดใส ท้องฟ้าที่ปลอดโปร่ง มีแดดเล็กน้อย สองฝั่งข้างทางคือท้องถนนที่เต็มไปด้วยรถที่สัญจรไปมา และอีกฝั่งเป็นอาคารบ้านเรือน คาเฟ่ ร้านเสื้อผ้า ร่วมไปถึงห้างสรรพสินค้าและสวนสาธารณะ
เด็กสาวเดินไปมามองสิ่งรอบๆ ยิ้มอย่างสดใส จนในที่สุดก็มาถึงโรงเรียน ผ่านประตูรั้วเหล็ก เดินไปตามโถงทางเดิน ก่อนก้าวเท้าขึ้นบันได ตลอดทางเด็กสาวมองดูบรรยากาศโดยรอบโรงเรียนทั้งดอกไม้และต้นไม้สีเขียวของฤดูไม้ผลิ เป็นบรรยากาศที่สวยงาม แต่ไม่ใช่แค่วิวทิวทัศน์ แม้แต่สายลมที่พัดทำให้เย็นสบาย จนเด็กสาวเหม่อลอยกับภาพตรงหน้า อยู่สักพักก่อนที่จะมีเสียงดังขึ้นมา เรียกสติของเด็กสาวกลับมาอีกครั้ง
“ลิลลี่ มั่วทำอะไรอยู่เข้าห้องมาได้แล้ว” เสียงของเพื่อนร่วมห้องที่ทักทายเด็กสาว
“รู้แล้วน่า ไม่เห็นต้องรีบเลย” เด็กสาวตอบกลับไปอย่างเป็นธรรมชาติ
“ถ้า เข้าห้องสายอีกฉันไม่ช่วยแล้วน่ะ” เสียงตอบกลับมาแบบจริงจัง
เด็กสาวเข้าไปในห้องพูดคุยกับเพื่อนอย่างสนุกสนาน ร่วมหัวเราะไปด้วยกัน ใช้ชีวิตเหมือนเด็กคนอื่นๆ ในวัยเดียวกัน ชีวิตที่เต็มไปด้วยสีสัน เสียงหัวเราะ ร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน
“อย่างกับฝันไปเลย” เด็กสาวพูดขึ้นมาในใจภายใต้ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“อยากให้อยู่แบบนี้ตลอดไปเลย” เด็กสาวพูดกับตัวเองอีกครั้ง
ความคิดเห็น