ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ALONE เด็กสาวผู้เปลี่ยวเหงา

    ลำดับตอนที่ #2 : ALONE ฉบับกลอนสุภาพ

    • อัปเดตล่าสุด 15 ก.พ. 67


         กลุ่มเยาว์วัยวิ่งวุ่นสุขสนาน   

    ใต้วิมานท้องฟ้ามากแจ่มใส

     พระพายพัดโบกพลิ้วสะบัดชัย   

    รอยยิ้มทัยยินดีประดับตรา

     

     สาทว่ารวมตัวย่อมแยกตัว

    กลับสู่ครัวบ้านตนต่างแยกหา

     มีเด็กสาวเด็กหนึ่งจ้องลงมา

    ผ่านหน้าต่างชายคา ณ บ้านตน

     

     รายล้อมตัวเต็มด้วยตัวอักษร

    หมั่นอ่านตอนหนังสือสุดพหล

     มองออกไปทัยย่อมย้อมกังวล

    พินิจปนกลัวเกรงผวาใจ

     

     หากไปเล่นเค้นถามหากเป็นเพื่อน

    จักเชื้อเชิญยินดีฤาผลักไส

     นี่แหละหนอคุยยากมีความนัย

    ผวาดทัยผวาคนจักกลัวเรา

     

     จึงก้มตาก้มหน้าอ่านอักษร

    ทิชากรบินผ่านผู้เงียบเหงา

     จินตภาพถึงมิตรสนิทเรา

    ผจญภัยร่วมเล่าสันต์สุขกาย



     กระทั่งท้องร้องกริ่วแลหิวโหย

    ขยับโชยมองเข็มเวลาหมาย

     ผ่านไปนานเกินคิดพินิจทาย

    จึงก้าวก่ายสู่ครัวในครัวเรือน

     

     ณ ห้องโถงมืดมิดกาฬสนิท

    ผ่านสู่พิศมองครัวหาทางเคลื่อน

     เปิดประทีปให้แสงมิมีเลือน

    จนแลเห็นสิ่งเหมือนจดหมายวาง

     

     ก็เคยชินเคยเห็นทุกคืนค่ำ

    เนื้อความพร่ำเรื่องเดิมคือมิว่าง

     ไป่อยู่คู่เด็กน้อยเด็กใจบาง

    จึงทานข้าวแลพลางอ่านเหตุไป

     

     เมื่อสิ้นสุดขึ้นห้องละกลับเงียบ

    ช่างเย็นเฉียบเหงานักสดับไข้

     ล้มตัวนอนสู่รุ่งตะวันไฟ

    ฝันเหนื่อยในหน่ายตนพะวงตัว



     นาฬิกาลั่นร้องพร้องปลุกตื่น

    ลุกขึ้นยืนล้างหน้าล้างสลัว

     เตรียมตัวสู่โรงเรียนที่เกรงกลัว

    ก้าวออกไป ทั้งเมามัว กลัวฝูงชน

     

     ระหว่างทางย่างก้าวพินิจสรรค์

    แปลงแปรผันจินตภาพช่างพหล

     ทั้งทางเดินบ้านข้างย่อมผันตน

    ธรรมชาติไปแปรปนสลับกัน

     

     แต่ความคิดพิศหยุดแลชะงัก

    เมื่อเท้าปัก ณ สถานศึกษาหัน

     ไปจ้องมองจ้องห้องสดับพลัน

    เปิดเข้าลั่นเข้ามุ่ง ณ ตรงเดิม

     

     ได้เพียงนั่งคอยมองอย่างเงียบเงียบ

    รอบตัวเพียบเปี่ยมมิตรที่สันต์เสริม

     สนานกันสันต์สุขฉันท์มิตรเพิ่ม

    ทว่าตนมิอาจเติมหาญตนใจ

     

     ปากก็อ้าทว่าเสียงไม่ออก

    แม้นตะคอกเสียงดังวิหคไซร้

     ตัวตนก็แคบมีบรรลัย

    ไม่สนใจกันเลยช่างหมองจริง

     

     เมื่อคิดงั้นพลันหยิบหนังสืออ่าน

    สงบฌานกาลผ่านไปไวยิ่ง

     อยากสนิทชิดเชื้อมิโดนชิง

    แต่ได้อิงเพียงฝันเพียงหทัย

     

     เข็มเวลาก้าวผ่านดั่งวิ่งอยู่

    เพียงชั่วครู่ชั่วกาลก็หมดขัย

     ได้เพียงมองเพื่อนมิตรสนิทไป

    บอกลาให้แก่กันและจากลา

     

     เธอเก็บของต้องกลับสดับสู่

    บ้านที่อยู่คู่กันสบายหนา

     มุ่งพุ่งสู่ที่เดิมสบายตา

    วิมานพาสบายใจสบายกาย

     

     แต่เมื่อคิดพินิจจักกลับถิ่น

    ก็ซึมสิ้นแก่นใจช่างหลากหลาย

     อยากกล่าวเชิญกลับบ้านอยู่ข้างกาย

    ได้เพียงชายตามองมิตรฉันท์ชัย



     จึงได้เริ่มได้เดินแลก้าวออก

    สู่ข้างนอกเพื่อจุด ณ อาศัย

     แต่เมื่อขยับขาก้าวเดินไป

    กลับแปลกใจหลังหนึ่งที่ตั้งมา 


     ช่างเป็นบ้านที่พาลดูหนาวเหน็บ

    ช่างดูเก็บปล่อยร้างมานานหนา

     ช่างน่ากลัวแลดูเวทนา

    ช่างเสื่อมตาเสียในที่ดินงาม

     

     ณ นอกบ้านพืชพรรณพืชวายตาย

    เฉาเรียงรายพรายพลั่งมากด้วยหนาม

     เหตุใดหนอถึงปล่อยมิดูตาม

    แต่เหตุความที่ฉงนมีมากมาย

     

     ทั้งที่ตนก็พ้นแลเดินผ่าน

    แต่มิฌานนึกหาที่จุดหมาย

     ไม่เคยมีที่นี่ฉงนกาย

    โผล่มาผายผึ่งโชว์ในโลกา

     

     เมื่อสงสัยสิ่งใดต้องสิงสู่

    ก้าวเข้าอยู่ในสวนเหมือนเรียกหา

     ใบไม้เปื่อยเลื้อยรอบช่างแปลกตา

    ขยับมือบิดหากรประตู

     

     เมื่อได้เข้าเฉาเน่าเข้ามาหา

    เมื่อประภาดับแสงช่างอดสู

     เมื่อได้ก้าวเดินมุ่งสู่ทางรู

    เมื่อเปิดดูใต้ดินก็เชิญชวน

     

     บรรยากาศน่ากลัวสะอิดเอียน

    บรรยายเตียนติได้ถึงสัตว์สวน

     บรรลัยหนอซากศพที่รัญจวร

    บรรจบทวนหนังสือสื่อเรียกใจ

     

     ปกสีดำมืดกาฬนิลสนิท

    ได้ฉุดคิดพินิจและพิสัย

     เดินไปหาเสียงก้องกังวานทัย

    หยุดตรงหน้าตรงหนังสือหน้าปลายมือ

     

     อยู่ ณ พื้นจุดล่างก็ก้มหยิบ

    สัมผัสริบขึ้นมาแลหยิบถือ

     ทว่าสาภายนอกฉงนฤา

    ทำตาปรือภายนอกเหตุใดแปร

     

     จากห้องเก่าคร่ำครึแลโสโครก

    จากห้องโศกดูเศร้าผวาแย่

     แปรเปลี่ยนพ้นเป็นห้องธิดาแล

    เป็นห้องตนแน่แท้แต่ทำไม



     ด้วยความงงสงสัยฉงนตน

    จึงอดทนพินิจและคิดใหม่

     มีหลักฐานชิ้นเดียวที่ติดใจ

    คือหนังสือที่ไปสัมผัสมา

     

     เมื่อคิดได้ก็ลองเปิดออกมอง

    ปกกาฬล่องชื้นสู่มือมาหา

     ในหนังสือก็เหลืองช่างแปลกตา

    ไร้ภาษาอักษรปรากฎกาย

     

     ทั้งชื่อเรื่องบทนำหรือเนื้อเรื่อง

    ก็ไร้เครื่องดำเนินเนื้อหาหาย

     ไม่นานนักท้องหิวน่าอับอาย

    จึงก้าวก่ายสู่ครัวคล้ายเช่นเดิม

     

     มีจดหมายกับเงินนั้นตั้งอยู่

    เนื้อหารู้อยู่แล้วมิอ่านเสริม

     มาพินิจคิดถึงจักเพิ่มเติม

    หนังสือเจิมลงไปอาจปรีดา

     

     ถ้าหากว่างเปล่าไร้ตัวอักษร

    ก็ควรพรมอบให้มีเนื้อหา

     จักบรรจงเขียนให้แม้นโรยรา

    บรรเจิดตาสุดใจต้องลองดู

     

     เร่งขึ้นห้องเร่งนั่งหยิบปากกา

    จดออกมาถึงเรื่องประสบรู้

     เรื่องวันนี้จดลงอย่างพลั่งพลู

    เรื่องประหลาดที่คู่เขียนบรรจง

     

     มีแสงไฟริบหลี่สว่างส่อง

    พระพายล่องว่อนผ่านเป็นประสงค์

     มิล้มพับหลับนอนบรรทมลง

    แต่ยรรยงประพันธ์อักษรไป



    เสียงเวลานาฬิกากังวานทั่ว

    ตื่นเงียงัวมัวมองเข็มที่ไหว

     เจ็ดโมงครึ่งถึงคราจักบรรลัย

    รีบเร่งไล่จัดตัวและแต่งตน

     

     ถึงจักดูยุ่งเหยิงภายนอกกาย

    แต่มนภายในใจใสพหล

     มิได้สุขสนานนานดวงกมล

    สาต้องทนมุ่งหน้าสู่โรงเรียน

     

     เมื่อถึงหน้าประตูอย่างเหนื่อยเหน็ด

    เหงื่อสะเด็ดเม็ดไหลจากบนเศียร

     เริ่มจักจับประตูเพื่อเยี่ยมเยียน

    จนมิตรเพียรหันมองประหลาดใจ

     

     ได้แต่กล่าวกลัวคนผวาจิต

    คิดจริตแปรเปลี่ยนเวียนพิสัย

     มีทั้งครูนักเรียนทำอย่างไร

    กระทั่งได้ยินเสียงครูกล่าวเชิญ

     

     ช่างเป็นเสียงที่แบนราบสงัดนิ่ง

    เชิญประวิงหน้าห้องกระวายเขิน

     ขาก็สั่นเหงื่อท่วมผวาเกิน

    เตรียมเผชิญฝูงชนไม่มากพอ

     

     ได้แต่พร่ามผวาในใจตน

    ดวงกมลเริ่มร้าวใจแร่ร่อ

     ฉันกลัวกลัวกลัวมากอยู่ในคอ

    น้ำตารอรินไหลเพียงเวลา

     

     เมื่อครู่กล่าวสิ้นสุดก็เตือนตัก

    เธอชะงักฟังติมิคิดหา

     กระทั่งเธอมองรอบสดับตา

    คมดาบทิ่มแทงมาอยู่รอบตัว

     

     คำติฉินนินทาว่าร้ายกล่าว

    ประกาศป่าวด่าทอมิสลัว

     เมื่อเวลาผ่านไปก็หายกลัว

    คำนินทาหายตัวก็คงดี

     

     ได้ไปนั่งโต๊ะเดิมเก้าอี้เก่า

    รอเรียนเล่าศึกษาวิชาศรี

     ทั้งอังกฤษคณิตย์เป็นแรมปี

    ให้คงที่จุดเดิมมิเปลี่ยนแปลง

     

     ได้ร่ำเรียนต่อไปร่ำวิชา

    ฉินนินทาสายตามองแสลง

     ทั้งวี่วันเพี้ยงดาบเอียงเสียดแทง

    ช่างเหนื่อยแล้งแรงกายและแรงใจ



     ระพีส่องผ่องใสในยามเย็น

    เหนื่อยกระเซ็นก้าวก่ายกลับไสว

     ช่างท้อแท้ร่อแร่หน่ายฤทัย

    จนคิดนัยถวิลหนังสือนิล

     

     รอยยิ้มเริ่มเสริมเติมเพิ่มบนหน้า

    เร่งก้าวขามุ่งเขียนประพันธ์ศิลป์

     ก้าวสู่ห้องหยิบสมุดปกทมิฬ

    เปิดมารินรอนงงฉงนใจ

     

     มีข้อความปรากฎทำผวา

    กล่าวชื่นชมเนื้อหาพิสมัย

     บอกสนุกเนื้อเรื่องสุขหทัย

    ฉงนนักช่างไร้เหตุผลปน

     

     ใครมาแอบขีดเขียนหนังสือข้า

    ความคิดมาพลั่งพลูทำฉงน

     ใครทำเมื่อไหร่ที่ผจญ

    หวาดพหลผวาผวาดกลัว

     

     กระทั่งมีอักษรปรากฏออก

    ได้แลบอกตัวตนที่ตรงขั้ว

     เป็นเพื่อนกันมิตรฉันท์ที่ข้างตัว

    สบายหัวอุ่นใจสะดวกกาย

     

     จนเด็กสาวเริ่มหลุดจิตลอยล่อง

    จริตผ่องพินิจทุกข์สลาย

     จิตปรุงแต่งพุ่งมาเข้ามากมาย

    จริงหลอกวายใครสนมุ่งสุขพอ

     

     จึงหยิบถือปากกามาเตรียมจด

    คิดสบถถ้อยคำตามคำขอ

     บันทึกคำเรียบเรียงเพี้ยงถักทอ

    เรื่องราววันที่เธอรอเราบอกเอง

     

     ตื่นซ้ำซากลากตัวสู่โรงเรียน

    แสนวนเวียนเบื่อยิ่งดูโหลงเหลง

     อยากจักกลับไปอยู่คู่บรรเลง

    อักษรเพลงประพันธ์ให้มิตรมอง



     ผ่านฤดูเบิกบานสู่โรยร่วง

    ธุลีปวงหล่นล่องกองสนอง

     สีขาวโพลนเปรยใจที่คล้ายปอง

    จากผลิพ้องสู่เหน็บไร้บานใจ

     

     มิตรสหายเพื่อนข้าเริ่มแตกต่าง

    วจีพร่างพรายตอบเพียงนิดให้

     เริ่มคุยน้อยความน้อยฉงนทัย

    เริ่มบรรลัยใจเธอก็เริ่มรวน

     

     โกรธโกรธาโมโหกับมิตรเพื่อน

    เหตุใดเจื่อนแลหายแลผันผวน

     เพื่อนคนเดียวเหลียวไปปลีกกลับทวน

    มันมิควรหนีไปจากตัวกู

     

     หนังสือที่เขียนเพื่อระบายจิต

    ไร้คนพิศวิจารณ์ช่างอดสู

     สุดแลหมองแลเศร้ามิเชิดชู

    ปากกาทู่หักทิ้งเท้งลงไป

     

     ลงไปท่องโลกาโลกนอกกว้าง

    ลงไปย่างเดินล่องตามลู่ไล่

     พร้อมหนังสือนิลกาฬที่คู่ใจ

    ประทีปไร้แสงสีเช่นดังเคย

     

     รอบข้างรอบรายล้อมสีขาวโพลน

    ยะเยือกโคนดวงใจให้เปิดเผย

     สุดหนาวเหน็บกายใจจิตตื้นเกย

    ต้องลงเอย ณ จุดไร้ชีวา

     

     หิมะกัดลึกลงหทัยเจ็บ

    ดุจตะเข็บพันรอบหทัยหา

     แสบปวดร้าวปวดร้องร่ำไห้ซา

    แผลเป็นข้างในพาผ่าฉีกตน

     

     สุดจักก้าวสุดเดินสุดเหนื่อยท้อ

    สุดจักพอสุดใครรักพหล

     สุดจักขอสุดแก้วสุดแยบยล

    สุดช่วยคนตรงนี้มีสุขที

     

     กระทั่งหยุดก้าวต่อท้อเต็มทน

    สิ้นหวังจนร่ำไห้หยาดหยดที่

     ตรงหนังสือมีรอยประทับมี

    น้ำวารีนองไหลลงโลกา

     

     สาทว่าชะตาเล่นตลก

    ประสบวกเวียนมา ณ แหล่งกล้า

     บ้านร้างที่เคยอยู่ปรากฏมา

    ขยี้ตามองดูอีกครานึง

     

     แหล่งผวากลับมาอยู่ตรงหน้า

    แม้นแปลกตาแต่ชวนให้คิดถึง

     จึงก้าวไปบิดกรประตูดึง

    แม้นอ่อนแรงแต่ตราตรึง ณ แหล่งทาง

     

     เมื่อเข้าไปรู้สึกถึงอบอุ่น

    เมื่อถวิลคิดกรุ่นมิบาดหมาง

     เมื่อเข้ามารู้สึกพินิจพลาง

    เมื่อคุ้นปางคล้ายรักสดับตน

     

     เพียงชั่วครู่ฉายภาพทับซ้อนอยู่

    มีเด็กผู้วิ่งวุ่นมิขัดสน

     มีสุขสนุกอยู่เวียนวน

    ระพีพ่นป่นแสงแยงลงมา

     

     บิดรคู่มารดาแสนอบอุ่น

    มิครุกรุ่นทุกข์คู่เป็นสุขา

     มีกลิ่นหอมรอมโรยโชยโรยรา

    กับศวาคู่ข้างนงครานเยาว์

     

     เมื่อทับภาพความคิดเริ่มริดรอน

    ไฉนตอนคุ้นเคยนี้แลเศร้า

     จึงเริ่มเดินเพลินคิดสู่ถิ่นเรา

    ห้องใต้ดินดั่งเงาที่ตามตัว

     

     อดีตตัดมิติก็ข้ามผ่าน

    เรื่องวันวานเล่าย้อนสู่ในหัว

     เจ้าหมาน้อยที่อยู่ในเรือนครัว

    กลับวายตัวลงไปเพียงไม่นาน

     

     ทั้งพ่อแม่โต้กันนับวันคืน

    เมื่อวานซืนยังดียังสมาน

     กลับแปรเปลี่ยนเพี้ยนผิดพิศวันวาน

    สาตอนนี้ช่างสานช่างอัปรีย์

     

     ขวดเหล้ากองเกลือกกลิ้งตามพื้นลู่

    บรรยากาศร้องกู่นิรศรี

     ไฉนหนอเรื่องราวมิยินดี

    ต้องวิ่งหนีหมกตัวในห้องตน

     

     เสียงทะเลาะหนักหน่วงทุกคืนค่ำ

    เสียงทุบกันสนั่นใดเป็นผล

     เสียงน้ำตาหยดลงช่างมากปน

    เสียงจบลงเมื่อพ้นกี่คืนวัน

     

     ณ สุดท้ายอ้อนวอนอมรเทพ

    ช่วยสังเขปแปรคืนให้สุขสันต์

     ให้สุขีจีรังคงอนันต์

    มิแปรผันรูปเดิมให้คงตัว

     

     เหมือนว่าคำอวยพรสถิตอยู่

    พระเจ้าคู่กับเรามิสลัว

     มีเสียงดังกังวานทำเธอกลัว

    แลก้องรัวอีกคราคือกระไร

     

     ภายในใจนอกกายล้วนสั่นเทา

    หนังสือเศร้าข้างกายไม่สิ้นขัย

     มืออุดหูก้าวขาก้าวออกไป

    ไปส่อง ณ ห้องให้บรรทมนอน

     

     เมื่อแอบฟังสดับกลับไร้เสียง

    รับรู้เพียงกลิ่นคาวที่ชวนหลอน

     กระทั่งเปิดประตูอย่างลิดรอน

    พร้อมกับกล่าวอมรช่วยตนฤา

     

     กลับมาสู่มิติที่จีรัง

    ปัจจุบันยืนยั่งข้างหนังสือ

     เตรียมผูกเชือกที่มีไว้ในมือ

    เกี่ยวกับคานเสียงลือสนั่นดัง

     

     ย้อนคืนสู่คืนค่ำอันหดหู่

    เด็กน้อยกู่ร้องร่ำที่พลาดพลั้ง

     ที่ขอพรอมรให้ทำพัง

    ครอบครัวชังหายไปมิมีคืน

     

     ได้เพียงนั่งใจลอยไร้สติ

    ที่ไฉนทิฐิจึงไม่ฟื้น

     ทำไมหนอถึงนิ่งทนกล้ำกลืน

    โปรดตอบคืนสักคำจักสุขใจ

     

     ทุกคนที่พ่นปลอบถ้อยคำหวาน

    ดั่งแพร่พาลทุกข์ให้ปวดทัยไข้

     พ่อแม่มิกลับมาด้วยเหตุใด

    เสียงเดียวนั้นยังจำได้ไม่มีเลือน



     หลังพิธีจบลงก็ย้ายบ้าน

    ไปสู่ย่านชนบทที่กลาดเกลื่อน

     มีญาติมิตรรับเลี้ยงแลตักเตือน

    เป็นแรมเดือนแรมปีผ่านผ้นไป

     

     ญาตินั้นก็ไร้สัตย์รับผิดชอบ

    ละเลยกรอบดูแลทิ้งแลไซร้

     แค่ป้อนข้าวป้อนน้ำดีเพียงใด

    เท้งอยู่ให้โดดเดี่ยวเปลี่ยวเพื่อนชน

     

     ซึ่งเด็กน้อยกล้ำกลืนฝืนปวดร้าว

    แม้นจักคล่าววิถีปรับเป็นผล

     ยังคงไร้ผู้รักสดับตน

    โปรดกมลมอบใจให้หนูที

     

     แต่หนูเชื่อพ่อแม่ยังคงอยู่

    อย่าทิ้งหนูอยู่คู่กับญาตินี้

     หนูเหงาหนูอยากรู้ถึงชีวี

    ที่สุขีชีวันทุกคืนวัน

     

     ในท้ายสุดกาลพ้นสู่กาลเดิม

    มือแต่งเติมด้วยเชือกที่เตรียมปั้น

     บ่วงคล้องที่คอเตรียมสิ้นอนันต์

    เป็นหุ่นพลันคล้ายหินนิ่งอาลัย

     

     เมื่อเชือกดึงตาเหลือกอากาศขาด

    รอยเล็บฟาดที่คอยามสิ้นขัย

     ลิ้นจุกปากกัดลิ้นสิ้นดวงใจ

    ห้อยหทัยหลุดลอยหนังสือลง

     

     ดวงเนตรมองออกนอกหน้าต่าง

    พินิจพลางตายไปตามประสงค์

     จักคงอยู่สวรรค์หรือคงปลง

    แต่กลับคงอารมณ์อบอุ่นใจ

     

     กระทั่งตื่นเสียงร้องของนกน้อย

    กิจวัตรนั้นคล้อยมิเปลี่ยนไซร้

     ทั้งอาบน้ำทานข้าวคงอยู่ไป

    เตรียมคลาไคลมุ่งสู่สถานเดิม

     

     กล่าวบอกลาพ่อแม่ที่ปลายประตู

    และพลั่งพลูก้าวออกไปส่งเสริม

     ไปทักทายทักเพื่อนทักเพิ่มเติม

    ลิลลี่คล้อยสุขเริ่มสุขาพลัน

     

     ขอให้คงชั่วกาลมิแปรเปลี่ยน

    ขอให้เพียรอมรคงสุขสันต์

     ขอให้โปรดคงอยู่คู่อนันต์

    ขอให้ปันวัฐจักรมิแปลงเอย

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×