ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    SF NOGUN 63

    ลำดับตอนที่ #8 : Wife Phobia

    • อัปเดตล่าสุด 3 มิ.ย. 58



    Wife Phobia



    อากาศบริสุทธิ์ยามเช้า สายลมเย็นพัดเฉื่อยกระทบผิวกาย กลิ่นอายน้ำค้างบนยอดหญ้า ต้นไม้ใหญ่สูงเสียงฟ้าช่วยกรองแสงแดดอ่อน ใบไม้สีเขียวสดมีหยาดน้ำค้างเกาะ ดอกไม้นานาพันธุ์ผลิบานสะพรั่ง ผีเสื้อแมลงผลัดกันบินไล่ชิมน้ำหวาน สายธารใสไหลเอื่อยไปตามลำน้ำ ดอกบัวน้อยใหญ่แข่งกันลอยเด่นเหนือผิวน้ำ ฝูงปลาเล่นแหวกว่ายกันอย่างสนุกสนาน ท้องฟ้าสีครามประดับฝูงนกบินเฉียงออกหากินอย่างเป็นระเบียบ เงาตะวันเพิ่งพ้นขอบฟ้าทอดส่องกระทบผืนน้ำใส ริมน้ำปรากฏบ้านไม้ทรงไทยยกใต้ถุนสูง ชายหนุ่มนั่งอยู่บนหัวกะได ตาคมทอดมองธรรมชาติร่มรื่นอย่างสุขใจ



    “พี่โน่จ๊ะ กันจะไปจ่ายตลาด เช้านี้พี่โน่อยากทานอะไรเป็นพิเศษไหมจ๊ะ” ร่างบางเดินถือตะกร้าหวายลงมาจากชั้นสองเอ่ยถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม



    “อืมม...เอาน้ำพริกปลาทูแล้วกันจ้ะ” ร่างสูงตอบยิ้มๆ



    “ถ้างั้นเดี๋ยวกันไปจ่ายตลาดก่อนนะจ๊ะ จะได้รีบกลับมาทำให้พี่โน่ทาน”



    “จ้ะ” ทั้งคู่ยิ้มให้กันก่อนกันจะปั่นจักรยานคันสีเทาออกไปจ่ายตลาด



    น้ำพริกปลาทูพร้อมกับข้าวอีก 2-3 อย่างถูกยกมาวางตั้งวงทานข้าวบนพื้นไม้ชั้นสองอย่างวิถีชีวิตคนต่างจังหวัด ร่างบางเดินถือขันน้ำสีเงินออกมาจากครัว



    “หิวมากไหมจ๊ะ ร้านผักคนเยอะมากเลย กันรอคิวตั้งนาน” ร่างบางที่นั่งลงตรงข้ามร่างสูงถามอย่างห่วงใย วางขันน้ำลงข้างๆจานข้าว



    “ไม่เป็นไรจ้ะ พี่ทนได้” ร่างสูงตอบยิ้มๆ “ขอแค่ได้ทานฝีมือกัน นานแค่ไหนพี่ก็รอได้” 



    หลังจากมื้อเช้าผ่านไป ทั้งคู่ช่วยกันเก็บจานชามไปล้าง แกล้งหยอกล้อกันเล่นอย่างสนุกสนาน กว่าจะล้างเสร็จก็เล่นเอาย่างเข้าช่วงสายของวัน



    “กันว่าจะพายเรือไปเก็บดอกบัวมาไหว้พระ พี่โน่พายเรือเป็นเพื่อนกันนะจ๊ะ” ร่างบางเอ่ยชวนยิ้มๆ ก่อนที่ร่างสูงจะตอบตกลงอย่างเต็มใจ



    “ได้สิจ๊ะ”



    ลำคลองหน้าบ้าน เรือไม้ขนาดเล็กจอดเทียบท่า ร่างสูงบนเรือไม้คอยช่วยประคองร่างบางก้าวลงเรืออย่างระวัง



    “ค่อยๆก้าวนะกัน” มือใหญ่จับมือน้อยไว้จนก้าวลงเรือได้สำเร็จ กันยิ้มขอบคุณ ก่อนร่างสูงจะประคองให้ร่างบางนั่งอย่างระวัง มือใหญ่พายเรือบังคับไปในทางที่ร่างบางร้องบอกอย่างมีความสุข



    “พี่โน่ทางนู้นๆๆ....อ้ะกันจะเอาดอกนี้...ขวานิดนึงๆ 5555.....” ร่างบางหัวเราะคิกคักอย่างชอบใจ มือบางคอยเก็บดอกบัวตามทางที่ร่างสูงพายไป จนพอใจจึงพากันขึ้นฝั่ง



    เปลนอนถูกผูกไว้ระหว่างสองเสาใต้ถุนบ้าน ร่างบางกำลังนอนพักกลางวัน ตาหวานหลับพริ้ม ริมฝีปากเผยอขึ้นน้อยๆ ร่างสูงอมยิ้มกับภาพตรงหน้า ขายาวก้าวเดินเข้าไปนั่งยองๆข้างเปล โน้มใบหน้าคมก้มลงประกบปากแผ่วเบา ร่างบางสะดุ้งลืมตาขึ้นมา



    “พี่โน่ทำอะไรจ๊ะเนี่ย” ใบหน้าหวานแดงซ่าน ถามออกไปทั้งที่รู้คำตอบอยู่แล้ว



    “อ้าว ก็จุ๊บกันไงจ๊ะ” ร่างสูงตอบหน้าซื่อ “ไหนๆก็ตื่นแล้ว พี่ต่อละนะ” ร่างสูงไม่รอช้าก้มลงหอมแก้มใสฟอดใหญ่จนร่างบางหัวเราะคิกคัก



    “อื้อ พี่โน่......พี่โน่......ไอ้พี่โน่!!! ตุ้บ!” เสียงหวานค่อยเปลี่ยนเป็นเสียงดังขึ้นเรื่อยๆจนกลายเป็นตวาดเสียงดัง ร่างสูงลืมตาตื่นขึ้นมาก่อนจะพบตะกร้าหวายสานลอยมาปะทะหน้าตัวเองและดูเหมือนว่าเขาจะหลบไม่ทันเสียด้วย



    “โอ๊ยยย เจ็บนะกันจ๋า โยนมาได้” ผมงัวเงียๆตื่นขึ้นมาก่อนจะลูบหน้าตัวเองป้อยๆ โอ๊ยฝันไปหรอเนี่ย



    “เจ็บสิดี! จะนอนกินบ้านกินเมืองไปถึงไหนฮะ! สายตะวันเลียตูดขนาดนี้เดี๋ยวตลาดก็วายกันหมดพอดี!” ร่างบางในสภาพหัวกระเซอะกระเซิงชุ่มไปด้วยเหงื่อยืนจังก้าเท้าเอวอยู่หน้าประตูร่ายยาวใส่ผมเป็นชุด มีหรอที่คนอย่างโตโน่จะยอม...



    “ขอโทษจ้ะกันจ๋า พอดีพี่ฝันเพลินไปหน่อย” ผมจะทำอะไรได้นอกจากขอโทษอย่างนอบน้อม เข้าไปกอดแขนเรียวอ้อนๆอย่างหวังให้เขาใจเย็น



    “ไม่หน่อยแล้วมั้ง! รีบไปซื้อกับข้าวมาเลยนะ ก่อนที่กันจะโมโหไปมากกว่านี้!” กันตวาดเสียงดังจนผมสะดุ้งโหยง รีบกุลีกุจอเข้าไปหยิบตะกร้าหวายสานที่นอนแอ้งแม้งอยู่ข้างฟูกที่นอนแล้วรีบวิ่งลงไปเอาจักรยานที่ใต้ถุนบ้านออกเตรียมไปตลาด แต่ดูเหมือนสภาพมันจะไม่เป็นใจเท่าไหร่ โซ่จักรยานที่เต็มไปด้วยคราบสนิมกรังหลุดออกมาจากที่ของมันห้อยต่องแต่งลากพื้นอยู่



    “กันจ๋า แหะๆ เอ่อคือ...จักรยานมันพังน่ะจ้ะ” ผมเดินเข้าไปบอกกันที่ยืนกอดอกมองผมอยู่ที่หัวกะได



    “ก็พังนะสิ! เมื่อวานบอกแล้วใช่ไหมฮะ! พูดดดดจนปากจะฉีกถึงรูหูอยู่แล้วว่าให้เอามันไปซ่อมๆ แล้วเป็นไง ฟังบ้างไหมมมมม” มือบางหยิกเข้าที่หูผมอย่างแรง



    “โอ๊ยๆๆๆ กันจ๋าๆ พอก่อนจ้ะ พี่เจ็บนะ โอ๊ยยย!” น้ำตาแทบไหลครับ หยิกอย่างเดียวไม่พอยังบิดด้วย หูคนนะครับไม่ใช่ผ้า บิดอยู่นั่น เอ่ออย่าเอาไปบอกกันเขาล่ะ



    “ฮึ่ยย!” กันยอมปล่อยมือจากหูผม รู้สึกร้อนๆที่หูไม่ต้องส่องกระจกก็รู้ว่าตอนนี้มันกำลังแดงเถือกแน่ๆ



    “แล้วอย่างงี้ พี่ไม่ต้องไปตลาดแล้วใช่ไหมจ๊ะกันจ๋า” อ่าดีๆพังๆไปก็ดีนะจักรยานน่ะ สบายผมล่ะ ผมมองกันที่ยืนหน้าง้ำอย่างอ้อนๆ



    “ไม่ไปแล้วจะเอาอะไรกิน! จักรยานมันพังก็ไม่ต้องขี่ เดินมันไปนี่แหละ!” โอ้โหะโหห เข่าแทบทรุด เดิน? กันจ๋า กันจ๋าเห็นแสงแดดนั่นไหม ถ้าเดินไปจริงๆผมว่าผมคงละลายอยู่แถวๆหน้าซอยบ้านนี่แหละ ยังไงก็ไม่เดินไปเด็ดขาดดด!



    ครับ ไม่เดินก็ต้องเดิน ผมเดินเตะฝุ่นตามถนนลูกรังระหว่างทางไปตลาด แหมใครจะไปกล้าแหยมกับกันเขา ตั้งแต่แต่งงานกันมาเขาเคยไหว้ผมอยู่ครั้งเดียวตอนสวมแหวนหมั้น นอกนั้นผมก็เป็นฝ่ายไหว้เขาตลอดมา พูดแล้วก็เศร้า ผมไม่ได้กลัวเมียนะ ผมแค่ให้เกียรติเขา เชื่อผมสิ แต่ถึงเขาจะดุยังไงผมก็รักเขานะ เมื่อกี้ตอนก่อนออกจากบ้านเขายังใจดีให้หมวกผมมา ทุกคนล้มเลิกความคิดที่ว่าเป็นหมวกแก๊ปเท่ๆไปได้เลย เพราะมันคือหมวกชาวนาสานไม้สีเหลืองๆที่ใครผ่านมาต้องเห็นในระยะ 500 เมตร



    “อ้าวพ่อโน่ จะไปตลาดหรอ แหมหมวกสวยเชียวนะ นึกว่าพกพระอาทิตย์ติดหัว” ป้าชื่นที่ผมจำได้ว่าอยู่บ้านถัดจากบ้านผมสองหลังทักขึ้นก่อนจะปั่นจักรยานออกหน้าผมไป หมดกัน ภาพลักษณ์หนุ่มหล่อสุขุมของผม พูดแล้วก็อยากจะร้องไห้



    เอาเป็นว่าระหว่างที่เดินไปตลาดผมจะเล่าเรื่องราวสุดสยองในชีวิตคู่ของผมให้ฟัง อย่างที่เห็นนั่นแหละครับ มีเมียเหมือนมีแม่ มีอยู่ครั้งนึงช่วงหลังจากแต่งงานกันใหม่ๆผมก็ติดปาร์ตี้สังสรรค์กับเพื่อนเป็นปกติ เอ่อ...อย่าเพิ่งเข้าใจว่ามันเป็นปาร์ตี้ไฮโซดื่มค็อกเทลวิสกี้อะไรนะพวกนี้ครับ ไอ้ปาร์ตี้ที่ผมว่ามันคือปาร์ตี้เหล้ายาดองนี่แหละ พูดแล้วก็อนาจ ไอ้พวกเพื่อนผมมันก็หิ้วหญิงมาคนละคนเลย แถมพวกมันยังใจดีหิ้วมาเผื่อผมด้วย ทีแรกก็ปฏิเสธกลัวกันรู้เข้า แต่พอโดนม้ากระทืบโรงยัดปากเท่านั้นแหละ ป๊าดดด! หน้าเมียหายวับไปกับสายลม



    สนุกผมเลยสิ ทำอะไรไปบ้างก็ไม่รู้ตัว แต่อย่าคิดว่ามันเกินเลยจนถึงขั้นนั้นนะครับ แค่นัวเนียกันในวงเหล้านิดหน่อย จริงๆก็ไม่นิด ผมยังนึกแปลกใจว่าทำไมหลังๆอีหนูมันเงียบผิดปกติ แถมลักษณะยังคุ้นๆอีกด้วย ไอ้ผมเองก็มัวแต่เมาหัวราน้ำเอาแต่ก้มหน้าก้มตากระดกเหล้าเข้าปาก มือก็เลื้อยไปเรื่อย ไอ้พวกที่เหลือไม่ต้องห่วง บางคนนี่นอนกอดโหลยาดองกลิ้งตกแคร่ไปแล้ว ผมเหมือนพูดอยู่คนเดียว พยายามชวนอีหนูคุยเขาก็ไม่ตอบผม



    จนผมถามอะไรเขาก็ไม่รู้จำไม่ได้แล้ว อีหนูเขาตอบมาคำนึง ผมนึกเอะใจแล้วว่าเสียงมันคุ้นๆ พอเงยหน้ามองเท่านั่นแหละ ฮัดช่าา สร่างเมาเลยครับ อีหนูที่นั่งข้างๆผมไหงกลายเป็นเมียไปได้ ตอนนั้นรู้สึกเหมือนโลกถล่ม เห็นสายตากันน่ากลัวมาก เขาบอกให้ไปเคลียร์กันที่บ้านแล้วลากผมถูลู่ถูกังกลับบ้านที่ผมรู้สึกว่ามันคือลานประหารกลายๆ



    ผมโดนสอบยาวเหยียดสลับกับฟังเทศน์จากแม่คนที่สอง ใครบอกครูเป็นแม่คนที่สองผมนี่เถียงขาดใจเลย ทีแรกผมปฏิเสธว่าโดนเพื่อนมันแกล้งแต่เหมือนว่ามันจะไม่เนียนเท่าไหร่ กันเขาบอกให้โอกาสผมสารภาพอีกรอบแต่ผมก็ยังยืนยันคำเดิม เห็นกันเดินหายเข้าไปในห้องนอนนึกว่าเขาไม่ติดใจอะไรแล้ว ที่ไหนได้เดินออกมาพร้อมอุปกรณ์ตัดปิ๊กกาจู้พร้อมกับเปล่งวาจาสิทธิ์ว่าจะให้เขาตัดให้หรือจะไปให้หมอตัด



    ผมถึงกับทรุดลงไปกราบแทบเท้า น้ำตาไหลเป็นสายเลือด แล้วยอมรับสารภาพทุกอย่าง กอดขาขอร้องอ้อนวอนเขาอยู่นานมากจนเขายอมใจอ่อนยกโทษให้ผมเหลือแค่ริบทรัพย์สิน ครับ และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ก็ไม่มีทรัพย์สินอะไรที่เป็นของผมอีกเลย ทำงานได้เงินมาก็ต้องทูลเกล้าถวายเขาทุกบาททุกสตางค์ จะใช้เงินทีก็ต้องขอเบิกเขาใช้พร้อมกับเหตุผลว่าเอาไปทำอะไรที่ไหน แล้วชี้แจงด้วยว่าแต่ละอย่างที่ไปซื้อมันราคาเท่าไหร่บ้างเหลือเงินกลับมาครบไหม ตอนเด็กๆคุณเคยต้องทำบันทึกรายรับ-รายจ่ายส่งครูไหม นั่นแหละครับ สิ่งที่ผมต้องทำอยู่ทุกวันนี้



    เฮ้อบ่นไปอิสระภาพของผมก็ไม่ได้คืนมาอยู่ดี ขืนบ่นมากๆเข้ากันเขามาได้ยินจะกลายเป็นเพิ่มกระทงให้ตัวเองอีกต่างหาก ผมเดินเข้าไปจ่ายตลาดตามรายการที่กันเขาจดไว้ให้ หิ้วของพะรุงรังจนแม่ค้าทั้งหลายแซวว่าโดนเมียใช้ผมก็ไม่เถียงหรอกครับ ก็มันจริงนี่นา กว่าจะเดินกลับมาถึงบ้านก็เล่นเอาสาย แดดยิ่งร้อนเข้าไปอีก นี่มันประเทศไทยหรือซาฮาราวะเนี่ย อีกนิดเดียวจะบอกให้กันเปลี่ยนจากเลี้ยงควายเป็นเลี้ยงอูฐแล้วเนี่ย



    เดินเข้าบ้านมาก็เจอกันนั่งไขว่ห้างรออยู่ที่หัวกะได ใบหน้าบูดสนิท เอาล่ะเคานท์ดาวน์เตรียมหูชาได้เลย



    “นี่ไปตลาดหรือไปดาวอังคาร! หิวข้าวจะตายอยู่แล้วเนี่ย!” ผมเดาผิดที่ไหน เดินเข้าไปกอดเอวกันอ้อนๆ



    “ขอโทษจ้ะ เดี๋ยวจะรีบไปทำให้เดี๋ยวนี้เลยจ้ะ กันจ๋ารอแป๊บนึงนะจ๊ะ” พูดจบผมก็รีบบึ่งเข้าไปในครัว จัดเตรียมทุกอย่างอย่างคล่องแคล่ว อย่าถามว่าผมเป็นพ่อบ้านหรอทำกับข้าวเป็นด้วย ผมตอบตรงนี้เลยครับว่าไม่ใช่ แต่ไม่ทำก็ต้องทำ กันเขาบอกว่าเลือกเอาจะทำเองหรือให้กันทำ ถ้าให้กันทำก็เตรียมไปขอกินข้าวก้นบาตรได้เลยเพราะเขาจะไม่ทำเผื่อ แต่ถ้าผมทำผมต้องทำเผื่อเขาด้วย เห็นไหมว่าความยุติธรรมไม่มีในโลก แล้วผมจะประท้วงอะไรได้นอกจากก้มหน้าก้มตาทำต่อไป



    “เอามานี่กันทำเอง” กันที่เดินมาจากไหนก็ไม่รู้ เข้ามาแย่งตะหลิวในมือผมไปก่อนจะลงมือผัดผักเอง ผมมองเจ้าตัวอย่างงงๆ ก่อนจะถามว่าแล้วแบบนี้ผมจะได้กินข้าวด้วยไหม ซึ่งเขาก็ตอบมาห้วนๆว่า “ได้!”



    ผมยกกับข้าวที่กินเขาทำเสร็จแล้วไปวางตั้งวงอย่างทุกวัน จัดแจงทุกอย่างเรียบร้อยไม่นานกันก็เดินถือกับข้าวอย่างสุดท้ายที่เพิ่งลงจากกะทะตามมา ผมถามเขาว่านึกยังไงวันนี้ถึงทำกับข้าวเอง แอบลุ้นให้เขาตอบว่าสงสารผมอยากให้ผมพัก แต่คำตอบที่ได้คือ “ขืนปล่อยให้ทำเองกว่าจะได้กินกันคงนอนหิวตายอยู่ที่หัวกะได!” โธ่ ไอ้เราก็นึกว่าเป็นห่วงกัน ชิชะ น้อยใจแล้วนะ



    ผมตักอาหารเข้าปากอย่างเสียไม่ได้ น้อยใจไปทำอย่างกับกันเขาจะง้อ เคยงอนเขาอยู่ครั้งนึง เขาเดินเข้ามาถามผมว่างอนหรอ ผมนี่ดีใจเนื้อเต้นเลยแต่ต้องคีพลุคทำเป็นงอนนึกว่าเขาจะมาง้อ เปล่า เขาบอกว่า “หายงอนเมื่อไหร่ก็บอกแล้วกัน” แล้วก็เดินสะบัดตูดเข้าห้องไป สุดท้ายก็ต้องหายงอนเองไปโดยปริยาย



    “กันจ๋าค่อยๆกินสิจ๊ะ เดี๋ยวติดคอนะ” ผมบอกกันที่ตักข้าวเข้าปากเหมือนอดอยากมานาน ไม่ทันขาดคำเจ้าตัวสำลักข้าวแค่กๆ ผมรีบประเคนป้อนน้ำให้



    “แค่กๆ ใครบอกให้แช่งกันแบบนั้น! แค่ก ดูสิเนี่ยติดคอขึ้นมาจริงๆเลย” คร้าบๆ ไอ้โน่คนนี้มันทำอะไรก็ผิดไปหมดแหละคร้าบ ทำไงได้เล่า รักนะเนี่ยถึงได้ยอม ผมรีบป้อนน้ำให้เขาอีกจนเขาดันมือผมออกบอกว่าพอแล้ว กินอิ่มก็ต้องล้างจาน ถามว่าใครล้าง จะเป็นใครไปได้นอกจากผม



    “กันจ๋าเดี๋ยวพี่เอาจักรยานไปซ่อมนะจ๊ะ” ผมบอกกันที่นั่งดูทีวีอยู่ที่ห้องนั่งเล่น ก่อนเขาจะลุกขึ้นเข้าไปในห้องนอน อ่า เข้าไปหยิบเงินมาให้สินะ ว่าแต่กล่องเงินทำไมมันใหญ่จังวะ



    “ไม่ต้องไปแล้้ว ซ่อมมันเองนี่แหละ เปลืองเงิน” เขาวางกล่องใหญ่ๆนั่นลงตรงหน้าผม ผมเปิดดูก็เจอเครื่องมือการช่างเต็มไปหมด ซ่อมไม่เป็นซะด้วยสิ



    “แต่ว่ากันจ๋า พี่ซ่อมไปเป็นอ่ะ” พยายามทำหน้าอ้อนๆให้น่ารักที่สุดเท่าที่จะน่ารักได้ ผลที่ได้คือ



    “ซ่อมไม่เป็นก็ต้องซ่อม! หรือจะไปทำอย่างอื่นแทน” หวายยทำอย่างอื่น ผมขอซ่อมจักรยานดีกว่า อย่าคิดว่าไอ้อย่างอื่นที่กันเขาว่ามันจะดีกว่าสบายกว่านะ ผมเคยลองมาหลายทีแล้ว และก็ค้นพบว่าอันแรกที่เขาให้ทำอ่ะดีอยู่แล้ว



    “จ้ะ ซ่อมก็ซ่อม” สุดท้ายก็ต้องเดินหอบกล่องเครื่องมือลงมานั่งจุ้มปุ๊กที่ใต้ถุนบ้านตรงจักรยาน หยิบไอ้นู่นมาไขไอ้นี่มั่วๆอยู่นานจนสำเร็จ รีบเอากล่องอุปกรณ์ไปคืนกัน ก่อนเขาจะตบรางวัลให้เป็นเงิน 1000 บาทแถมหอมให้อีกฟอดนึง อ่าชื่นใจที่สุด



    “กันจะนอนกลางวัน นวดให้หน่อย เมื่อย” เจ้าตัวล้มตัวลงนอนบนโซฟาก่อนจะยื่นขามาให้ผม ใจจริงอยากจะบอกมากเลยคนที่ควรพูดประโยคนั้นคือผมไหมมม แต่เอาเถอะบ่นไปเดี๋ยวเท้าจะลอยฟาดหน้าผมก็เป็นได้ สิ่งที่ควรทำตอนนี้คือนวดให้เขานั่นแหละ



    ผมก้มลงไปนั่งกับพื้นบีบนวดขาเขาประหนึ่งเด็กรับใช้ จนเจ้าตัวผลอยหลับไปผมจึงผละออกแล้วไปนั่งสูดอากาศ(ร้อน)อยู่ที่ระเบียงบ้านเสียงโทรศัพท์ผมดังขึ้น ผมรีบกดรับก่อนจะหันไปมองว่ากันตื่นหรือเปล่า เห็นเขายังนอนหลับอยู่ก็ค่อยสบายใจ



    “ฮัลโหลมีอะไร” ผมถามปลายสายที่เมมเบอร์ไว้ว่าไอ้เปี๊ยก ไอ้นี่แหละครับที่ผมเล่าให้ฟัง คนที่หิ้วผู้หญิงมาเผื่อผมวันนั้น



    “เออวันนี้ไอ้เวียงมันถูกหวยก็เลยจะเลี้ยง เลยโทรมาชวนมึงเนี่ย” เสียงปลายสาสยบอกผม ได้ยินคำว่ากินเลี้ยงเท่านั้นแหละครับขนลุกซู่เลย ไม่เอายังไงก็ไม่ไปเด็ดขาด



    “เออพวกมึงไปกันเถอะกูไม่ไปหรอก กูเข็ดแล้ว” ผมบอกพวกมัน ขนยังลุกอยู่เลยเนี่ย



    “โหยมึงแม่งป๊อดว่ะ กลัวเมียขึ้นสมอง” น้ำเสียงเย้ยหยันดังออกมาจากปลายสาย ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงไม่ยอมให้มันมาพูดแบบนี้ คงออกไปหาพวกมันแล้ว แต่ตั้งแต่วันพิพากษาวันนั้นเล่นเอาผมไม่กล้าอีกเลย ผมยอมให้มันดูถูกยังดีกว่าเสียปิ๊กกาจู้ไป



    “เออๆๆมึงจะว่ายังไงก็ช่างอ่ะ กูไม่ไป แค่นี้นะ” ผมกดตัดสายก่อนจะหันมา อุ๊ว้ายยยย แทบจะร้องเป็นตุ๊ดเลยกันมายืนอยู่ข้างหลังผมตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ถึงจะไม่ได้ทำอะไรผิดแต่ก็กลัวอยู่ดี เขามองผมนิ่งๆทำเอาลุ้นว่าจะโดนอะไรไหม “เอ่อ..กันจ๋า คือพี่ไม่ได้จะไปกับพวกมันนะ” แก้ตัวไว้ก่อนน่าจะดี



    “กันก็ไม่ได้ว่าอะไรหนิ” เขาลอยหน้าลอยตาพูดก่อนจะเดินกลับเข้าบ้านไป หูยยนึกว่าจะโดนอะไรแล้ว สงสัยอามรณ์ดี แหมได้ทีก็ต้องประจบเมียสิครับ



    “กันจ๋า กันจ๋าเมื่อยอีกไหม เดี๋ยวพี่นวดให้” ผมเดินเข้าไปทำท่าจะนวดให้เขาอีกรอบ แต่เขาบอกไม่ต้อง “กันจ๋า ขอนอนหนุนตักหน่อยนะ” ยังไม่ทันที่เขาจะอนุญาตผมก็นอนเอาหัวหนุนตักเขาเรียบร้อย เขาทำท่าจะโวยวายแต่ผมเอานิ้วชี้แตะปากเขาไว้ก่อน ผมจับมือเขามาจุ๊บทีนึงก่อนจะเห็นเขาแอบยิ้ม น่ารักที่สุดในโลกเลย



    “มาอ้อนแบบนี้จะเอาอะไรล่ะ” เขาถามผม



    “โธ่กันจ๋า ไหงเห็นพี่เป็นคนแบบนั้นล่ะ” ผมทำหน้าน้อยใจเสียเต็มประดา



    “อย่ามาทำหน้าตาแบบนั้นได้ไหม อย่างกะหมาแท้งลูก” อื้อหือ ชะงักเลยครับ หยุดทันทีเลย ใครได้ยินกันเขาพูดแบบนี้ก็ไม่ต้องตกใจนะครับ เอาเป็นว่าเมียผมเป็นคนฮาร์ดคอ “นี่ว่างใช่ไหมเนี่ยถึงมาอ้อนอย่างงี้เนี่ย” อ่า ได้ยินกันจ๋าพูดแบบนี้แล้วรู้สึกกำลังจะไม่ว่างแน่ๆเลย



    “ก็นิดนึงจ้ะ” ผมยิ้มแหยๆไปให้เขา ไม่พ้นโดนใช้แน่ๆ



    “ไปเก็บดอกบัวให้หน่อยไปจะเอามาไหว้พระ” โป๊ะเชะเลย! โดนใช้อีกแล้ว กระซิกๆ ลองชวนกันจ๋าไปพายเรือเก็บด้วยกันดีกว่า เผื่อจะโรแมนติกเหมือนในฝัน



    “กันจ๋าไปพายเรือเป็นเพื่อนพี่หน่อยนะ” ผมช้อนตามองเขาอ้อนๆก่อนจะได้รับคำตอบที่ทำเอาผมสะดุ้งโหยงรีบกระเด้งตัวออกจากตักเขาทันที



    “ไปทำไมร้อนจะตาย!” เสียงตวาดดังลั่นบ้าน ทำเอาผมแทบจะคุกเข่าลงไปกราบ



    “จ้ะๆๆ กันจ๋าไม่ต้องไปๆ กันจ๋านั่งรอสวยๆอยู่ในบ้าน เดี๋ยวพี่ไปเอง” ผมโอบไหล่เขาไว้ให้เขาใจเย็น ก่อนจะรีบวิ่งลงบันไดไปเอาเรือออก บอกตรงๆแดดร้อนมากครับ แต่ก็ต้องทน เพื่อเมียที่เคารพรักยิ่ง นี่ผมกะว่าจะเด็ดดอกบัวไปเผื่อเอาไว้ไหว้เขาด้วย แต่กลัวว่านั่นจะเป็นการไหว้ครั้งสุดท้ายในชีวิตก่อนที่ผมจะถูกกันประหารข้อหากวนเขา ก็ได้แต่คิดอยู่ในใจ



    ตกกลางคืนเหมือนว่ากันจ๋าจะหลับแล้ว ผมก็กำลังจะหลับแล้วแหละถ้าไม่โดนใครบางคนเอาหินปาเข้ามาผ่านหน้าต่าง ผมชะโงกหน้าดูก่อนจะเห็นว่าเป็นไอ้เปี๊ยก มันกวักมือเรียกผมให้ลงไปหามัน ผมมองให้แน่ใจว่ากันหลับแล้วจริงๆจึงเดินลงไปหามัน



    “มีอะไรวะ กูบอกแล้วไงว่าไม่ไป” ผมบอกมันอย่างรำคาญ



    “เมียมึงไม่ว่าหรอกแค่ไปสังสรรค์เอง ครั้งนี้ชายล้วนไม่มีหญิง” ผมมองมันอย่างชั่งใจ จะบอกกันยังไงดี หลับไปแล้วด้วย ขืนปลุกขึ้นมากลางดึกมีหวังอาละวาดบ้านแตกแน่ๆ ผมตัดสินใจไปกับมันโดยที่ไม่ได้บอกกัน และนั่นเป็นการตัดสินใจที่ผิดมหันต์



    ระหว่างที่ผมกำลังนั่งกินเหล้ากับพวกมันอยู่ ก็เป็นอย่างที่พวกมันบอกจริงๆ งานนี้ชายล้วนไม่มีผู้หญิง แต่การที่พวกมึงเอาผู้ชายตัวเล็กๆหน้าหวานๆมามันคืออะไรรรรร กันมาเห็นเข้าเป็นเรื่องแน่ๆ งานนี้ผมเลยไม่กล้ากินเยอะ กลัวทำอะไรขาดสติแบบครั้งนั้น ไอ้พวกนั้นมันก็แซวว่าผมกลัวเมียอย่างงั้งอย่างงี้ ผมเลยถือโอกาสเล่าเรื่องสยองขวัญของชีวิตคู่ผมให้พวกมันฟังพวกมันถึงกับตาโตกันเป็นแถว



    “เนี่ยเดี๋ยวกันมาเห็นกูกินเหล้ากับพวกมึงก็อาละวาดกูบ้านแตก สเต็ปแรกนี่ต้องมายืนมองก่อน รอให้กูหันไปเจอเอง” ผมยังเล่าไม่ทันจบไอ้เวียงเจ้ามือเลี้ยงวันนี้ที่เมาหัวทิ่มก็พูดขึ้น



    “เฮ้ยดีว่ะ...ตอนมึงเล่าแม่งมีภาพประกอบดั้วะ” ไอ้เวียงมันพูดเสียงยานๆตามประสาคนเมา



    “ภาพประกอบอะไรของมึงวะ” ผมหันหลังไปดู อุ๊ย หันกลับมาใหม่ ขยี้ตาสองสามที สงสัยจะตาฝาด หันกลับไปมองอีกที โอ้ชัดเลย กันยืนเท้าเอวหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ข้างหลังผม “กันจ๋า แหะๆ มาได้ยังไงจ๊ะ” ผมแกล้งทักอย่างอารมณ์ดี แต่ในใจร้องไห้ไปแล้ว



    “ก็เดินมานะสิ!” เสียงตวาดลั่นทำเอาเงียบทั้งวง



    “ระ..หรอจ๊ะ มะ..มะ..เมื่อยไหม เดี๋ยวพี่กลับบ้านไปนวดให้” เอ่ยเสียงตะกุกตะกัก



    “ไม่ต้อง!!!” มาแล้วครับ ฮืออออ “แต่บ้านเนี่ยได้กลับแน่! มานี่!!!” กันเดินมาลากหูผมออกจากวง ไอ้พวกนั้นมองผมด้วยความตะลึง



    “โอ๊ยๆๆๆๆ” เจ็บสิครับ เขาดึงหูผมลากกลับบ้าน ไม่รอดแน่ๆคืนนี้ ผมกระซิบบอกพวกมันว่า “พรุ่งนี้พวกมึงจองศาลาวัดตั้งศพกูได้เลย” ก่อนที่กันเขาจะออกแรงดึงกว่าเดิม



    “อย่าพูดมาก!! เดินตามมานี่!”



    “จ้ะๆๆ โอ๊ยยย! เบาๆสิจ๊ะกันจ๋าาาาา เจ็บบบบบบ!” พวกคุณๆถ้าว่างก็ขอเรียนเชิญนะครับ พิธีรดน้ำศพของผม ศาลาเท่าไหร่ไปถามไอ้พวกเพื่อนผมดู คาดว่าคืนนี้คงไม่รอด TT



    __________________________________________________________________________________


    เรื่องนี้ SF ตอนเดียวจบน้า

    แต่ถ้าไม่มีอะไรแต่งจริงๆอาจจะภาคต่อ 5555


    อักษรนารา


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×