ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    SF NOGUN 63

    ลำดับตอนที่ #5 : Grade Twelve II

    • อัปเดตล่าสุด 18 พ.ค. 58




    GRADE TWELVE II

     

     

              เสียงนาฬิกาปลุกดังออกมาจากโทรศัพท์ราคาแพงบนหัวเตียงปลุกให้ร่างบางลืมตาขึ้นมา มือเรียวเอื้อมไปกดปิดเสียงน่ารำคาญนั่น ก่อนจะลุกเข้าห้องน้ำไปทำธุระส่วนตัว

     

     

             ขาเล็กก้าวลงจากบันไดหรู ตรงมายังห้องทานอาหารที่่พ่อและแม่ของเขานั่งรออยู่ก่อนแล้ว ข้าวสวยร้อนๆถูกตักรอไว้สำหรับเขาเรียบร้อยโดยแม่บ้านประจำของบ้านเขาเอง

     

     

             “อ้าวกันมากินข้าวก่อนสิลูก จะได้มีแรงไปเรียน” ชายวัยกลางคนกล่าวทักทายเมื่อเห็นลูกชายของตนเดินลงบันไดมา ใบหน้ายิ้มแย้มทำให้กันรู้สึกดีและอบอุ่นทุกครั้ง มือเรียววางกระเป๋าลงข้างเก้าอี้ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งที่ประจำของตนเอง มือเล็กตักอาหารเข้าปาก พลางชวนคุยเรื่อยไปตามประสาครอบครัวที่นานๆจะมีเวลาทานอาหารกันพร้อมหน้าพร้อมตา

     

     

             “แล้วนี่เตรียมตัวไปถึงไหนแล้วเนี่ย มหาลัยเขาจะรับสมัครหรือยัง” ผู้เป็นพ่อถามความเป็นไปถึงเรื่องเรียนต่อมหาวิทยาลัยของลูกชายเนื่องจากเขาไม่ได้มีเวลามาคอยดูแลลูกชายเท่าไหร่

     

     

             “ยังหรอกครับ รับสมัครเดือนหน้านู่น” ร่างบางที่ทานอิ่มแล้วรวบช้อนอย่างเรียบร้อยก่อนจะตอบคำถามพ่ออย่างสบายๆ

     

     

             “นี่แล้วแม่เห็นลูกเพื่อนแม่เขาจะสมัครสอบอะไรของแพทย์เดือนนี้ไม่ใช่หรอ สมัครหรือยังล่ะ” คำว่าแพทย์ทำเอาร่างบางหุบยิ้ม ถอนหายใจยาว ต้องให้เขาบอกสักกี่ครั้งว่าเขาไม่อยากเป็นหมอ

     

     

             “คุณ ลูกไม่อยากเรียนจะบังคับลูกทำไม” โชคดีที่พ่อของเขายังเข้าใจเขาเสมอ

     

     

             “ไม่รู้ล่ะ ถ้าไม่สมัครเดี๋ยวฉันสมัครให้เองก็ได้” เอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจนิดๆก่อนร่างเพรียวของหญิงวัยกลางคนจะลุกเดินขึ้นชั้น2 ไป ร่างเล็กของกันได้แต่ถอนใจ

     

     

             “ปล่อยแม่เขาไปเถอะลูก แม่เขาหวังดีน่ะ เดี๋ยวพ่อลองคุยให้เอง” ชายวัยกลางคนเดินอ้อมมาโต๊ะฝั่งที่ลูกชายนั่ง มือใหญ่ตบบ่าเล็กเบาๆ ยิ้มให้อย่างอ่อนโยน

     

             “ครับ ผมไปเรียนก่อนนะครับ” ร่างเล็กที่รู้สึกดีขึ้นบ้างยิ้มบางๆให้พ่อตนเอง มือเรียวคว้ากระเป๋าขึ้นสะพาย ก่อนจะเดินทางไปเรียน

     

     

             เสียงข้อความไลน์เข้าทำให้มือเล็กที่กำลังผลักประตูโรงเรียนกวดวิชาในคอร์สเช้าต้องหยิบยกโทรศัพท์ราคาแพงขึ้นมากดดู พบข้อความของคนที่เพิ่งแอดไลน์ไปเมื่อคืน

     

     

             พี่โน่

             อรุณสวัสดิ์ครับนักเรียนคนเก่ง

     

     

             ปากบางยกยิ้มขึ้นน้อยๆก่อนจะกดส่งสติกเกอร์ Good Morning ตอบกลับไป ไม่นานข้อความของเขาก็ถูกขึ้นว่าอีกคนได้อ่านมันแล้ว ก่อนจะมีข้อความส่งกลับมาอีก

     

    GUNNAPAT

     Read ส่งสติกเกอร์ Good Morning

     

             พี่โน่

             ตั้งใจเรียนนะ 5 โมงเจอกัน

     

             พี่โน่

             ส่งสติกเกอร์ โคนี่อ่านหนังสือ

     

    GUNNAPAT

     Read  ครับ

     

     

             กันที่ตอนนี้เข้ามานั่งประจำที่ในห้องเรียนแล้วตอบกลับแค่นั้นก่อนจะเก็บโทรศัพท์พร้อมตั้งใจเรียนเมื่ออาจารย์กวดวิชาเข้ามาในห้อง

     

     

             20:00 น. เวลาที่เด็กๆในคอร์ส PAT1 ต่างรอคอย ทันทีที่ติวเตอร์หนุ่มเอ่ยปากร่ำลาสำหรับวันนี้ เด็กๆก็วิ่งกรูกันออกจากห้องประหนึ่งรอคอยอิสรภาพมานาน แต่ไม่ใช่กันที่ยังคงเก็บของอย่างไม่เร่งรีบจนตอนนี้ภายในห้องเรียนเหลือเพียงเขากับติวเตอร์หนุ่มอยู่สองคน

     

     

             “วันนี้ไปร้านกาแฟอีกไหม หรือจะกลับบ้านเลย” ติวเตอร์หนุ่มเอ่ยถามนักเรียนคนเก่งที่กำลังง่วนกับการเก็บของ

     

     

             “ไปครับ ผมไปทุกวันแหละครับ” เด็กหนุ่มหันมาตอบยิ้มๆ มือเรียวยกกระเป๋าขึ้นสะพาย

     

     

             “งั้นรอพี่ก่อนนะ เดี๋ยวพี่ไปด้วย” ติวเตอร์หนุ่มหยิบเอกสารที่ใช้สอนเดินถือออกไปยังเคาน์เตอร์หน้าห้องเรียนสั่งงานอะไรบางอย่างที่เด็กหนุ่มอย่างกันก็ไม่ค่อยเข้าใจ เขาลาพี่ๆเจ้าหน้าที่่ที่เคาน์เตอร์ก่อนจะเดินนำเด็กหนุ่มออกไป กันที่ยังไม่ทันได้พูดอะไรก็ต้องเดินตามมาอย่างเสียไม่ได้

     

     

             ร้านกาแฟ

     

             “กินกาแฟอีกแล้ว” ติวเตอร์หนุ่มบ่นขึ้นเมื่อเด็กหนุ่มตรงหน้าสั่งคาปูชิโน่กับพนักงาน

     

     

             “ก็ผมต้องอ่านหนังสือนี่นา” ว่าแล้วก็หยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน แต่เหมือนว่าจะไม่ใช่วิชาของติวเตอร์หนุ่มอย่างเมื่อวาน ตาคมพินิจมองหนังสือเล่มไม่เล็กไม่ใหญ่แต่หนาเตอะที่เด็กหนุ่มตรงหน้าเขากำลังยกขึ้นมาอ่านอย่างสงสัย มีโรงเรียนกวดวิชาไหนใช้หนังสือแบบนี้สอนกัน เหมือนเด็กหนุ่มจะรู้ตัวว่าถูกจ้องมอง เมื่อเงยหน้าขึ้นสบแววตาฉงนของติวเตอร์ตัวเองก็เข้าใจทันทีว่าหมายถึงสิ่งที่อยู่ในมือเขา “อันนี้หนังสือกฎหมายน่ะครับ ผมซื้อมาอ่านเอง”

     

     

             “ชอบหรอ?” ติวเตอร์หนุ่มเลิกคิ้วถาม

     

     

             “ครับ ผมจะเข้านิติฯน่ะ” แววตาสดใสยามพูดถึงคณะในฝันทอประกายออกมาผ่านเลนส์แว่น เรียกรอยยิ้มเอ็นดูประดับบนใบหน้าคมของติวเตอร์หนุ่ม เด็กคนนี้ยิ้มสวยจริงๆ

     

     

             “แล้วนี่ต้องสอบอะไรบ้าง เตรียมตัวพร้อมหรือยัง” กาแฟสองแก้วกับเค้กช็อคโกแลตถูกยกมาเสิร์ฟโดยพนักงาน มือเล็กวางหนังสือเล่มหนาเตอะก่อนจะหันมาสนใจเค้กตรงหน้าพลางตอบคำถามของติวเตอร์หนุ่ม

     

     

             “ก็ใช้ GAT* กับ PAT1 ครับ 7วิชาสามัญ* ใช้ 3 วิชา ไทย อังกฤษ สังคม อย่างละ 20% ส่วนพร้อมไหม....ก็....พร้อมมั้งครับ”


     

             “เราน่ะติดอยู่แล้วแหละ เชื่อไหมเด็กบางคนยังไม่รู้เลยนะว่าตัวเองจะเข้าอะไร จนจะสมัครอยู่แล้วเนี่ย” ติวเตอร์หนุ่มเล่าประสบการณ์ที่เขาพบเจอมาให้เด็กหนุ่มตรงหน้าฟัง แรกๆเด็กหนุ่มก็ดูจะเกร็งๆอยู่บ้างเนื่องด้วยเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน ด้วยวัย ด้วยสถานะติวเตอร์กับนักเรียน แต่ไม่นานเด็กหนุ่มก็เริ่มปรับตัวได้และสนิทกันไปโดยปริยาย 

     

     

             1 เดือนผ่านไป ตอนี้กันเปิดเทอมแล้ว ทั้งโตโน่และกันยังคงติดต่อกันสม่ำเสมอ ทั้งส่งไลน์คุยกัน เจอกันในห้องเรียน หลังเลิกเรียนก็ไปร้านกาแฟด้วยกันจนกลายเป็นกิจวัตร เวลากันมีเรื่องไม่เข้าใจหรือต้องการคำปรึกษาเขาก็มันจะมาถามโตโน่ โดยที่โตโน่ก็เป็นที่ปรึกษาที่ดีให้กับกันเช่นกัน เรียกได้ว่าตอนนี้ทั้งคู่กลายเป็นคู่ติวเตอร์กับลูกศิษย์ที่สนิทกันมากทีเดียว

     

     

             ร่างเล็กในชุดนักเรียนของโรงเรียนดังย่านใจกลางกรุงเทพมหานคร เสื้อเชิ้ตนักเรียนสีขาวสะอาดตาถูกรีดอย่างเรียบร้อยสมกับลูกคนมีตังค์ หน้าอกขวาปักตราโรงเรียนดังที่เด็กๆคนไหนก็ปราถนาจะได้ปัก กางเกงนักเรียนขาสั้นสีดำเหนือเข่าขึ้นมาเล็กน้อย สะพายกระเป๋าเป้สีดำปักตราโรงเรียนไว้ข้างหลัง มือเล็กขยับปกเสื้อนักเรียนเล็กน้อยให้เข้าที่เข้าทางอยู่หน้ากระจกก่อนจะเปลี่ยนมากระชับสายกระเป๋าเป้แล้วเดินลงมาทานอาหารเช้าก่อนไปโรงเรียน

     

     

             “เนี่ย เพื่อนแม่โทรมาบอกว่าลูกเขาติดแพทย์ที่ม.xxx แล้วเนี่ย ดูสิเรายังไม่ถึงไหนเลยเนี่ย เดี๋ยวแม่ก็ขายหน้าเพื่อนกันพอดี อุตส่าห์ไปโม้ว่าลูกชายเรียนเก่ง” เสียงบ่นเรื่องเดิมๆเช่นทุกวันทำเอาร่างเล็กเริ่มชินแต่ไม่ได้ทำให้อารมณ์คุกรุ่นในใจลดลง เพียงแค่ไม่แสดงออกเท่าแต่ก่อน แต่แท้จริงเก็บสะสมไว้ในใจมานานรอเพียงวันปะทุเท่านั้น และดูเหมือนมันกำลังจะปะทุออกมาเสียตอนนี้ด้วย

     

     

             “ก็ถ้าแม่อยากให้ผมเป็นหมอเพราะแค่จะเอาไปอวดเพื่อนก็เอาตามที่แม่สบายใจเลยครับ!” ร่างเล็กพูดขึ้นอย่างเหลืออด มือเล็กกำสายกระเป๋าแน่นพยายามระงับอารมณ์ตนเองไม่ให้ก้าวร้าวใส่บุพการีไปมากกว่านี้ วันนี้พ่อของเขาไปทำงานต่างประเทศจึงไม่มีคนคอยห้ามอย่างเคย มือเล็กพนมมือขึ้นไหว้อย่างลวกๆก่อนจะหันหลังเดินออกไป

     

     

             “อย่ามาประชดแม่แบบนี้นะ!” เสียงแหลมตวาดขึ้นเสียงดังทำให้ขาที่กำลังก้าวไม่พ้นประตูบ้านดีต้องชะงักลง ใบหน้าสวยหันตวัดมองอย่างฉุนเฉียว แววตาดุดันน่ากลัวที่คนเป็นแม่ไม่เคยเห็นมาก่อนฉายแววออกมา เขาตัดสินใจเดินออกจากบ้านไปทั้งที่ข้าวเช้ายังไม่ได้กิน

     

     

             วันนี้ทั้งวันกันยังคงเงียบขรึม ไม่พูดไม่จาไม่ยิ้มแย้มกับใครทั้งนั้น จนเพื่อนๆก็อดเป็นห่วงไม่ได้ มีเพื่อนบางคนเข้ามาถามไถ่ด้วยความเป็นห่วงแต่ก็ได้รับการส่ายหน้าปฏิเสธว่าไม่เป็นไรแทน


     

             เลิกเรียนกันแวะทานข้าวร้านอาหารตามสั่งเจ้าประจำหน้าโรงเรียนก่อนจะขึ้นบีทีเอสเพื่อไปโรงเรียนกวดวิชาที่เดิม หลังจากเริ่มเรียนไปได้สักพักใหญ่ ตอนนี้คอร์สส่วนใหญ่กันก็เรียนจบแล้ว ซึ่งนั่นก็ช่วยลดภาระให้เขาได้บ้าง เหลือก็แต่วิชาของติวเตอร์โน่วิชาเดียว

     

     

             ร่างเล็กกดลิฟต์ขึ้นมายังชั้น12 ตั้งแต่คอร์สช่วงบ่ายจบไปเขาก็ไม่เคยขึ้นมาเรียนวิชานี้สายอีกเลย ยิ่งเปิดเทอมเขายิ่งมาก่อนเวลาเนื่องจากโรงเรียนของเขากับตึกกวดวิชาแห่งนี้อยู่ใกล้กันแค่ไม่กี่สถานีบีทีเอส มือเล็กผลักบานประตูเข้าไปก็เจอติวเตอร์คนสนิทนั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์แล้ว ร่างสูงส่งยิ้มให้อย่างทุกวันและร่างเล็กก็มักจะยิ้มตอบอย่างสดใส แต่วันนี้เขาเพียงยกมือไหว้อย่างลวกๆ ใบหน้าหวานที่บึ้งตึงไม่สบอารมณ์ตั้งแต่เช้ายังไม่คลายออก สร้างความแปลกใจให้กับคนเป็นติวเตอร์อย่างมาก ร่างเล็กนั่งลงหน้าเคาน์เตอร์ตรงข้ามร่างสูงอย่างที่ประจำเวลาเขามาก่อนเวลา

     

     

             “เป็นอะไรหรือเปล่า” ร่างสูงถามขึ้นอย่างเป็นห่วง เนื่องจากตอนนี้ยังไม่มีนักเรียนคนอื่นมา เขาจึงไม่จำเป็นต้องวางมาดเป็นติวเตอร์กับนักเรียนปกติเพราะตอนนี้เรียกได้ว่ากันเป็นักเรียนที่เขาสนิทด้วยมากที่สุด

     

     

             “เปล่าครับ” ตอบเพียงแค่นั้นก็หยิบหนังสือกฎหมายเล่มหนาเตอะขึ้นมาอ่าน ใบหน้าตึงไม่สบอารมณ์ทำเอาร่างสูงของคนเป็นติวเตอร์ไม่กล้าซักไซร้อะไรอีก

     

     

             ตลอดเวลาที่เรียนวันนี้ ร่างสูงก็คอยจับสังเกตอาการของนักเรียนคนเก่งของเขาไปด้วย แต่ใบหน้านั้นก็ยังไม่คลายออกแม้เขาจะพยายามสรรหามุขต่างๆนาๆมาแหย่เล่นระหว่างเรียน ทำเอาอดเป็นห่วงไม่ได้ ครั้งนี้ต่างจากครั้งแรกที่เด็กคนนี้เข้ามาเรียน ครั้งนั้นถึงแม้ว่าใบหน้าหวานนั้นจะนิ่งไม่รับมุขแต่ก็แสดงออกเพียงเรียบเฉย ไม่ได้แสดงอาการหน้าตึงแบบนี้

     

     

             เวลาเลิกเรียน เด็กๆทยอยกันออกจากห้องอย่างเหนื่อยล้า เช่นเคย กันยังเป็นนักเรียนคนสุดท้ายที่ออกจากห้อง และเช่นทุกวัน กันกับติวเตอร์หนุ่มก็จะพากันไปนั่งจิบกาแฟก่อนกลับ แต่วันนี้ไร้ซึ่งบทสนทนาของทั้งคู่ ร่างเล็กเดินลงบันไดเลื่อนนำร่างสูงที่เดินตามมาอย่างกล้าๆกลัวๆในอารมณ์ของคนตัวเล็ก

     

     

             ไม่มีบทสนทนาใดๆเกิดขึ้นบนโต๊ะ ตาหวานทอดมองวิวกรุงเทพยามราตรีผ่านกระจกบานใหญ่ วันนี้เขาไม่ได้เอาหนังสือขึ้นมาอ่านอย่างเคย ซึ่งร่างสูงก็พอจะดูออกว่าเด็กหนุ่มตรงหน้ากำลังมีปัญหาอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่กล้าเซ้าซี้ ถ้าอยากบอกร่างเล็กคงบอกเขาเอง

     

     

             เวลาล่วงเลยมานานเท่าไหร่ไม่รู้ แต่ความอึดอัดจากความเงียบทำให้ร่างสูงกลับรู้สึกว่ามันนานมาก และเหมือนว่าความอึดอัดนี้จะสิ้นสุดลงเมื่อร่างเล็กเอ่ยประโยคหนึ่งขึ้น

     

     

             “คืนนี้ผมไปนอนบ้านพี่ได้ไหม” ความอึดอัดเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นความตกใจแทน ที่อยู่ๆคนตรงหน้าก็เอ่ยขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ตาหวานช้อนมองเขาอย่างเว้าวอน

     

     

             “ทำไมล่ะ เป็นอะไรบอกก่อนสิ” ร่างสูงโน้มตัวลงวางแขนแกร่งเท้ากับโต๊ะ เขยิบเข้าไปถามใกล้ๆ

     

     

             “นะครับ...” แววตาเศร้าและเว้าวอนถูกส่งออกมาทำเอาร่างสูงไม่กล้าปฏิเสธ เขาพยักหน้าตกลงก่อนจะพาร่างเล็กมาที่ดอนโดของเขา

     

     

             คอนโดหรูติดถนนใหญ่ตั้งห่างจากโรงเรียนกวดวิชาเพียง 2 ป้ายรถเมล์ ร่างสูงเดินนำร่างเล็กมาหยุดอยู่หน้าห้องขนาดใหญ่ มือใหญ่เสียบคีย์การ์ด ไม่นานประตูก็ปลดล็อค ร่างเล็กเดินตามหลังเข้ามาและไม่ลืมที่จะปิดประตูไม้สีอ่อนราคาแพงนั่น

     

     

             ห้องกว้างใหญ่สีขาวครีมสบายตาถูกแบ่งออกเป็นสองโซนใหญ่ๆ ส่วนทางเข้าประตูมาจะเป็นห้องน้ำและห้องครัว รวมถึงโต๊ะทานอาหาร อีกส่วนหนึ่งเป็นโซฟานั่งเล่นและเตียงนอน ทั้งสองส่วนถูกแบ่งแยกโดยผนังกั้นแต่ไม่ได้ปิดกั้นแบ่งแยกเสียทีเดียว กลางห้องยังเว้นช่องว่างกว้างให้เดินเข้าออกได้สะดวก พื้นไม้สีเดียวกับประตูถูกทำความสะอาดให้เหมือนใหม่อยู่เสมอ ข้าวของเครื่องใช้วางในที่ของมันอย่างเรียบร้อยแสดงให้เห็นถึงนิสัยความมีระเบียบของเจ้าของห้อง

     

     

             “มีเสื้อผ้ามาเปลี่ยนหรือเปล่า” เอ่ยถามเด็กหนุ่มที่ยืนตัวแข็งอยู่กลางห้องเนื่องจากทำตัวไม่ถูกเมื่อมาบ้านคนอื่น เด็กหนุ่มส่ายหน้าเบาๆสองสามทีเป็นคำตอบ “งั้นเดี๋ยวพี่ไปลองหาเสื้อผ้าตัวเล็กๆให้ละกัน นั่งรอที่โซฟาก่อนก็ได้” ร่างสูงชี้ไปที่โซฟาราคาแพงลายขาวสลับแดงที่ตั้งอยู่ข้างเตียงนอนสีขาวผ้านวมสีส้มดูตัดกันให้ร่างเล็กน่งรอก่อน ส่วนตัวเขาเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าสีขาวติดผนังที่อยู่ข้างโซฟาหาชุดที่ีคิดว่าเล็กที่สุดของเขา

     

     

             ร่างเล็กทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาตามที่่างสูงบอก คิ้วสวยขมวดเข้าหากัน ลังเลอยู่ในใจว่าทำถูกหรือไม่ที่หนีปัญหามาแบบนี้ ใจหนึ่งรู้สึกผิดต่อผู้เป็นแม่ขึ้นมา ดึกป่านนี้แล้วยังไม่กลับบ้านท่านคงเป็นห่วง แต่อีกใจหนึ่งก็ค้านว่าหากกลับไปตอนนี้ก็คงไม่พ้นทะเลาะกันเป็นเรื่องเป็นราวแน่ๆ ความคิดในหัวตีกันวุ่นวายจนไม่ได้สนใจสิ่งรอบตัว

     

     

             “ตัวนี้น่าจะพอได้อยู่นะ ใส่ไม่ได้ก็ต้องได้แล้วล่ะ ตัวนี้เล็กสุดแล้ว” ร่างสูงพูดติดตลก หยิบชุดนอนที่ว่ามากางออกดูพิจารณา แต่คำพูดทุกอย่างไม่ได้เข้าไปในโสตประสาทของร่างเล็กแม้แต่น้อย ความเงียบไปผิดสังเกตทำให้ร่างสูงเงยหน้าขึ้นมองเด็กหนุ่มที่ตอนนี้เอาแต่นั่งเหม่อและเดาได้ไม่ยากว่าไม่ได้ฟังที่เขาพูดเลย มือใหญ่พาดเสื้อผ้าตัวเล็กกับพนักพิงโซฟา ก่อนจะเดินไปนั่งข้างร่างเล็กที่ดูเหมือนว่าจะมีปัญหาจริงๆ

     

     

             “เป็นอะไร มีอะไรบอกพี่ได้นะ” มือใหญ่วางลงบนหัวทุยเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง ร่างเล็กหันมองสบตาคมก็รับรู้ได้ถึงความอบอุ่นบางอย่าง ความรู้สึกเหมือนเจอที่พักพิงทำให้เขาไม่รู้สึกว่าอยู่ตัวคนเดียว

     

     

             “ผมทะเลาะกับแม่” เอ่ยแค่นั้นก่อนที่แววตานั้นจะเศร้าลงไปถนัดตา ดวงตาเริ่มแดงคล้ายจะร้องไห้ ปากบางเม้มเข้าหากันอย่างสะกดกลั้นอารมณ์ เขาไม่เคยเปิดใจคุยเรื่องนี้กับใครมาก่อนแม้แต่เพื่อนสนิท ทุกครั้งที่เขาทะเลาะกับที่บ้านเขาก็มักจะเก็บไว้คนเดียว กลายเป็นเก็บสะสมมาเรื่อยๆจนในที่สุดก็ระเบิดออกมา

     

     

             “ทะเลาะเรื่องอะไร” มือใหญ่เปลี่ยนมาโอบไหล่เล็กไว้เชิงปลอบเบาๆ ใบหน้าหวานก้มหน้าเม้มปากแน่น มือสองข้างจับกันไว้หลวมๆ นิ้วเรียวเขี่ยมือตัวเองเล่น สูดลมหายใจเข้าลึกๆทีหนึ่งก่อนจะตอบ

     

     

             “แม่บังคับให้ผมเรียนหมอแต่ผมไม่อยากเรียน” เสียงสั่นเครือถูกเอ่นเอ่ยออกมาอย่างยากลำบากเนื่องจากเจ้าตัวพยายามบังคับไม่ให้มันสั่น

     

     

             “แล้วได้บอกแม่ไปไหมว่าไม่อยากเรียน” ร่างสูงเองก็พยายามถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเพื่อไม่ให้เป็นการกดดันเจ้าตัวไปมากกว่านี้

     

     

             “ผมบอก...บอกจนไม่รู้จะบอกยังไงแล้ว ผมบอกมาตลอดชีวิต....” พูดได้แค่นั้นก่อนน้ำตาที่กักกั้นไว้มานานจะไหลออกมาอย่างเขื่อนแตก สิ่งที่เก็บอยู่ในใจมานาน ความเครียด ความกดดัน ความน้อยใจ ทุกอย่างถูกระบายออกมาผ่านน้ำตาที่ไหลอาบแก้มเป็นทาง มือหนาดึงหัวทุยมาซบอกกว้างอย่างให้พี่พักพิง มืออีกข้างเอื้อมไปบีบสองมือเล็กที่จิกกันจนเป็นรอยแดงอยางให้กำลังใจ

     

     

             “แม่เขาหวังดีน่ะ อย่าโกรธแม่เขาเลยนะ” โยกตัวร่างเล็กเบาๆคล้ายกำลังปลอบเด็กน้อยที่ร้องไห้โยเย

     

     

             “แม่เขาก็แค่...ฮรึก....กลัวขายหน้าเพื่อน” ร่างเล็กพูดไปตามสิ่งที่ได้ยินแม้ในใจลึกๆจะรู้ว่าแม่ตนเองหวังดี แต่อารมณ์น้อยใจมีมากกว่าจึงพูดออกไปแบบนั้น

     

             “ไม่เอาน่า ไม่มีแม่คนไหนไม่รักลูกตัวเองหรอก แล้วลองคุยกับแม่เขาบ้างหรือยังว่าเราวางแผนอนาคตไว้ยังไง ถ้าอธิบายดีๆแม่เขาอาจจะเข้าใจก็ได้นะ”

     

     

             “ผมเคยบอกแล้ว....ผม..ฮรึก..บอกว่าผมจะสอบเป็นอัยการ...ฮรึก...แต่แม่เขาบอกว่าผมทำไม่ได้หรอก..จะไปพยายามให้เหนื่อยทำไม”

     

     

             “ไม่ลองก็ไม่รู้สิ”

     

     

             “ถ้าแม่ผมคิดแบบพี่ก็ดีสิ” ร่างเล็กในอ้อมกอดหยุดสะอื้นแล้ว แต่น้ำตายังคงไหลลงมาไม่ขาดสาย นี่ก็ดึกมากแล้ว ดีที่พรุ่งนี้เป็นวันเสาร์จึงไม่ต้องกังวลว่าเด็กหนุ่มจะไปโรงเรียนไหวไหม

     

     

             หัวทุยยังซบอกแกร่งอยู่อย่างนั้น ปล่อยให้น้ำตาไหลไปเรื่อยๆ ร่างสูงเองก็ไม่คิดจะขัด ปล่อยให้คนตัวเล็กร้องไห้จนพอใจ มือหนาคอยลูบศีรษะปลอบประโลม อีกมือหนึ่งยังกุมมือน้อย ออกแรงบีบเบาๆให้กำลังใจ

     

     

             มือเล็กๆขยี้ตาไล่น้ำใสๆออกไปผ่านแว่นสีดำเมื่อร้องไห้จนพอใจแล้ว ร่างสูงที่เห็นดังนั้นก็ผละออก เอื้อมไปหยิบกระดาษทิชชู่บนโต๊ะกระจกเล็กๆหน้าโซฟาที่เขานั่ง จัดการถอดแว่นตาทรงกลมสีดำของคนตรงหน้าออก เผยให้เห็นดวงตาที่เอ่อนองไปด้วยคราบน้ำตา มือหนาบรรจงเช็ดน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน ตาหวานยามไร้แว่นปกปิดทำให้เขาต้องมนตร์กว่าครั้งไหนๆ ขนตาเป็นแพยาวที่เปียกปอนไปด้วยน้ำตาทำให้เขายิ่งหลงไหลมากขึ้นไปอีก มือหนาถอนออกมาเมื่อดึงสติกลับมาได้ หากเป็นเช่นนี้ต่อไปคงเผลอล่วงเกินร่างเล็กเป็นแน่

     

     

             “โทรไปบอกแม่หรือยังว่าจะมาค้างที่นี่” ร่างสูงถามพลางหยิบแว่นคืนให้ร่างเล็ก มือเล็กๆรับไปก่อนจะใส่ไว้เหมือนเดิม

     

     

             “ยังครับ”

     

     

             “โทรไปสิ ดึกป่านนี้แล้ว ท่านคงเป็นห่วงแย่”

     

     

             “ครับ” ร่างเล็กรับคำก่อนจะเดินหยิบโทรศัพท์ออกไปคุยอีกฝั่งหนึ่งของห้อง ไม่นานก็เดินกลับเข้ามา


     

             “นี่ชุดนะ แล้วก็ผ้าขนหนูกับของใช้ส่วนตัวเตรียมไว้ให้ในห้องน้ำแล้ว ใช้ได้เลย” ร่างสูงหยิบชุดนอนที่พาดไว้ตรงพนักพิงโซฟาให้ร่างเล็ก ก่อนที่ร่างเล็กจะเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ ร่างสูงจัดแจงที่นอนให้สำหรับแขกผู้มาเยือน ไม่นานร่างเล็กในชุดนอนสีขาวก็เดินออกมาจากห้องน้ำ ทันทีที่ร่างสูงหันไปเห็นก็ถึงกับขำพรืด

     

     

             “ขำอะไรพี่โน่” ร่างเล็กสำรวจตัวเองว่ามีอะไรผิดปกติแต่ก็ไม่พบจึงเงยหน้าถามร่างสูง

     

     

             “เหมือนฮิปฮอปเลยอ่ะกัน 555555 ใส่เสื้อตัวโคร่งๆ” ร่างสูงยังไม่หยุดหัวเราะ ถึงแม้ว่าชุดนี้จะเป็นชุดเล็กที่สุดสำหรับเขาแล้วก็ตาม แต่สำหรับคนตัวเล็กก็ยังดูตัวใหญ่ไปอยู่ดี

     

     

             “ก็ใครใช้ให้พี่โน่ตัวใหญ่ล่ะ” ร่างเล็กเอ่ยกวนๆก่อนมือบางจะรูดซิปกระเป๋านักเรียนหยิบหนังสือแบบฝึกหัดข้อสอบคณิตศาสตร์ออกมา

     

     

             “โอเคๆ พี่ผิดเองที่เกิดมาตัวใหญ่ กันตัวได้มาตรฐานชายไทยเลย” ร่างสูงเองก็กวนกลับเช่นกัน ใบหน้าคมยกยิ้มขึ้นเมื่อเห็นว่าร่างเล็กรู้สึกดีขึ้นบ้างแล้วถึงยอมต่อปากต่อคำกับเขา

     

     

             “ชิ ไม่ต้องมาประชดเลย ผมยังโตไม่เต็มวัยต่างหาก” ตั้งแต่เขาเริ่มสนิทกับกัน ทำให้เขารู้ว่าจริงๆแล้วกันไม่ได้เป็นเด็กเนิร์ดขนาดที่ว่าชีวิตนี้ต้องเคร่งเครียดกับการเรียนอย่างเดียว แต่ลึกๆแล้วกันมีมุมกวนๆอย่างเด็กวัยรุ่นทั่วไป เพียงแต่จะเลือกแสดงออกกับคนที่สนิทเท่านั้น และเขาก็เป็นหนึ่งในนั้น

     

     

             “อ่ะจ้าๆ” ร่างสูงแกล้งแซวเล่นก่อนจะได้รับค้อนวงโตกลับมา “เตียงอ่ะนอนได้เลยนะ นอนฝั่งไหนก็ได้ เดี๋ยวพี่ไปอาบน้ำก่อน” ร่างสูงทิ้งท้ายไว้คล้ายๆเป็นคำอนุญาตให้ขึ้นไปบนเตียงเขาได้ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไป

     

     

             ร่างเล็กค่อยๆคลานขึ้นไปบนเตียงก่อนจะเลือกริมฝั่งติดฝาผนังเพื่อให้ร่างสูงที่มาทีหลังได้ขึ้นมานอนได้สะดวก มือเล็กๆไม่ลืมหยิบหนังสือโจทย์คณิตศาสตร์ติดมาด้วย เขากางหน้าแบบฝึกหัดออก ก่อนจะลงมือฝึกฝน พยายามเอาเทคนิคที่ได้เรียนจากติวเตอร์หนุ่มมาลองใช้และลองจับเวลาในการทำข้อสอบดู

     

     

             ไม่นานร่างสูงก็เดินออกมาจากห้องน้ำ คิ้วหนาเลิกขึ้นเมื่อเด็กหนุ่มยังไม่นอน แต่กำลังทำแบบฝึกหัดอยู่ เขาเดินเข้ามานั่งลงบนเตียงข้างเด็กหนุ่มเงียบๆ เนื่องจากไม่อยากรบกวนสมาธิ แอบดูวิธีคิดของลูกศิษย์ตัวเองก่อนจะเอ่ยชมเมื่อเด็กหนุ่มนำสิ่งที่เขาสอนมาใช้ได้อย่างถูกต้อง มีแนะนำบ้างบางข้อที่่ร่างเล็กทำไม่ได้หรือไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน จนเวลาล่วงเลยมาถึงตีสาม ร่างเล็กจึงวางดินสอลงและเก็บใส่กระเป๋าให้เรียบร้อย

     

             “พรุ่งนี้พี่มีสอนเช้านะ ตื่นเช้าหน่อยละกัน เดี๋ยวพี่ไปส่งที่บ้าน” ร่างสูงพูดขึ้นขณะที่กำลังล้มตัวลงนอนข้างคนตัวเล็ก

     

     

             “ครับ” ทั้งคู่เข้าสู่ห้วงนิทราด้วยความเหนื่อยอ่อน

     

    ____________________________________________________________________________________________
     

    * หมายเหตุ
              GAT คือ ข้อสอบความถนัดทั่วไป แบ่งออกเป็น 2 พาร์ท คือ GAT เชื่อมโยง และ GAT ภาษาอังกฤษ ต้องสอบพร้อม PAT และทุกคณะใช้วิชา GAT เป็นองค์ประกอบในการพิจารณาคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย (ยกเว้นคณะแพทย์)
              7 วิชาสามัญ คือ ข้อสอบวิชาสามัญทั้ง 7 ได้แก่ ภาษาไทย สังคม คณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ ฟิสิกส์ เคมี และชีววิทยา ใช้เป็นองค์ประกอบในการพิจารณาคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยของบางคณะและบางมหาวิทยาลัย โดยนักเรียนจะสอบหรือไม่ก็ได้ จะลงสอบกี่วิชาก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าคณะที่อยากเข้ากำหนดให้สอบวิชาอะไรบ้าง ซึ่งเด็กรุ่น 58 เป็นรุ่นสุดท้ายที่ได้สอบ เพราะตั้งแต่ปี 59 เป็นต้นมาได้เปลี่ยนเป็น 9 วิชาสามัญแล้ว

     




    มีคนสงสัยว่าเรื่องนี้เรื่องจริงทั้งหมดเลยไหม ไรเตอร์ยอมรับว่าจริงบางส่วน
    บางเรื่องก็เอามาจากเพื่อนรอบๆข้าง เค้าโครงขั้นตอนการเข้ามหาวิทยาลัยหรือเรียนพิเศษก็เอาเรื่องจริงเลย
    ส่วนที่มีคนให้กำลังใจไรเตอร์ขอบคุณมากนะคะ แต่ไรเตอร์ผ่านช่วงนั้นมาแล้ว 555
    เป็นกำลังใจให้เด็กม.6ทุกคนนะคะ สู้ๆ

    อักษรนารา

     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×